วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 20:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2012, 22:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนตัวนะครับ
รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ก็จริง แต่อย่าเอามาในส่วนของ ทิฏฐิ ดีกว่าครับ
ความรู้มาก หากไม่ใช่เพื่อ ละอวิชชา หรือเพื่อเห็น อริยสัจจ์ มันจะสะสมกลายเป็น ทิฏฐุปาทาน นะครับ

พิจารณาให้มากๆ ปฏิบัติให้มากๆ เป็นไปเพื่อที่สุดแห่งทุกข์

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2012, 23:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชาอยู่ที่ไหนกันละครับ.....จะได้ไปละถูก?

ไม่ได้กวนเด้อ... :b32: ....เพราะเห็นเอาพุทธพจน์ที่ว่า...ยึดกายว่าเป็นตนยังดีกว่ายึดจิตว่าเป็นตน

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2012, 23:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อวิชชาอยู่ที่ไหนกันละครับ.....จะได้ไปละถูก?

ไม่ได้กวนเด้อ... :b32: ....เพราะเห็นเอาพุทธพจน์ที่ว่า...ยึดกายว่าเป็นตนยังดีกว่ายึดจิตว่าเป็นตน

:b12:


อันนั้นพระพุทธองค์ทรง กล่าวถึง ปุถุชนครับท่านกบ เพราะพระพุทธองค์ ไม่อยากให้คิด ไปในส่วนสุด ที่ว่า ตายแล้ว เหลือเรา ที่เป็นจิต วนเวียน ไม่จบสิ้น ครับ พระพุทธองค์ จึงกล่าวเช่นนั้น
เพราะไม่รู้อิทัปปัตยตา ปฏิจจสมุปบาท จึงเห็นว่า มีเราเป็นผู้ เวียนวาย หากยังมีทิฏฐิ เช่นนี้แล้ว จะไม่สามารถ ปล่อยวาง ขันธ์5 ได้เลย ครับ

ท่านกบ เห็นจิตเป็นเราจริงๆหรือครับ ผมว่าท่านกบก็คงเคยดูจิตท่านกบนะครับ ผมเองสั่นหัวกับจิตนี้เลยครับ เพราะมันวิ่งไปในทาง ตัณหา และทุกข์ อยู่ทุกการเกิด(ทำหน้าที) อยู่ร่ำไปเลยครับ

ส่วนที่ว่า อวิชชา อยู่ไหนนั้น ... มันอยู่ที่ที่มีเรา นั้นแหละครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2012, 23:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมไม่เคยเห็นจิต....

เห็นแต่เรา...รู้สึก...เราโกรธ...เราดีใจ...เราทุกขโทมนัส...อุปายาส...ปริเทวะ..ฯลฯ

อยากเอาของพวกนี้....ออกจากความรู้สึกของเรา..นะ

เห็นเขาว่า...เพราะจิตอวิชชา...

ก็เลยคิดง่าย ๆ ว่าหากไม่มีอวิชชาแล้ว...ก็คงจะมีแต่จิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2012, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ถูกต้องครับผม จึงเป็นข้อสรุปได้ว่ามีความรู้มากแต่เรื่องสมมุติ แต่เรื่องปรมัติสัจจะกลับกลายเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2012, 00:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กระผมไม่เคยเห็นจิต....

เห็นแต่เรา...รู้สึก...เราโกรธ...เราดีใจ...เราทุกขโทมนัส...อุปายาส...ปริเทวะ..ฯลฯ

อยากเอาของพวกนี้....ออกจากความรู้สึกของเรา..นะ

เห็นเขาว่า...เพราะจิตอวิชชา...

ก็เลยคิดง่าย ๆ ว่าหากไม่มีอวิชชาแล้ว...ก็คงจะมีแต่จิต



ผมอาจพูดผิด
เอาเป็นว่า ดูการกระทำของจิต ในกระแสปฏิจจสมุปบาท มั้ย ครับ ในชีวิตประจำวัน ลองพุทโธ ตามลมหายใจดู ครับ ลองตั้งใจว่า จะทำให้ได้ สัก15นาที โดยไม่คิดอย่างอื่นดูนะครับ ท่านจะเห็นกระแสนั้น

ทำบ่อยๆ จะเห็นเลยว่าตอนนี้ มันไม่ใช่เรา เลยจริงๆ ไม่ใช่คิดเอา
มันเป็น สติปัฏฐาน 4 ด้วยมั่ง

ปล. ผมเองก็ยังอยู่ในนรก อยู่เลยนะ ไม่รู้จะเชื่อได้แค่ไหน :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2012, 00:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ถูกต้องครับผม จึงเป็นข้อสรุปได้ว่ามีความรู้มากแต่เรื่องสมมุติ แต่เรื่องปรมัติสัจจะกลับกลายเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ


ความเข้าใจตอบโจทย์ได้ไม่หมดหรอกเนาะ คงต้องเข้าถึง ให้รู้แจ้งเท่านั้น แต่ต้องใช้ สัมมาทิฏฐิ นำนะครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2012, 01:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็คงยากนั่นแหละ เข้าใจถูกแล้ว เพราะของจริง มันอย่ในของไม่จริง ที่หลอกเราอยู่ ต้องเอาเอาปัญญาจาก
ทางสายเอก ไปกระทุ้งมันออกมา.........เพราะทางทีี่ว่านี้มันเชื่อมกับมรรค8 โดยตรง :b40: :b40: :b40: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2012, 06:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ในปฏิจจสมุปบาท.....ในแต่ละขั้น...ต้องอธิบายได้..ว่าทำไม

เช่น...ทำไม...จิตอวิชชามี...แล้ว..สังขารถึงมี..เป็นต้น

ตรงนี้...ต้องโยนิโสมนสิการ...เป็นอย่างมาก...

นะครับทุกท่าน....

ไม่งั้น....ก็จะเป็นการท่องเฉย..ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2012, 06:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ในปฏิจจสมุปบาท.....ในแต่ละขั้น...ต้องอธิบายได้..ว่าทำไม

เช่น...ทำไม...จิตอวิชชามี...แล้ว..สังขารถึงมี..เป็นต้น

ตรงนี้...ต้องโยนิโสมนสิการ...เป็นอย่างมาก...


นะครับทุกท่าน....

ไม่งั้น....ก็จะเป็นการท่องเฉย..ๆ


ท่านกบเห็นอาการของจิต แต่ท่านกบไม่เห็นจิต หรือครับ

ท่านกบเฉลยให้ฟังหน่อยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2012, 06:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่าง..นะครับ...

อยากมีบ้าน....

อยากมี....เป็นอาการแห่งอวิชชา....บ้านเป็นรูปสังขาร...อันนี้สมมุติเอาง่าย ๆ นะ

ก็ค้นดูว่า...ทำไมถึง...อยากมี...

ก็ไล่จากที่เห็นง่าย ๆ ก่อน..เช่น...ก็เพราะภรรยาต้องการ.....ใว้ให้ลูก ๆ ได้อยู่อาศัยอย่างปลอดภัย...ไม่ต้องเสียค่าเช่าห้องไปแบบเปล่า ๆ....ไล่ไปเรื่อย ๆ แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละท่าน....จนไปถึง...เพื่อให้ตัวเราอบอุ่นปลอดภัย...สุดท้ายจะไปสุดที่ว่า...เพราะคิดว่า..มีแล้วมันจะดีมีความสุข..

อยากมีบ้าน...เพราะคิดว่า..จะดีมีความสุข...นี้เอง

เราจึง...ลงมือสร่างบ้าน..หรือ..ไปซื้อบ้าน

อยากมีบ้าน....บ้านจึงมี...

อวิชชามี...สังขารถึงมี....ก็ด้วยอย่างนี้เอง...


อย่างนี้...เป็นต้น....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2012, 07:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ตัวอย่าง..นะครับ...

อยากมีบ้าน....

อยากมี....เป็นอาการแห่งอวิชชา....บ้านเป็นรูปสังขาร...อันนี้สมมุติเอาง่าย ๆ นะ

ก็ค้นดูว่า...ทำไมถึง...อยากมี...

ก็ไล่จากที่เห็นง่าย ๆ ก่อน..เช่น...ก็เพราะภรรยาต้องการ.....ใว้ให้ลูก ๆ ได้อยู่อาศัยอย่างปลอดภัย...ไม่ต้องเสียค่าเช่าห้องไปแบบเปล่า ๆ....ไล่ไปเรื่อย ๆ แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละท่าน....จนไปถึง...เพื่อให้ตัวเราอบอุ่นปลอดภัย...สุดท้ายจะไปสุดที่ว่า...เพราะคิดว่า..มีแล้วมันจะดีมีความสุข..

อยากมีบ้าน...เพราะคิดว่า..จะดีมีความสุข...นี้เอง

เราจึง...ลงมือสร่างบ้าน..หรือ..ไปซื้อบ้าน

อยากมีบ้าน....บ้านจึงมี...

อวิชชามี...สังขารถึงมี....ก็ด้วยอย่างนี้เอง...


อย่างนี้...เป็นต้น....



ท่านกบ พิจารณาตอนท่านกบเห็น อะไรครับ ตอนท่านกบเห็นทุกข์แล้วคือ เห็นตอนที่ท่านกบเครียด เหนื่อยใจ ที่ต้องหาเงิน หรือทำงานมากขึ้น หรือตอนที่ท่านกบ รู้สึกอยาก แล้วนำมาพิจารณา แต่ไม่ทั่นจะเครียด หรือพิจารณาตอน ได้ยินภรรยาพูด โดยรู้ว่า มันจะนำมาให้ซึ้งความทุกข์ หรือครับ

แล้วอันไหน คือ อวิชชา ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2012, 22:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กะจะต่ออยู่แล้วเชียว...ครับ

แต่กลับไปที่เดิมนิดหนึ่งก็ได้....

ตอนอยากมีบ้าน...แต่ยังไม่มี...ครับ

คุณฝึกจิต...เคยอยากมีอะไรกะเขาบ้างมั้ย?....อยากมีอันไหนก็ลองเอาอันนั้นมาพิจารณาดู....หรือย้อนไปตอนนั้นดูก็ได้...ว่าตอนอยากมี...นี้นะ....มันให้เหตุผลที่จะซื้อหรือ..ต้องเอามาอย่างไร?

หรือจะดูว่า...ของที่เรามีอยู่ทั้งหมดนี้....มีอะไรที่ซื้อที่หามาแต่....ไม่อยากมีบ้าง.....

และที่อยากมีของพวกนั้น...เพราะเราเห็นว่ามันเป็นคุณกับรูปกายเรา...ใช่มั้ย?

นอกจากจะเป็นคุณกับรูปแล้ว....บางทีก็ซื้อหามาเพราะมันจะช่วยเสริม..ลาภ..ยศ...สรรเสริญ...

ซึ่งเจ้า...ลาภ..ยศ..สรรเสริญ...ก็มีเพื่อรูป...

สุดท้าย..ก็มาเพื่อรูป...สุดที่รูป

ตอนอยากมี....มันจะสรรหาว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้....ภรรยาว่าไม่ดี...ก็หาวิธีหว่านล้อมให้เธอเห็นดีด้วยกับเรา...เรียกว่าชักแม่น้ำทั้ง 5 มาก็ยังทำ...

แต่...ความยากลำบากที่จะได้มามักไม่ค่อยพูดให้ภรรยาฟัง...ตนก็มักเลี่ยงที่จะไม่คิด...เอาความอยากความปรารถณากลบ ๆ ใว้...เดียวจะไม่ได้

นี้แหละ....ความอยากมีบ้าน...จึงทำให้มีบ้าน...

แต่หากว่า....เราเห็นความยากลำบาก..ความเหน็ดเหนื่อย....ของการมีบ้านเสียแต่แรก...แบบเห็นจริงนะ...บ้านของเราก็จักไม่เกิดขึ้นแน่นอน

นั้นคือ....หาก...เห็นทุกข์ของการมีสังขาร...สังขารก็ไม่เกิด...นี้เรียกว่า...จิตมีวิชชา

ก็เพราะมันไม่เห็นทุกข์นะซิ....นี้แหละจิตอวิชชา..

ทุกข์มีอยู่....ก็ไม่เห็นเป็นทุกข์

ถึงจะเห็น...ก็เห็นทุกข์เป็นสุข...

เห็นว่าการลำบากเหน็ดเหนื่อยเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว...เพราะมันถึงจะมีบ้านได้...

พวกเราคิดกันอย่างนี้มั้ย?

สังคนปัจจุบันคิดกันยังงัย?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2012, 22:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตอวิชชา...ดูได้ง่ายมาก..

ดูที่ไหน?

ก็ดูที่เรา...ณ..ปัจจุบันนี้แหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 00:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กะจะต่ออยู่แล้วเชียว...ครับ

แต่กลับไปที่เดิมนิดหนึ่งก็ได้....

ตอนอยากมีบ้าน...แต่ยังไม่มี...ครับ

คุณฝึกจิต...เคยอยากมีอะไรกะเขาบ้างมั้ย?....อยากมีอันไหนก็ลองเอาอันนั้นมาพิจารณาดู....หรือย้อนไปตอนนั้นดูก็ได้...ว่าตอนอยากมี...นี้นะ....มันให้เหตุผลที่จะซื้อหรือ..ต้องเอามาอย่างไร?

หรือจะดูว่า...ของที่เรามีอยู่ทั้งหมดนี้....มีอะไรที่ซื้อที่หามาแต่....ไม่อยากมีบ้าง.....

และที่อยากมีของพวกนั้น...เพราะเราเห็นว่ามันเป็นคุณกับรูปกายเรา...ใช่มั้ย?

นอกจากจะเป็นคุณกับรูปแล้ว....บางทีก็ซื้อหามาเพราะมันจะช่วยเสริม..ลาภ..ยศ...สรรเสริญ...

ซึ่งเจ้า...ลาภ..ยศ..สรรเสริญ...ก็มีเพื่อรูป...

สุดท้าย..ก็มาเพื่อรูป...สุดที่รูป

ตอนอยากมี....มันจะสรรหาว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้....ภรรยาว่าไม่ดี...ก็หาวิธีหว่านล้อมให้เธอเห็นดีด้วยกับเรา...เรียกว่าชักแม่น้ำทั้ง 5 มาก็ยังทำ...

แต่...ความยากลำบากที่จะได้มามักไม่ค่อยพูดให้ภรรยาฟัง...ตนก็มักเลี่ยงที่จะไม่คิด...เอาความอยากความปรารถณากลบ ๆ ใว้...เดียวจะไม่ได้

นี้แหละ....ความอยากมีบ้าน...จึงทำให้มีบ้าน...

แต่หากว่า....เราเห็นความยากลำบาก..ความเหน็ดเหนื่อย....ของการมีบ้านเสียแต่แรก...แบบเห็นจริงนะ...บ้านของเราก็จักไม่เกิดขึ้นแน่นอน

นั้นคือ....หาก...เห็นทุกข์ของการมีสังขาร...สังขารก็ไม่เกิด...นี้เรียกว่า...จิตมีวิชชา

ก็เพราะมันไม่เห็นทุกข์นะซิ....นี้แหละจิตอวิชชา..

ทุกข์มีอยู่....ก็ไม่เห็นเป็นทุกข์

ถึงจะเห็น...ก็เห็นทุกข์เป็นสุข...

เห็นว่าการลำบากเหน็ดเหนื่อยเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว...เพราะมันถึงจะมีบ้านได้...

พวกเราคิดกันอย่างนี้มั้ย?

สังคนปัจจุบันคิดกันยังงัย?


จิตคิดว่ารูปเป็นเรา เราก็เลยเป็นรูป จิตคิดว่า จิตเป็นเรา เราก็เลยเป็นจิตบ้าง

ทุกข์จากอุปทาน ท่านกบไม่เห็นหรือครับ ท่านกบจะไปเห็นทุกข์ของการมีสังขาร แล้วนั้น หากยังไม่บรรลุ อรหันต์ มันทำไม่ได้ทุกขณะจิตหรอกนะครับ ส่วนจะตัดได้บ้างนั้น ก็ต้องใช้ สติ มากเลยที่เดียว
จึงจะลดละเจตนา และ นมสิการ ได้ แต่นั้น ก็ยังไม่ใช่ วิชชา จริงๆด้วยซ้ำ วิชชาจริงเกิดเมื่อไหร่ เจตนาและนมสิการ จะกลายเป็น วิสังขาร ทันที่ นั้น มัน อรหันต์แล้ว ส่วนเราๆท่านๆอย่างมากก็ ขัดจังหวะหรือตัดช่วงผัสสะ ออกเท่านั้น ที่ง่ายกว่า ละเจตนา หรือ นมสิการ นะครับ
แต่นั้น อวิชชายังมีอยู่ ครับ

ทุกกระบวนการหรือทุกขั้น ของการเกิด นั้นคือ สังขาร สิ่งเดียวที่ จะทำให้เกิด วิสังขารนั้น ก็มีแต่ นิพพาน ครับ

แล้วอรหันต์ อยู่อย่างไรเล่า เมื่อสังขาร กลายเป็น วิสังขาร นั้นจะกล่าวได้ว่า วิสังขาร หากเป็นไปเพื่อทางโลกียธรรม วิสังขาร อาจมองว่า เป็นสังขารก็ได้ แต่ไม่ได้เกิดจากอวิชชา เกิดจาก วิชชา เพราะไม่ประกอบด้วยความยึดมั่นถือมั่น ในการกระทำทางโลก นั้น ครับ ดังนั้นเราๆท่านๆ จึงมองไม่ออกนักว่า พระอาจารย์ท่านใด บรรลุอรหันต์แล้ว

และการจะทำให้บรรลุอรหันต์นั้น ก็ต้องใช้วิปัสสนาญาณ หลายระดับควบคู่กันไป ซึ่ง การตัดกระแสปฏิจจสมุปบาท ทุกขณะจิต เพื่อลด อำนาจของกิเลส หรือลด อนุสัยนั้น ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของ วิปัสสนา ร่วมทั้งเห็น ขันธ์5 บ่อย จนเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ซึ่งการเห็นนั้น มันอยู่ที่ ปัจจุบันขณะ ซึ่งต้องมีสติ มาก่อนเสมอ ครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร