วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 01:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


สถานที่นี้ถ้าใครมีโอกาสนะไปนะครับ! ผมเองโชคดีมีโอกาสไปแล้วรู้สึกมีความสุขมากเลย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านมีบุญวาสนาเสียจริง ที่ได้ไปสถานที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน :b8: แต่คุนน้องถึงอยากไปก็ไปไม่ได้.เพราะมีภาระ..หน้าที่..แถมไร้บุญวาสนา :b2: :b2:
แต่คุนน้องนึกเสมอว่า พระพุทธเจ้าอยู่ทุกที่ พระพุทธเจ้าอยู่ในใจเราเสมอ แค่นี้ก็มีความสุขได้เหมือนกันเจ้าค่ะ :b16: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ท่านมีบุญวาสนาเสียจริง ที่ได้ไปสถานที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน :b8: แต่คุนน้องถึงอยากไปก็ไปไม่ได้.เพราะมีภาระ..หน้าที่..แถมไร้บุญวาสนา :b2: :b2:
แต่คุนน้องนึกเสมอว่า พระพุทธเจ้าอยู่ทุกที่ พระพุทธเจ้าอยู่ในใจเราเสมอ แค่นี้ก็มีความสุขได้เหมือนกันเจ้าค่ะ :b16: :b44: :b44:
ถูกต้องครับ อะไรจะดีเท่าระลึกพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ แต่ถ้าอยากไป ตั้งความปรารถนาสิครับ ธรรมมะจะจัดสรรให้ประสบความสำเร็จ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 23:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านบิกทู่ คุนน้องเข้าเวปอ่านประวัต พระพุทธเจ้าอยู่ๆ บังเอิญมีลิงค์ปรากฎขึ้นมา คุนน้องรู้สึกสนใจเลยกดเข้าไปดู
ไม่รู้เป็นเพราะจิตคุนน้องวนเวียนเกี่ยวกับเรื่อง อยากไปเห็น ที่ๆพระพุทธเจ้าตรัสรู้ นิพพานหรือเปล่า ลองอ่านเวปนี้ดูหน่อยเจ้าค่ะ แต่ก็ควรใช้วิจารณญาณด้วยนะเจ้าค่ะ :b8: :b44: :b44:
http://www.oknation.net/blog/KorachCity ... 28/entry-1


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ท่านบิกทู่ คุนน้องเข้าเวปอ่านประวัต พระพุทธเจ้าอยู่ๆ บังเอิญมีลิงค์ปรากฎขึ้นมา คุนน้องรู้สึกสนใจเลยกดเข้าไปดู
ไม่รู้เป็นเพราะจิตคุนน้องวนเวียนเกี่ยวกับเรื่อง อยากไปเห็น ที่ๆพระพุทธเจ้าตรัสรู้ นิพพานหรือเปล่า ลองอ่านเวปนี้ดูหน่อยเจ้าค่ะ แต่ก็ควรใช้วิจารณญาณด้วยนะเจ้าค่ะ :b8: :b44: :b44:
http://www.oknation.net/blog/KorachCity ... 28/entry-1
เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนหาที่สุดมิได้ ที่งจริงแล้วมันไม่สำคัญ ต่อให้อินเดียไม่ใช่เป็นที่เกิดของพระพุทธเจ้าก็ตาม ถ้าเรามีศรัทราผลที่จะนำเราเกิดในสุคติภพนั้นย่อมปรากฏได้ เหมือนที่น้องได้บอกว่ามีพระองค์ในใจนั้นแหละ แต่พี่ไปแล้วมีความสุขมากปีติเกิดมากทีเดียว

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 310


 ข้อมูลส่วนตัว


รอคนมาถวายค่าเครื่องบินอยู่ onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 13:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1273934217.jpg
1273934217.jpg [ 15.15 KiB | เปิดดู 5799 ครั้ง ]
ยังไม่เคยไปเหมือนกัน :b1:

ได้แต่อ่านหนังสือจาริกบุญ-จารึกธรรม (พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต) เล่าการเดินทางและแฝงคติธรรมที่เกี่ยวกะสังเวชนียสถานไว้ ดังนี้


คติจากสังเวชนียสถาน

เรื่องของสถานที่ ซึ่งก็มีความสำคัญ เพราะว่าเราต้องการให้เกิดผลทางจิตใจ คือให้เป็นสังเวชนียสถานอย่างแท้จริง หมายถึงเป็นที่ให้เกิด สังเวช ในความหมายว่า เป็นเครื่องกระตุ้นเตือนใจให้เกิดศรัทธา และปัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บางท่านก็อาจจะได้เฉพาะศรัทธา ความเลื่อมใสและมั่นอกมั่นใจเข้มแข็งยิ่งขึ้น พร้อมที่จะเกิดปีติ มีความปลาบปลื้มใจที่เป็นผลจากศรัทธานั่น นั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งบางทีไม่ได้ คือ ปัญญา
อย่างไรก็ดี เมื่อได้ศรัทธาไป ก็ยังเรียกว่าได้ผลบ้าง แต่ไม่สมบูรณ์ ถ้าจะให้ดีควรจะได้ปัญญาด้วย
ปัญญาที่เกิดขึ้นหมายถึง

ปัญญาอย่างที่ ๑ คือ ความรู้เข้าใจ มองเห็นคติธรรมดาของสังขาร อันได้แก่ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ตามหลักไตรลักษณ์ ซึ่งจะทำให้เราเห็นความจริง แล้วโน้มธรรมมาปฏิบัติในใจ ปัญญานี้จะโยงไปสู่ความสว่างชัดในธรรมดาของสังขาร พร้อมทั้งการที่จะเป็นอยู่และทำการทั้งหลายด้วยความไม่ประมาท

ปัญญาอย่างที่ ๒ คือ จากเหตุการณ์และสถานที่นั้นๆ ก็เชื่อมโยงต่อไปให้เราระลึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตามคำสอนเหล่านั้น ที่มีความหมายเกี่ยวเนื่องกับสถานที่แต่ละแห่ง ตลอดจนพระธรรมเทศนาต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงแดสงไว้ในโอกาสนั้นๆ

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องทางปัญญา ซึ่งจะได้มากได้น้อย ก็อยู่ที่การรู้จักใช้โยนิโสมนสิการ คือการรู้จักคิด รู้จักพิจารณา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายของสังเวชนียสถานแต่ละแห่งนั้น ก็มีต่างๆกัน ถ้าจะประมวลสรุปแล้ว เราก็ได้แง่คิดหลายแบบ จะยกตัวอย่างง่ายๆ

ทำประโยชน์ของตนให้ถูกให้ดี จะเป็นที่พึ่งของโลกได้

เริ่มต้น สังเวชนียสถาน ๔ นั้น เราเห็นชัดว่า แห่งแรก เป็นเรื่องเกี่ยวกับการประสูติ คือ การเกิด แล้วต่อไป แห่งสุดท้าย เกี่ยวกับการปรินิพพาน ก็คือ การตาย

สองอย่างนี้ การเกิด กับการตาย เป็นของสามัญสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะพระพุทธเจ้า ใครก็ตามที่มีชีวิต ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการเกิดและสิ้นสุดด้วยการตาย

แต่พระพุทธเจ้าทรงมีเพิ่มอีก ๒ อย่าง คือ ระหว่างนั้นท่ามกลางระหว่างประสูติกับปรินิพพาน มีตรัสรู้กับ แสดงปฐมเทศนาอันเป็นส่วนพิเศษที่ทำให้ชีวิตของพระองค์ เป็นสิ่งที่ประเสริฐต่างจากคนทั้งหลาย

การตรัสรู้นั้น ถ้ามองความหมาย ก็คือการที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุจุดหมายที่ประสงค์ เป็นความสำเร็จของพระองค์ ทำชีวิตของพระองค์ให้สมบูรณ์ เรียกว่า เป็นการทำประโยชน์ของตนเองให้เสร็จสิ้น

ต่อมา การแสดงปฐมเทศนา คือการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น คือ การที่พระองค์มีอะไรมอบไว้ให้แก่ชาวโลก

ประโยชน์ ๒ ประการนี้ เรียกว่าหลัก อัตตัตถะ และปรัตถะ

การตรัสรู้ เป็นการบรรลุความสมบูรณ์แห่งอัตตัตถะ หรือ อัตตหิตะ ได้แก่ ประโยชน์ตน

ส่วนการแสดงปฐมเทศนา เป็นจุดเริ่มต้นของการบำเพ็ญปรัตถะ หรือปรหิตะ ประโยชน์เพื่อผู้อื่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 14:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ความหมายของสังเวชนียสถานแต่ละแห่งนั้น ก็มีต่างๆกัน ถ้าจะประมวลสรุปแล้ว เราก็ได้แง่คิดหลายแบบ จะยกตัวอย่างง่ายๆ

ทำประโยชน์ของตนให้ถูกให้ดี จะเป็นที่พึ่งของโลกได้

เริ่มต้น สังเวชนียสถาน ๔ นั้น เราเห็นชัดว่า แห่งแรก เป็นเรื่องเกี่ยวกับการประสูติ คือ การเกิด แล้วต่อไป แห่งสุดท้าย เกี่ยวกับการปรินิพพาน ก็คือ การตาย

สองอย่างนี้ การเกิด กับการตาย เป็นของสามัญสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะพระพุทธเจ้า ใครก็ตามที่มีชีวิต ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการเกิดและสิ้นสุดด้วยการตาย

แต่พระพุทธเจ้าทรงมีเพิ่มอีก ๒ อย่าง คือ ระหว่างนั้นท่ามกลางระหว่างประสูติกับปรินิพพาน มีตรัสรู้กับ แสดงปฐมเทศนาอันเป็นส่วนพิเศษที่ทำให้ชีวิตของพระองค์ เป็นสิ่งที่ประเสริฐต่างจากคนทั้งหลาย

การตรัสรู้นั้น ถ้ามองความหมาย ก็คือการที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุจุดหมายที่ประสงค์ เป็นความสำเร็จของพระองค์ ทำชีวิตของพระองค์ให้สมบูรณ์ เรียกว่า เป็นการทำประโยชน์ของตนเองให้เสร็จสิ้น

ต่อมา การแสดงปฐมเทศนา คือการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น คือ การที่พระองค์มีอะไรมอบไว้ให้แก่ชาวโลก

ประโยชน์ ๒ ประการนี้ เรียกว่าหลัก อัตตัตถะ และปรัตถะ

การตรัสรู้ เป็นการบรรลุความสมบูรณ์แห่งอัตตัตถะ หรือ อัตตหิตะ ได้แก่ ประโยชน์ตน

ส่วนการแสดงปฐมเทศนา เป็นจุดเริ่มต้นของการบำเพ็ญปรัตถะ หรือปรหิตะ ประโยชน์เพื่อผู้อื่น
ขอบคุณครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวเนื่องกัน ผู้ที่จะบำเพ็ญประโยชน์ให้ผู้อื่นได้อย่างดีก็ต้องพัฒนาตน ยิ่งเราบรรลุประโยชน์ตนมากขึ้นไปเท่าไร เราก็ยิ่งสามารถทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นได้มาขึ้นเท่านั้น

ความดีงาม ความสามารถ ความมีสติปัญญา ที่เกิดจากการพัฒนาตนของเรานี้แหละ คือประโยชน์ตนที่แท้จริง

ถ้าเราได้พัฒนาตนเอง ทำประโยชน์ตนให้เจริญงอกงาม โดยมีสติปัญญาความสามารถมากขึ้น ก็เท่ากับเป็นความดีงามความประเสริฐแห่งชีวิตของเราเอง พร้อมกันนั้น เราก็สามารถที่จะบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นได้ดีขึ้นด้วย

ทั้งนี้เพราะว่า บุคคลที่มีสติปัญญา มีความสามารถ มีความสุขมีชีวิตที่สงบแล้ว จึงจะสามารถบำเพ็ญประโยชน์ ช่วยเหลือผู้อื่น เผื่อแผ่ความดีงาม สติปัญญา ความรู้ และความสุขไปให้แก่คนอื่นได้เต็มที่

เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า ที่ทรงเป็นผู้บรรลุประโยชน์ตนแล้ว คือ ได้พัฒนาพระองค์เองให้มีคุณสมบัติทั้งปวงสมบูรณ์แล้ว จบกิจแห่งการเจริญศีลสมาธิปัญญา พร้อมด้วยพระปัญญา มหากรุณา และวิสุทธิคุณ มีความสุขเป็นคุณสมบัติประจำพระองค์อยู่แล้วตลอดเวลา ไม่ต้องแสวงหาความสุขที่ไหน และไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อตนเองอีกต่อไป จึงอุทิศชีวิตทั้งหมดให้แก่การบำเพ็ญพุทธกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเพียงอย่างเดียว จนถึงที่สุดแห่งพุทธกาล

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ใดยังไม่บรรลุประโยชน์ตน ผู้นั้นก็ยังทำประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ไม่เต็มที่ ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ

ด้านหนึ่ง ยังมีความสามารถที่จะทำประโยชน์นั้นได้ไม่สมบูรณ์ เช่น ยังพัฒนาตนให้มีความสามารถต่างๆได้ไม่เพียงพอ และไม่รู้ชัดเจนจะแจ้งลงไปแม้แต่ว่าอะไรจะเป็นประโยชน์จริงแท้หรือไม่

อีกด้านหนึ่ง ยังมีห่วงกังวลเกี่ยวกับตนเอง อย่างน้อย แม้แต่ไม่สุขทุกข์ของตัวแล้ว ก็ยังกังวลเกี่ยวกับการที่จะต้องฝีกฝนพัฒนาตนเอง

ผู้ที่จะช่วยคนตกน้ำ ถ้าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น ถึงจะมีใจการุณย์อย่างยิ่ง จะช่วยเขาได้อย่างดี ก็แค่หาวัสดุอุปการณ์มาฉุด ดึง ลาก พา จูง หรือโยนให้ ซ้ำร้าย ถ้าช่วยไม่เป็น กลับก่ออันตราย หรือไม่ปลอดภัยทั้งแก่ตนเอง และแก่คนที่คิดจะช่วยนั้น

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ตน (อัตตัตถะ) คือความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ของตนเอง หรือความมีตนที่ได้พัฒนาอย่างดีเต็มที่แล้ว จึงเป็นฐานของการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น

ด้วยเหตุนี้ จึงมีคุณสมบัติของพระอรหันต์ที่ว่า เป็นผู้ได้บรรลุประโยชน์ตนแล้ว จนกระทั่งไม่ต้องทำอะไรเพื่อตัวเองอีก เพราะมีความสมบูรณ์ในตัว ทั้งสติปัญญา ทั้งความสุข ความสงบ ความเป็นอิสระ

เมื่อมีภาวะทีพัฒนาดีแล้วเหล่านี้พร้อมในตัว ก็นำเอาความสุข ความเป็นอิสระเป็นต้นนี้ ไปเผื่อแผ่แจกจ่ายแก่ผู้อื่นด้วยเมตตากรุณาต่อไป

อย่างไรก็ตาม พึงทราบว่า การทำประโยชน์แก่ผู้อื่นนั้น ท่านถือว่าเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตน คือเป็นอัตตัตถะอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น การพัฒนาตนให้มีทั้งความดีงามและความสามารถมากขึ้น
ยิ่งเราพยายามช่วยเหลือทำประโยชน์แก่ผู้อื่นเท่าใด ไม่ว่าจะในระดับบุคคล หรือในระดับชุมชนสังคมส่วนรวม เราก็ยิ่งมีความดีงามและแกร่งกล้าสามารถมากขึ้นเท่านั้น

การช่วยเหลือผู้อื่น หรือทำประโยชน์ส่วนรวม จึงเป็นวิธีปฏิบัติส่วนหนึ่งในการพัฒนาบุคคลให้สมบูรณ์

เรื่องนี้เห็นได้ง่ายๆดังที่เรามีพระโพธิสัตว์ไว้เป็นแบบอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรารู้กันดีว่า พระโพธิสัตว์คือท่านที่กำลังบำเพ็ญบารมี การบำเพ็ญบารมีมีหลายข้อหลายชั้น แต่ส่วนสำคัญก็คือการสละตนเอง ทั้งทรัพย์อวัยวะ ตลอดถึงชีวิต เพื่อช่วยเหลือทำประโยชน์แก่ผู้อื่นได้อย่างเต็มที่

การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหมดนี้ ก็เป็นอัตตัตถะ คือ เป็นการพัฒนาตนเอง ให้มีคุณสมบัติความดีงามความสามารถเพิ่มพูนจนเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ พอแก่การบรรลุโพธิญาณ ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า

จึงเป็นความประสานกัน ระหว่างอัตตัตถะ กับ ปรัตถะ หรือระหว่างประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ในระดับต้น หรือขั้นในระหว่าง คือสำรับคนทั่วไป จนถึงพระโพธิสัตว์ ที่เหมือนกับว่าการทำปรัตถะเป็นส่วนหนึ่งของอัตตัตถะ แต่ที่จริงก็คืออิงอาศัยและหนุนเสริมกันไป

ความประสานกัน ระหว่างอัตตัตถะ กับ ปรัตถะ หรือระหว่างประโยชน์ตน กับ ประโยชน์ผู้อื่นนั้น มาบรรจบสมบูรณ์ ในขั้นสุดท้าย หรือในระดับสูงสุด คือท่านผู้บรรลุประโยชน์ตนแล้ว ได้แก่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งจบกิจแห่งการพัฒนาตนแล้ว ไม่มีอะไรจะต้องทำเพื่อตนต่อไปอีก อัตตัตถะที่สมบูรณ์หรือเต็มแล้วนั้น จึงมีไว้เพื่อให้สามารถทำปรัตถะ คือประโยชน์เพื่อผู้อื่นได้อย่างดีที่สุดสืบไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดรวมตลอดว่า

-เมื่อพัฒนาตัวเองให้มีอัตตัตถะมากขึ้น ก็มีความพร้อมความสามารถที่จะทำปรัตถะบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มากขึ้น

-ยิ่งบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นทำปรัตถะมากขึ้น ตนเองก็ยิ่งพัฒนามีสติปัญญาความรู้ความดีงามความสามารถที่เป็นอัตตัตถะมากขึ้น กระบวนธรรมดำเนินไปอย่างนี้ จนในที่สุด

-เมื่อพัฒนาตนจนมีอัตตัตถะเต็มบริบูรณ์แล้ว ก็พร้อมที่จะทำปรัตถะได้โดยสมบูรณ์

ผู้ที่บำเพ็ญประโยชน์ตนคือพัฒนาตนให้มีอัตตัตถะพร้อมดีแล้ว ก็เป็นอัตตนาท คือพึงตนได้

ผู้ที่ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นบำเพ็ญปรัตถะได้ผล ก็เป็นปรนาท คือเป็นที่พึงแก่ผู้อื่น

ถ้ามีอัตตัตถะเต็ม เป็นอัตตนาถสมบูรณ์แล้ว ทำปรัตถได้เต็มที่ คือ เป็นพระพุทธเจ้า ก็เป็นโลกนาถ คือเป็นที่พึงของชาวโลกทั้งหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และประกาศปฐมเทศนา เป็นเครื่องหมายของการที่พระองค์ทรงบรรลุแล้วซึ่งความสมบูรณ์แห่งอัตตัตถะ คือ การบำเพ็ญประโยชน์ตนจนพัฒนาตนเองสมบูรณ์แล้ว และการที่ทำประโยชน์แก่ชาวโลก เป็นการบำเพ็ญปรัตถะ ถึงขั้นที่เป็นโลกนาถ อย่างที่กล่าวมา

ฉะนั้น สังเวชนียสถาน ๔ จึงเป็นเครื่องเตือนใจชาวพุทธว่าท่ามกลางคติธรรมดาแห่งชีวิตที่เราเกิดมาจนกระทั่งตายไป เราควรจะได้ทำกิจ ๒ อย่างให้สำเร็จ

กล่าวคือ สำหรับชีวิตของตัวเอง เราก็ควรจะเข้าถึงสิ่งที่ดีงามประเสริฐ พัฒนาตัวเราให้สมบูรณ์ที่สุด พร้อมกันนั้น เราก็ควรจะมีอะไรให้แก่โลกด้วย โดยบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น และแก่สังคม

นี่เป็นคติธรรมอย่างที่ควรจะได้จากสังเวชนียสถาน ๔ อันเป็นความหมายอย่างง่ายๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron