สิ่งที่วัดผลในการก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมนั้นวัดจากพฤติกรรมง่ายๆ สนทนาในเรื่องอื่นน้อยลง คุยทีไร ก็จะวนมาเรื่องธรรมมะเพราะกระแสธรรมเนี่ยวนำอยู่ ไม่อยากออกไปเที่ยวไหน การทำทานจะมากขึ้น มีความต้องการจะพัฒนาศิลให้มากขึ้น เห็นแต่ข้อผิดผลาดของตน มีอัธยาศัยในการฟังธรรม ยับยั้งอารมณ์ได้ไวขึ้น รู้จักคำขอโทษ ไม่แบ่งแยกคณะ ไม่ละความเพียร ฯลฯ

อาการที่คุณสาธยายมา ท่านเรียกกิเลสครับ

โทสะ....ปฏิฆะ.....ความโกรธ ....ความขุ่นใจ.....เป็นมิเตอร์หรือเครื่องชี้วัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้ดีและชัดเจนที่สุด

ไม่เชื่อลองเอาไปวัดใจตนเองดูสิครับ

1.ถ้ามีผัสสะที่ไม่น่าพอใจแล้วโกรธทันที......นี่คือระดับ ปุถุชน

2.ถ้ามีผัสสะที่ไม่น่าพอใจแล้วไม่โกรธทันที แต่จิตวูบ ขุ่นมัว มีสติสังเกต พิจารณาหาเหตุผล......นี่ระดับกัลยาณชน

3.ถ้ามีผัสสะที่ไม่น่าพอใจแล้วมีสติรู้ทัน ปัญญาจับสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนดับไปต่อหน้าต่อตา ไม่ปรุงแต่งใดๆ.......นี่ระดับชาวพุทธ

4.ถ้ามีผัสสะที่ไม่น่าพอใจแล้วสติปัญญารู้ทันอารมณ์นั้นดับไปพลันทันที .....นี่ระดับอริยชน

ขนาดคนทำธรรมดายังไม่ศึกษาธรรมมะเขายังรู้จักใส่บาตร เพื่อหวังผลบุญ สิ่งนั้นมันอาจจะเป็นกิเลส มันก็ยังมองดูดีเลย หรือคุณจะปฏิเสธ ส่าวเราๆคนปฏิบัติธรรมเพื่อพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นกว่าเขาเพื่อการละตัวตน มันก็น่าจะมีบทพิสูจน์บ้างนะครับไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเลย ปล่อยปละละวางอะไรได้มากขึ้น ไม่ใช่พฤติกรรมเก่าๆแล้วก็วางเฉย ไม่มีก่ารเกื้อหนุนสังคม จะเอาแต่ประโยชน์ตนเองอุเบกขาๆๆๆๆๆ อยู่อย่างนี้( ที่ท่านพูดนะไม่ผิดหรอกครับ มันผิดตรงท่านไม่ได้ทำต่างหาก)

อันนี้ที่ท่านว่าก็ถูกครับ และก็ชัดสุด ***แต่ก็มีบทพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรมคือการบริจาคทานสมบัติภายนอกก่อนภายในมันยากครับ ผมสังเกตุจิตใจดูว่าตัวเองขณะบริจาคทานนะเราจะตระหนี่มั้ย ปราณีตแคไหนมั้ย เป็นบทพิสูจน์ดีทีเดียวครับลองดูได้ครับ***

โลกของความจริง

ก้าวหน้า ไม่ก้าวหน้า นำมาเป็นตัววัดผลได้ ให้ดูการกระทำ การสร้างเหตุนอกตัว กายกรรม วจีกรรม ตามความรู้สึกยินดี ยินร้ายที่เกิดขึ้น

เหตุเก่า(ผัสสะ) ใช้หนี้ไป อย่างมาก แค่เจ็บใจ ไม่ตายหรอก ภพชาติ น่ากลัวกว่า

เหตุใหม่ ไม่สร้างต่อ

เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี

ที่ยังมีอยู่ เพราะยังมีเหตุปัจจัยอยู่



กิเลสน่ะ ห้ามไม่ได้ แต่รู้ว่ามันเกิดขึ้น มันมีอยู่ รู้แบบนี้ รู้ได้

เหมือนความคิด หรือมโนกรรม ห้ามไม่ให้คิดไม่ได้หรอก แต่รู้ว่ามันมีเท่านั้นเอง

หรือจะทำอีกแบบ ทำสมถะเยอะๆ เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ช่วยกดข่ม ความรู้สึกต่างๆได้ ค่อนข้างมาก



โลกอินเตอร์เน็ต

ใครอยากมี อยากได้ อยากเป็น หรือ ประกาศตนว่าเป็นอะไร ในบัญญัติน่ะ เรื่องปกติ ไปห้ามไม่ได้หรอก เหตุของใคร ก็ของคนนั้น หนังสือ ตำรา ที่เปรียบเทียบ มีอยู่เยอะ

เป็นเรื่องของกิเลส ส่วนลึก ของความทะยานอยากด้านกุศล มันละเอียด แยกได้ยาก


ถ้านำไปพูดทางโลกของความจริง จะมีแต่เหตุ แล้วก็เหตุ ทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย

ตรงนี้ อย่างมากแค่ตัวหนังสือ ส่วนจะฟุ้งปรุงแต่งไปแบบไหน นั่นก็เหตุของแต่ละคน เมื่อเหตุมี ผลย่อมมี

จิตคุณเองปรุงแต่งเอง พอมีคนมาชี้แนะ แทนที่จะดูลงไปที่จิตตัวเอง
ดันปรุงแต่งต่อ ไอ้อาการที่คุณบอกมาตอนต้น มันเป็นอาการของคนที่
หวังผล ทำนี่ต้องได้โน้น แต่ปากก็พร่ำแต่อุเบกขาๆๆๆๆๆๆๆๆ
เลิกหลงซะที่เถอะครับ

สวัสดีครับพี่bigtoo

เหตุที่ทำให้ผลเป็นเช่นนี้ก็เพราะ ผู้ปฏิบัติได้ดำเนินมรรคอย่างถูกต้องและครบองค์แห่งมรรคครับ ยินดีกับผลที่ได้รับด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ

Re: สิ่งที่จะวัดผลว่าเราก้าวหน้าในธรรมมะ

:เมื่อยังฟุ้งในธรรมะที่เป็นผลในการปฏิบัติภาวนา ยังไม่พิจารณารู้ ธรรมยังเท่าเดิมอยู่
:เมื่อมีความเพียรในการปฏิบัติภาวนา ยังไม่พิจารณารู้ ธรรมยังเท่าเดิมอยู่
:เมื่อพักอยู่ในความเพียรในกาีรปฏิบัติภาวนา ยังไม่พิจารณารู้ ธรรมยังเท่าเิดิมอยู่

เมื่อมี่สติระลึกรู้กายรู้ใจของตัวเราทำงานตามธรรมชาติอยู่เป็นปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง เริ่มเห็นธรรมะ
เป็นตัววัดสำหรับผมเองครับ

ยินดีด้วยครับ

ด้วยความเคารพ

คุณบอกมา ผมก็บอกกลับ ก็น่าจะดูตนบ้างนะครับ ว่าในตัวมีอะไรบ้าง ไม่ใช่ธรรมมะแบบอุเบกขาผิทาง บุญก็ไม่ทำบาบก็ไม่ทำมันผิดนิสัยอริยะชนครับ คุณเป็อรหันต์แล้วหรือครับที่ไม่ปรุงบุญปรุงบาป

สมบัตินอกกายนะครับเป็นของภายนอก ถ้ายังสละไม่ค่อยจะได้อย่าหวังภายในเลยครับมันหวงยิ่งกว่าอะไร ใครขาดอะไรก็พัฒนาเอาครับผมยังต้องขัดเกวอีกเยอะเหมือนกัน

เป็นเหตุผลที่ดีมากครับ

ตนเอง วัดผล ตนเอง
ตนเอง ตอบ ตนเอง ขัดข้องหรือก้าวหน้า
ตนเอง นั่นแหละ เป็นพยาน

"สันทิฏฐิโก" ผู้ปฏิบัติพึงรู้เห็นได้เอง
เหมือนกินข้าว "อิ่ม" ก็รู้
ไม่ต้องให้ใครมาบอก มากล่าว ..