วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 20:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เห็นเอาโยนิโสมาพูด คุณคิดว่า มาโยนิโสเรื่องความตายเนี้ย คุณแน่ใจแล้วหรือว่า ที่พูดมามันถูกต้อง [/color]

[คำตอบ (เสริมความคิดเห็นเพิ่มเติม)
ที่ได้ผูกโยงคำว่า โยนิโสมนสิการ ในธรรมเรื่องความตาย (มรณานุสติ) นี้ ก็เพื่อช่วยเตือนผู้เขียนเองและผู้อ่านได้มีสติไตร่ตรองโดยแยบคายว่าเป็นสิ่งที่คิดพูดหรือทำว่าเหมาะสมแก่สถานะการณ์หรือสมควรจะนำมาปฏิบัติ เพื่อแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดทุกข์ได้จริงอย่างไรหรือไม่ไม่ใช่สักแต่ว่าเห็นตามๆ กันไปโดยไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือมีที่มาเหตุและผลอย่างใดบ้าง

มันไม่ผิดไม่ถูกหรอกครับ ที่คุณจะเอาเรื่องธรรมมา เตือนตัวเองหรือเตือนผู้อื่น
ความสำคัญมันอยู่ที่เนื้อหาของธรรมครับ ว่ามันถูต้องเป็นเรื่องเดียวกันกับสิ่งที่เขา
กำลังสนทนากันหรือไม่ คุณก็บอกเองว่า.........
"ไม่ใช่สักแต่ว่าเห็นตามๆกัน โดยไม่รู้ว่ามีประโยชน์ มีที่มาเหตุและผลอย่างไร"

ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหล่ะ
คุณเอาธรรมเรื่องมรณานุสติมาใช้ผิดที่ผิดทาง ผิดกาลเทศะ
อีกทั้งกล่าวในเนื้อหาของธรรมผิดพลาด ชนิดที่เรียกว่า ใครรู้ใครเห็นต้องอดไม่ได้ที่จะ
แสดงความเห็นแบบผม จะบอกให้ครับว่าคุณเข้าใจผิดตรงไหน..
hiwichai เขียน:
- เมื่อใส่ใจและไม่ประมาทเวลาทำการเจริญมรณานุสติดังกล่าวบ่อย ๆ และมากพอ จิตก็จะถอนจากกิเลสความโลภ โกรธ หลง การรักตัว (มานะ) กลัวตาย(อวิชา) สละได้ซึ่งตัวตน มีนิรามิสสุข จิตสงบหลุดพ้นจากทุกข์ เข้าถึงนิพพาน ทั้งก่อนตายและเมื่อตายมาถึง [/color]

ผมยกเอาคำพูดคุณมาอ้างอิงจะได้เห็นชัดๆ กับคำว่า"กลัวตาย"และ"มรณานุสติ"
คุณเอามาพูดผิดที่ผิดทาง มันเป็นคนละเรื่อง.

สติมีไว้ระลึกรู้สิ่งที่เป็นกุศลเพื่อเอามาดับสิ่งที่เป็นอกุศล เช่นมโนทุจริต วจีทุจริตและกายทุจริต
สติหรืออนุสติมีตั้งสิบอย่าง ต้องระลึกให้ถูกกับจิตในขณะนั้น

ผมจะพูดให้ฟังแบบง่ายๆ มันมีหรือครับคนเราอยู่ดีๆจะกลัวตาย
แท้จริงแล้วคำว่าตายมันมีความหมายว่า พลัดพรากจากสิ่งที่รัก
เมื่อคนเรากลัวความพลัดพราก ความกลัวนี้มันเป็นอกุศลมันเป็นทุกข์
พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เอาสติมาดับ ความกลัวความพลัดพรากนั้น
ด้วยหลักของมรณานุสติ นั้นก็คือให้ระลึกว่า เราทุกคนต้องตายเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้
หลีกหนีไม่พ้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และกำลังหลง กำลังกลัวความพลัดพรากอยู่นี้
แท้จริงแล้วสุดท้ายมันย่อมต้องพลัดพรากด้วยความตายอยู่ดี

ดังนั้นมรณานุสติท่านให้ระลึกถึงความตายเพื่อมาดับ
ความกลัวในเรื่องความพลัดพรากจากของรักของห่วง ไม่ใช่มาระลึกถึงความตาย
เพื่อมาดับความกลัวตาย แบบนี้มันก็ไปกันใหญ่ซิครับ


คนใกล้ตายเขาให้ระลึก อุปสมานุสติ ระลึกถึงความสงบจากกิเลสและความทุกข์


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
hiwichai เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เห็นเอาโยนิโสมาพูด คุณคิดว่า มาโยนิโสเรื่องความตายเนี้ย คุณแน่ใจแล้วหรือว่า ที่พูดมามันถูกต้อง [/color]

[คำตอบ (เสริมความคิดเห็นเพิ่มเติม)
ที่ได้ผูกโยงคำว่า โยนิโสมนสิการ ในธรรมเรื่องความตาย (มรณานุสติ) นี้ ก็เพื่อช่วยเตือนผู้เขียนเองและผู้อ่านได้มีสติไตร่ตรองโดยแยบคายว่าเป็นสิ่งที่คิดพูดหรือทำว่าเหมาะสมแก่สถานะการณ์หรือสมควรจะนำมาปฏิบัติ เพื่อแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดทุกข์ได้จริงอย่างไรหรือไม่ไม่ใช่สักแต่ว่าเห็นตามๆ กันไปโดยไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือมีที่มาเหตุและผลอย่างใดบ้าง

มันไม่ผิดไม่ถูกหรอกครับ ที่คุณจะเอาเรื่องธรรมมา เตือนตัวเองหรือเตือนผู้อื่น
ความสำคัญมันอยู่ที่เนื้อหาของธรรมครับ ว่ามันถูต้องเป็นเรื่องเดียวกันกับสิ่งที่เขา
กำลังสนทนากันหรือไม่ คุณก็บอกเองว่า.........
"ไม่ใช่สักแต่ว่าเห็นตามๆกัน โดยไม่รู้ว่ามีประโยชน์ มีที่มาเหตุและผลอย่างไร"

ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหล่ะ
คุณเอาธรรมเรื่องมรณานุสติมาใช้ผิดที่ผิดทาง ผิดกาลเทศะ
อีกทั้งกล่าวในเนื้อหาของธรรมผิดพลาด ชนิดที่เรียกว่า ใครรู้ใครเห็นต้องอดไม่ได้ที่จะ
แสดงความเห็นแบบผม จะบอกให้ครับว่าคุณเข้าใจผิดตรงไหน..
hiwichai เขียน:
- เมื่อใส่ใจและไม่ประมาทเวลาทำการเจริญมรณานุสติดังกล่าวบ่อย ๆ และมากพอ จิตก็จะถอนจากกิเลสความโลภ โกรธ หลง การรักตัว (มานะ) กลัวตาย(อวิชา) สละได้ซึ่งตัวตน มีนิรามิสสุข จิตสงบหลุดพ้นจากทุกข์ เข้าถึงนิพพาน ทั้งก่อนตายและเมื่อตายมาถึง [/color]

ผมยกเอาคำพูดคุณมาอ้างอิงจะได้เห็นชัดๆ กับคำว่า"กลัวตาย"และ"มรณานุสติ"
คุณเอามาพูดผิดที่ผิดทาง มันเป็นคนละเรื่อง.

สติมีไว้ระลึกรู้สิ่งที่เป็นกุศลเพื่อเอามาดับสิ่งที่เป็นอกุศล เช่นมโนทุจริต วจีทุจริตและกายทุจริต
สติหรืออนุสติมีตั้งสิบอย่าง ต้องระลึกให้ถูกกับจิตในขณะนั้น

ผมจะพูดให้ฟังแบบง่ายๆ มันมีหรือครับคนเราอยู่ดีๆจะกลัวตาย
แท้จริงแล้วคำว่าตายมันมีความหมายว่า พลัดพรากจากสิ่งที่รัก
เมื่อคนเรากลัวความพลัดพราก ความกลัวนี้มันเป็นอกุศลมันเป็นทุกข์
พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เอาสติมาดับ ความกลัวความพลัดพรากนั้น
ด้วยหลักของมรณานุสติ นั้นก็คือให้ระลึกว่า เราทุกคนต้องตายเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้
หลีกหนีไม่พ้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และกำลังหลง กำลังกลัวความพลัดพรากอยู่นี้
แท้จริงแล้วสุดท้ายมันย่อมต้องพลัดพรากด้วยความตายอยู่ดี

ดังนั้นมรณานุสติท่านให้ระลึกถึงความตายเพื่อมาดับ
ความกลัวในเรื่องความพลัดพรากจากของรักของห่วง ไม่ใช่มาระลึกถึงความตาย
เพื่อมาดับความกลัวตาย แบบนี้มันก็ไปกันใหญ่ซิครับ


คนใกล้ตายเขาให้ระลึก อุปสมานุสติ ระลึกถึงความสงบจากกิเลสและความทุกข์
ไขปัญหาแต่เช้าเลย สาธุ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
และอีกอย่างผมบอกไม่ได้ขณะนี้ว่าการนำมรณานุสติมาช่วยแก้กิเลสที่มีอยู่ของมนุษย์ดังกล่าวจะถูกต้องหรือไม่ เพราะว่าผู้เขียนยังไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นเพียงผู้ที่กำลังสนใจศึกษาปฏิบัติอยู่เหมือนกันกับสมาชิกหลาย ๆ ท่านตามแนวที่พระพุทธองค์ทรงแนะไว้ ซึ่งยังไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ จนกว่าจะบรรลุอรหันต์ จึงจะบอกยืนยันได้ว่าถูกต้องหรือไม่จากผลของการปฏิบัติตามหลักกาลามสูตร ดังนั้นสมมุติว่าผมสามารถพูดได้ว่าถูกต้องอย่างเต็มปาก ผมก็ไม่อยากให้คุณโฮฮับหรือใครมาเชื่อผมเพราะมันไม่เป็นประโยชน์ แต่จะเป็นประโยชน์ต่อเมื่อคุณโฮฮับหรือใครก็ตามที่สามารถปฏิบัติเองและบรรลุเอง ไม่จำเป็นต้องไปถามใครหรือเสียเวลาชื่นชมหรือสงสัยว่าผู้อื่นจะพูดถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นการตั้งใจศึกษาปฏิบัติให้ถึงธรรมด้วยตนเองให้ได้สำเร็จ ในเวลามีชีวิตที่เหลือซึ่งไม่แน่ผมหรือเพื่อน ๆ แต่ละคนจะมีชีวิตอยู่อีกมากน้อยเพียงใด เราจึงไม่ควรประมาทเวลา หรือเสียเวลาละเลยทำในสิ่งที่มีแก่นสารสำคัญ สำหรับชีวิตนี้ของตนอย่างจริงจัง พยายามตั้งใจที่จะเข้าถึงธรรมด้วยการปฏิบัติตามแนวถนัดและเหมาะสมของตนเองโดยมีคำสอนทางพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นต้นเป็นแนวทางการศึกษาปฎิบัติเพื่อให้ตนได้หลุดพ้นจากทุกข์ในวัฎฎะสงสารต่อไปให้เร็วที่สุด อย่าได้ต้องทุกข์ทรมานจากการที่ต้องเกิดแก่และตายกันเนิ่นนานจนไม่รู้จบสิ้นอีกเลย

คุณไฮ้ครับ อยากแนะนำครับว่า คุณควรตั้งสติแล้วดูสิว่า ในขณะที่คุณกำลังแสดงความเห็น
ที่ผมอ้างอิงมานี้ คุณกำลังอยู่ณ.ที่ใด ที่นี้เป็นเว็บบอร์ดครับ เป็นห้องสนทนาธรรม
ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความเห็น ถึงแม้ว่าความเห็นนั้นจะเป็นไปในลักษณะแย้งหรือไม่เห็นด้วย
ถ้าคุณสังเกตุให้ดีจะมีมุมอ้างอิง เพื่อให้สมาชิกที่ไม่เห็นด้วยหรืออยากเสริม เอาไว้กดครับ

และอยากจะบอกให้ครับ การที่คุณไม่พอใจแล้วตอบกลับมาในลักษณะประชดว่า
"ไม่อยากให้ใครมาเชื่อ " ผมว่ามันคนละเรื่องครับ คุณประชดชนิดที่ไม่ตรงประเด็นครับ
การที่คุณย้อนผมว่า ไม่ต้องการให้คนมาเชื่อ มันต้องเป็นในลักษณะ
ที่คุณอวดอ้างสรรพคุณหรือบอกว่าธรรมของคุณเป็นของแท้ แล้วผมแย้งไปว่า
คุณโกหกอะไรเทือกนี้ครับ คุณถึงจะพูดประชดผมในลักษณะนี้ได้ครับ

ความเห็นคุณมันก็เป็นเพียงความเห็น และผมก็เข้าใจดีว่ามันเป็นเพียงความเห็น
ผมจึงแย้งไป มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรจนถึงขนาดต้อง ประชดว่า"ไม่ได้ให้ใครเชื่อ"
ดูแล้วมันไม่มีเหตุผลเลยครับ ถ้าไม่เห็นด้วยกับความเห็นที่ผมแย้งไป คุณก็เอาเหตุผล
เอาธรรมที่คุณเข้าใจโต้กลับมามันก็จะเป็นการเกิดประโยชน์มากกว่านะครับ


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
ประเด็นคำถาม(ความคิดเห็น) ที่ 2:
ลองคิดธรรมดาไม่ต้องโยนิโสหรอก ก็จะรู้ว่า ไม่มีใครเขากลัวตายครับ
ส่วนใหญ่เขากำลังหลงไม่ได้นึกถึงความตาย ที่เขากลัวๆกันก็คือ ทุกข์เวทนาครับ
ทุกข์จากการเจ็บไข้ได้ป่วย พูดง่ายๆ กลัวเจ็บ กลัวพิการ กลัวเป็นโรค


คำตอบ (เสริมความคิดเห็นเพิ่มเติม) - โดยแยกตอบดังนี้
- ลองคิดธรรมดาไม่ต้องโยนิโสหรอก
ผมยังเห็นว่าการศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งจำเป็นต้องใช้โยนิโสฯหรือปัญญาความคิดที่บริสุทธิ์แยบคายละเอียดรอบคอบของเราเองจึงจะสามารถเข้าถึงธรรมของพระพุทธองค์ได้ การใช้ความคิดธรรมดา ๆ หลายครั้งอาจเป็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสเดิมที่มีอยู่ในมนุษย์แต่ละคน จึงอาจทำให้ยากที่จะเข้าถึงธรรมอันละเอียดลึกซึ้งดังกล่าว เช่นเรื่องกฎไตรลักษณ์ คนส่วนใหญ่เท่าที่สังเกตเคยได้ยินได้ฟังคำนี้หลายหน แต่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำนี้เลยว่าหมายถึงอะไรแน่เพราะฟังเผินๆ มันเหมือนไปฝืนกิเลสของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการดับสูญหรือตาย จึงพยายามปิดหูเสียไม่อยากรู้อยากเข้าใจสัจจะธรรมนี้ของพระพุทธองค์

ที่ผมบอกให้คุณไฮ้ ใช้แค่ความคิดธรรมดา ไม่ต้องโยนิโส
มันก็เป็นเพราะกลัวคุณจะไม่เข้าใจเรื่องการโยนิโส และเท่าที่สังเกตุ
การให้ความเห็นของคุณแล้ว ผมสรุปเอาเองว่า คุณไม่เข้าใจเรื่องการโยนิโส
ผมเลยแนะนำให้คุณใช้ความคิดธรรมดาครับ หวังว่าคุณคงเข้าใจถ้าไม่เข้าใจ
ก็ลองดูความเห็นข้างบนที่คุณพูดเรื่องไตรลักษณ์ เรื่องธรรมละเอียดอะไรนั้นแหล่ะครับ

ผมจะบอกให้เล็กน้อยก็ได้ครับ
การโยนิโสนมัสสิการธรรม มันคือการเอาปัญญาลงไปพิจารณาธรรมครับ
ผมเห็นคุณใช้คำว่าโยนิโส มันก็แค่ผมไม่แน่ใจว่าคุณมี ปัญญาตัวนี้หรือยังครับ

hiwichai เขียน:
- ไม่มีใครเขากลัวตายครับ ส่วนใหญ่เขากำลังหลงไม่ได้นึกถึงความตาย
ในส่วนคำว่า ...ไม่มีใครเขากลัวตาย ส่วนใหญ่.... ผมเห็นว่าคำกล่าวนี้อาจมีความจริงอยู่บ้างแต่ไม่ทั้งหมด เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ปุถุชนซึ่งเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ในสังคมไทยและของโลก จะไม่กลัวตายเพราะว่ากันในเรื่องรูปขันธ์ ในแง่เซลล์ชีวิตมนุษย์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องสัญชาตญาณซึ่งปกติพฤติกรรมการเอาตัวรอดในชีวิตร่างกายของมนุษย์ปัจจุบันได้มีการเข้าใจกันในหมู่นักวิทยาศาสตร์ชีววิทยาว่าได้ถูกถ่ายทอดกันมาตามสายพันธุกรรมดีเอนเอซึ่งสามารถวิเคราะห์รหัสต่าง ๆ ที่ว่ากันว่าทำให้มนุษย์มีสัญชาตญาณปกป้องตนเองเมื่อเกิดมาแล้วรวมถึงการกินการนอนการหายใจการสืบดำรงเผ่าพันธุ์ซึ่งก็ได้จารึกอยู่ในรหัสพันธุกรรมดีเอนเอของมนุษย์ที่เกิดมาแต่ละคนแล้วด้วย

สาธยายซะยืดยาว สงสัยคุณไฮ้คงไม่เข้าใจเรื่องบัญญัติเรื่องปรมัตถ์ ไม่รู้หรอกว่าการเอาบัญญัติ
มาละเลงเยอะๆ มันจะทำให้ปรมัตถ์อารมณ์ที่แท้หายไป ธรรมที่พูดมามันเลยดูวกๆวนๆ

พูดถึงรูปขันธ์ แต่ดันไปเอาเรื่องสัญชาติญาณมาอ้าง แถมบอกด้วยว่า เป็นเรื่องสายพันธุ์
ดี เอ็น เอ
จะบอกให้ครับ สัญชาติญาณมันเป็นเรื่องของนามธรรม มันไม่ใช่รูปขันธ์ที่คุณว่า
รูปขันธ์มันเป็น รูปธรรม สัญชาติญาณของคนมันไม่เกี่ยวกับรูปธรรมหรือดีเอ็น เอ

คนเราถ้าว่าด้วยเรื่องกรรมพันธุ์ มันสืบทอดจากบุพการีได้แค่ รูปธรรมหรือร่างกาย
ส่วนนามธรรมไม่สามารถสืบทอดจากบุพการี นามขันธ์หรือจิตใครก็จิตมัน ไม่เกี่ยวกรรมพันธุ์

สัญชาติญาณมันเป็นเรื่องของ อนุสัยที่สืบเนื่องมาจากภพชาติที่แล้ว


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
- ไม่มีใครเขากลัวตายครับ ส่วนใหญ่เขากำลังหลงไม่ได้นึกถึงความตาย
ในส่วนคำว่า ...ไม่มีใครเขากลัวตาย ส่วนใหญ่....จะเห็นตัวอย่างง่ายได้เช่นคนที่เคยพบเห็นอันตรายจากการถูกฟ้าผ่าตาย เมื่อเกิดฝนตกฟ้าแลบฟ้าผ่าที่กลางทุ่ง ตามสัญชาตญานในการเอาตัวรอดของเขา เขาจะพยายามหลบไปหาที่ปลอดภัยเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกฟ้าผ่าตาย เป็นต้น ส่วนใน

คุณเนี้ยบอกแล้วว่าเอาบัญญัติมาละเลง ทำให้หลงปรมัตถ์
ไอ้สัญชาติญาณที่คุณพูดถึง มันเป็นอนุสัย (มีอะไรบ้างไปหาดูเองไม่อยากพูดเดียวยิ่งหลง)
เรื่องการกลัวฟ้าผ่าหรือกลัวอะไรเนี้ย มันเป็นการจำมาจากสัญญา เขาไม่เรียก สัญชาติญาณ

สัญชาติญาณของคนตัวอย่างคือ การสืบพันธุ์เพื่อดำรงค์เผ่าพันธุ์
หิวก็ต้องกิน เจ็บก็ร้องฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากอนุสัย ที่ส่งผลมายังภพปัจจุบัน

เด็กเล็กชอบเอานิ้วไปแหย่รูที่เป็นขั้วไฟฟ้า เพราะไม่รู้ว่ามันอันตราย
เมื่อโดนครั้งแรกถ้าตายก็ตายไป แต่ถ้าไม่ตาย เด็กก็จะไม่กล้าแหย่รูที่เป็นขั้วไฟฟ้าอีก
เพราะรู้หรือจำได้ว่า มันทำให้เจ็บปวด ดูจากกรณีนี้เด็กกลัวตายหรือกลัวเจ็บ
ความกลัวของคนหรือมนุษย์ มันเกิดจากสัญญาหรือความจำ
นั้นก็คือสิ่งนั้นเคยเกิดกับตนมาแล้ว แล้วมาบอกว่ากลัวตาย ความตายเป็นไง
เจ้าตัวก็ไม่เคยประสบ สัญญาความจำในเรื่องนี้ก็ไม่มี ไอ้ที่ว่ากลัวๆมันกลัว
สัญญาที่ได้รับฟังมาจากคนอื่น มันเป็นการปรุงแต่ง มันไม่ใช่สติ


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
แง่มุมทางด้านนามขันธ์ตามหลักพระพุทธศาสนา สำหรับปุถุชนแล้วส่วนใหญ่มักยังติดอยู่ในโลกธรรม ด้านภาวะตัณหาหรือความอยากมี 4 อย่างได้แก่ความอยากใน ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ การตายทำให้เขากลัวว่าจะสูญเสียสิ่งที่เป็นความอยาก (กิเลส)ของเขาที่เขาได้มีครอบครองอยู่ขณะนี้หรือจะมีในอนาคตซึ่งสามารถสนองความต้องการตามกิเลสดังกล่าวของเขาได้

การพูดธรรมต้องพูดตามเหตุผลที่เรียกว่าเหตุปัจจัย กรรมหนึ่งก็มีผลหนึ่ง
ไม่ใช่กรรมหลายกรรมมีผลแค่หนึ่ง มันผิดหลักความจริง แบบนี้ไม่เรียกพิจารณาธรรม
แต่มันเป็นการจินตนาการธรรมครับใช้ไม่ได้

ในกรณีของคุณต้องแยกแยะให้ดีครับ ความกลัวมันเป็นผล และเหตุที่ทำให้กลัว
ก็คือการสูญเสียสิ่งของครับ ส่วนเรื่องความตายมันเป็นเหตุของการสูญเสียสิ่งของ
กรุณาไล่หาเหตุหาปัจจัยให้ดีก่อนซิครับแล้วค่อยแสดงความเห็น

hiwichai เขียน:
ลองนึกภาพคนที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึง 30 วันด้วยโรคร้ายแรง แต่บังเอิญซื้อหวยไว้แล้วถูกหวยรางวัลที่ 1 ในวันรุ่งขึ้นได้รับรางวัล 30 ล้านบาท มีข้อน่าสนใจว่าในใจจริงของปุถุชนผู้นี้ว่าเขาอยากจะอยู่หรืออยากจะตาย

คุณไฮ้พูดธรรมตลกดีครับ พูดเองเออเอง เหมือนกำลังจินตนาการนวนิยายสักเรื่อง
เรื่องนี้มันต้องดูตามความเป็นจริง ไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ ไม่ใช่พูดเป็นสตอรีบอร์ด
เอาโน้นมาแปะนี้ หาเหตุหาผลไม่เจอ

คนเขารู้ว่ากำลังจะตาย ต่อมาภายหลังรู้ว่าจะถูกหวย30ล้าน คุณคิดว่าเขาจะดีใจหรือครับ
ถ้าเป็นแบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่าคุณไปเอาเรื่องมรณานุสติมาพูดทำไม
สงสัยที่พูดมาก็พูดเรื่อยเปื้อยไปงั้นเอง


ที่ถามว่าถ้าเขาถูกหวยเขาอยากอยู่หรืออยากตาย คุณถามแบบนี้ แล้วเอาเรื่องที่เขา
เป็นโรคร้ายไปทิ้งไว้ไหนครับ ลืมเรื่องที่ต้องทนทุกข์ทรมาณกับโรคร้ายแล้วหรือ
คุณว่าถ้าเขากำลังทุลนทุลายกับอาการปวด เขาจะยังอยากได้ใคร่ดี
กับเงินนั้นหรือครับ พุทโธ่!พูดธรรมไม่ดูปรมัตถ์ เอาบัญญัติมาต่อเติมเสริมแต่ง
จนเป็นนวนิยายไปได้


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


มรณนุสติระลึกถึงความตายอันจะต้องมีมาถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาให้เกิดความไม่ประมาท

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
ส่วนที่กล่าวว่าส่วนใหญ่เขากำลังหลงไม่ได้นึกถึงความตาย อันนี้เห็นด้วยครับ เพราะปุถุชนมักลืมไปว่าทุกวันเวลาที่ผ่านไปเขากำลังเดินไปสู่ความตายอย่างช้า ๆ ตามกำหนดเวลาอายุขัยของร่างกายและผลของบุญกรรมที่ทำมา ซึ่งไม่แน่นอนว่าเมื่อไหร่ จึงมักประมาทไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับมือกับธรรมชาติที่ว่าทุกคนต้องตาย โดยพยายามให้เรื่องตายเป็นสิ่งอัปมงคลไม่ควรนำมาพูดถึงให้เสียบรรยากาศในการดำรงชีวิตที่กำลังแสวงหาความสุขความเจริญสนุกสนานกันทางโลก อยู่ จึงยังรักตัวกลัวตายเพราะความหลงนี้ไม่ยอมรับสัจจะธรรมในเรื่องความตายที่อย่างไรเสียก็ต้องตายกันทุกคนดังกล่าว การที่ได้มีเวลาฝึกหัดมรณานุสติของพระพุทธเจ้าจึงเท่ากับเป็นการต้านความประมาทความหลงนี้ได้อย่างดี และเป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่น่าจะสามารถเอาชนะความกลัวตายเมื่อถึงคราวจะตายได้เพราะได้ทำใจให้คุ้นชินหรือเห็นสัจจะธรรมนี้ได้ก่อนหน้าไว้แล้ว จึงทำให้สามารถปล่อยวางจิตและเป็นวิธีหนึ่งที่ครูบาอาจารย์มักสอนว่าจะทำให้จิตว่างเข้าถึงธรรมได้ง่ายด้วย

ที่ผมบอกว่าเขากำลังหลง เป็นเพราะเขาไม่ได้นึกถึงเรื่องมรณานุสติ และเหตุที่เขาไม่ได้นึกถึง
มรณานุสติก็เพราะเขารู้ว่าความตายมีแน่ แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไรและจะเป็นเมื่อใด

ที่สำคัญไม่มีใครยอมรับหรอกว่ากำลังจะตาย ต่อให้หัวใจกำลังจะวาย
เจ้าตัวก็ต้องคิดว่า เดี๋ยวต้องทรมาณเพราะความปวดหรือหายใจไม่ออก
หรือไม่ก็กำลังตกมาจากตึกยี่สิบ สามสิบชั้นใจก็นึกคิดไปว่า ตัวจะกระแทกพื้น
จะต้องเจ็บปวด
เพราะอะไรจึงเป็นแบบนี้ ก็เพราะความคิดความปรุงแต่ง
มันมีเหตปัจจัยมาจาก สัญญาความจำได้หมายรู้ ตัวเองเคยประสบความเจ็บปวดมา
จึงจำแต่ความเจ็บปวด ส่วนความตายไม่มีในสัญญาจึงไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร
ถึงได้บอกว่าเขากลัวความเจ็บปวด ไม่ใช่กลัวตาย
และอีกกรณีก็คือความพลัดพราก เนื่องจากไปได้รับสัญญามาจาก ความตายของคนอื่น
นั้นก็คือรู้ว่าจะไม่ได้พบกับบุคคลนั้นแล้ว สัญญาความจำมันก็คือความพลัดพราก
ไม่ใช่ความตาย แล้วคุณจะบอกได้ไงว่า"กลัวตาย"


เรื่องมรณานุสติ เป็นเรื่องของการระลึกถึงการจากไปที่ไม่สามารถ นำทรัพย์สมบัติอะไรไปได้
และการพลัดพรากจากกัน ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องของโลภ โกรธและหลง
แม้วันนี้เรายังไม่ตาย ยังห่วงแหน่หรืออาลัยอาวรณ์ สักวันมันก็ต้องพบเข้าอย่างหลีกหนีไม่พ้น
ไม่ใช่ใครมันกลัวตายแล้วไประลึกถึงความตาย มันคนละเรื่อง

เรื่องความประมาทก็เช่นกัน ท่านไม่ได้หมายถึงระลึกแล้วยอมรับความตาย
ท่านไม่ให้ประมาท ระลึกถึงมรณานุสติไว้ว่า ความตายจริงแท้แน่นอน จะช้าเร็วไม่รู้
จึงควรเร่งปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 15:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
- ที่เขากลัวๆกันก็คือ ทุกข์เวทนาครับ ทุกข์จากการเจ็บไข้ได้ป่วย พูดง่ายๆ กลัวเจ็บ กลัวพิการ กลัวเป็นโรค
คุณลองไปถาม คนอกหัก คนเป็นโรคมะเร็ง หรือได้รับอุบัติเหตุจนพิการ
ความปรารถนาของเขาอันดับแรกคือ เขาอยากตายครับ

ผมเห็นด้วยเพียงบางส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยมีเหตุผลว่า การที่คนอกหัก เป็นโรคมะเร็ง หรือประสบอุบัติเหตุจน
พิการ เขาเหล่านี้อาจได้รับความทุกข์ทางกายและทางใจที่ได้ผูกไว้ด้วย แต่ถ้าเขาผู้นั้นสามารถฝึกจิต ปล่อยวางจิตหรือแยกจิตออกจากกายได้ด้วยการฝึกสมาธิอย่างดีมาแล้ว ก็อาจไม่ต้องเป็นทุกข็ใจ หรือบางครั้งสามารถใช้พลังจิตที่มีพลังเบี่ยงเบนไม่ให้เกิดความเจ็บปวดทางใจ และสามารถกระทั่งใช้กระแสจิตที่สงบเย็นแผ่ไปให้กับกายให้ได้รับความเจ็บปวดน้อยลงหรือไม่เจ็บปวดเลยเหมือนดั่งเป็นยาชาก็เป็นไปได้ตามการบอกเล่าจากปากของผู้ป่วยที่เคยอยู่ในขั้นโคม่าที่ต้องถูกดามเหล็กทั้งตัวจากอุบัติเหตุรถยนต์ที่เคยออกอากาศสัมภาษณ์ทางทีวีครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน สำหรับผู้ที่ไม่เคยเตรียมตัวหรือไม่รู้จักวิธีฝึกจิตภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อถึงช่วงเกิดวิกฤตในชีวิตดังกล่าวจึงมักจะทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดทางกายและใจดังกล่าวไม่ไหวและเห็นว่าการตายน่าจะเป็นทางออก แม้ในใจลึก ๆ เขาจะไม่อยากตายก็ตาม ที่บ่นอยากตายนั้นก็เพราะต้องการหนีความเจ็บปวดทางกายและใจ ไม่ใช่ต้องการตายหากมีทางเลือกที่ดีกว่าเช่นสามารถหายาดีมารักษาทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดต่อกายหรือใจก็อาจจะขอรักษาตัวไปจนหายไม่อยากตายก็เป็นไปได้

หวังว่าคุณโฮฮับคงเข้าใจเพิ่มขึ้นนะครับ และอย่าลืมพากันฝึกปฏิบัติมรณะนุสติไว้มาก ๆ เพราะพระพุทธองค์แนะว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการบรรลุธรรมได้เป็นอย่างดีทางหนึ่ง ลองดูนะครับ

ก็เป็นซะแบบนี้ พูดธรรมแบบเออเองหรือไม่ก็ไปไหนมาสามวาสองศอก
พูดกันเรื่องกลัวตายกลัวเจ็บดันเป๋ไปเรื่องฝึกจิตภาวนา
คุณไฮ้ครับผมว่าคุณตั้งสติให้ดีก่อนดีกว่าครับ สาเหตุที่ทำให้คุณเป๋ไปเป๋มาอาจเป็นเพราะ
คุณแสดงความเห็นที่มันมีแต่น้ำ เอาอะไรต่อมิอะไรมาใส่ซะจนคุณตาลายซะเองครับ

ไม่เป็นไรนะครับ ผมจะค่อยตอบความเห็นคุณครับ


โพสต์ เมื่อ: 03 ก.ค. 2012, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
คุยกันหลังวัด:
ได้เห็นชื่อคุณโฮฮับในกระดานสนทนามาหลายหนแล้วคิดว่าหลายคนที่ยังไม่รู้รวมทั้งตัวผม คงจะรู้สึกเหมือนกันว่าชื่อคุณโฮฮับนี่เค้าหมายถึงอะไรน้อ เพราะชื่อแปลกดีไม่ค่อยเหมือนใคร จึงขออนุญาตถามชื่อที่ตั้งนี้ว่ามีที่มาอย่างไรช่วยเล่าสู่กันฟังก็ดีนะครับถ้าไม่เป็นการละลาบละล้วงเกินไป ส่วนผมนั้นมีฉายาชื่อเล่นว่า Soduku มีที่มาจากชื่อเกมตัวเลขของนักคณิตศาสตร์ยุโรปผู้หนึ่งที่ได้คิดค้นขึ้น เป็นเกมที่ผมประทับใจเพราะรู้สึกว่ามันแฝงข้อธรรมะที่เราสามารถสัมผัสได้ทางปฏิบัติในมิติของธรรมชาติที่แสดงออกในรูปแบบของตัวเลข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิริยะ จิตตะ หลักอิทัปปัจจยตาต่าง ๆ ซึ่งสามารถลองสัมผัสเกมนี้ได้ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ หรือ เข้าค้นในเวป googles ดูนะครับ

ถ้าเป็นสมัยวัยรุ่น ลองมาชวนผมไปคุยหลังวัด แบบนี่เป็นเรื่องแน่ครับ
คำพูดแบบนี่เป็นคำพูด เด็กผู้ชายที่เรียนโรงเรียนวัดในกรุงเทพครับ
ลูกผู้ชายที่เขามีปัญหากันครับ เขาจะแก้ปัญหา
ด้วยวิธีชวนกันว่าเดี๋ยวเย็นนี้ไปคุยกันหลังวัด

คุณไฮ้นี่แปลกคนนะครับ เขามาห้องสนทนาธรรมแทนที่จะสนใจเรื่องธรรม
กับไปสนใจอะไรที่มันไร้สาระ แถมมาชวนไปเล่นเกม ถ้าจะว่างมากนะครับ
hiwichai เขียน:
มีอย่างหนึ่ง ความจริงก็ไม่อยากจะแนะนำอะไรเพิ่มเติมแก่คุณโฮฮับ เพราะก่อนหน้าสมัยรุ่น ๆ ผมเองก็อาจมีพฤติกรรมคล้าย ๆ กับคุณโฮฮับ แต่คิดว่าน่าจะเป็นกระจกสะท้อนตนที่เป็นประโยชน์แก่คุณโฮฮับซึ่งผมถือว่าเป็นเพื่อนกัลยามิตรของผมคนหนึ่ง จึงขออนุญาตคุณโฮฮับ ช่วยลองพิจารณาข้อแนะของผมดูด้วยนะครับว่าจะดีไหมหากจะสนทนาธรรมโดยช่วยกันปรับเปลี่ยนแนวหรือลดโทนความเข้ม (หรือถ้าเป็นภาษาลูกทุ่งวัยรุ่นอาจใช้คำว่า กร่าง)ในเรื่องถ้อยคำภาษาที่พูดที่เขียนสักหน่อย เพราะผู้อื่นที่เข้ามาร่วมสนทนา หรือมาใหม่ในกระดานโดยเฉพาะผู้ที่มีใจบริสุทธิเพิ่งได้สัมผัสกับธรรมหรือเด็ก ๆ วัยใส ๆ ที่เข้ามาดูมาอ่านมักคาดว่าผู้ที่อยู่ในกระดานเวปธรรมมะส่วนใหญ่จะมีจิตใจดี มีศีลมีธรรม มีวาจาสุภาพเอื้อเฟื้อเกื้อกูล สนทนาข้อธรรมด้วยกันอย่างเมตตาเผื่อแผ่ ไม่ใช่เวปพวกเด็กห่ามเด็กแว้น (ซึ่งที่จริงเด็กแว้นหลายคนก็มีจิตใจที่ดีบริสุทธิ์รักพวกพ้องเพื่อนฝูงจริงใจ ไม่ใช่เป็นคนไม่ดี เพียงแต่อาจไม่รู้จักนึกถึงผลกระทบของการกระทำของเขาที่อาจมีต่อส่วนรวมได้ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างไรบ้าง คือคิดได้น้อยไปหน่อยไปเน้นเอาความอยากความต้องการของตนเองส่วนใหญ่ใครจะเป็นอะไรไม่ค่อยไปสนใจมาก ซึ่งก็ทำให้ครอบครัวของเขาเองได้รับความเดือดร้อนรวมทั้งเป็นที่รังเกียจของสังคมส่วนใหญ่ที่ได้รับการรบกวนอยู่ในขณะนี้)

สงสัยคุณถ้าจะไม่เข้าใจ คงหลงคิดไปว่าห้องนี้เป็นห้อง"สนทนาภาษาผู้ดี"มั้งครับ
หลักการของผม การสนทนาธรรมต้องปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย การสนทนาแต่ละครั้ง
มันต้องได้ธรรมกลับไปด้วย ไม่ใช่ได้แต่ความหลง ความเคลิบเคลิ้ม ยิ้มแฉ่งแล้วไปนอนฝันหวาน
มันก็แค่ต่างคน ต่างระมัดระวังให้มีสติมีสมาธิกับเนื้อหาในธรรม การแสดงความเห็นจะได้ไม่หลง
ดูซิว่าประเด็นเนื้อหามันอยู่ตรงไหน อ่านหรือฟังความเห็นใครจะได้แตกฉาน
ไม่ใช่พูดไพเราะ แต่หาเนื้อหาธรรมไม่ได้ เห็นแต่น้ำท่วมทุ่ง

สำหรับคุณไฮ้ คุณเข้ามาไม่ได้จะมาหาความรู้ในทางธรรม คุณหวังเพียง
อยากได้รับคำชมว่าฉันดีเลิศประเสริญศรี ฉันสนใจธรรมะ ฉันเป็นคนดีเพราะฉันพูดจาไพเราะ
หัดเข้าใจธรรมะให้ดีกว่านี้หน่อยนะครับคุณไฮ้ การปฏิบัติธรรมเขาปฏิบัติเพื่อ ลดความอยากได้ใคร่ดี

สงสัยคุณจะใช้คำว่ากร่าง ผิดที่ผิดคนแล้วครับ ในหมู่วัยรุ่นถ้าใครพูดจาแบบผม
ใช่ครับเขาเรียกว่ากร่าง แต่ในห้องสนทนาธรรมการกระทำแบบผมไม่ใช่ครับ
อาการกร่างในห้องสนทนาธรรม มันเป็นเป็นแบบนี้ครับ
คือคิดว่าตัวเองต้องพูดจาเพราะๆเพื่อให้ดูดีกว่าคนอื่น แสร้งพูดจาวาดมาดเป็นผู้ทรงภูมิ
ทั้งๆที่ไม่ได้เข้าใจในธรรมเลย เสแสร้งว่าเป็นคนดีให้อภัยคนอื่น แต่ซ่อนวาจาที่เสียดสีไว้
สรุปคือแยกไม่ออกว่า อันไหนเป็นกุศล อันไหนเป็นอกุศลแบบนี้เขาเรียกว่ากร่างครับ


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.ค. 2012, 07:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
hiwichai เขียน:

มีอย่างหนึ่ง ความจริงก็ไม่อยากจะแนะนำอะไรเพิ่มเติมแก่คุณโฮฮับ เพราะก่อนหน้าสมัยรุ่น ๆ ผมเองก็อาจมีพฤติกรรมคล้าย ๆ กับคุณโฮฮับ แต่คิดว่าน่าจะเป็นกระจกสะท้อนตนที่เป็นประโยชน์แก่คุณโฮฮับซึ่งผมถือว่าเป็นเพื่อนกัลยามิตรของผมคนหนึ่ง จึงขออนุญาตคุณโฮฮับ ช่วยลองพิจารณาข้อแนะของผมดูด้วยนะครับว่าจะดีไหมหากจะสนทนาธรรมโดยช่วยกันปรับเปลี่ยนแนวหรือลดโทนความเข้ม (หรือถ้าเป็นภาษาลูกทุ่งวัยรุ่นอาจใช้คำว่า กร่าง)ในเรื่องถ้อยคำภาษาที่พูดที่เขียนสักหน่อย เพราะผู้อื่นที่เข้ามาร่วมสนทนา หรือมาใหม่ในกระดานโดยเฉพาะผู้ที่มีใจบริสุทธิเพิ่งได้สัมผัสกับธรรมหรือเด็ก ๆ วัยใส ๆ ที่เข้ามาดูมาอ่านมักคาดว่าผู้ที่อยู่ในกระดานเวปธรรมมะส่วนใหญ่จะมีจิตใจดี มีศีลมีธรรม มีวาจาสุภาพเอื้อเฟื้อเกื้อกูล สนทนาข้อธรรมด้วยกันอย่างเมตตาเผื่อแผ่ ไม่ใช่เวปพวกเด็กห่ามเด็กแว้น (ซึ่งที่จริงเด็กแว้นหลายคนก็มีจิตใจที่ดีบริสุทธิ์รักพวกพ้องเพื่อนฝูงจริงใจ ไม่ใช่เป็นคนไม่ดี เพียงแต่อาจไม่รู้จักนึกถึงผลกระทบของการกระทำของเขาที่อาจมีต่อส่วนรวมได้ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างไรบ้าง คือคิดได้น้อยไปหน่อยไปเน้นเอาความอยากความต้องการของตนเองส่วนใหญ่ใครจะเป็นอะไรไม่ค่อยไปสนใจมาก ซึ่งก็ทำให้ครอบครัวของเขาเองได้รับความเดือดร้อนรวมทั้งเป็นที่รังเกียจของสังคมส่วนใหญ่ที่ได้รับการรบกวนอยู่ในขณะนี้)
:b8: :b8:
เป็นกำลังใจให้คุณนะครับคุณhiwichai
:b4: :b4:
ตอนเป็นนักศึกษาเคยได้พบกับการต้อนรับน้องใหม่ไหมครับ......ทั้งหมดที่คุณได้รับเป็นพิธีต้อนรับน้องใหม่ ใครเข้ามาในลานธรรมจักรแห่งนี้ ต้องเจอกับรุ่นพี่เขามาทดสอบ ถ้าสอบผ่านก็อยู่ได้นาน ถ้าสอบไม่ผ่าน คือ ขันติ ตบะ วิริยะ สติ ปัญญาไม่เข้มแข็งพอก็ต้องบายกันไป เก่งไม่พอ ทนไม่ได้ ก็ต้องท้อใจถอยไปอีกนาน ตัวอย่างที่เห็นกันเมื่อเร็วๆนี้ก็อย่างเช่นคุณ ไม่เที่ยง-เกิดดับ หายลับกันไปเลย ตอนนี้คุณbigtoo และคุณ hiwichai และน้องใหม่อีกหลายคนกำลังเจออยู่ไงครับ
:b12: :b12:
อดทนแล้วก็สู้ ๆ นะครับ พวกพี่ๆเขาปากร้ายแต่ใจดีกันทั้งนั้นแหละครับ เพราะยังไงก็ต้องถือว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน...คือเป็นลูกหลานของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
:b20:


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.ค. 2012, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ขนาดเจอพี่โฮฮับ ยังเป็นขนาดนี้..ถ้าเจอจ่าศรี..ท่านไฮ้คงไม่เหลือ.. ขันติ วิริยะ ตบะ.. แตกแน่ :b32:
ลองประเมิณดูดิ :b13:
sriariya เขียน:
กระทู้เรื่องนี้ ได้ถูกพวกเดียรถีย์ หรือพวกตัวเป็นมนุษย์แต่สภาพจิตใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน เหตุเพราะศีลธรรมทางศาสนา ไม่สามารถเข้าถึงจิตใจและสมองของเขา ได้เข้ามาก่อกวน พล่ามเพ้อเจ้อ อันเป้นเหตุให้เกิดความรำคาญและอนาถใจสมเพชเวทนาในตัวเขาผู้นั้น ทำให้เสียอรรถรสในการอ่านหลักธรรมทั้งหลายไปสิ้น

ใครอยากรู้ว่า มีตบะ มีขันติ วิริยะ ปัญญาแกร่งกล้า ไปคุยกับจ่าศรีดูดิ :b13:


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.ค. 2012, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b27:

:b4: :b4:
ตอนเป็นนักศึกษาเคยได้พบกับการต้อนรับน้องใหม่ไหมครับ......ทั้งหมดที่คุณได้รับเป็นพิธีต้อนรับน้องใหม่ ใครเข้ามาในลานธรรมจักรแห่งนี้ ต้องเจอกับรุ่นพี่เขามาทดสอบ ถ้าสอบผ่านก็อยู่ได้นาน ถ้าสอบไม่ผ่าน คือ ขันติ ตบะ วิริยะ สติ ปัญญาไม่เข้มแข็งพอก็ต้องบายกันไป เก่งไม่พอ ทนไม่ได้ ก็ต้องท้อใจถอยไปอีกนาน ตัวอย่างที่เห็นกันเมื่อเร็วๆนี้ก็อย่างเช่นคุณ ไม่เที่ยง-เกิดดับ หายลับกันไปเลย ตอนนี้คุณbigtoo และคุณ hiwichai และน้องใหม่อีกหลายคนกำลังเจออยู่ไงครับ
:b12: :b12:
อดทนแล้วก็สู้ ๆ นะครับ พวกพี่ๆเขาปากร้ายแต่ใจดีกันทั้งนั้นแหละครับ เพราะยังไงก็ต้องถือว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน...คือเป็นลูกหลานของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
:b20:
bigtoo เห็นมีประโยชน์นะ ทั้งคำหวาน ทั้งคำโหด เราไม่รู้หรอกว่าใจเขานะคิดอย่างไร
แต่เราจะรู้ใจเราว่า คำหวานและคำโหด อะไรเกิดกับใจเรา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.ค. 2012, 20:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b27:
อดทนแล้วก็สู้ ๆ นะครับ พวกพี่ๆเขาปากร้ายแต่ใจดีกันทั้งนั้นแหละครับ เพราะยังไงก็ต้องถือว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน...คือเป็นลูกหลานของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
:b20:


ไม่รู้ใครพี่ใครน้อง.... :b32:

ดูท่าว่า..ผู้มาทีหลังจะเป็นพี่...นะ s002

และการที่ใครจะหายไป...ก็ไม่ได้หมายความว่า...ความขันติธรรมของท่านเหล่านั้นเขาจะน้อยไปหรอก...อาจจะยุ่งกับงานฆ่ากิเลสของตัวเองก็ได้....

ไม่เหมือน..เรา..เรา.. :b32: ...สิงสถิตย์อยู่ที่หน้าจอวันละหลายชั่วโมง....งานมีก็ไม่ทำ....

เอิ๊ก...เอิ๊ก....เอิ๊ก... :b34: :b34:


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.ค. 2012, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b27:
อดทนแล้วก็สู้ ๆ นะครับ พวกพี่ๆเขาปากร้ายแต่ใจดีกันทั้งนั้นแหละครับ เพราะยังไงก็ต้องถือว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน...คือเป็นลูกหลานของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
:b20:


ไม่รู้ใครพี่ใครน้อง.... :b32:

ดูท่าว่า..ผู้มาทีหลังจะเป็นพี่...นะ s002

และการที่ใครจะหายไป...ก็ไม่ได้หมายความว่า...ความขันติธรรมของท่านเหล่านั้นเขาจะน้อยไปหรอก...อาจจะยุ่งกับงานฆ่ากิเลสของตัวเองก็ได้....

ไม่เหมือน..เรา..เรา.. :b32: ...สิงสถิตย์อยู่ที่หน้าจอวันละหลายชั่วโมง....งานมีก็ไม่ทำ....

เอิ๊ก...เอิ๊ก....เอิ๊ก... :b34: :b34:

แบบนี้ ท่านกบนอกกะลา คงได้โล่เกียติยศ งานมีก็ไม่ทำ มีเวลามาสิงสถิตหน้าจอ จนเป็นสมาชิกไร้ระดับโดยสร้างสถิติปี 2009 ไร้เทียมทาน นับถือๆ คงไม่มีผู้ใดทำลายสถิติท่านใดหรอกนะท่านกบ :b13: :b53:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร