วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 19:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ท่าน bigtoo ช่วยบอกวิธีเข้าถึง อนุสัย และขุดมัน ให้หน่อยซิครับ มันเข้าไปยังไง แล้วมันอยู่ในจิตเราตลอดหรือครับ คืออยากทำเป็นบ้างนะครับ

และไอ้คำว่า เอกัคคัตตา รมณ์ นั้น ผมว่า มันเป็น อุเบกขารมณ์ อย่างเดียวไม่ใช่หรือครับท่าน

:b8:



รอคอยวิชา ขุด อนุสัย อยู่กาบ :b8:
เอาที่ผมสัผัสได้นะครับไม่เอาตามตำรา เอกคตาจิตนั้นจิตจะอยู่ในอารมณเดียว แต่ยังมีลมหายใจอยู่ รู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกได้ มีความอิ่มใจ มีความสุข ส่วนอุเบกขารมณ์นั้น ตัดวิตก วิจารณ์(ลมหายใจดับไปแล้วไม่รู้เข้าหรืออก) ปิติ สุข ก็ดับด้วย จิตคงอุเบกขาล้วนมีแต่สภาพรู้ มีแต่ความสว่าง แต่คิดอะไรไม่ออกครับฌาน4ครับ ส่วนเรื่องการเข้าถึงอนุสัยนั้น ผมได้ให้ไปฟังเอาที่กระทู้พม่าดินแดนอัศจรรย์ดีกว่าครับ ลองฟังดู

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 21:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 22:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าลืมความเพียรชอบ 4 ซิครับเพื่อน ๆ เอยย....

สังวรปทาน.....ระวังอกุศลที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิด....
กิเลสที่ผุดขึ้นมาห้ามไม่ได้แต่อกุศลห้ามไม่ให้เกิดได้...แสดงว่ายังมีอะไรที่แตกต่างกันอยู่บ้างระหว่างกิเลสกับอกุศล?...ว่ามั้ย

และมาที่ข้อ 2 ....ก็จะเห็นได้ชัดว่า...อกุศลคืออะไร

ปหานปทาน....ชำระอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป....

ผมเคยได้ยินมาว่า...อาสวะคือกิเลสที่ตกตะกอน....

หากมันฟุ้งขึ้นมา(ธรรมารมณ์)...มาเป็นกิเลสอีกรอบแล้วก็ตกลงไปอีกเป็นอาสวะวนหลาย ๆ รอบ...ก็กลายเป็นอุปนิสัยของคน ๆ นั้น ได้....

อีกเรื่อง.....ผัสสะแล้วเกิดเวทนา..เป็นเรื่องปกติ....แต่ความไม่ปกติก็มีขึ้นได้...หากมีใครทราบว่า...อรูปฌาณเขาบริกรรมว่าอย่างไรแล้ว.....จะรู้ว่านั้นแหละ...เขากำลังปฏิเสธความมีอยู่ด้วยการปิดความรู้สึกนึกคิด....

ผัสสะแล้ว..ไม่มีสุขเวทนา...ทุกขเวทนา...อทุกขมสุขเวทนา...ทำได้..ด้วยการตั้งเจตนาแห่งการปฏิเสธใว้

แต่ไม่ได้พ้นทุกข์นะครับ...แค่หนีทุกข์ชั่วคราว

ทำไมถึงว่าชั่วคราว?...ก็เพราะว่า...เจตนาที่ตั้งใว้...มันตั้งขึ้นได้มันก็สลายลงได้..

เป็นไปตามกฎธรรมดาที่ว่า...สิ่งใดที่ตั้งขึ้น...เกิดขึ้น...สิ่งนั้นต้องสลายไปดับไปเป็นธรรมดา...

เมื่อเจตนาสลายไป....เวทนาก็กลับมามีเหมือนเดิม

ที่รูปฌาณ..และ..อรูปฌาณยังไม่เป็นสัมมาสมาธิก็เพราะด้วยเหตุนี้แหละครับ....
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
[quote="ถามหน่อยครับไอ้ปัญญาที่คุณว่า มันมีก่อนทำสมาธิหรือหลังครับ :b43: :b43: :b43::
ปัญญาที่เรียกว่สุตตะ จินตามันมีมาก่อนการนั่งสมาธิวิปัสนาซิครับแต่มันอ่อนเกินไปในการจะตัดกิเลส เราจึงใช้ปัญญาที่อ่อนพัฒนาให้ปัญญาแข็งแกร่งขี้นด้วยอุเบกขาจนประจักษ์กับความจริง ขนาดความเจ็บปวดที่แรงกล้าก็มีอาการเปลี่ยนแปลงไปได้เท่ากับเราอยู่เหนือเวทนา(เรียกว่าภาวนามยปัญญาที่แท้จริง) จิตที่อยู่เหนือเวทนาได้เป็นจิตที่ไม่หวั่นกิเลสหรอกครับเรื่องเล็กน้อยผู้คนที่ผ่านตรงนี้ได้เขาถึงลดละอะไรได้มากมาย เพราะเขาอยู่เหนือความเจ็บปวดได้ ส่วนสุขนั้นยากหน่อยๆใครๆก็ปราถนาความสุขอุเบกขายาก ส่วนคำถามอื่นขอไม่ตอบนะครับตอบกันมามากแล้ว เพราะท่านก็ดูพอจะเข้าใจว่า ผมกระทำสิ่งไหนในวงจรปฎิจสมุปบาทอยู่ครับ


อะไรกันครับที่ว่าตอบกันมามากแล้ว ผมยังไม่ได้รับความกระจ่างจากคุณเลยครับ
ไอ้ที่คุณพูดมาทั้งหมด มันก็แค่ไปจำเอาบัญญัติมา แล้วก็มาเรียงโน้นผสมนี้ตามจินตนาการ
ไม่รู้สภาวะจริง ธรรมชาติของขันธ์ห้าเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ บัญญัติบางคำทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
ก็โมเมใส่เข้ามา อย่างเช่น บอกว่าอยู่เหนือเวทนา อยู่เหนือความเจ็บปวด แบบนี้ก็รู้แล้วครับ
ว่าไม่รู้เรื่อง กระบวนการขันธ์ห้า กฎอิทัปปัจยตา

เวทนาเป็นหนึ่งในกระบวนการเกิดดับของจิต เกิดดับที่ละดวง เวทนาก็คือ
จิตดวงหนึ่งที่เกิดดับ ความหมายก็คือ เวทนาก็คือจิตเราเอง
แล้วคุณมาบอกได้ไงครับว่าอยู่เหนือเวทนา ก็ในเมื่อจิตเป็นเวทนาอยู่จิตจะอยู่เหนือจิตได้อย่างไร

เมื่อเกิดผัสสะใดขึ้น ย่อมมีวิญญาณขันธ์ เมื่อวิญญาณขันธ์ดับไปย่อมมีเวทนาตามมา
บางครั้งเมื่อเกิดเวทนาขึ้น เราจะรู้สึกเฉยๆ ที่เป็นแบบนี้เพราะทวารรับความรู้สึกเรามีถึง
หกทราร มันมีการบังคับผัสสะให้จดจ่ออยู่กับผัสสะตัวอื่น นั้นก็คือไปปรุงแต่งผัสสะเวทนาตัวอื่น
แทนที่จะปรุงแต่งเวทนาที่แรงๆตัวนั้น ลักษณะแบบนี้ถ้าไม่มีปัญญาสัมมาทิฐินำหน้า ท่านว่า
กำลังหลงกิเลสครับ

แล้วไอ้สุขทุกข์อะไรที่คุณว่า มันไม่ใช่ตัวเวทนานะครับ
สุขทุกข์มันเป็นสังขารขันธ์ มันเป็นการปรุงแต่ง

แล้วไอ้ตัวปัญญาที่ถามไปมันไม่ใช่ปัญญาที่คุณบอกครับ
สิ่งที่คุณบอกมามันไม่ใช่ มิหน่ำซ้ำคุณยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณบอกด้วย
ไอ้สุตตะ จินตะและภาวนาถ้ายังเป็นปุถุชนอยู่ ปัญญาที่เกิดจากพวกนี้มันก็คือเป็นความคิด
ไม่ได้เกิดจากเห็นสภาวะตามความเป็นจริง

ถามครับคุณไปทำอะไรกับวงปฏิจสมุบาทครับ
การปฎิบัติในเรื่องอริยมรรค เรื่องวิชชา เขาปฏิบัติกันที่ขันธ์ห้านะครับ


ผมตอบแค่นี้ เพราะความเห็นคุณมันเป็นลักษณะจินตนาการ
ไม่มีหลักการที่ว่าด้วยเหตุปัจจัยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 04:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เอาที่ผมสัผัสได้นะครับไม่เอาตามตำรา เอกคตาจิตนั้นจิตจะอยู่ในอารมณเดียว แต่ยังมีลมหายใจอยู่ รู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกได้ มีความอิ่มใจ มีความสุข ส่วนอุเบกขารมณ์นั้น ตัดวิตก วิจารณ์(ลมหายใจดับไปแล้วไม่รู้เข้าหรืออก) ปิติ สุข ก็ดับด้วย จิตคงอุเบกขาล้วนมีแต่สภาพรู้ มีแต่ความสว่าง แต่คิดอะไรไม่ออกครับฌาน4ครับ ส่วนเรื่องการเข้าถึงอนุสัยนั้น ผมได้ให้ไปฟังเอาที่กระทู้พม่าดินแดนอัศจรรย์ดีกว่าครับ ลองฟังดู

ผมว่าบิกทู่สับสนอยู่นะครับ มันเละทั้งสภาวะจริงเละทั้งบัญญัติ
ไอ้ที่บอกว่าไม่เอาตามตำรา ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เป็นเพราะคุณอ่านตำราไม่
เข้าใจหรืออ่านแล้วไม่รู้เรื่อง

บอกว่า"จิตอยู่ในอารมณ์เดียว แต่รู้สึกถึงลมหายใจ" มันอารมณ์เดียวอะไรของคุณครับ
ถ้าเรายังรู้ลมหายใจเข้าออก มันยังไม่ใช่เอกคตานะครับ แบบนี้ท่านเรียกว่า วิตก วิจารณ์
มันยังไม่ได้ไปไหนเลยครับ

แล้วบอกตัดโน้นตัดนี้ ด้วยอุเบกขารมณ์ ผมถามครับคุณกำลังทำอะไรอยู่ครับ
อุเบกขาโผล่มาได้ยังไง แล้วเอกคตาหายไปได้อย่างไร

ไอ้เอกคตากับอุเบกขารมณ์ของคุณทำไมมันแย่งกันผลุบๆโผล่ๆครับ
แนะนำครับ ให้คุณไปลองศึกษาและค่อยๆภาวนาในเรื่องโพชฌงค์เจ็ดดูครับ

อีกนิดครับ การจะปฏิบัติโพชฌงค์ต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิก่อนนะครับ
ไม่งั้นไม่รู้เรื่อง แต่ไม่เป็นไรศึกษาไปพลางๆก่อนก็ได้ จะได้หยุดสร้างจินตนาการครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 06:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
เอาที่ผมสัผัสได้นะครับไม่เอาตามตำรา เอกคตาจิตนั้นจิตจะอยู่ในอารมณเดียว แต่ยังมีลมหายใจอยู่ รู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกได้ มีความอิ่มใจ มีความสุข ส่วนอุเบกขารมณ์นั้น ตัดวิตก วิจารณ์(ลมหายใจดับไปแล้วไม่รู้เข้าหรืออก) ปิติ สุข ก็ดับด้วย จิตคงอุเบกขาล้วนมีแต่สภาพรู้ มีแต่ความสว่าง แต่คิดอะไรไม่ออกครับฌาน4ครับ ส่วนเรื่องการเข้าถึงอนุสัยนั้น ผมได้ให้ไปฟังเอาที่กระทู้พม่าดินแดนอัศจรรย์ดีกว่าครับ ลองฟังดู

ผมว่าบิกทู่สับสนอยู่นะครับ มันเละทั้งสภาวะจริงเละทั้งบัญญัติ
ไอ้ที่บอกว่าไม่เอาตามตำรา ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เป็นเพราะคุณอ่านตำราไม่
เข้าใจหรืออ่านแล้วไม่รู้เรื่อง

บอกว่า"จิตอยู่ในอารมณ์เดียว แต่รู้สึกถึงลมหายใจ" มันอารมณ์เดียวอะไรของคุณครับ
ถ้าเรายังรู้ลมหายใจเข้าออก มันยังไม่ใช่เอกคตานะครับ แบบนี้ท่านเรียกว่า วิตก วิจารณ์
มันยังไม่ได้ไปไหนเลยครับ

แล้วบอกตัดโน้นตัดนี้ ด้วยอุเบกขารมณ์ ผมถามครับคุณกำลังทำอะไรอยู่ครับ
อุเบกขาโผล่มาได้ยังไง แล้วเอกคตาหายไปได้อย่างไร

ไอ้เอกคตากับอุเบกขารมณ์ของคุณทำไมมันแย่งกันผลุบๆโผล่ๆครับ
แนะนำครับ ให้คุณไปลองศึกษาและค่อยๆภาวนาในเรื่องโพชฌงค์เจ็ดดูครับ

อีกนิดครับ การจะปฏิบัติโพชฌงค์ต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิก่อนนะครับ
ไม่งั้นไม่รู้เรื่อง แต่ไม่เป็นไรศึกษาไปพลางๆก่อนก็ได้ จะได้หยุดสร้างจินตนาการครับ :b13:
คุณอาจจะเก่งตำราครับ ผมนะเกิดจริง ปฐมฌาน หรือ ปฐมสมาบัติ ปฐมฌาน หรือปฐมสมาบัตินี้ ท่านกำหนดองค์ของปฐมฌาน หรือปฐมสมาบัติไว้ ๕ อย่างดังต่อไปนี้ วิตก จิตกำหนดนึกคิด โดยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ว่าหายใจเข้าหรือออก ถ้าใช้คำภาวนา ก็รู้ว่าเราภาวนาอยู่ คือภาวนาไว้มิให้ขาดสาย ถ้าเพ่งกสิณ ก็กำหนดจับภาพ กสิณอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้เรียกว่าวิตก วิจาร ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็ใคร่ครวญกำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราหายใจเข้าหรือ หายใจออก หายใจเข้าออกยาวหรือสั้น หายใจเบา หรือแรง ในวิสุทธิมรรคท่านให้รู้กำหนด ลมสามฐานคือ หายใจเข้าลมกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย หายใจ ออกลมกระทบศูนย์ กระทบอกกระทบจมูกหรือริมฝีปาก ถ้าภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้เสมอว่าเราภาวนาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ประการ ดังนี้เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า วิจาร ปีติ ความชุ่มชื่นเบิกบานใจ มีเป็นปกติ ความสุขเยือกเย็น เป็นความสุขทางกายอย่างประณีต ซึ่งไม่เคยมีมาใน กาลก่อน เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ตั้งมั่นอยู่ในองค์ทั้ง ๔ ประการนั้น ไม่คลาดเคลื่อน สาวนอุเบกขารมณ์ต้องฌาน4ครับ ผมก็ทำได้ ผมว่าคุณแค่อ่านตำรามั้งครับก็เลยคิดเอาเอง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 06:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ครูบาอาจารย์...ท่านว่า....ตัดตรงไหนก็ขาดทั้งวงได้เหมือนกัน...

:b12:
ตามอ่านกระทู้นี้ครบ 3 หน้าแล้ว สนุกดี.....มีสาระ และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนบางคนหรือหลายคนไปสู่ความเป็นผู้มีสัมมาวาจา ขออนุโมทนา

:b27:
ความเห็นตามคำอธิบายกระทู้ของคุณ bigtoo นั่นใช่แล้วตามหลักทฤษฎีที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนสั่งสืบกันมา......คุณได้สัญญามาถูกแล้วครับ
cool cool
แต่ที่คุณกบบอกว่า
ครูบาอาจารย์...ท่านว่า....ตัดตรงไหนก็ขาดทั้งวงได้เหมือนกัน.

อันนี้ก็ถูกอยู่ แต่ ไม่สามารถทำได้ทุกๆคน......การตัดปฏิจจสมุปบาทได้ทุกข้อต่อนั้นเป็น พุทธวิสัยและอรรคสาวก มหาสาวก วิสัย หาใช่ปกติสาวกวิสัยอย่างเราๆท่านๆทั้งหลายไม่ ความข้อนี้คุณกบต้องไปหาศึกษารายละเอียดดูดีๆอีกที มิฉะนั้นจะเป็นการสร้างความเห็นผิดให้เกิดกับผู้ใหม่ทั้งหลาย

ปกติสาวกทั้งหลายนั้น ท่านแนะนำให้สังเกต พิจารณา ตรงช่วงต่อของเวทนากับตัณหา เพราะมันจะไปสัมพันธ์กับการเจริญสติปัฏฐาน 4 โดยตรง คือไปหาวิธีละ อภิชฌาและโทมนัสสัง ซึ่งจะเป็นการทำให้เข้าถึง อุเบกขา ตัดปัจจัยที่จะทำให้เกิด ตัณหา ได้

ตรงนี้ก็ยังมีหลายสำนักแผลงไป เน้นให้สนใจเจริญสติ ตัดช่วงต่อระหว่าง ผัสสะ กับเวทนา ซึ่งจะเป็นการไปเสริม สมถภาวนา โดยไม่รู้ตัว ทำให้ปัญญาหมดโอกาสที่จะค้นพบสมุทัย....แต่ทางนี้ก็ออกได้ คือก็ต้องออกโดย "เจโตวิมุติ" ซึ่งเป็นทางที่ค่อนข้างยากสำหรับคนในยุคปัจจุบัน

:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 07:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ครูบาอาจารย์...ท่านว่า....ตัดตรงไหนก็ขาดทั้งวงได้เหมือนกัน...

:b12:
ตามอ่านกระทู้นี้ครบ 3 หน้าแล้ว สนุกดี.....มีสาระ และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนบางคนหรือหลายคนไปสู่ความเป็นผู้มีสัมมาวาจา ขออนุโมทนา

:b27:
ความเห็นตามคำอธิบายกระทู้ของคุณ bigtoo นั่นใช่แล้วตามหลักทฤษฎีที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนสั่งสืบกันมา......คุณได้สัญญามาถูกแล้วครับ
cool cool
แต่ที่คุณกบบอกว่า
ครูบาอาจารย์...ท่านว่า....ตัดตรงไหนก็ขาดทั้งวงได้เหมือนกัน.

อันนี้ก็ถูกอยู่ แต่ ไม่สามารถทำได้ทุกๆคน......การตัดปฏิจจสมุปบาทได้ทุกข้อต่อนั้นเป็น พุทธวิสัยและอรรคสาวก มหาสาวก วิสัย หาใช่ปกติสาวกวิสัยอย่างเราๆท่านๆทั้งหลายไม่ ความข้อนี้คุณกบต้องไปหาศึกษารายละเอียดดูดีๆอีกที มิฉะนั้นจะเป็นการสร้างความเห็นผิดให้เกิดกับผู้ใหม่ทั้งหลาย

ปกติสาวกทั้งหลายนั้น ท่านแนะนำให้สังเกต พิจารณา ตรงช่วงต่อของเวทนากับตัณหา เพราะมันจะไปสัมพันธ์กับการเจริญสติปัฏฐาน 4 โดยตรง คือไปหาวิธีละ อภิชฌาและโทมนัสสัง ซึ่งจะเป็นการทำให้เข้าถึง อุเบกขา ตัดปัจจัยที่จะทำให้เกิด ตัณหา ได้

ตรงนี้ก็ยังมีหลายสำนักแผลงไป เน้นให้สนใจเจริญสติ ตัดช่วงต่อระหว่าง ผัสสะ กับเวทนา ซึ่งจะเป็นการไปเสริม สมถภาวนา โดยไม่รู้ตัว ทำให้ปัญญาหมดโอกาสที่จะค้นพบสมุทัย....แต่ทางนี้ก็ออกได้ คือก็ต้องออกโดย "เจโตวิมุติ" ซึ่งเป็นทางที่ค่อนข้างยากสำหรับคนในยุคปัจจุบัน

:b38:



กระผมว่า ท่านอย่าใช่คำว่าเราๆท่านๆเลย หากท่านจะยึดตามความเห็นท่านก็ ขอให้เป็นวิสัยท่านเพียงผู้เดียวเถิด เดียวท่านอื่นจะเข้าใจว่า ปัญญานั้น คือการเข้าไปหา สมุทัย เสีย มันจะยุ่งสำหรับผู้นั้นไป

เพราะพระพุทธองค์ แจงไว้แล้วว่า สมุทัยให้ละ หากละได้บ้างไม่ได้บ้าง จนเกิดทุกข์ แล้ว ก็รู้ และการรู้นั้น ก็รู้ว่า อะไรทำให้ทุกข์ ทุกข์แล้วเป็นเช่นไร และอื่นๆ ตามปัญญา จนเห็นไตรลักษณ์ นั้นแหละ
และการละท่านก็บอกไว้ ตั้งแต่ ละที่ หูตาจมูกลิ้นกายใจ ได้เลย

เพราะการลดกำลัง จนกระทั่ง กำจัด อาสวะ ได้นั้น มันมีหลายวิธี ต้องใช้ควบคู่กันไป

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 08:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอโสกะ....อ่านแบบไหนนะ....

ใครบอกให้ไปตัดทุกข้อ..กัน

เอาใหม่..

ท่านว่า...ตัดตรงไหน...(สายปฏิจจะ)ก็ขาด ทั้งวง...ได้เหมือนกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
[quote="ถามหน่อยครับไอ้ปัญญาที่คุณว่า มันมีก่อนทำสมาธิหรือหลังครับ :b43: :b43: :b43::
ปัญญาที่เรียกว่สุตตะ จินตามันมีมาก่อนการนั่งสมาธิวิปัสนาซิครับแต่มันอ่อนเกินไปในการจะตัดกิเลส เราจึงใช้ปัญญาที่อ่อนพัฒนาให้ปัญญาแข็งแกร่งขี้นด้วยอุเบกขาจนประจักษ์กับความจริง ขนาดความเจ็บปวดที่แรงกล้าก็มีอาการเปลี่ยนแปลงไปได้เท่ากับเราอยู่เหนือเวทนา(เรียกว่าภาวนามยปัญญาที่แท้จริง) จิตที่อยู่เหนือเวทนาได้เป็นจิตที่ไม่หวั่นกิเลสหรอกครับเรื่องเล็กน้อยผู้คนที่ผ่านตรงนี้ได้เขาถึงลดละอะไรได้มากมาย เพราะเขาอยู่เหนือความเจ็บปวดได้ ส่วนสุขนั้นยากหน่อยๆใครๆก็ปราถนาความสุขอุเบกขายาก ส่วนคำถามอื่นขอไม่ตอบนะครับตอบกันมามากแล้ว เพราะท่านก็ดูพอจะเข้าใจว่า ผมกระทำสิ่งไหนในวงจรปฎิจสมุปบาทอยู่ครับ
อะไรกันครับที่ว่าตอบกันมามากแล้ว ผมยังไม่ได้รับความกระจ่างจากคุณเลยครับ ไอ้ที่คุณพูดมาทั้งหมด มันก็แค่ไปจำเอาบัญญัติมา แล้วก็มาเรียงโน้นผสมนี้ตามจินตนาการ ไม่รู้สภาวะจริง ธรรมชาติของขันธ์ห้าเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ บัญญัติบางคำทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ก็โมเมใส่เข้ามา อย่างเช่น บอกว่าอยู่เหนือเวทนา อยู่เหนือความเจ็บปวด แบบนี้ก็รู้แล้วครับ ว่าไม่รู้เรื่อง กระบวนการขันธ์ห้า กฎอิทัปปัจยตา เวทนาเป็นหนึ่งในกระบวนการเกิดดับของจิต เกิดดับที่ละดวง เวทนาก็คือ จิตดวงหนึ่งที่เกิดดับ ความหมายก็คือ เวทนาก็คือจิตเราเอง แล้วคุณมาบอกได้ไงครับว่าอยู่เหนือเวทนา ก็ในเมื่อจิตเป็นเวทนาอยู่จิตจะอยู่เหนือจิตได้อย่างไร เมื่อเกิดผัสสะใดขึ้น ย่อมมีวิญญาณขันธ์ เมื่อวิญญาณขันธ์ดับไปย่อมมีเวทนาตามมา บางครั้งเมื่อเกิดเวทนาขึ้น เราจะรู้สึกเฉยๆ ที่เป็นแบบนี้เพราะทวารรับความรู้สึกเรามีถึง หกทราร มันมีการบังคับผัสสะให้จดจ่ออยู่กับผัสสะตัวอื่น นั้นก็คือไปปรุงแต่งผัสสะเวทนาตัวอื่น แทนที่จะปรุงแต่งเวทนาที่แรงๆตัวนั้น ลักษณะแบบนี้ถ้าไม่มีปัญญาสัมมาทิฐินำหน้า ท่านว่า กำลังหลงกิเลสครับ แล้วไอ้สุขทุกข์อะไรที่คุณว่า มันไม่ใช่ตัวเวทนานะครับ สุขทุกข์มันเป็นสังขารขันธ์ มันเป็นการปรุงแต่ง แล้วไอ้ตัวปัญญาที่ถามไปมันไม่ใช่ปัญญาที่คุณบอกครับ สิ่งที่คุณบอกมามันไม่ใช่ มิหน่ำซ้ำคุณยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณบอกด้วย ไอ้สุตตะ จินตะและภาวนาถ้ายังเป็นปุถุชนอยู่ ปัญญาที่เกิดจากพวกนี้มันก็คือเป็นความคิด ไม่ได้เกิดจากเห็นสภาวะตามความเป็นจริง ถามครับคุณไปทำอะไรกับวงปฏิจสมุบาทครับ การปฎิบัติในเรื่องอริยมรรค เรื่องวิชชา เขาปฏิบัติกันที่ขันธ์ห้านะครับ ผมตอบแค่นี้ เพราะความเห็นคุณมันเป็นลักษณะจินตนาการ ไม่มีหลักการที่ว่าด้วยเหตุปัจจัยครับ
ที่พูดมาไม่เห็นมีอะไรเลยมันขั้นพื้นฐานทั้งนั้นเลยเรื่อง ขันต์5มันก็รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละตัวมันก็มีหน้าที่กันคนละอย่าง ส่วนเรื่องเหนือเวทนานั้นมันเป็นการเข้าใจของนักปฎิบัติกันครับสำหรับคนที่เขาสามารถผ่านความเจ็บปวดอย่างแรงกล้าได้ เขาชนะมันได้ ไอ้ตรงนี้แหละครับ สติปัญญามันเกิดมากมีพลังมากเห็นความเกิดดับ(ภาวนามยปัญญา)***ไม่ทราบว่าคุณโฮฮับเคยมั้ยครับ**** ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเย็นร้อน อ่อนแข็งเกิดดับ เห็นรถวิ่งมาแล้วหายไป มีเรื่องราวเกิดขึ้นแล้วหายไปเกิดดับ อย่างนั้นมันยังใช้ไม่ มันอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างก็แค่ชั้นผิวๆๆของจิตเท่านั้น(จิตสำนึก) อุเบกขามีกำลังที่จะวางเฉย ผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปได้ อุเบกขาไม่ได้ มันผ่านไม่ได้หรอกครับ ปัญญาตรงนี้ขจัดกิเลสได้มาก ส่วนเรื่องปฎิจสมุปบาทนั้น มันเป็นวงของการเวียนว่ายตายเกิดก็เท่านั้น แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะออกจากทุกข์ ก็ต้องตัดวงจรนะครับ ไม่ให้ก้าวล่วงลงตรงตัณหา สู่อุปาทาน ก็ต่องใช้เวทนาทางกายนี่แหละครับ(ทางสายผมนะครับเขาไม่ได้ตีเวทนาเป็นจิตอย่างเดียวหรอกครับ )ถ้ายังสงสัยอยู่ลองเข้าไปศึกษาได้ในลิ้งนี้ครับhttp://audio.palungjit.com/f10/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3-10-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2-3475.htmlคงจะไม่เป็นการเสียเวลานะครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
คุณอาจจะเก่งตำราครับ

ผมเบื่อที่จะฟังคำแก้ตัวแบบนี้แล้วครับ ไอ้ประเภทพอมีคนมาแย้ง
มาช่วยชี้แนะให้ ก็รู้สึกเสียหน้า แทนที่จะหาเหตุผลมาพูด
ก็มักง่ายหาว่าเขา พูดตามตำราบ้าง ไม่ได้ปฏิบัติบ้าง

ผมจะบอกให้ครับว่าลักษณะใดถึงจะเป็นลักษณะท่องตามตำรา
นั้นก็คือแบบที่คุณเป็นอยู่นั้นแหล่ะครับ พูดจาตามแบบเจ้าสำนักต่างๆ
ที่สอนกันตามเว็บไซด์ เอาบัญญัติมาพูดแต่ไม่เข้าใจสภาวะที่แท้จริงของบัญญัตินั้นครับ
และอีกอย่างที่เป็นการบ่งบอกให้รู้เลยว่า คุณนั้นแหล่ะที่ชอบก็อปปี้ตำราหรือคำพูดคนอื่น
นั้นก็คือชอบเอาลิ้งหรือเว็บไซด์คนอื่นมาโพส แล้วก็บอกให้ไปอ่านเอา
ไอ้ประเภทนี่แถวบ้านผมเขาเรียกไม่มีหัวคิดครับ เอะอะอ้างคนอื่นอยู่เรื่อย
ไม่มีปัญญาให้เหตุผล

อีกอย่างครับสงสัยคุณจะยังไม่รู้ว่า เพื่อนๆในนี้เขาหาว่าผม แย้งพุทธพจน์
ชอบแสดงความเห็นในลักษณะคิดเอาเอง

เนี่ยผมรู้สึกสับสนกับพวกคุณจริงๆครับ
ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับผมกันแน่ อีกพวกหาว่าผมพูดตามตำรา
อีกพวกหาว่าผมคิดเอาเอง :b13:

bigtoo เขียน:
ผมนะเกิดจริง ปฐมฌาน หรือ ปฐมสมาบัติ ปฐมฌาน หรือปฐมสมาบัตินี้ ท่านกำหนดองค์ของปฐมฌาน

เกิดจริงหรือครับ เกิดจริงทำไมไม่รู้สภาวะที่แท้จริงครับ
และถ้าเกิดจริงทำไมพูดเหมือนลอกคำพูดพวกเจ้าสำนักมาพูดเลยครับ

คนที่เกิดจริงน่ะ เขารู้ครับว่า ที่คุณพูดมามันจริงหรือปลอม(อาจไม่ปลอมเอาเป็นหลงดีกว่า)
ไอ้ปฐมฌาณน่ะมันเด็กๆครับ มันไม่มีอะไรวิริศมาหราแบบที่คุณกำลังพูดเลยครับ
พุทโธ่! เอาบัญญัติโน้นใส่บัญญัตินี้ เหมือนลิเกกำลังจะออกโรง
จะบอกให้ครับ คนที่คุณกำลังดูถูกอยู่น่ะ เขาได้ฌาณสี่แล้ว
แต่ที่เขาไม่เอามาพูดไม่เอามาโม้ก็เพราะ เขารู้ว่ามันไม่ใช่หนทางบรรลุ
ไม่ใช่การวางอุเบกขาที่แท้จริงก็เท่านั้น

bigtoo เขียน:
ถ้าใช้คำภาวนา ก็รู้ว่าเราภาวนาอยู่ คือภาวนาไว้มิให้ขาดสาย ถ้าเพ่งกสิณ ก็กำหนดจับภาพ กสิณอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้เรียกว่าวิตก วิจาร ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็ใคร่ครวญกำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราหายใจเข้าหรือ หายใจออก หายใจเข้าออกยาวหรือสั้น หายใจเบา หรือแรง ในวิสุทธิมรรคท่านให้รู้กำหนด ลมสามฐานคือ หายใจเข้าลมกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย หายใจ ออกลมกระทบศูนย์ กระทบอกกระทบจมูกหรือริมฝีปาก ถ้าภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้เสมอว่าเราภาวนาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ประการ ดังนี้เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า วิจาร ปีติ ความชุ่มชื่นเบิกบานใจ มีเป็นปกติ ความสุขเยือกเย็น เป็นความสุขทางกายอย่างประณีต ซึ่งไม่เคยมีมาใน กาลก่อน เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ตั้งมั่นอยู่ในองค์ทั้ง ๔ ประการนั้น ไม่คลาดเคลื่อน สาวนอุเบกขารมณ์ต้องฌาน4ครับ ผมก็ทำได้ ผมว่าคุณแค่อ่านตำรามั้งครับก็เลยคิดเอาเอง

ประโยคนี้ผมถามสั้นๆเลยครับ "ที่บอกว่าอุเบกขารมณ์ต้องฌาณสี่"
คุณบอกคุณทำได้ผมถามครับ วางอย่างไรครับ แล้วสภาวะที่วางอุเบกขา
แล้วเป็นอย่างไรครับ
อย่าบอกน่ะว่าตอบมาหลายหนแล้ว แล้วก็ไม่ต้องลากลิ้ง
ผมเอาความเห็นคุณ เพราะคุณบอกคุณทำได้ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
พูดมาไม่เห็นมีอะไรเลยมันขั้นพื้นฐานทั้งนั้นเลยเรื่อง ขันต์5มันก็รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละตัวมันก็มีหน้าที่กันคนละอย่าง

ที่ไอ้ที่บอกไม่มีอะไร ก็เพราะไม่รู้ไง บอกมาได้ไงครับว่าเป็นพื้นฐาน
แบบนี้แสดงว่า เข้าใจเรื่องธัมมาวิปัสสนากัมฐานดีแล้วซิ

พุทโธ่! ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ ดันแก้ตัวมาให้เขาจับได้อีกแน่ะ
จะบอกให้ การรู้ขันธ์ห้าอายตนะ12มันเป็นส่วนหนึ่งในการทำ
ธัมมาวิปัสสนากัมฐาน

คุณบิกทู่นี่ ของพื้นๆดันพูดซะวิริศมาหรา
หลักการวางอุเบกขาแท้ๆดันบอกเป็นของพื้นๆ
หลงเข้าป่าเข้ารกยังไม่รู้ตัวอีก :b13:

bigtoo เขียน:
ส่วนเรื่องเหนือเวทนานั้นมันเป็นการเข้าใจของนักปฎิบัติกันครับสำหรับคนที่เขาสามารถผ่านความเจ็บปวดอย่างแรงกล้าได้ เขาชนะมันได้ ไอ้ตรงนี้แหละครับ สติปัญญามันเกิดมากมีพลังมากเห็นความเกิดดับ(ภาวนามยปัญญา)

เหนือเวทนา มันก็แค่คำพูดให้ชวนเชื่อ เปรียบก็เหมือน
เล่นลิเก มันก็ต้องใส่ชุดติดเพชรเลื่อมพรายครับ
มันก็คือให้คนหลงอยู่ที่ชุดนั้น

จะบอกให้ครับว่า ความทุกข์มันไม่ได้เกิดที่เวทนา
ความทุกข์มันเกิดที่สังขารการปรุงแต่ง
การปรุงแต่งมันดับได้ด้วยสติ แต่เวทนามันดับไม่ได้
มันเกิดและดับตามเหตุปัจัยของมันเอง

พูดจาตลกดีครับ อยู่เหนือเวทนา มีรูปมีนามมันก็ต้องมีผัสสะ
มีผัสสะมันก็ต้องมีเวทนา ถามครับคุณบิกทู่เป็นวิญญาณอยู่หรือครับ
ยังไม่มีรูปใช่มั้ยครับ เลยบอกว่าอยู่เหนือเวทนา

คุณบิกทู่นี่เก่งจริงครับ สามารถเห็นการเกิดดับของเวทนา
แต่สงสัยทำไมบอกว่าเวทนาคือความเจ็บปวดอย่างแรงกล้า
แบบนี้ยังมีหน้ามาบอกว่าได้ฌาณสี่ :b13:
bigtoo เขียน:
ไม่ทราบว่าคุณโฮฮับเคยมั้ยครับ**** ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเย็นร้อน อ่อนแข็งเกิดดับ เห็นรถวิ่งมาแล้วหายไป มีเรื่องราวเกิดขึ้นแล้วหายไปเกิดดับ อย่างนั้นมันยังใช้ไม่ มันอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างก็แค่ชั้นผิวๆๆของจิตเท่านั้น(จิตสำนึก) อุเบกขามีกำลังที่จะวางเฉย ผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปได้ อุเบกขาไม่ได้ มันผ่านไม่ได้หรอกครับ

คุณนี่จี้ดีน่ะครับ อย่าจินตนาการเรื่องแล้วมาถามคนอื่นแบบนี่ครับ
จะบอกให้ครับผมเข้าใจคำพูดคุณทุกอย่างครับ แต่ไม่ใช้ว่าเข้าใจถูกนะครับ
เข้าใจว่าคุณกำลังหลงครับ

คุณไปเอาเรื่องการวางอุเบกขามาพูด ทั้งๆที่คุณยังไม่พร้อม
การจะวางอุเบกขาได้ มันต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิก่อน
มันจึงจะมีหลักในการวางอุเบกขา เคยแนะนำให้ไปศึกษาเรื่องโพชฌงค์
แต่ดันมาย้อนเราว่าเก่งแต่ตำรา เซ็งเลยเรา :b9:

bigtoo เขียน:
ส่วนเรื่องปฎิจสมุปบาทนั้น มันเป็นวงของการเวียนว่ายตายเกิดก็เท่านั้น แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะออกจากทุกข์ ก็ต้องตัดวงจรนะครับ ไม่ให้ก้าวล่วงลงตรงตัณหา สู่อุปาทาน ก็ต่องใช้เวทนาทางกายนี่แหละครับ(ทางสายผมนะครับเขาไม่ได้ตีเวทนาเป็นจิตอย่างเดียวหรอกครับ )ถ้ายังสงสัยอยู่ลองเข้าไปศึกษาได้ในลิ้งนี้ครับ[url]

ไอ้ลิ้งที่ให้มาผมไม่เข้าไปหรอกครับ ลิ้งนั้นมันลิ้งขายของ
ไอ้ผู้ดูแลชอบชวนไปทอดผ้าป่าสามัคคี นี่ไม่เท่าไรมันแบ่งเกรดสมาชิกด้วยนะครับ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเว็บธรรมะปะสาอะไร :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
พูดมาไม่เห็นมีอะไรเลยมันขั้นพื้นฐานทั้งนั้นเลยเรื่อง ขันต์5มันก็รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละตัวมันก็มีหน้าที่กันคนละอย่าง

ที่ไอ้ที่บอกไม่มีอะไร ก็เพราะไม่รู้ไง บอกมาได้ไงครับว่าเป็นพื้นฐาน
แบบนี้แสดงว่า เข้าใจเรื่องธัมมาวิปัสสนากัมฐานดีแล้วซิ

พุทโธ่! ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ ดันแก้ตัวมาให้เขาจับได้อีกแน่ะ
จะบอกให้ การรู้ขันธ์ห้าอายตนะ12มันเป็นส่วนหนึ่งในการทำ
ธัมมาวิปัสสนากัมฐาน

คุณบิกทู่นี่ ของพื้นๆดันพูดซะวิริศมาหรา
หลักการวางอุเบกขาแท้ๆดันบอกเป็นของพื้นๆ
หลงเข้าป่าเข้ารกยังไม่รู้ตัวอีก :b13:

bigtoo เขียน:
ส่วนเรื่องเหนือเวทนานั้นมันเป็นการเข้าใจของนักปฎิบัติกันครับสำหรับคนที่เขาสามารถผ่านความเจ็บปวดอย่างแรงกล้าได้ เขาชนะมันได้ ไอ้ตรงนี้แหละครับ สติปัญญามันเกิดมากมีพลังมากเห็นความเกิดดับ(ภาวนามยปัญญา)

เหนือเวทนา มันก็แค่คำพูดให้ชวนเชื่อ เปรียบก็เหมือน
เล่นลิเก มันก็ต้องใส่ชุดติดเพชรเลื่อมพรายครับ
มันก็คือให้คนหลงอยู่ที่ชุดนั้น

จะบอกให้ครับว่า ความทุกข์มันไม่ได้เกิดที่เวทนา
ความทุกข์มันเกิดที่สังขารการปรุงแต่ง
การปรุงแต่งมันดับได้ด้วยสติ แต่เวทนามันดับไม่ได้
มันเกิดและดับตามเหตุปัจัยของมันเอง

พูดจาตลกดีครับ อยู่เหนือเวทนา มีรูปมีนามมันก็ต้องมีผัสสะ
มีผัสสะมันก็ต้องมีเวทนา ถามครับคุณบิกทู่เป็นวิญญาณอยู่หรือครับ
ยังไม่มีรูปใช่มั้ยครับ เลยบอกว่าอยู่เหนือเวทนา

คุณบิกทู่นี่เก่งจริงครับ สามารถเห็นการเกิดดับของเวทนา
แต่สงสัยทำไมบอกว่าเวทนาคือความเจ็บปวดอย่างแรงกล้า
แบบนี้ยังมีหน้ามาบอกว่าได้ฌาณสี่ :b13:
bigtoo เขียน:
ไม่ทราบว่าคุณโฮฮับเคยมั้ยครับ**** ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเย็นร้อน อ่อนแข็งเกิดดับ เห็นรถวิ่งมาแล้วหายไป มีเรื่องราวเกิดขึ้นแล้วหายไปเกิดดับ อย่างนั้นมันยังใช้ไม่ มันอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างก็แค่ชั้นผิวๆๆของจิตเท่านั้น(จิตสำนึก) อุเบกขามีกำลังที่จะวางเฉย ผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปได้ อุเบกขาไม่ได้ มันผ่านไม่ได้หรอกครับ

คุณนี่จี้ดีน่ะครับ อย่าจินตนาการเรื่องแล้วมาถามคนอื่นแบบนี่ครับ
จะบอกให้ครับผมเข้าใจคำพูดคุณทุกอย่างครับ แต่ไม่ใช้ว่าเข้าใจถูกนะครับ
เข้าใจว่าคุณกำลังหลงครับ

คุณไปเอาเรื่องการวางอุเบกขามาพูด ทั้งๆที่คุณยังไม่พร้อม
การจะวางอุเบกขาได้ มันต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิก่อน
มันจึงจะมีหลักในการวางอุเบกขา เคยแนะนำให้ไปศึกษาเรื่องโพชฌงค์
แต่ดันมาย้อนเราว่าเก่งแต่ตำรา เซ็งเลยเรา :b9:

bigtoo เขียน:
ส่วนเรื่องปฎิจสมุปบาทนั้น มันเป็นวงของการเวียนว่ายตายเกิดก็เท่านั้น แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะออกจากทุกข์ ก็ต้องตัดวงจรนะครับ ไม่ให้ก้าวล่วงลงตรงตัณหา สู่อุปาทาน ก็ต่องใช้เวทนาทางกายนี่แหละครับ(ทางสายผมนะครับเขาไม่ได้ตีเวทนาเป็นจิตอย่างเดียวหรอกครับ )ถ้ายังสงสัยอยู่ลองเข้าไปศึกษาได้ในลิ้งนี้ครับ[url]

ไอ้ลิ้งที่ให้มาผมไม่เข้าไปหรอกครับ ลิ้งนั้นมันลิ้งขายของ
ไอ้ผู้ดูแลชอบชวนไปทอดผ้าป่าสามัคคี นี่ไม่เท่าไรมันแบ่งเกรดสมาชิกด้วยนะครับ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเว็บธรรมะปะสาอะไร :b9:
นี่แหละครับ คนที่มีทิฎฐิมานะ แค่เขานำเสนอลิ้งก็ไม่เข้าไปดู คิดว่าตัวเองเก๋ง ผมบอกเลยว่าคนท่องตำรามาก็แค่นั้นเอง คนที่ไม่มีทิฎฐินะเขาถ่อมตนยอมจะเช้าไปดูความแตกต่าง ของแต่ละอาจารย์เพื่อความไม่ประมาท

เขาคุยกันในระดับสากลกันแล้วครับ ระดับด็อกเตอร์เขายังยอมรับเลยได้รับจากพระสังฆราชพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นสำนักในเมืองไทย เข้าตรวจสอบคำสอนหมดแล้วครัวว่ามีประโยชน์ ไม่ใช่ระดับเด็กโรงงานมาเรียนธรรมะ คอยตำนิเขา ตำราล้วนๆ อธิบายง่ายๆยังไม่เข้าใจ คนอื่นเขาเข้าใจกันหมดแล้วครับ


และเรื่องสัมมาทิฎฐินะครับพื้นฐานคุณยังไม่ได้เลย แค่อ่านเรื่องทำบุญให้เทานก็ขนลุกขึ้นมาเลย คิดได้อย่างไรว่าเป็นกิเลส คนเขาทำบุญเพราะเขามีปัญญารู้สึกดีชั่วบุญบาบมีจริงนี่หรือสัมมาทิฎฐิ แล้วท่านจะไปรู้อะไร กับการเกิดดับที่แท้จริง อยากมากก็แค่ดูรถมันวิ่งไปวิ่งมาว่ามันเกิดดับ

แล้วก็ยังตำหนิเว็บเขาอีก เขาใจกว้างสาธารณะเปิดโอกาสให้คนได้แพร่ความรู้กัน (คิดลบตลอด)เขารู้กันทั้งนั้นแหละครับทุกขฺเกิดจากการปรุงแต่งนะ นั้นมันทางใจ ทางกายนะเอาไม้ฝาดขาดูซิจะทุกข์ไม (แม้แต่ความเกิดก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์ เจ็บไขไม่สบายก็เป็นทุกข์นี่ไงความทุกข์สงสัยไม่เคยไปสวดมนต์ที่วัดเลยมั้ง รู้มั้งพระพุทธเจ้าเขาเห็นสิ่งนี้เป็นทุกข์ท่านถึงแสวงหาความพ้นทุกข์

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 23 ก.ค. 2012, 15:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ประโยคนี้ผมถามสั้นๆเลยครับ "ที่บอกว่าอุเบกขารมณ์ต้องฌาณสี่"
คุณบอกคุณทำได้ผมถามครับ วางอย่างไรครับ แล้วสภาวะที่วางอุเบกขา
แล้วเป็นอย่างไรครับ
อย่าบอกน่ะว่าตอบมาหลายหนแล้ว แล้วก็ไม่ต้องลากลิ้ง
ผมเอาความเห็นคุณ เพราะคุณบอกคุณทำได้ :b13:
[/quote]ตอบแบบสั้นๆครับเอกคตา เป็นสภาพรูปนามแยกกัน คิดอะไรไม่ออกไม่รับรู้สิ่งกระทบภายนอก มีอุเบกขาอย่างเดียว แส่วงไสว รู้อย่างเดียว(ฌาน4)

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 23 ก.ค. 2012, 17:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ท่าน bigtoo ช่วยบอกวิธีเข้าถึง อนุสัย และขุดมัน ให้หน่อยซิครับ มันเข้าไปยังไง แล้วมันอยู่ในจิตเราตลอดหรือครับ คืออยากทำเป็นบ้างนะครับ

และไอ้คำว่า เอกัคคัตตา รมณ์ นั้น ผมว่า มันเป็น อุเบกขารมณ์ อย่างเดียวไม่ใช่หรือครับท่าน

:b8:



รอคอยวิชา ขุด อนุสัย อยู่กาบ :b8:
ที่จริงแล้วผมอยากให้มีเวลาเข้าไปฟังะรรมมะบรรยาย10วันมากกว่าครับ แต่จะขอพูดนิดหน่อยครับ ปกติแล้วจิตเราทั่วๆไปก็จะรับรู้ความรู้สึกภายนอกที่มากระทบตัวเราได้ตลอด แต่บางครั้งเราอาจจะไมไม่เคยรู้สึกเลยตลอดวัน เท่ากับเราหลงลืมสติอยู่อันนี้เข้าใจตรงกันนะครับ

ที่จริงแล้วมีสิ่งหนึ่งที่เกิดกับเราอยู่ตลอดเวลาละเอียดมากเกิดับเกิดดับอยู่อย่างนั้นในกายเรา แต่เราไม่คยเลยที่จะรู้สึกได้ แต่เราสามมารถฝึกได้ครับ เริ่มจากการใช้ลมหายใจเป็นสะพานเชื่อมรูปกับนาม กายและจิต นี่แหละครับ เมื่อเราฝึกแล้วเราจะรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ทั่วร่างกาย แม้แต่ติ่งหูปลายนิ้วเท้า แม้แตในส่วนลึกในร่างกายเราก็สามารเข้าไปสัมผ้สได้

เท่ากับเรารู้สึกถึงความละเอียดจากหยาบๆไปสู่สิ่งที่ละเอียดที่สุด เท่ากับเราเข้าไปสู่จิตไร้สำนึกได้ ในช่วงนี้ขอบอกเลยว่าผมตกใจตัวเองมากเลยครับในชีวิตไม่เคยคิดอย่างนี้เลยกราบพระไหว้พระก็เป็รเรื่องปกติของเราชาวพุทธ ไม่เคยว่าพระเลย พอเราเข้าไปถึงอนุสัยกิเลส ของเก่าภายในมันมีมากครับสำหรับผม ผมถึงกับเห็นพระพุทธรูปไม่ได้เลยเป็นปีๆๆผมรู้สึกกลัวบาปมาก

ผมตั้งสติใหม่อาจารย์ท่านบอกว่าผมมาถูกทางแล้ว ถ้าเราไม่เห็นความชั่วของตัวเราก็ยังใช้ไม่ได้เพราะความจริงนั้นความชั่วเรามีเยอะมากสะสมมาในอดีต เราจะจับโจนต้องเจอจนก่อน อันนี้น่าพอข้าใจได้นะครับ หลายปีมากกว่าผมจะขุดรากมันได้บ้าง(แต่ละคนไม่เหมือนกันนะครับอันนี้เกิดกับผมผมสะสมความไม่ดีเยอะครับ) ตอนนีสบายมากแล้วครับ ผมทานอาหารมื้อเดียวง่ายกว่า 2มื้อ อีกครับ ไม่มีการทำภาระกิจบนเตียงอะไรแบบนั้นสบายมากเลย ผมไม่ไปเที่ยวไหนเลย ถ้าภรรยาผมไม่ชวนไป อยู่ได้เป็นเดือนๆ อย่าว่าผมอวดเลยนะครับธรรมมะทำได้จริงๆ เบาสบาย

ผมมองไม่เห็นทางกลับแล้วครับเดินหน้าอย่างเดียว ธรรมมะของพระพุทธอองค์ดีจริงทำให้ผมเห็นทางสว่างกับเขาบ้าง(คุณเชื่อมั้ยว่าผมเที่ยวขนาดไหน ผมบ้าขนาดไหน รถติดๆตอนเที่ยงวันผมยืนเต้นกลางสี่แยก อสมท เลยนะครับตอนนั้นอายุ30แล้วนะ ผมอาจจะโชคดีนะครับผมหาเงินได้มากตั้งแต่อายุยังน้อยในขณะที่ผมมีทุกอย่างสูงสุด(หมายความว่าสามารถมีเงินใช้จ่ายได้วันละเป็นหมื่นๆมีชีวิตหรูหรามีรถดีๆขับเรียกว่าอยู่ในสังคมไฮโซก็ว่าได้ครับแต่มันก็เป็นเพียงมายาครับ ในขณะเพื่อนๆผมยังไม่รู้จักอะไรเลย และในขณะที่เพือนๆกำลังมี ผมกับทิ้งทุกอย่างเบื่อจริงๆ ) ธรรมมะประเสริฐจริงๆ

ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วล่ะครับว่าเดินถีงไหนแล้ว เพราะหาทางกลับไมได้แล้วเดินหน้าได้อย่างเดียวครับ :b4: :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร