วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 10:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ถ้าน้องไปยึดติดคำว่า พ่อ กับแม่มากเกินไป เอนเอียง มีอคติ ฉันทาคติ โทสาคติมากเกินไป ย่อมจะทำให้เกิดการบิดเบือนธรม ตัวอย่างเช่น
ถ้ามีเรื่องที่เราจะต้องพูดถึงสัตว์อื่นอย่างเช่น หมู หมา เป็ด ไก่ วัว ควาย ถ้าจะพูดถึงผู้ให้กำเนิดของสัตว์เหล่านั้น น้องจะพูดว่าอย่างไร? มีศัพท์บัญญัติพิเศษแยกระหว่างคนกับสัตว์ไว้หรือเปล่าครับ อย่างเช่นคำว่า "พ่อพันธ์หมา แม่พันธ์หมา" ... น้องคงจะหาคำอะไรมาแทนได้ดีกว่านี้กรุณาแนะนำสั่งสอนด้วยนะครับ มิฉะนั้นคำที่น้องคงกล่าวว่า ......"สติปัญญาแบบนี้มันก็ปุถุชน..ดี..ดี นี่เอง.".......มันก็คงจะกลับมาเป็นของน้องคงอยู่ดีนะครับ

อโสกะแน่ใจว่าสติปัญญา อโสกะ กับ สติปัญญาของคุนน้อง จิตใครหยาบ จิตใครละเอียด จะเอาบทความที่คุนน้องแสดงความเห็นทางธรรมให้ชี้แจงให้อโสกะดูว่า อารมณือันเป็นโสภนเจตสิกเป็นอยางไร
อ้างคำพูด:
ในเมื่อพญามารกล่าวทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามมารว่า

ดูก่อน มารผู้มีใจบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยอยู่เถิด
๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ได้รับการแนะนำ
ยังไม่แกล้วกล้า ยังไม่เป็นพหูสูต ยังไม่ทรงธรรม เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๒. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่ปฏิบัติธรรมเสมอสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๓. ภิกษุเป็นต้นนั้น เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนกแจกแจง อธิบายธรรมให้ง่ายยังไม่ได้ เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๔. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ (แสดงธรรมให้เกิดผลมหัศจรรย์)
ข่มขี่ปรัปวาท (การว่าร้าย จ้วงจาบพระธรรมวินัย)ที่เกิดขึ้นให้ราบคาบโดยถูกต้องตามธรรม
เราตถาคตจะยังไม่ปรินิพพาน
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
จุดประทีปให้สว่างในที่มืด นั่นก็หมายถึงว่าจะไม่มีอะไรที่จะทรงสั่งสอนอีกต่อไป ท่านจึงรับอาราธนาจากพญามารเพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

รู้ไหมพระสูตรที่ท่านอโสกะหยิบยกมากล่าวอ้างนี่แปลความหมายในพระสูตรนี้ได้ไหม รู้ไหมทำไมพระพุทธองค์ถึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั่นเห็นเราตถาคตเพราะคนที่เห็นธรรมก็คือเราในตถาคต แล้ว พญามาร ของเราเป็นใคร พญามารก็คือ กิเลศ สิ่งที่ขัดขวางความดี ดับขันธ์ปรินิพพาน คือ ผู้ที่จะไม่กลับมาเกิด
แล้วพระพุทธองค์จะใช้คำแทนความเป็นสัมพัญญูด้วย เราตถาคต เพื่อให้ผู้มีปัญญาเข้าถึงแก่นธรรมของพระพุทธองค์
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
อันนี้หมายถึง เราในตถาคต คือคนที่เห็นธรรม เราก็จะหลุดพ้นอุ้งมือพญามาร ดับขันปรินิพพานเช่นกัน
คุนน้องหมดความสงสัยในธรรมของพระพุทธองค์แล้ว คุนน้องไม่ได้จำธรรมของพระพุทธองค์แบบอ่านแล้วท่องจำ วิเคาะห์ แต่คุนน้องใช้ปัญญาพิจารณาธรรมของพระพุทธองค์

ถ้าคนเราจะหนีกรรมตอนช่วงสุดท้ายของชีวิตได้ เราคิดว่ามีทางเดียวน่ะ
คือการทำจิตของคนเราให้เป็นสมาธิ เพื่อที่จิตของคนเรามีพลัง
เราก็ไม่รู้ว่าเราคิดแบบนี้ถูกปล่าวน่ะค่ะ

คำถามนี้น่าสนใจ คุนน้องขอแสดงความเห็นในส่วนนี้
ที่บอกว่าคนเรานั้นจะหนีกรรม มันหนีไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะกรรมคือการกระทำของเราเอง..ถ้าเราทำดีจิตเราก็เป็นกุศล นึกคิดอะไรก็เป็นเรื่องกุศล..ส่วนคนที่ชอบทำความชั่ว..จิตเค้ามักจะเป็นอกุศล..นึกคิดอะไรก็อกุศล
เพราะฉะนั้น..คุนน้องถึงบอกว่าเราต้องหมั่นสร้างบุญ สร้างกุศลเสียก่อน บารมี10ทัศสำคัญนะเจ้าค่ะ เพื่อละทิ้งความชั่วหรืออกุศลจิตออกไป..เหลือแต่จิตที่เป็นกุศล..เมื่อเวลาเราใกล้ตาย..จิตเราก็จะเป็นกุศล.และก็จะมีกำลังพอที่จะมีสมาธิหลับไปโดยสงบ...แต่ก็มีบางคนใจบุญใจกุศล..แต่พอใกล้จะตายยังห่วงนั่น ห่วงนี่ อันนี้ก็ไม่ดีเพราะจิตจะวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เราผูกพันธ์ อย่างบางคนก็ห่วงทรัพสมบัติ ไม่ยอมปล่อยวาง..บางคนก็ห่วงลูก..ห่วงหลาน ก็ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นได้ จิตวนเวียนอยู่กับสิ่งใดมักจะไปจุติกับสิ่งนั้น.ภพนั้น.
เวลาคุนน้องอธิบายธรรม มีอารมณ์ไหนที่ข้อความไม่มีสัมมาวาจา อยู่ในอารมณ์โสภนเจตสิกล้วนๆ อโสกะ จะบอกให้ :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 10:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
อีกอย่าง อาจเป็นเพราะผมค่อนข้างเป็นห่วงเรื่อง บรรยากาศการสนทนาที่ดีให้เกิดขึ้นในลานธรรมแห่งนี้ที่ผมมีส่วนเป็นสมาชิกกับเพื่อนกัลยาณมิตรอื่น ๆ ได้เกิดความรู้สึกอยากเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นและเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์เข้ามามากขึ้น ซึ่งผมคิดว่ามีทั้งภิกษุ ภิกษุณี ชี เณร อุบาสก อุบาสิกา และผู้ที่ใฝ่ธรรมะทั้งหลายโดยเฉพาะเยาวชนที่ต้องรับภาระสืบทอดหลักธรรมของพระพุทธศาสนาในอนาคตต่อไป
ดังนั้น การพูดจาสนทนากันที่ดีควรมีหลักยึดที่ดีเอาไว้ไม่ใช่ว่าผู้ใดอยากจะแสดงความเห็นใดหรือพูดอะไรก็ได้ตามใจตนซึ่งก็จะทำให้ทำลายบรรยากาศที่ดีไปได้

ที่บอกว่าเป็นห่วงบรรยากาศการสนทนา หรือว่าเป็นห่วงทิฐิตัวเองครับ
เรื่องง่ายๆคุณก็พยายามทำให้มันวุ่นวาย มันก็แค่ทนไม่ได้กับการที่คนอื่นไม่ยอมรับ
ความเห็นตนเอง พยายามสรรหาคำพูดมาเสกสรรปั่นแต่ง พยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามา
พูดทั้งๆที่มันไม่เกี่ยวกับธรรมเลยแม้แต่น้อย

ปัญหามันอยู่แค่เขาเข้าแย้งความเห็นคุณ คุณมีเหตุผลแก้ต่างอย่างไรก็ตอบไป
นี่มันอะไรกันครับ ไปหยิบเรื่องไม่เป็นเรื่องมาสาธยายให้เสียเวลา ที่ต้องมาอธิบายความกันอีก

อีกอย่างครับ อยากแนะนำครับ ไอ้ที่ว่า ทำบรรยากาศเสียนีผมว่า จะเป็นคุณมากกว่า
คุณก็บอกเองว่า เพื่อนๆสมาชิกเขาสนทนาด้วยวิธีการกระชากกิเลสกันคุณก็รู้
แล้วคุณจะมาตีโพยตีพายหาอะไรครับ

คุณอ้างคนมานี่สองคนแล้วนะครับ และยังมีที่ไม่เอยชื่ออีกเช่นผมที่เป็นคู่กรณีกับคุณ
สรุปแล้วมันก็มากกว่าคุณ การที่คุณมาว่ามาวิจารณ์เขาเนี้ย ใช้อำนาจอะไรครับ
ลองคิดดูว่ามากเกินไปมั้ย
สังคมเขาเป็นแบบนี้ คุณเป็นใครก็ไม่รู้ ตัวคนเดียวจะมาเปลี่ยนแปลงเขา
เพราะไม่พอใจ มันเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า


พุทโธ! เจอแค่นี้ทำเป็นรับไม่ได้ นี่ถ้าไปเจอจ่าศรีฯเข้า
มิต้องฆ่าตัวตายหรือครับ


เพื่อนเขาก็บอกเป็นทำนองว่า ห้องนี้ต้องฝึกการปฏิบัติไปด้วย
หัดดูกายใจตัวเอง แล้วยอมฟังที่ไหน ฉันรับไม่ได้แต่ฉันอยากจะคุยด้วย ตลกซะไม่มีล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
คนฉลาดเขาจะต้องสู้ที่เหตุ.....รู้จักเหตุให้ชัด.....ค้นหาเหตุให้เจอ.....เพราะเหตุนั้นสู้ง่าย มันเป็นเพียงแค่ พ่อ กับ แม่ของกิเลส 2 ตัว สองคนเท่านั้น ฆ่าพ่อได้ แม่ก็ตายตาม ฆ่าแม่ได้ พ่อก็ตายตาม


มาเริ่มกันใหม่อโสกะ ชี้ลงไปให้ตรงประเด็น อโสกะบอกว่า กิเลศมันเป็นเพียงพ่อกับแม่ ฆ่าพ่อ แม่ก็ตายตามฆ่าแม่พ่อก็ตาย คุนน้องฟังก็ไม่เข้าใจ อยากรู้ว่ามีบัญญัติหรือเปล่า เพื่อให้เทียบเคียงกับประโยคพ่อกับแม่ กิเลศ เพราะคุนน้องก็ไม่เข้าใจกิเลศตัวไหนมันคือพ่อ กิเลศตัวไหนคือแม่ แล้วฆ่าทำยังงัย บอกวิธีฆ่ากิเลศด้วยสิไม่ใช่มาแถข่มคนอื่น อย่าลืมนะอยากรู้คำตอบจริงๆ เพราะคุนน้องไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้กิเลศตัวพ่อรึตัวแม่คุนน้อง นี่ฆ่าได้ยังงัย :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 11:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
ดังนั้นจึงขอน้อมนำหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ทรงประทานเกี่ยวกับการพูดจาแก่เรามานานแล้วในสุภาษิตสูตร พระสุตตันตปิฎก ซึ่งมีความสรุปโดยย่อจากหนังสือมงคลชีวิตข้อ 10 เขียนโดย พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ ซึ่งค่อนข้างน่าสนใจ ดังนี้
องค์ของวาจาสุภาษิต (องค์ในที่นี้หมายถึงต้องมีครบทั้ง 5 ข้อจึงจะสมบูรณ์เป็นวาจาสุภาษิตขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้)
1. กาเลน ภาสิตา (คำที่พูดถูกกาลเทศะ)
2. สจฺจา ภาสิตา (คำที่เป็นความจริง)
3. สณฺหา ภาสิตา (คำที่สุภาพ)
4. อตฺถสญฺหิตา ภาสิตา (คำที่มีประโยชน์)
5. เมต์ตจิตฺเตน ภาสิตา (คำที่พูดด้วยเมตตา)

หากสมาชิกทุก ๆ ท่านหรือในสังคมส่วนใหญ่นำไปประพฤติปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ก็จะทำให้ส่วนรวมน่าอยู่เพราะมีแต่ผู้ที่มีความเป็นปกติสามารถประสานความเข้าใจกันได้อย่างดีทำให้มีความเจริญและสงบสุขในสังคม

ธรรมนะครับคุณไฮ้ผมจะบอกให้ เขาไม่ได้มีไว้เอามาข่มคนอื่น
เขามีไว้สอนผู้ที่ไม่รู้ครับ และการจะสอนผู้ที่ไม่รู้ ตัวผู้สอนจะต้องรู้
หรือปฏิบัติธรรมนั้นด้วยครับ

คุณไฮ้ครับคุณลองก้มมองตัวคุณแล้วตรองดูครับว่า รู้เข้าใจและปฏิบัติ
ในธรรมที่คุณเอาข่มคนอื่นมั้ยครับ

1.กาเลน ภาสตา(คำที่พูดถูกกาลเทศะ) คุณปฏิบัติตามธรรมนี่หรือเปล่าครับ
การที่พวกผมกำลังสนทนาธรรมกัน ในแบบที่พวกผมเข้าใจและยอมรับในวิธีการ
สนทนาแบบนี้ แต่คุณไม่รู้มาจากไหนมาวิพากวิจารณ์

ถามหน่อยครับ ใครกันแน่ครับ ที่มันไม่ถูกกาละเทศะ

2. สจฺจา ภาสิตา (คำที่เป็นความจริง) การพูดความจริงคุณเข้าใจว่าอย่างไรครับ
คุณคงเข้าใจไปว่า ต้องพูดจาไพเราะระรื่นรูหูคุณใช่มั้ยครับ ผมว่าคุณหลงมากครับ

คำที่เป็นจริงคือ การพูดธรรมไปตามที่เราเข้าใจ โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงมรรยาท
หรือกฎเกณท์ที่เสกสรรปั่นแต่งขึ้นมา เพราะความจริงมันอยู่ที่ใจเราครับ
คำพูดทุกคำจึงต้องมีใจเราเป็นหลัก

ถามครับการที่คุณเข้ามาเที่ยวมาบ่งการให้เขาพูด
ตามที่คุณต้องการ ถ้าเป็นแบบนี้ความเป็นจริงมันอยู่ตรงไหนครับ


3 สณฺหา ภาสิตา (คำที่สุภาพ) คำว่าสุภาพของคุณเป็นแบบไหนกันครับ
หรือว่าต้องใช้ราชาศัพท์ คุณได้ยินเขาด่าบุพการีกันหรือครับ คุณได้ยินเขา
ขึ้นมรึง ขึ้นกรูกันหรือครับ มันก็แค่เขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของคุณ
คุณก็ไม่พอใจ สรุปก็คือคำไม่สุภาพในความหมายของคุณก็คือ
คนเขาพูดไม่เข้ารูหูคุณแค่นั้นเอง


อันนี้ไม่ถามแต่อยากแนะนำครับว่า อย่าเที่ยวได้เอากิเลสตัวเอง
ไปกำหนดกฎเกณท์คนอื่นว่าคำไหนสุภาพ คำไหนไม่สุภาพ
เคยเห็นครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนมั้ยครับ คนในครอบครัวพูดจาโวกเวก
เอ็ดตะโล พูดจาก็ไม่สุภาพในสายตาคนอื่น แต่ทำไมลูกหลานของเขาถึง
เป็นคนดีครับ มีอาชีพเป็นแพทย์ เป็นครูบาอาจารย์

ตรงข้ามครับ ไอ้พวกลูกผู้ดี บางคนที่พ่อแม่สอนให้พูดจาไพเราะ คุณแม่ขา คุณลูกครับ
ผมเห็นมันมาสร้างปัญหาให้สังคม ขับรถซิ่ง ชนคนตายบ้าง ขับรถอารมณ์ไม่ดีก็เอารถขึ้น
ฟุตบาทชนร้านรวงเขา

ดังนั้นหลักการของคำว่าสุภาพ มันอยู่ตรงไหนครับคุณไฮ้
อ่านตัวอย่างที่ผมให้มา คงจะเข้าใจแล้วนะครับว่า ทำไมผมถึงว่าคุณเสแสร้ง


4 อตฺถสญฺหิตา ภาสิตา (คำที่มีประโยชน์) นั้นนะซิครับคำที่มีประโยชน์
คำไหนมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ มันต้องขึ้นอยู่กับผู้ฟังด้วยครับว่า
จะมีปัญญาเลือกเอาสิ่งที่มีประโยชน์ ผมเห็นแค่มีประโยชน์ไม่เอา เอาแต่กิเลสครับ

คนบางคนไม่รู้จักเลือกสิ่งที่มีประโยชน์ ยังดันมาแสดงสิ่งที่ไม่มีประโยชน์
ทำให้เสียเวลา มาอธิบายความ


5 เมต์ตจิตฺเตน ภาสิตา (คำที่พูดด้วยเมตตา) คุณไฮ้ครับถ้ามีคนมาชี้ทางธรรม
ด้วยอยากให้คุณพ้นทุกข์ แต่คุณไม่ต้องการ คุณต้องการแต่สิ่งที่เป็นคำลวง
คำพูดที่เสแสร้ง คำพูดที่คุณพอใจ แบบนี้คุณว่า เขาไม่มีเมตตาหรือครับ

คิดดูให้ดีนะครับ ถ้าคุณรู้สึกกระหายน้ำมาก
เผอิญมีขอทานแต่งตัวสกปรกหยิบยื่นน้ำให้คุณ คุณรังเกียจไม่กล้าดื่มน้ำนั้น
แล้วเที่ยวได้บอกว่า ขอทานไม่มีเมตตา มันน่าสังเวชมั้ยครับ


สรุปตบท้ายส่วนนี้หน่อย จะเอาธรรมมาข่มใครเขา
ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่า เราดีพอหรือยัง ธรรมที่จะเอามาข่มคนอื่น
จะย้อนกลับไปหาตัวเองหรือเปล่า

อีกอย่าง ก่อนเข้ามาสนทนาธรรมควรทำใจให้เป็นกุศลเสียก่อน
ถ้าเข้ามาด้วยใจที่เป็นอกุศล พูดจาเพราะแค่ไหน คนอื่นก็มองออกว่า
เป็น อกุศล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
อ้อเกือบลืม สำหรับเรื่องการ รักตัวกลัวตายที่คุณโฮฮับได้กรุณาแสดงความเห็นมา ขอน้อมรับครับ และก็ขอเสริมให้ทราบเพิ่มเติมคำว่ารักตัวกลัวตายที่ผมได้บอกไปนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งสักหน่อยถ้าสังเกต ดี ๆ ผมได้พยายามทำวงเล็บต่อท้ายทั้ง 2 คำนี้เรื่อง รักตัว (มานะ) กลัวตาย (อวิชชา) นั้นเป็นการปราบตัวมานะ หรือตัวตนที่เรารักเราหวงอยู่ และ เป็นการปราบตัวตนที่ไม่ยอมตายจากใจที่ปกติเดิมแท้เป็นจิตที่ว่างจากกิเลส (คือยังมีตัวกูของกูอยู่นั่นเอง) ….ขอเจริญในธรรม
ด้วยความเคารพจากใจจริง

ที่คุณบอกว่า ความเห็นเกี่ยวกับความกลัวตายของคุณลึกซึ้ง ที่ไหนได้มันตื้นเขินครับ
รักตัวมันใช่มานะที่ไหนกันครับ รักตัวมันเป็นสักกายทิฐิ

แล้วที่บอกว่า กลัวตายเป็นอวิชา ตอบกำปั่นทุบดินครับ
กลัวตายมันเป็น นิวรณ์หรือสังโยชน์ที่เรียกว่า ฟุ้งซ่าน
อันที่จริงมันเป็นแค่ ความกลัวเฉยๆ ส่วนเรื่องตายมันเป็นการปรุงแต่งของขันธ์

ความกลัวเป็นอารมณ์ที่เกิดจากกิเลสตัวจริง ส่วนความตายไม่จริงมันเกิดจาก
การที่จิตหรือขันธ์ปรุงแต่งไปเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
ขออนุญาตเพิ่มเติมบทความเกี่ยวกับเรื่องการส่งจิตออกนอก ให้กระทู้คุณลูกพระป่า เพื่อเป็นการชดเชยที่ได้ล่วงเกินเนื้อที่กระทู้ที่สนทนาไปมากโดยไม่เจตนา

เป็นข้อธรรมบรรยายจากท่านพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เรื่อง “อินทรียสังวรศีล"

อินทรียสังวรศีลนั้น พระอาจารย์จะเน้นเป็นพิเศษ เพราะเป็นการปฏิบัติเบื้องต้นที่ทุกคนสามารถทำได้
หากทุกคนไม่ยินดียินร้าย สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ยินดียินร้ายต่อรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
อินทรียสังวรศีลนี้จะเชื่อมโยงไปสู่การปฏิบัติธรรมที่ลึกซึ้งขึ้นไปได้ด้วย

เวทนา คือ ความรู้สึก เมื่อตาได้เห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส และมีการรับรู้ทางใจ ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ หรือรู้สึกเฉย ๆ ขึ้น แต่ถ้าเราสามารถกำหนดรู้เท่าทันเวทนาแล้ว ก็จะเห็นความเกิด-ดับ เกิด-ดับของเวทนา ตัณหาอุปาทานก็ไม่เกิด จึงไม่เป็นทุกข์

สมมุติว่าเกิดความไม่พอใจ ถ้ารู้ตัวว่าไม่พอใจ ตัณหาอุปาทานไม่ทันได้ปรุงแต่ง ก็จะไม่มีความรู้สึกอาฆาตพยาบาท ไม่ผูกใจเจ็บ

แนวทางการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ทำได้ดังนี้

ตา เห็นรูปที่สวยหรือไม่สวยก็ตาม
หู ได้ยินเสียงที่ไพเราะหรือไม่ก็ตาม
จมูก ได้กลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็นก็ตาม
ลิ้น ได้รับรู้รสชาติอาหารที่อร่อยหรือไม่อร่อยก็ตาม
กาย สัมผัสอากาศร้อน หนาว สัมผัสที่นั่งที่นอน ที่สบายหรือไม่สบายก็ตาม
ใจ รับรู้อะไรก็ตาม

อย่าส่งจิตคิดออกไปเป็นอารมณ์ยินดียินร้าย อย่าคิดปรุงแต่งเป็นอารมณ์พอใจไม่พอใจ ทำใจเป็นโอปนยิโก น้อมเข้ามาดูใจ ดูความรู้สึกชอบไม่ชอบ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพียงเท่านี้ ก็ถือว่าเราดูแลใจให้อยู่ในอินทรียสังวรศีลโดยสมบูรณ์แล้ว

ทุกวันนี้ การสอนปฏิบัติธรรมในหลาย ๆ สำนัก ก็เน้นว่าต้องวิปัสสนา บางคนก็เข้าใจว่าอานาปานสติ เป็นสมถกรรมฐานเพื่อให้เกิดความสงบ ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรก็ตาม แต่ความจริงแล้ว การปฏิบัติไม่ว่าจะสำนักไหน สายไหน สิ่งที่สำคัญเป็นพื้นฐานก็เพื่อให้เกิดอินทรียสังวรศีลสมบูรณ์ เรียกว่า ศีลสิกขา พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าอินทรียสังวรศีลสมบูรณ์เมื่อไหร่ เหตุปัจจัยพร้อมสัมมาสมาธิก็เกิดขึ้น แล้ววิปัสสนาปัญญาก็จะเกิดขึ้นได้ ตัววิปัสสนาคือเห็นไตรลักษณ์ของความรู้สึก แต่พระอาจารย์ไม่อยากให้ยึดติดกับคำศัพท์ต่าง ๆ ไม่อยากให้สับสนในธรรมะ

อยากให้เราทุกคนคิดว่า อะไรทำง่าย ทำได้ก่อน ก็ให้ทำก่อนเลย สบายใจเดี๋ยวนี้เลย เราก็สัมผัสนิพพานได้เดี๋ยวนี้เลยเช่นกัน

:b8:

อันไหนเป็นธรรมของครูบาอาจารย์ อันไหนเป็นความคิดคุณ มันต้องแยกออกมาต่างหาก
การแสดงความเห็น เอาความคิดตัวเองใส่ไปในธรรมของครูบาอาจารย์ มันเสียมรรยาท
และที่สำคัญอาจทำให้เสื่อมเสียไปถึงครูบาอาจารย์ เพราะคนอื่นอาจเข้าใจผิดคิดว่า
ความคิดเห็นของคุณ เป็นความคิดเห็นของครูบาอาจารย์ อาจทำให้ผู้อื่นหลงไปปรามาส
ครูบาอาจารย์เข้าได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:25
โพสต์: 59

แนวปฏิบัติ: รักษาศีลให้แน่นหนามั่นคง
ชื่อเล่น: Soduku
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
คุยกันหลังวัด - กับคุณโฮฮับ (ต่อ)
คุณโฮฮับครับเจตนาที่ผมได้แจ้งคุณโฮฮับไปตรงๆเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความคิดเห็นสไตล์ที่กล้ำกึ่งกับคำเสียดสีและกระแนะกระแหน (ซึ่งบางครั้งผู้อ่านบางท่านอาจเห็นเป็นเรื่องตื่นเต้นมีสีสันและไม่ง่วง ซึ่งก็เป็นจุดเรียก rating หากมองในมุมนี้ก็ได้ แต่ควรเป็นเวปสนทนาแบบปิดประตูคุยหรือใน facebook เพราะคนอื่นอาจไม่รู้ว่ากำลังตีตัวกิเลสกันอยู่ แต่เข้าใจว่ามาทะเลาะอะไรกัน )


คุณโฮฮับครับ เจตนาและพยานจากข้อความที่ผมเขียนข้างต้น ไม่ปรากฏเลยนะครับว่าผมไล่ให้คุณไปสนทนาใน Facebook นะครับ

ผมขอขยายความอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดความเห็นผิดแก่คุณโฮฮับอีกครั้งนะครับว่า เจตนาที่ผมต้องการสื่อก็เนื่องจากต้องการชี้ให้เห็นว่าลักษณะการใช้คำของคุณโฮฮับน่าจะเหมาะดีสำหรับสนทนาในเวปซึ่งเป็นแบบเวปปิด ที่มีห้องสำหรับสนทนาความส่วนตัว เพราะคำพูดชนิดที่พูดตรงไม่อ้อมค้อมไม่เน้นคำวาจาสุภาพ ไม่เน้นประโยชน์ผู้ใดในทางโลกสงสาร เน้นแต่ธรรมล้วน ๆ จริงใจ จะพูดส่อเสียดกระแนะกระแหนใด ๆ หรือพูดหยาบโลนเพียงใดตามโลกสงสารก็พูดได้ เพราะมันเป็นเพียงสมมุติณ.ขณะนั้นสำหรับผู้สนทนาเพื่อเอาสัจจะธรรมทางปรมัติ และผมเห็นว่าในเวปที่มีห้องส่วนตัวนี้ควรมีผู้ที่มีธรรมชั้นสูงคอยกำกับดูแลอยู่ด้วย เพื่อเป็นผู้ช่วยสอบอารมณ์หรือตีกิเลสให้ตายไปจากใจผู้ที่ถูกสอบ อุปมาเหมือนพระภิกษุที่ยังมีกิเลสหนาหรือยังเข้าใจผิดในหลักธรรมได้ปิดประตูห้องกุฎิคุยกันและสนทนาธรรมกับหลวงปู่หลวงตา อย่างหนักถึงพริกถึงขิง อย่างที่ท่านหลวงตาพระมหาบัวเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง ตอนที่ท่านเข้าไปสนทนาธรรมสองต่อสองกับท่านหลวงปู่มั่น คนภายนอกได้ยินเสียงดังมากเล็ดลอดออกมา นึกว่ามีการทะเลาะอะไรกัน เมื่อออกมา ที่แท้เป็นการปรับความรู้ทางธรรมกันเพื่อให้สามารถเข้าใจธรรมได้เร็วขึ้น บางเวปสามารถสร้างห้องสนทนาลักษณะเช่นนี้ได้เช่น เวป facebook หากเวปนี้มีห้องแบบนี้ด้วยก็จะดีอาจเรียกว่า “ห้องตีกิเลส” ก็ได้นะครับไม่สงวนลิขสิทธิ์ ขอเสนอให้ webmaster ลองพิจารณาดู แต่คงต้องกำหนดกฏกติกาคุณสมบัติและมีผู้มีภูมิธรรมพอสมควรมาช่วยกำกับดูแล ไม่ให้หลงผิดไปจากหลักธรรมปฏิบัติที่ถูกต้องของพระพุทธองค์

ผมยังเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในหลักธรรมของพระพุทธเจ้าในหนทางแห่งมรรค เรื่องสัมมาวาจา โดยเฉพาะวาจาสุภาษิตที่ต้องมีความครบเครื่องครบองค์ดั่งที่กล่าวไว้ หากคุณโฮฮับยอมให้ธรรมะของพระพุทธองค์มาฉาบใจและอบรมใจที่ยังอาจหลงผิดก็จะเป็นกุศลแก่คุณโฮฮับเองนะครับ เพราะจะได้ไม่เสียเวลากังวลว่าจะไปท่องเวปไหน เพราะไม่ว่าคุณโฮฮับจะอยู่ที่ไหนจิตที่ฝึกดีแล้วตามหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถอยู่ได้ทุกที่นะครับ

อนึ่ง สำหรับจริตหรืออุปนิสัยของแต่ละคน ผมเห็นว่ามันขึ้นอยู่กับผลกรรมในอดีต และประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่มีใครสามารถบังคับได้ครับ นอกจากผู้เป็นเจ้าของจะแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนเอง แต่หากอุปนิสัยที่ไม่ดีเกิดขึ้นมากเกินไป ก็จะทำให้เราเข้าถึงธรรมหรือลดละกิเลสได้ยาก ดังนั้นต้องใช้ความพยายามปฏิบัติให้อยู่ในศีลในธรรมและฝืนตัวตนที่เป็นกิเลสอยู่อย่าได้ประมาท เพราะมนุษย์อยู่ได้ไม่นานก็ต้องตายแล้ว จงทำทุก ๆวินาทีนี้ให้ดีที่สุด สำหรับกาย วาจา ใจ ของเจ้าของ และหากมีโอกาสก็ช่วยเหลือกัลยาณมิตรที่ยังหลงผิดได้ด้วยก็เท่ากับเป็นกุศลหนุนให้ได้เข้าถึงธรรมได้เร็วขึ้น เพราะมีพลังแห่งคุณธรรมความดีในส่วนของกัลยาณมิตรที่อบรมดีแล้วคอยเสริมส่งให้ ดังนั้นมนุษย์ที่ใฝ่เจริญในธรรมทุก ๆ ท่านรวมถึงผมเองและคุณโฮอับมีส่วนที่ต้องคอยเตือนตนและปรับปรุงตนในส่วนที่ยังมีข้อบกพร่องอยู่โดยเฉพาะความเศร้าหมองแห่งจิตที่มีต้นตอมาจากอวิชชาที่ยังถือตัวถือตนอยู่

สรุปผมเห็นว่าปัญหาใหญ่ของคุณโฮฮับตอนนี้อยู่ที่การปรับตัวใช้คำพูดในขณะอยู่กับสังคมธรรมดาห้องธรรมดาก่อน นะครับ หากคุณโฮฮับมีโอกาสมีคุณธรรมพื้นฐานแน่นพอ และมีโอกาสสามารถเข้าในห้องตีกิเลส เมื่อใด คุณโฮฮับจะสามารถแสดงได้เต็มที่เลย และผมอาจเข้าไปอบรมด้วย หวังว่าคงจะมีห้องดังกล่าวในเวปนี้ได้อีกไม่นาน คงต้องอาศัยแรงสมาชิกช่วยอุดหนุนปัจจัยเพื่อเป็นธรรมทานแก่ webmaster ได้มีพลังทำให้ฝันเป็นจริงนะครับ

ฝากท้ายช่วงนี้หากมีเวลาว่าง ๆ คุณโฮฮับน่าจะนำธรรมะที่ดี ๆ ของครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาศึกษาด้วยตัวเองก็จะดีนะครับ และอย่าลืมต้องปฏิบัติจริง ๆ นะครับเพราะเป็นประโยชน์โดยตรงของคุณโฮฮับเองไม่ใช่เอาเวลามานั่งคอยดูแต่เวปมากไปไม่มีเวลาปฏิบัติโดยเฉพาะหลักธรรมของพระพุทธองค์เรื่อง หลักสุภาษิตา หรือวาจาสุภาษิต เพื่อเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติธรรมที่สูงขึ้นต่อไป (และขอแนะนำหนังสือที่ท่านอาจารย์ปิ่น มุทุกันต์ ได้พยายามอธิบายอย่างละเอียดมากทั้งทางอักขระและทางปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่อง "วาจาสุภาษิต" ซึ่งตรงกับปัญหาของคุณโฮฮับมาเลยในหนังสือชื่อ “มงคลชีวิต” ลองดูในร้านนายอินทร์ก็ได้นะครับ) ขอเพียงอย่าให้กิเลสมารมันแทรกเข้ามาว่า “อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันดีอยู่แล้ว ไปไกล ๆ นะ” เท่านั้นเอง

ขอเจริญในธรรม

ปล. ผมคงไม่สามารถมาใช้เวลาพูดคุยในเวปนี้ได้บ่อย ๆ นะครับ เพราะติดภาระกิจ หากคุณโฮอับยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจหรือไม่เห็นด้วยในการตีความธรรมใดก็ลองโน๊ต ๆ ไว้หากมีเวลาว่างหากตอบได้ก็จะตอบหากตอบไม่ได้คุณโฮฮับลองหากัลยามิตรอื่น ช่วยตอบหรือตีความให้นะครับ และอย่าใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์กับการโต้เถียงธรรมเพื่อการเอาชนะคะคานจนไม่รู้จัดหยุด ควรเน้นการปฏิบัติภาวนาและศึกษาธรรมที่เราเห็นว่ายังอ่อนอยู่ให้เข้มแข็งเพื่อใช้เป็นอาวุธไปเอาชนะกิเลสในใจตนเองที่ยังหลงเหลืออยู่ให้หมดสิ้นไป...หากทำได้จะเป็นสิ่งประเสริฐแก่คุณโฮฮับเองนะครับ...ขอเอาใจช่วย และผมขอน้อมรับคำติชมของคุณโฮฮับนะครับสิ่งใดที่เป็นธรรมดี ๆ ที่คุณโฮฮับให้ไว้และ ผมเห็นว่ามันมีประโยชน์จะนำไปอบรมตนต่อไป :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ถ้ามีเรื่องที่เราจะต้องพูดถึงสัตว์อื่นอย่างเช่น หมู หมา เป็ด ไก่ วัว ควาย ถ้าจะพูดถึงผู้ให้กำเนิดของสัตว์เหล่านั้น น้องจะพูดว่าอย่างไร? มีศัพท์บัญญัติพิเศษแยกระหว่างคนกับสัตว์ไว้หรือเปล่าครับ อย่างเช่นคำว่า "พ่อพันธ์หมา แม่พันธ์หมา" ... น้องคงจะหาคำอะไรมาแทนได้ดีกว่านี้กรุณาแนะนำสั่งสอนด้วยนะครับ มิฉะนั้นคำที่น้องคงกล่าวว่า ......"สติปัญญาแบบนี้มันก็ปุถุชน..ดี..ดี นี่เอง.".......มันก็คงจะกลับมาเป็นของน้องคงอยู่ดีนะครับ


คราวหน้าคราวหลังอย่าแถไปข้างๆคูๆ อีกนะอโสกะ อโสกะจะเอา สมมติบัญยัติ มาเปรียบเปรยกับสภาวะธรรม
ต้องตั้งสติคิดให้ดีก่อนนะ เพราะสภาวะธรรมมันไม่เกี่ยวกับสมมติบัญยัติ มันชี้ลงที่กายใจตน ไอ้ หมู หมา เป็ด วัว ควาย สัตว์พวกนั้น ประเทศอื่นเค้าก็เรียกไปอีกอย่าง เช่น หมู เรียก pig หมาเรียก dog ควายก็ buffalo แล้วอโสกะบอกว่ามีศัพแยกแยะพิเศษ บอกให้ก็ได้เอาบุญ ท่าใช้แบบเป็นทางการ คำว่าหมา จะเปลี่ยนจาก หมา เป็น สุนัข หมู ก็ สุกร วัว ก็ โค ควาย หรือ กระบือ ทำไมแยก สมมติบัญยัติออกไปอีก เหตุก็เพื่อใช้ให้ถูกแก่กาลละเทศะ อย่างคำว่า ฆ่า พ่อ ฆ่าแม่กิเลศ อโสกะใช้คำผิด ในทางสภาวะความจริง คำว่าฆ่า ไม่สามารถใช้กับกิเลศได้ ในเมื่อคำว่าฆ่า คือ การปลิดชีพ ทำให้ตาย อโสกะใช้คำ ใช้สมตติบัญยัติผิด อโสกะฆ่ากิเลศให้ตายได้ด้วยหรอ ในเมื่อความจริงแล้ว กิเลศ มัน เกิดๆ ดับๆ มันตายแล้วสูญหายไปไม่กลับมาอีกหรอ คราวหน้าคราวหลังถึงบอกไง จะอุปมาหรือจะใช้ศัพบัญยัติอะไร ก็ต้องให้มันละเอียดละออกว่านี้ ฟังแล้วมันตลกสิ้นดี :b6:
ปล.ตอบข้อข้องใจอโสกะอีกอย่าง พ่อพันธ์หมา แม่พันธ์หมา ในทาง สมมติบัญยัติ เขาจะใช้อีกคำว่า พ่อพันธ์สุนัข แม่พันธ์สุนัข ซึ่งก็แล้วแต่ความเหมาะสม ตามบุคคล ตามกาลและสถานที่ กาละเทศะ เข้าใจมั้ยจ้ะ อโสกะเด็กนอก :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
hiwichai เขียน:
คุยกันหลังวัด - กับคุณโฮฮับ (ต่อ)
คุณโฮฮับครับเจตนาที่ผมได้แจ้งคุณโฮฮับไปตรงๆเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความคิดเห็นสไตล์ที่กล้ำกึ่งกับคำเสียดสีและกระแนะกระแหน (ซึ่งบางครั้งผู้อ่านบางท่านอาจเห็นเป็นเรื่องตื่นเต้นมีสีสันและไม่ง่วง ซึ่งก็เป็นจุดเรียก rating หากมองในมุมนี้ก็ได้ แต่ควรเป็นเวปสนทนาแบบปิดประตูคุยหรือใน facebook เพราะคนอื่นอาจไม่รู้ว่ากำลังตีตัวกิเลสกันอยู่ แต่เข้าใจว่ามาทะเลาะอะไรกัน )


คุณโฮฮับครับ เจตนาและพยานจากข้อความที่ผมเขียนข้างต้น ไม่ปรากฏเลยนะครับว่าผมไล่ให้คุณไปสนทนาใน Facebook นะครับ :

คุณนี้มันประเภท ผู้ร้ายปากแข็งนะครับ สงสัยพูดให้ตายคุณก็คงไม่มีวันเข้าใจ
กับคำว่าเสแสร้ง เอาเถอะตามใจคุณครับ
เรื่องกิเลสจะให้คนอื่นมาชี้มาแก้ให้ มันเป็นไปได้ยากครับ มันต้องเป็นตัวเองเห็นเอง
ยอมรับเองและแก้เองครับ

คุณไฮ้ครับ ผมว่าคุณคงเข้าใจดีกับคำว่า เสียดสี กระแนะกระแหน่ ที่คุณเอามาโพส
หรืออาจจะเข้าใจแต่ว่าคนอื่น แต่สำหรับตัวเองมองไม่เห็น

พุทโธ! ก็ไอ้ประโยคที่ให้ไปปิดประตูคุย หรือคุยในเฟสบุ๊ส
ผมกำลังสนทนาธรรมอยู่ในห้องสนทนาธรรม แล้วไอ้ที่พูดออกความเห็นมา
มันหมายถึงอะไร ถ้าไม่เสียดสีกระแนะกระแหน่ ในเชิงไล่

คุณรู้มั้ยครับ การคุยกับใครเหนื่อยที่สุด ก็พวกผู้ร้ายปากแข็งไงครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
ผมขอขยายความอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดความเห็นผิดแก่คุณโฮฮับอีกครั้งนะครับว่า เจตนาที่ผมต้องการสื่อก็เนื่องจากต้องการชี้ให้เห็นว่าลักษณะการใช้คำของคุณโฮฮับน่าจะเหมาะดีสำหรับสนทนาในเวปซึ่งเป็นแบบเวปปิด ที่มีห้องสำหรับสนทนาความส่วนตัว เพราะคำพูดชนิดที่พูดตรงไม่อ้อมค้อมไม่เน้นคำวาจาสุภาพ ไม่เน้นประโยชน์ผู้ใดในทางโลกสงสาร เน้นแต่ธรรมล้วน ๆ จริงใจ จะพูดส่อเสียดกระแนะกระแหนใด ๆ หรือพูดหยาบโลนเพียงใดตามโลกสงสารก็พูดได้ เพราะมันเป็นเพียงสมมุติณ.ขณะนั้นสำหรับผู้สนทนาเพื่อเอาสัจจะธรรมทางปรมัติ และผมเห็นว่าในเวปที่มีห้องส่วนตัวนี้ควรมีผู้ที่มีธรรมชั้นสูงคอยกำกับดูแลอยู่ด้วย เพื่อเป็นผู้ช่วยสอบอารมณ์หรือตีกิเลสให้ตายไปจากใจผู้ที่ถูกสอบ อุปมาเหมือนพระภิกษุที่ยังมีกิเลสหนาหรือยังเข้าใจผิดในหลักธรรมได้ปิดประตูห้องกุฎิคุยกันและสนทนาธรรมกับหลวงปู่หลวงตา อย่างหนักถึงพริกถึงขิง อย่างที่ท่านหลวงตาพระมหาบัวเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง ตอนที่ท่านเข้าไปสนทนาธรรมสองต่อสองกับท่านหลวงปู่มั่น คนภายนอกได้ยินเสียงดังมากเล็ดลอดออกมา นึกว่ามีการทะเลาะอะไรกัน เมื่อออกมา ที่แท้เป็นการปรับความรู้ทางธรรมกันเพื่อให้สามารถเข้าใจธรรมได้เร็วขึ้น บางเวปสามารถสร้างห้องสนทนาลักษณะเช่นนี้ได้เช่น เวป facebook หากเวปนี้มีห้องแบบนี้ด้วยก็จะดีอาจเรียกว่า “ห้องตีกิเลส” ก็ได้นะครับไม่สงวนลิขสิทธิ์ ขอเสนอให้ webmaster ลองพิจารณาดู แต่คงต้องกำหนดกฏกติกาคุณสมบัติและมีผู้มีภูมิธรรมพอสมควรมาช่วยกำกับดูแล ไม่ให้หลงผิดไปจากหลักธรรมปฏิบัติที่ถูกต้องของพระพุทธองค์

นั้นมันเรื่องของคุณครับ คุณจะไปทำอะไร จะเสนออะไรไม่มีใครว่าครับ
แต่คุณจะมาเที่ยวบังคับใครว่าต้องอย่างโน้น ต้องอย่างนี้ไม่ได้ครับ
พูดกันมาตั้งนานยังไม่สำเหนียกอีกหรือครับ

ทางที่ดีผมว่า คุณไปสร้างเว็บส่วนตัวของคุณเองเลยดีกว่าครับ
คุณจะได้ทำอะไรตามอำเภอใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
ผมยังเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในหลักธรรมของพระพุทธเจ้าในหนทางแห่งมรรค เรื่องสัมมาวาจา โดยเฉพาะวาจาสุภาษิตที่ต้องมีความครบเครื่องครบองค์ดั่งที่กล่าวไว้ [/color]หากคุณโฮฮับยอมให้ธรรมะของพระพุทธองค์มาฉาบใจและอบรมใจที่ยังอาจหลงผิดก็จะเป็นกุศลแก่คุณโฮฮับเองนะครับ เพราะจะได้ไม่เสียเวลากังวลว่าจะไปท่องเวปไหน เพราะไม่ว่าคุณโฮฮับจะอยู่ที่ไหนจิตที่ฝึกดีแล้วตามหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถอยู่ได้ทุกที่นะครับ:

ยังมีหน้าอ้างพระพุทธองค์อีกหรือครับ กิเลสเป็นไงยังไม่รู้
กายใจตัวเองก็สน เที่ยวสนใจแต่คำพูดคนอื่น แบบนี้จะอยู่ในสังคมอย่างไร
มิต้องยุ่งวุ่นวายไปตลอดชีวิตหรือครับ

สอนเขานะครับยังไม่รู้ตัวอีกหรือครับตัวเองว่ากำลังทุกข์
กำลังร้อนรนกับเรื่องของชาวบ้าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 15:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
สรุปผมเห็นว่าปัญหาใหญ่ของคุณโฮฮับตอนนี้อยู่ที่การปรับตัวใช้คำพูดในขณะอยู่กับสังคมธรรมดาห้องธรรมดาก่อน นะครับ หากคุณโฮฮับมีโอกาสมีคุณธรรมพื้นฐานแน่นพอ และมีโอกาสสามารถเข้าในห้องตีกิเลส เมื่อใด คุณโฮฮับจะสามารถแสดงได้เต็มที่เลย และผมอาจเข้าไปอบรมด้วย หวังว่าคงจะมีห้องดังกล่าวในเวปนี้ได้อีกไม่นาน คงต้องอาศัยแรงสมาชิกช่วยอุดหนุนปัจจัยเพื่อเป็นธรรมทานแก่ webmaster ได้มีพลังทำให้ฝันเป็นจริงนะครับ

คุณนี่แปลกคนนะครับ ตัวเองกำลังมีปัญหากับคำพูดคนอื่นแท้ๆ
ดันมาว่าผมมีปัญหา เอ๋!หรือเป็นเพราะคุณพึ่งจะเข้ามาแสดงความเห็น
ยังไม่รู้จักผมดีพอ จะบอกให้ครับผมใช้คำพูดลักษณะนี้มาตั้งแต่
ผมเริ่มแสดงความเห็นเป็นครั้งแรกแล้วครับ จากครั้งนั้นจนมาครั้งนี้ก็เป็นพันแล้วครับ
ลักษณะความเห็นของผมก็ไม่เคยเปลี่ยนครับ

ผมถึงกล้าเอาธรรมของครูบาอาจารย์ที่คุณเอามาข่มผม
ย้อนกลับไปกระแทกหน้าคุณไงครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
ฝากท้ายช่วงนี้หากมีเวลาว่าง ๆ คุณโฮฮับน่าจะนำธรรมะที่ดี ๆ ของครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาศึกษาด้วยตัวเองก็จะดีนะครับ และอย่าลืมต้องปฏิบัติจริง ๆ นะครับเพราะเป็นประโยชน์โดยตรงของคุณโฮฮับเองไม่ใช่เอาเวลามานั่งคอยดูแต่เวปมากไปไม่มีเวลาปฏิบัติโดยเฉพาะหลักธรรมของพระพุทธองค์เรื่อง หลักสุภาษิตา หรือวาจาสุภาษิต เพื่อเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติธรรมที่สูงขึ้นต่อไป (และขอแนะนำหนังสือที่ท่านอาจารย์ปิ่น มุทุกันต์ ได้พยายามอธิบายอย่างละเอียดมากทั้งทางอักขระและทางปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่อง "วาจาสุภาษิต" ซึ่งตรงกับปัญหาของคุณโฮฮับมาเลยในหนังสือชื่อ “มงคลชีวิต” ลองดูในร้านนายอินทร์ก็ได้นะครับ) ขอเพียงอย่าให้กิเลสมารมันแทรกเข้ามาว่า “อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันดีอยู่แล้ว ไปไกล ๆ นะ” เท่านั้นเอง:

คุณคงไม่รู้หรอกครับว่า ผมเคยเจอคำพูดอย่างคุณมา นับครั้งไม่ถ้วนแล้วครับ
พูดธรรมไม่รู้เรื่อง ก็จะอ้างโน้นอ้างนี้ หาว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปฏิบัติ อีกฝ่ายไม่มีครูบาอาจารย์
เอาแค่ง่ายๆที่เห็นๆ ผมบอกคุณว่า เขามาในห้องนี้ต้องปฏิบัติควบคู่ไปด้วย ต้องคอย
ดูกิเลสตัวเอง แค่นี่คุณก็มีปัญหาแล้ว ว่าโน้นว่านี่เขา อ้างว่าต้องมีห้องตีกิเลสไร้สาระอะไรนั้น

แล้วอีกอย่างพูดเหมือนผมไม่มีครูบาอาจารย์ อันนี้ความจริงเป็นอย่างไรผมย่อมรู้ดี
แต่ความจริงอีกอย่างที่ผมอยากให้คุณมองก็คือ...

คนที่มีครูบาอาจารย์ เขาไม่เอาครูบาอาจารย์มาข่มคนอื่น
หรือกล่าวอ้างเพื่อผลประโยชน์ตัวเองหรอกครับ ไอ้พวกนี้เขาเรียกว่า ศิษย์นอกคอกครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 15:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
ปล. ผมคงไม่สามารถมาใช้เวลาพูดคุยในเวปนี้ได้บ่อย ๆ นะครับ เพราะติดภาระกิจ หากคุณโฮอับยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจหรือไม่เห็นด้วยในการตีความธรรมใดก็ลองโน๊ต ๆ ไว้หากมีเวลาว่างหากตอบได้ก็จะตอบหากตอบไม่ได้คุณโฮฮับลองหากัลยามิตรอื่น ช่วยตอบหรือตีความให้นะครับ และอย่าใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์กับการโต้เถียงธรรมเพื่อการเอาชนะคะคานจนไม่รู้จัดหยุด ควรเน้นการปฏิบัติภาวนาและศึกษาธรรมที่เราเห็นว่ายังอ่อนอยู่ให้เข้มแข็งเพื่อใช้เป็นอาวุธไปเอาชนะกิเลสในใจตนเองที่ยังหลงเหลืออยู่ให้หมดสิ้นไป...หากทำได้จะเป็นสิ่งประเสริฐแก่คุณโฮฮับเองนะครับ...ขอเอาใจช่วย และผมขอน้อมรับคำติชมของคุณโฮฮับนะครับสิ่งใดที่เป็นธรรมดี ๆ ที่คุณโฮฮับให้ไว้และ ผมเห็นว่ามันมีประโยชน์จะนำไปอบรมตนต่อไป :b8:

สรุปก็คือ คุณเข้าใจในสิ่งที่คุณกล่าวหาคนอื่นหรือเปล่าครับ
ไอ้ที่ว่าคนอื่น พูดจากระทบกระเทียบ กระแนะกระแหน่
ถ้าไม่เข้าใจก็ดูความเห็นตัวเองซิครับ

เรื่องเสแสร้งไม่ต้องพูดถึงมันแล้ว เพราะพูดให้ตายก็ไม่ยอมรับ
แต่เอ๋! ผมเห็นความเสแสร้งมันซ่อนอยู่ในความเห็นนี้ด้วยนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 22:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


การที่เราเข้าใจว่า....สิ่งที่เราฟังมาหมายความว่าอย่างไร?....

การที่ไปรู้ความหมายในสิ่งที่ฟังมา....จะเรียกว่า...จิตส่งออก...หรือเปล่า?

หรือจะเรียกว่า...จิตส่งออก...ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่า...ที่เขาพูดมานั้นมีจุดประสงค์อะไร?.

เพื่อน ๆ คิดว่าอย่างไรครับ... :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron