วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ค. 2025, 23:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 11:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมคุ่นๆว่ามีคนเคยบอกว่า พระพุทธองค์ทรงคิดค้น กระแสอิทัปัตยตา ปฏิจจสมุปบาท หลังจาก ตรัสรู้
มันเป็นการเข้าใจผิดมาก
พระพุทธองค์ทรงคิดพิจารณา ธรรมนี้ เริ่มจาก........ จนได้......... ก่อนตรัสรู้ จนได้กระแสกระแสอิทัปัตยตา ปฏิจจสมุปบาท จากนั้น ธรรมทั้งหลาย ที่พระพุทธองค์ ทรงพยายาม สอน ล้วนรวมลงที่ กระแสนี้

รู้บางมั้ยนิ วิปัสสนา เยอะๆ จะรวมลงเหลือ กำมือเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 11:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ถึงจะมีสิ่งอืนเข้ามาเป็นส่วนร่วมก็ถูกครับ แต่อย่างไรเราก็ไม่สามารถ ยับยั้งผัสสะไม่ให้เกิดได้อยู่ดี ถูกต้องครับเราสามารถทำได้ทุกขณะ แต่ในช่วงนั่งสมาธินั้น ทุกอย่างเป็นที่สุดของผัสสะครับเพราะสุขก็สุขที่สุด ทุกข์ก็ทุกที่สุด ถ้าเราวางอุเบกขากับสิ่งที่สุดได้ ก็วางได้กับทุกอย่างครับ มันตัวเดียวกัน


คุณบิกทู่ครับผมเห็นคุณพูด ผัสสะเอย อุเบกขาเอย
บอกช่วงทำสมาธิทุกอย่างเป็นที่สุดของผัสสะ
บอกวางอุบกขา ผมถามหน่อย คุณวางอุเบกขาอย่างไรครับ
แล้วไอ้ที่สุดของผัสสะมันเป็นอย่างไรครับ ผมว่าคุณกำลังเอาศัพท์เอาบัญญัติ
มาละเลงเล่นอยู่นะครับ
เมื่อเรานั่งสมาธิ เราจะได้สัมผัสถึงเวทนาสุขและทุกข์สลับเปลี่ยนอย่างนี้ตลอด ถ้าเราเข้าไปยินดีในสุขเวทนา เข้าไปยินร้ายในทุกข์เวทนา เท่ากับเราได้สร้างปรุงแต่งสังขาร เพิ่มพูลกิเลส ไม่สิ้นสุด แต่ถ้าเราไม่เข้าไปปรุงแต่งกับความรู้สึกเหล่านั้นด้วยปัญญาที่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นและดับไป และในไม่นานสภาวะนั้นก็จะปรากฎจริงสุขก็จางหายเปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างแรงกล้าเราเฝ้าดูมันด้วยใจเป็นกลาง(อุเบกขา)ไม่นานนักมันก็จะจางหายไปเอง เหลือแต่แรงสั่นสะเทือน เท่ากับเราได้อยู่เหนือเวทนาทั้งหลาย ฝึกอย่างนี้ปล่อยๆกิเลสที่สะสมอยู่ก็จะค่อยลุดลอยขึ้นมาและก็จะสลายไป เพราะเราไม่ปรุงแต่ง อย่างนี้เรียกภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เห็นและสัผัสความเกิดและความดับจริง ไม่ได้คิดเอา หรือเรียกว่าลงมือลิ้มรสแกงนั้นเอง และท่านใดยังไม่เคยสัมผัสรสแกงนี้ ก็ลงมือได้เลย :b43: :b43: :b43:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 14:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ก็โง่อยู่กับ สัญญาเดิมๆ เลยมืดบอด นั้นละ อวิชชา :b32: :b32: :b32:

เอาเหตุผลมาคุยกันดีกว่าครับ
มันหมดยุคหมดสมัยแล้ว
กับสำนวนด่าทอประชดประชัน :b13:



ท่านเคยเอาประโยคนี้ ไปบอกตัวเองมั้ยครับ s006

เอางี้แล้วกันครับเถียงกันไปก็เปล่าประโยชน์ เอาเป็นว่า..
ถ้าผมไปเจอความเห็นใดของคุณ แล้วผมไม่เห็นด้วย
ผมจะแสดงความเห็นในกระทู้หรือความเห็นคุณครับ
ส่วนคุณจะทำแบบผมก็ได้ครับผมไม่ว่าอะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เมื่อเรานั่งสมาธิ เราจะได้สัมผัสถึงเวทนาสุขและทุกข์สลับเปลี่ยนอย่างนี้ตลอด ถ้าเราเข้าไปยินดีในสุขเวทนา เข้าไปยินร้ายในทุกข์เวทนา เท่ากับเราได้สร้างปรุงแต่งสังขาร เพิ่มพูลกิเลส ไม่สิ้นสุด

สิ่งแรกเลยครับผมถามครับ คุณแน่ใจได้อย่างไรครับว่า ตัวที่คุณพูดถึงคือตัวเวทนา
แล้วที่บอกสุขกับทุกข์นี่ คุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเวทนา ที่สำคัญที่สุดก็คือ
สภาวะสุขหรือทุกข์คุณรู้หรือครับว่าเป็นอย่างไร
bigtoo เขียน:
แต่ถ้าเราไม่เข้าไปปรุงแต่งกับความรู้สึกเหล่านั้นด้วยปัญญาที่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นและดับไป :

แน่ใจหรือครับว่าที่คุณพูดว่าไม่ปรุงแต่งด้วยปัญญา แน่ใจแล้วหรือว่าที่พูดมา
เป็นปัญญาไม่ใช่ความคิด ถ้าคุณเชื่อมั่นตัวเองว่าเป็นปัญญา ผมถามครับว่า
ใช้ปัญญาอย่างไรครับ ใช้เมื่อเกิดเวทนาหรือก่อนหลังอย่างไรครับ
bigtoo เขียน:
และในไม่นานสภาวะนั้นก็จะปรากฎจริงสุขก็จางหายเปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างแรงกล้าเราเฝ้าดูมันด้วยใจเป็นกลาง(อุเบกขา)ไม่นานนักมันก็จะจางหายไปเอง

ถามย่ำอีกทีครับใจเป็นกลางนี่มันอย่างไรครับ สงสัยคุณไม่เข้าใจคำถาม
ผมเกริ่นให้ก็ได้จะได้ไม่เสียเวลา คุณใช้ธรรมหรือสภาวะธรรมตัวไหนมาทำใจให้
เป็นอุเบกขาหรือเป็นกลางครับ
bigtoo เขียน:
เหลือแต่แรงสั่นสะเทือน เท่ากับเราได้อยู่เหนือเวทนาทั้งหลาย ฝึกอย่างนี้ปล่อยๆกิเลสที่สะสมอยู่ก็จะค่อยลุดลอยขึ้นมาและก็จะสลายไป เพราะเราไม่ปรุงแต่ง อย่างนี้เรียกภาวนามยปัญญา

อยากถามครับ เห็นคุณพูดบ่อยๆว่าไม่ปรุงแต่งนี่ อยากรู้ครับ
การปรุงแต่งมันก่อนตอนช่วงไหนของขันธ์ห้าครับ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ปรุงแต่ง
bigtoo เขียน:
ปัญญาที่เห็นและสัผัสความเกิดและความดับจริง ไม่ได้คิดเอา หรือเรียกว่าลงมือลิ้มรสแกงนั้นเอง และท่านใดยังไม่เคยสัมผัสรสแกงนี้ ก็ลงมือได้เลย :b43: :b43: :b43:

ถามหน่อยครับไอ้ปัญญาที่คุณว่า มันมีก่อนทำสมาธิหรือหลังครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 16:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ถึงจะมีสิ่งอืนเข้ามาเป็นส่วนร่วมก็ถูกครับ แต่อย่างไรเราก็ไม่สามารถ ยับยั้งผัสสะไม่ให้เกิดได้อยู่ดี ถูกต้องครับเราสามารถทำได้ทุกขณะ แต่ในช่วงนั่งสมาธินั้น ทุกอย่างเป็นที่สุดของผัสสะครับเพราะสุขก็สุขที่สุด ทุกข์ก็ทุกที่สุด ถ้าเราวางอุเบกขากับสิ่งที่สุดได้ ก็วางได้กับทุกอย่างครับ มันตัวเดียวกัน


คุณบิกทู่ครับผมเห็นคุณพูด ผัสสะเอย อุเบกขาเอย
บอกช่วงทำสมาธิทุกอย่างเป็นที่สุดของผัสสะ
บอกวางอุบกขา ผมถามหน่อย คุณวางอุเบกขาอย่างไรครับ
แล้วไอ้ที่สุดของผัสสะมันเป็นอย่างไรครับ ผมว่าคุณกำลังเอาศัพท์เอาบัญญัติ
มาละเลงเล่นอยู่นะครับ
เมื่อเรานั่งสมาธิ เราจะได้สัมผัสถึงเวทนาสุขและทุกข์สลับเปลี่ยนอย่างนี้ตลอด ถ้าเราเข้าไปยินดีในสุขเวทนา เข้าไปยินร้ายในทุกข์เวทนา เท่ากับเราได้สร้างปรุงแต่งสังขาร เพิ่มพูลกิเลส ไม่สิ้นสุด แต่ถ้าเราไม่เข้าไปปรุงแต่งกับความรู้สึกเหล่านั้นด้วยปัญญาที่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นและดับไป และในไม่นานสภาวะนั้นก็จะปรากฎจริงสุขก็จางหายเปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างแรงกล้าเราเฝ้าดูมันด้วยใจเป็นกลาง(อุเบกขา)ไม่นานนักมันก็จะจางหายไปเอง เหลือแต่แรงสั่นสะเทือน เท่ากับเราได้อยู่เหนือเวทนาทั้งหลาย ฝึกอย่างนี้ปล่อยๆกิเลสที่สะสมอยู่ก็จะค่อยลุดลอยขึ้นมาและก็จะสลายไป เพราะเราไม่ปรุงแต่ง อย่างนี้เรียกภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เห็นและสัผัสความเกิดและความดับจริง ไม่ได้คิดเอา หรือเรียกว่าลงมือลิ้มรสแกงนั้นเอง และท่านใดยังไม่เคยสัมผัสรสแกงนี้ ก็ลงมือได้เลย :b43: :b43: :b43:


ในสมาธิ มันเห็นชัด เพราะจิตไม่ฟุ้งซ้าน การไหลไปของสมาธิจนได้ สัมมาสมาธิ คือ อุเบกขา จนเกิด สติบริสุทธฺ์ จากนั้นก็จะสามารถ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งนอกใน ตามความเป็นจริง ได้ดีที่สุดและ การกระทำในรูปแบบ ยังปฏิบัติไว้ ให้เกิดกำลัง หรือเป็นการฝึกซ้อม เอาไว้ใช้ในการ วิปัสสนาในชีวิตประจำวัน ด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 16:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
[quote
ในสมาธิ มันเห็นชัด เพราะจิตไม่ฟุ้งซ้าน การไหลไปของสมาธิจนได้ สัมมาสมาธิ คือ อุเบกขา จนเกิด สติบริสุทธฺ์ จากนั้นก็จะสามารถ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งนอกใน ตามความเป็นจริง ได้ดีที่สุดและ การกระทำในรูปแบบ ยังปฏิบัติไว้ ให้เกิดกำลัง หรือเป็นการฝึกซ้อม เอาไว้ใช้ในการ วิปัสสนาในชีวิตประจำวัน ด้วยครับ
วิปัสนาในชีวิตประจำวันเป็นการปิดกั้นมิให้กิเลสมิให้ทำกิจสำเร็จ แต่วิปัสนาที่ท่านเรียกว่าในรูปแบบนั้น เป็นการกำจัดกิเลสโดยตรงครับ เพราะเข้าไปขุดลึกถึงอนุสัยครับ ตรงนี้ท่านจะเห็นตัวเองมากที่สุดท่านอาจจะไม่เชื่อตัวท่านเองเลย ความคิดที่ชั่วร้ายจะออกมามากมาย เพราะเราได้เข้าไปเขย่ามันถึงรังเลยทีเดียว ดูอานาปานสติสิครับ เมื่อจิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น:b43: :b43: :b43:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 17:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
[quote
ในสมาธิ มันเห็นชัด เพราะจิตไม่ฟุ้งซ้าน การไหลไปของสมาธิจนได้ สัมมาสมาธิ คือ อุเบกขา จนเกิด สติบริสุทธฺ์ จากนั้นก็จะสามารถ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งนอกใน ตามความเป็นจริง ได้ดีที่สุดและ การกระทำในรูปแบบ ยังปฏิบัติไว้ ให้เกิดกำลัง หรือเป็นการฝึกซ้อม เอาไว้ใช้ในการ วิปัสสนาในชีวิตประจำวัน ด้วยครับ


วิปัสนาในชีวิตประจำวันเป็นการปิดกั้นมิให้กิเลสมิให้ทำกิจสำเร็จ แต่วิปัสนาที่ท่านเรียกว่าในรูปแบบนั้น เป็นการกำจัดกิเลสโดยตรงครับ เพราะเข้าไปขุดลึกถึงอนุสัยครับ ตรงนี้ท่านจะเห็นตัวเองมากที่สุดท่านอาจจะไม่เชื่อตัวท่านเองเลย ความคิดที่ชั่วร้ายจะออกมามากมาย เพราะเราได้เข้าไปเขย่ามันถึงรังเลยทีเดียว ดูอานาปานสติสิครับ เมื่อจิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น:b43: :b43: :b43:



ในชีวิตประจำวันท่าน ปิดกั้นกิเลส ได้สำเร็จ หรือครับ
ท่านดับอนุสัย ได้แล้วหรือครับ
ตอนนั่ง สมาธิ ความคิดชั่วร้ายออกมา ด้วยหรือครับ แล้วมันเป็นสมาธิ ยังงัย
ตอนนั่งสมาธิ ท่านเห็นลมตลอดหรือ
ตอนท่านวิปัสสนา ท่านเห็นลมหายใจตลอดหรือ
แบบนี้ ใครจะหลุดพ้นก็เฉพาะตอนนั่งสมาธิ หรือ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
[quote="ถามหน่อยครับไอ้ปัญญาที่คุณว่า มันมีก่อนทำสมาธิหรือหลังครับ :b43: :b43: :b43:
:b13:[/quote] ปัญญาที่เรียกว่สุตตะ จินตามันมีมาก่อนการนั่งสมาธิวิปัสนาซิครับแต่มันอ่อนเกินไปในการจะตัดกิเลส เราจึงใช้ปัญญาที่อ่อนพัฒนาให้ปัญญาแข็งแกร่งขี้นด้วยอุเบกขาจนประจักษ์กับความจริง ขนาดความเจ็บปวดที่แรงกล้าก็มีอาการเปลี่ยนแปลงไปได้เท่ากับเราอยู่เหนือเวทนา(เรียกว่าภาวนามยปัญญาที่แท้จริง) จิตที่อยู่เหนือเวทนาได้เป็นจิตที่ไม่หวั่นกิเลสหรอกครับเรื่องเล็กน้อยผู้คนที่ผ่านตรงนี้ได้เขาถึงลดละอะไรได้มากมาย เพราะเขาอยู่เหนือความเจ็บปวดได้ ส่วนสุขนั้นยากหน่อยๆใครๆก็ปราถนาความสุขอุเบกขายาก ส่วนคำถามอื่นขอไม่ตอบนะครับตอบกันมามากแล้ว เพราะท่านก็ดูพอจะเข้าใจว่า ผมกระทำสิ่งไหนในวงจรปฎิจสมุปบาทอยู่ครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 22 ก.ค. 2012, 19:01, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
[quote="

ในชีวิตประจำวันท่าน ปิดกั้นกิเลส ได้สำเร็จ หรือครับ
ท่านดับอนุสัย ได้แล้วหรือครับ
ตอนนั่ง สมาธิ ความคิดชั่วร้ายออกมา ด้วยหรือครับ แล้วมันเป็นสมาธิ ยังงัย
ตอนนั่งสมาธิ ท่านเห็นลมตลอดหรือ
ตอนท่านวิปัสสนา ท่านเห็นลมหายใจตลอดหรือ
แบบนี้ ใครจะหลุดพ้นก็เฉพาะตอนนั่งสมาธิ หรือ

:b8:
ในชีวิตประจำวันท่าน ปิดกั้นกิเลส ได้สำเร็จ หรือครับ ? แน่นอนครับปิดกั้นไม่สำเร็จแน่นอนได้แค่ขั่วขณะก็ดีแล้ว แล้วแต่สติจะเกิด
ท่านดับอนุสัย ได้แล้วหรือครับ ? ยังไม่หมดครับครับ เพียงแต่เข้าไปถึงอนุสัยครับ
ตอนนั่ง สมาธิ ความคิดชั่วร้ายออกมา ด้วยหรือครับ แล้วมันเป็นสมาธิ ยังงัย ? ตอนนั่งสมาธิต่างจากสมาธิเกิดนะครับ ตอนนั่งนั้นอกุศลเกิดสลับกับกุศลได้ครับ แต่ถ้าสมาธิถึงปฐมฌานอกุศลเกิดไม่ได้ครับ
ตอนนั่งสมาธิ ท่านเห็นลมตลอดหรือ ?ไม่ตลอดหรอกครับรู้สึกตัวก็กลับมาดูต่อครับ สมาธิไม่จำเป็นดูลมอย่างเดียวครับเอาจิตจับตรงไหนก็ได้ขอให้เป็นจุดเดียว เช่นหน้าผาก กลางกระหม่อมก็ได้ครับหรือส่วนอิ่นๆ
ตอนท่านวิปัสสนา ท่านเห็นลมหายใจตลอดหรือ ? สติเรายังไม่สมบูรณ์ขนาดที่จะระลึกรู้ได้ตลอดครับแต่แทงตลอดได้ครับอาศัยช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้นเองในขณะนั้นเกิดปฐมฌานครับ สติสมบูรณ์นั้นต้องเป็นพระอรหันต์ครับไม่ต้องระลึกแล้วครับ
แบบนี้ ใครจะหลุดพ้นก็เฉพาะตอนนั่งสมาธิ หรือ ?ไม่เสมอไปครับ แต่สวนใหญ่เป็นท่านั่งครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
แต่ถ้าสมาธิถึงปฐมฌานอกุศลเกิดไม่ได้ครับ

คุนน้องอยากได้คำอธิบายประโยคนี้อย่างละเอียดทีเจ้าค่ะ คือท่านคงเป็นนักปฏิบัติคุนน้องอยากทราบว่าเพราะเหตุใดหรือเจ้าค่ะ อกุศลถึงไม่เกิดกับคนที่ทำสมาธิระดับปฐมฌานขึ้นไป แสดงว่าคนที่จิตอกุศลจะไม่สามารถเข้าถึงปฐมฌานได้อย่างงั้นหรือเจ้าค่ะ :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
แต่ถ้าสมาธิถึงปฐมฌานอกุศลเกิดไม่ได้ครับ

คุนน้องอยากได้คำอธิบายประโยคนี้อย่างละเอียดทีเจ้าค่ะ คือท่านคงเป็นนักปฏิบัติคุนน้องอยากทราบว่าเพราะเหตุใดหรือเจ้าค่ะ อกุศลถึงไม่เกิดกับคนที่ทำสมาธิระดับปฐมฌานขึ้นไป แสดงว่าคนที่จิตอกุศลจะไม่สามารถเข้าถึงปฐมฌานได้อย่างงั้นหรือเจ้าค่ะ :b10:
จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเรียกว่าเอกคตาจะตั้งมั่นอยู่กับองค์4คือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข อกุศลไม่สามรแทรกได้ครับ ส่วนเรื่องคนที่มีจิตอกุศลนั้นไม่เกี่ยวหรอกครับคนทุกคนมีอกุศลกันทั้งนั้นและ ฌานสามารถทำขึ้นมาได้ทุกคน ยากง่ายแล้วแต่ สะสมมา และก็ความเพียรพยายามครับ คนที่จะทำฌานนี้เริ่มจากการเห็นโทษของอกุศลก่อนถึงจะเป็นสัมมาฌานครับ มิได้อยากได้ฌานเพราะมันเป็นของวิเศษเพื่อจะแสดงฤทธิ์ครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 19:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน bigtoo ช่วยบอกวิธีเข้าถึง อนุสัย และขุดมัน ให้หน่อยซิครับ มันเข้าไปยังไง แล้วมันอยู่ในจิตเราตลอดหรือครับ คืออยากทำเป็นบ้างนะครับ

และไอ้คำว่า เอกัคคัตตา รมณ์ นั้น ผมว่า มันเป็น อุเบกขารมณ์ อย่างเดียวไม่ใช่หรือครับท่าน

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
แต่ถ้าสมาธิถึงปฐมฌานอกุศลเกิดไม่ได้ครับ

คุนน้องอยากได้คำอธิบายประโยคนี้อย่างละเอียดทีเจ้าค่ะ คือท่านคงเป็นนักปฏิบัติคุนน้องอยากทราบว่าเพราะเหตุใดหรือเจ้าค่ะ อกุศลถึงไม่เกิดกับคนที่ทำสมาธิระดับปฐมฌานขึ้นไป แสดงว่าคนที่จิตอกุศลจะไม่สามารถเข้าถึงปฐมฌานได้อย่างงั้นหรือเจ้าค่ะ :b10:
จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเรียกว่าเอกคตาจะตั้งมั่นอยู่กับองค์4คือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข อกุศลไม่สามรแทรกได้ครับ ส่วนเรื่องคนที่มีจิตอกุศลนั้นไม่เกี่ยวหรอกครับคนทุกคนมีอกุศลกันทั้งนั้นและ ฌานสามารถทำขึ้นมาได้ทุกคน ยากง่ายแล้วแต่ สะสมมา และก็ความเพียรพยายามครับ คนที่จะทำฌานนี้เริ่มจากการเห็นโทษของอกุศลก่อนถึงจะเป็นสัมมาฌานครับ มิได้อยากได้ฌานเพราะมันเป็นของวิเศษเพื่อจะแสดงฤทธิ์ครับ

แต่คุนน้องก็เห็นประเภทที่ทำฌาน มุ่งไปที่ฝึกในด้านมีอิทธิฤทธิ์ อภิญญา หูทิพย์ ตาทิพย์แต่ไม่ได้หวังจะตัดกิเลศ
แบบนี้แทนที่จะฝึกสมาธิเพื่อลดกิเลศ แต่คุนน้องว่ากลับยิ่งจะเพิ่มกิเศมากขึ้นอีก เห็นเขาคุยเป็นตุเป็นตะเรื่องเห็นนรกเห็นสวรรค์ คุนน้องก็สงสัยว่า อืมดีจังคนอื่นทำสมาธิก้าวหน้าจนเห็นนรกสวรรค์ แต่คุนน้องก็ไม่เคยเห็นนะเจ้าค่ะ คุนน้องแบบ สุขวิปัสโก ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น เพราะแค่นี้กิเลศเจ้ามานะก็พุงกระฉูดอยู่แล้ว ขืนให้มาเห็นนรกสวรรค์ถึงจะเห็นจริงหรือปรุงแต่งคุนน้องก็ไม่อยากเห็นนะเพราะกลัว กลัวใจตัวเองจะหลงอยู่ในภูมินั้น ดาบสองคมชัดๆเลยแบบนี้ :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
[quote=
แต่คุนน้องก็เห็นประเภทที่ทำฌาน มุ่งไปที่ฝึกในด้านมีอิทธิฤทธิ์ อภิญญา หูทิพย์ ตาทิพย์แต่ไม่ได้หวังจะตัดกิเลศ
แบบนี้แทนที่จะฝึกสมาธิเพื่อลดกิเลศ แต่คุนน้องว่ากลับยิ่งจะเพิ่มกิเศมากขึ้นอีก เห็นเขาคุยเป็นตุเป็นตะเรื่องเห็นนรกเห็นสวรรค์ คุนน้องก็สงสัยว่า อืมดีจังคนอื่นทำสมาธิก้าวหน้าจนเห็นนรกสวรรค์ แต่คุนน้องก็ไม่เคยเห็นนะเจ้าค่ะ คุนน้องแบบ สุขวิปัสโก ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น เพราะแค่นี้กิเลศเจ้ามานะก็พุงกระฉูดอยู่แล้ว ขืนให้มาเห็นนรกสวรรค์ถึงจะเห็นจริงหรือปรุงแต่งคุนน้องก็ไม่อยากเห็นนะเพราะกลัว กลัวใจตัวเองจะหลงอยู่ในภูมินั้น ดาบสองคมชัดๆเลยแบบนี้ :b5:
มันก็ถูกของคุณน้องนั้นและครับถ้าปฏิบัติเพื่ออวดอ้างถ้าไม่มุ่งหวังนิพพาน ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้แหละ แต่พระอรหันต์แบบสุขวิปัสก ก็นั่งสมาธินะครับ ไม่ใช่ไม่นั่ง แต่ว่าท่านเอาปัญญานำเท่านั้นเอง (หมายความว่าอย่างไรหมายความว่าเขาพิจารณารูปนามสภาพธรรมตามความเป็นจริงเห็นไตรลักษณ์ชัดเจนจิตเป็นสมาธิอย่างน้อยในระดับปฐมฌานอาจจะใช้เวลาสั้นๆ แต่ไม่สามารถเข้าฌานได้อีกเลยก็ได้ไม่มีญาณวิเศษใดๆ นอกจากรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป (อาสวักขยญาณ) อย่างเดียว(จัดอยู่ในประเภทพระวิปัสสนยานิก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน แล้วได้ฌานในภายหลัง )ส่วนผู้ที่ปฎิบัติแบบสมถะนำนั้นส่วนใหญ่จัดอยู่ใน(พระสมถยานิก ผู้เจริญสมถะกรรมฐาน จนได้ฌานก่อนแล้ว จึงเจริญวิปัสสนาต่อ)

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 21:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ท่าน bigtoo ช่วยบอกวิธีเข้าถึง อนุสัย และขุดมัน ให้หน่อยซิครับ มันเข้าไปยังไง แล้วมันอยู่ในจิตเราตลอดหรือครับ คืออยากทำเป็นบ้างนะครับ

และไอ้คำว่า เอกัคคัตตา รมณ์ นั้น ผมว่า มันเป็น อุเบกขารมณ์ อย่างเดียวไม่ใช่หรือครับท่าน

:b8:



รอคอยวิชา ขุด อนุสัย อยู่กาบ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร