วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 18:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ด้วย แล้วที่บอกเป็น
ทำนองว่า ไม่ถือสาถ้าใครจะกล่าวถึงภรรยา
ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาต สมมุติครับ

คุณบอกถึงการยอมรับทั้งสองฝ่าย คุณบอกว่าไม่ยุ่งกับภรรยาทั้งๆที่ภรรยายังสาวและสวย
แล้วก็มาสรุปเอาเองว่าไม่มีกิเลส ผมต้องขอโทษคุณล่วงหน้าครับว่า สมมุติว่า ภรรยาคุณไปยุ่ง
กับคนอื่นเพราะคุณไม่ยุ่งกับภรรยา แล้วคุณไปเห็นคาหนังคาเขา คุณจะรู้สึกอย่างไรครับ

กิเลสมันไปกดไปข่มไว้ไม่ได้หรอกครับ เพราะมันมีทั้งความอยากและไม่อยาก
ไปกดตัวหนึ่งไว้อีกตัวมันก็แสดงอำนาจครับ

ปล.หวังว่าคงไม่โกรธเพราะเห็นว่าคุณอนุญาติแล้ว
ใครว่าผมไม่มีกิเลส การที่ไม่ยุ่งกันนั้นไม่ได้หมายความว่าไม่มีกิเลสครับ มันก็มีอยู่แต่รู้จักหักห้ามใจนะครับ เหมือนกินข้าวมื้อเดียวนะครับเข้าเรียกว่าขันติ อดกั้น อดทน วางอุเบกขา รู้เท่าทันกิเลสนะครับไม่ให้มันทำอะไรเสร็จกิจ

ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปนะครับท่าน มันอยู่ไม่นานหรอกครับ ลำบากกว่านี้ยังผ่านมาได้ แค่นี้สบายแล้วครับ นี่ไงครับผลของการปฎิบัติละครับ ไม่ใช่อะไรก็กระโดดใส่

ส่วนเรื่องภรรยาผม บอกแล้วไงครับว่าเราต้องมีส่วนร่วมกันในการใช้ชีวิต ทำอะไรก็ต้องถามความยินยอมกันก่อน เราถือว่าเป็นการอนุเคราะห์ กันครับ ถ้าผมเริ่ม มันก็ทำให้เขาไม่ก้าวหน้าเหมือนกัน

ส่วนเรื่องที่เขาจะไปไหนมาไหนนั้นมันเป็นนิสัยส่วนตัวผมสะด้วย ผมให้อิสละกับเรื่องนี้กับทุกคนไม่เคยติดตามถามไถ่ ทุกคนล้วนต้องการอิสละ ผมยังต้องการอิสละเลย ส่วนถ้ามันเกิดเรื่องนั้นจริงๆแล้วผมเห็นเข้าตำตา ตอบแบบตรงๆนะครับก็อาจจะมีความรู้สึกบ้าง แต่ผมคงไม่เห็นหรอกครับถ้าเขาไมพากันทำแบบนั้นที่บ้าน เพราะผมไม่ออกบ้านอยู่แล้ว

แต่ผมโชคดีเพราะภรรยาเป็นคนบอกเรื่องนี้กับผมก่อน ผมก็เลยไม่ต้องกังวลมาก ส่วนที่คุณว่ากิเลสมันมีอำนาจ นั้นไม่ผิดหรอกครับ ก็เพราะรู้ว่ามันมีอำนาจซิครับเราต้องมีขบวนการการใช้ชีวิต ขบวนการกำจัด มันต้องละเอียดรอบครอบ สิ่งไหนอบรมมันได้ก็อบรมมัน เวลาเราจริงๆไม่รู้ว่าเหลือกันคนละเท่าไหร่ ไม่แน่ชาติหน้ามาก่อนวันพรุ่งนี้ละทำยังไง เราต้องไม่ประมาทครับ ความตายมาเยือนได้ทุกเวลา :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 25 ก.ค. 2012, 15:02, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
คุณน้องจะกินกี่มื้อก็กินได้ครับคุณน้องเป็นผู้ปฎิบัติธรรม ไม่ได้เป็นผู้ประกาศว่าสำเร็จธรรม แต่กฎในศิลพรหมจรย์ในตำราหลังเที่ยงห้ามรับประทานนะครับ :b4: :b4:

คุณบิกทู่คิดกลับตาลปัตรหรือเปล่าครับ เณร เถร ชี เขาก็ห้ามกินอาหารหลังเที่ยง
เอางี้ผมจะสมมุติง่ายให้ดู เพราะผมเห็นว่าคุณยังคิดอะไรตื้นๆ

คุณรู้จักเขาทรายกาแลคซี่มั้ยครับ ในขณะที่ไต่เต้ามาเป็นแชมป์
จนแขวนนวม เมื่อแขวนนวมแล้วก็ยังเป็นแชมป์ตลอดกาลนี่
ถามหน่อยครับ เขาทรายยังต้องออกกำลัง ยังต้องลดน้ำหนักจำกัดอาหารเหมือนตอน
ที่ยังไม่ได้เป็นแชมป์มั้ยครับ
มีด้วยเหรอ :b3: :b3: ศิล8เขามีไว้ให้เณรชี อย่างเดียว สมาทานแล้วก็เหมือนกันหมดละครับคุณนี่แนะนำยังไง:b34: :b34:
งั้นพระพุทธองค์ก็คงบอกให้สาวกของท่านที่สำเร็จอรหันต์แล้วฉันอาหารกันตามสบายซิครับ อย่าบอกนะเป็นวินัยสงฆ์ ถึงเขาทรายจะชนะเป็นแชมป์แล้วมีค่าอะไรมาก ไม่เหมือนพรพุทธองค์ทรงชนะมาร มีคุณค่ามหาศาล คุณเปรียบเทียบผิดแล้วครับ พี่โฮ :b4: :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 15:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
คุณน้องจะกินกี่มื้อก็กินได้ครับคุณน้องเป็นผู้ปฎิบัติธรรม ไม่ได้เป็นผู้ประกาศว่าสำเร็จธรรม แต่กฎในศิลพรหมจรย์ในตำราหลังเที่ยงห้ามรับประทานนะครับ :b4: :b4:

คุณบิกทู่คิดกลับตาลปัตรหรือเปล่าครับ เณร เถร ชี เขาก็ห้ามกินอาหารหลังเที่ยง
เอางี้ผมจะสมมุติง่ายให้ดู เพราะผมเห็นว่าคุณยังคิดอะไรตื้นๆ

คุณรู้จักเขาทรายกาแลคซี่มั้ยครับ ในขณะที่ไต่เต้ามาเป็นแชมป์
จนแขวนนวม เมื่อแขวนนวมแล้วก็ยังเป็นแชมป์ตลอดกาลนี่
ถามหน่อยครับ เขาทรายยังต้องออกกำลัง ยังต้องลดน้ำหนักจำกัดอาหารเหมือนตอน
ที่ยังไม่ได้เป็นแชมป์มั้ยครับ
มีด้วยเหรอ :b3: :b3: ศิล8เขามีไว้ให้เณรชี อย่างเดียว สมาทานแล้วก็เหมือนกันหมดละครับคุณนี่แนะนำยังไง:b34: :b34:
งั้นพระพุทธองค์ก็คงบอกให้สาวกของท่านที่สำเร็จอรหันต์แล้วฉันอาหารกันตามสบายซิครับ อย่าบอกนะเป็นวินัยสงฆ์ ถึงเขาทรายจะชนะเป็นแชมป์แล้วมีค่าอะไรมาก ไม่เหมือนพรพุทธองค์ทรงชนะมาร มีคุณค่ามหาศาล คุณเปรียบเทียบผิดแล้วครับ พี่โฮ :b4: :b4: :b4:



เทียบพระอริยะ กับ เขาทราย :b32: :b32: :b32:
สุดยอดอีกอันแหละ :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
คุนน้องพิจารณาการกินว่า กินเพื่ออยู่กินเพื่อไม่ให้ร่างกายหิว กินโดยปราศจากกิเลศกินอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้อง
เจาะจงว่ารสอาหารจะดีหรือแย่ ตามปกติก็กินกัน 3 มื้อ คุนน้องจะกินต่อเมื่อหิวเช่นกันและกินเท่าที่ร่างกายต้องการใช้งานในแต่ละวัน คุนน้องรู้ว่า ร่างกายแต่ละคนมีความต้องการพลังงานไม่เท่ากัน คนสบายหน่อยไม่ได้ทำงานหนัก อาจจะกิน มื้อเดียว หรือ สองมื้อ แต่ถ้าเป็นคนที่ต้องทำงานโดยใช้พลังงานมาก ก็ต้องกินมาก อันนี้มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรยึดติดว่า คนที่เค้ากิน3มื้อ จะปฏิบัติธรรมสู้คนที่เค้ากินแค่มื้อเดียวไม่ได้ มันต่างกันแค่ เหตุปัจจัยที่เป็นอยู่เท่านั้น อย่างที่คุนน้องบอกว่า ถือศีลพรหมจรรย์ ไม่ใช่เพราะคิดว่ามันดีกว่าถือศีล5ธรรมดา
แต่จิตเห็นโทษในสิ่งนั้น คุนน้องไม่ได้ต้องการสิ่งนั้น เพราะว่าไม่มีคนที่ตัวเองรักอยู่ในโลกนี้แล้ว คุนน้องก็เลยปลงได้ เพราะจิตเห็นสัจธรรมความจริงแล้ว เคยสอบอารมณ์ตัวเองนะและไม่ใช่ไปข่มอารมณ์ ลองมองดูคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่ตนรัก ลองทำอารมณ์ว่าเราสามารถเกิดตัณหาอย่างว่ากับคนนั้นได้หรือไม่..ตอนทดสอบก็มีความพอใจในรุปราคะขึ้นมาแว๊บนึง แต่พอลองสอบอารมณ์ลงไปอีกขั้นลึกซึ้ง..ใจก็บอกว่า มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ มันจะบอกแบบนี้และจะไม่มีความรู้สึกอย่างว่าเลยสักนิด อาจจะเป็นเพราะจิตที่ผุกพันธ์กับสามี กิเลศตันหาในเรื่องนั้นมันก็เลยดับลงสิ้นเชิง
ในเมื่อโชคชะตากำหนดให้เป็นแบบนี้แล้ว คุนน้องก็คงต้องเดินหน้าเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารเหมือนกัน :b8:
คุณน้องจะกินกี่มื้อก็กินได้ครับคุณน้องเป็นผู้ปฎิบัติธรรม ไม่ได้เป็นผู้ประกาศว่าสำเร็จธรรม แต่กฎในศิลพรหมจรย์ในตำราหลังเที่ยงห้ามรับประทานนะครับ :b4: :b4:

ตำราอะไรค่ะ มีอ้างอิงให้คุนน้องอ่านหรือเปล่า เท่าที่รู้มาถ้าเป็นพระสงฆ์หรือสามเณร ฉันอาหาร 2มื้อ หลังเที่ยงถ้าหิวก็ฉันน้ำปานะได้ แต่กฏในศิลพรหมจรรย์จะมีบังคับไว้ไม่ให้กินหลังเที่ยงมันไม่สำคัญกับคุนน้อง เพราะเจตนาเท่านั้น
แล้วไม่ว่าเราจะทำอะไร ใจเท่านั้น ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ถ้าจะบังคับในตำราว่าให้คุนน้องห้ามกินข้าวหลังเที่ยง คุนน้องก็คงหมดแรงเป็นลมตาย เพราะมื้อเช้าคุนน้องก็งดไปแล้ว การถือศีลพรตปรามาสเป็นอย่างไรทำไมคุนน้องจะไม่รู้ เพราะฉะนั้นการกินมันไม่ใช่ข้อพิสูจน์ว่าคนผู้นั้น เป็นผู้บรรลุรรมหรือเป็นผู้ไกลจากกิเลศ ก็ดูอย่างพระเทวทัตสิเจ้าค่ะ :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ยังไม่มีครอบครัว มื้อเย็นแทบจะไม่แตะ ไม่ได้ตั้งใจทำ แต่ทำด้วยความเคยชิน

พอมีครอบครัว วลัยพร กินครบ ๓ มื้อ โดยเฉพาะ มื้อเย็นของคนอื่นๆ อาจะเรียกว่ามื้อเย็น

มื้อเย็นสำหรับ วลัยพร คือ มื้อดึก เพราะ กว่าคุณสามี กลับมาถึง กว่าจะได้กินข้าว โน่น หลัง สามทุ่ม บางครั้งเกือบเที่ยงคืนก็มี

แล้ว วลัยพร ก็ต้องนั่งกินเป็นเพื่อน อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้าง แล้วแต่ความชอบใจในอาหารชนิดนั้นๆ

เหตุที่ต้องกินเป็นเพื่อน เพราะ เวลาคุณสามีกินข้าวคนเดียว จะกินเหมือนสักแต่ว่ากิน กินได้น้อย
พอไปนั่งกินเป็นเพื่อน เขาจะพูดว่า โน่นก็อร่อย นี่ก็อร่อย ตามด้วยผลไม้ ไม่ก็ขนมหวาน เป็นแบบนี้ทุกวัน

ชีวิตของวลัยพรและครอบครัว อยู่แบบเพียงพอ(พอใจ) คือ ทำตามเหตุปัจจัย " ไม่ได้อยู่แบบ "ติดดี"


การที่ใคร ใช้ชีวิตแบบไหน จะเสพกามหรือไม่เสพกาม ไม่ใช่ตัววัดผลความก้าวหน้าทางจิต

ตัววัดผล ความก้าวหน้าทางจิต คือ การกระทำ หรือ การสร้างเหตุทางกายกรรม วจีกรรม ตามความรู้สึก ยินดี ยินร้าย ที่เกิดขึ้น ส่วนมโนกรรม เว้นไว้ได้ แค่รู้ไปว่า ยังมีอยู่ เพราะยังมีกิเลส


นอกเหนือจาก สมถะ-วิปัสสนา ในสติปัฏฐาน ๔
การกระทำ ที่คิดว่า การทำเช่นนี้ๆ สามารถบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ได้ ล้วนเป็น สีลัพพตปรามาส

ทุกสรรพสิ่ง ล้วนมีเหตุ เป็นแดนเกิด

การที่พระผู้มีพระภาค ทรงวางกฏเกณฑ์ต่างๆไว้ ล้วนมีเหตุมาก่อน ไปหาศึกษาดู

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
:b4: :b4:
ตำราอะไรค่ะ มีอ้างอิงให้คุนน้องอ่านหรือเปล่า เท่าที่รู้มาถ้าเป็นพระสงฆ์หรือสามเณร ฉันอาหาร 2มื้อ หลังเที่ยงถ้าหิวก็ฉันน้ำปานะได้ แต่กฏในศิลพรหมจรรย์จะมีบังคับไว้ไม่ให้กินหลังเที่ยงมันไม่สำคัญกับคุนน้อง เพราะเจตนาเท่านั้น แล้วไม่ว่าเราจะทำอะไร ใจเท่านั้น ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ถ้าจะบังคับในตำราว่าให้คุนน้องห้ามกินข้าวหลังเที่ยง คุนน้องก็คงหมดแรงเป็นลมตาย เพราะมื้อเช้าคุนน้องก็งดไปแล้ว การถือศีลพรตปรามาสเป็นอย่างไรทำไมคุนน้องจะไม่รู้ เพราะฉะนั้นการกินมันไม่ใช่ข้อพิสูจน์ว่าคนผู้นั้น เป็นผู้บรรลุรรมหรือเป็นผู้ไกลจากกิเลศ ก็ดูอย่างพระเทวทัตสิเจ้าค่ะ :b45:
คุณน้องเลือกเอาจะอยู่ชั้นไหนก็เลือกดู ชั้นของพรหมจรรย์ ๑๐. ศาสนา = ปฏิบัติธรรมทุกข้อในศาสนา ชั้นสูง ๙. อริมรรค = บำเพ็ญมรรค ๘ (ไตรสิกขา) ๘. อุโบสถ = รักษาศีลอุโบสถ ๗. วิริยะ = ทำความเพียร ชั้นกลาง ๖. เมถุนวิรัติ = เว้นเสพเมถุน ๕. สทารสันโดษ = พอใจแต่ในคู่ครองของตน ๔. อัปปมัญญา = แผ่เมตตา แก่สัตว์ทั่วไป ชั้นต้น ๓. เบญจศีล = รักษาศีลห้า ๒. เวยยาวัจจะ = ขวนขวาย ในการทำประโยชน์ ๑. ทาน = การสละทรัพย์ให้คนอื่น
ดูข้อ8 ถ้าคุณน้องหมายถึงข้อที่ 8 ที่รักษาอยู่ เรียกว่าอุโบสถศิลหรือเรียกอีกอย่างว่าศิลพรหมจรรย์อาหารมื้อเดียวครับ ถ้าศิลแปดอนุญาติให้สองมื้อครับไม่เกินเที่ยงวัน มันไม่ได้ทำกันง่ายๆหรอกครับถ้าความพร้อมทางสังคมการดำเนินชีวิตยังไม่พร้อมไม่เป็นไรไม่ผิด แต่จะหวังบรรลุธรรมขั้นสูงคงยากสักหน่อยครับ ข้อนี้เขาให้พยายามถือกันเฉพาะวันพระ คนที่ทำได้เพราะเขาฝึกมาดีครับค่อยๆทำไป ไม่ต้องสมาทานศิลหรอกครับถ้าคุณน้องจะทำตามใจชอบทานอะไรตอนไหนก็ได้ การสมาทานนั้นเป็นการตั้งสัจจะ ถ้าทำไม่ได้มันเสียสัจจะเท่านั้นเองไม่มีอะไร สัจจะเป็นสิ่งสำคัญในการปฎิบัติธรรมครับ สัจจะอธิษฐาน คือการตั้งใจมั่นที่จะทำสิ่งที่ยากให้สำเร็จ และอธิษฐานไม่ใช่การอ้อนวอนขอ แต่เป็นการลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองโดยผู้ที่จะตั้อธิษฐานให้สำเร็จได้ แต่ถ้ารักษาความบริสุทธิไม่เสพเมถุนอย่างเดียวก็ถือว่าสุดยอดแล้วครับ อนุโทนาครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 25 ก.ค. 2012, 17:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หุ หุ .. คำว่า สำเร็จธรรม ไม่รู้จักแฮะ

รู้จักแต่ กรรมนี้ ได้แก่ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม สำเร็จแล้ว ด้วยการกระทำ ไม่ว่าจะเจตนา หรือไม่เจตนาก็ตาม

เหมือนปฏิจจสมุปบาท ที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ที่นำมาวิพากย์ วิจารณ์กัน เป็นที่นิยมแพร่หลาย

ล้วนเป็น ปฏิจจสมุปบาท สำเร็จรูป ไม่แตกต่างกับ มาม่า ที่แพ็คเป็นซอง ขายอยู่เกลื่อนกลาด


ใครๆที่ไหน ก็หาเสพได้(ท่องจำ) เหตุเพราะ ไปเสพสัญญาของพระผู้มีพระภาค ไม่ได้รู้แจ้งด้วยตนเอง

เวลาพูด จึงมีแต่สัญญา ออกแบบมาเหมือนกันเป๊ะๆ เพราะ ลอกสัญญามาจากต้นแบบ


ชาวบ้านฟังแล้วงง แปลไม่ออก มันมีแต่การย้อนคำ กลับไป กลับมา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ตอนที่ยังไม่มีครอบครัว มื้อเย็นแทบจะไม่แตะ ไม่ได้ตั้งใจทำ แต่ทำด้วยความเคยชิน

พอมีครอบครัว วลัยพร กินครบ ๓ มื้อ โดยเฉพาะ มื้อเย็นของคนอื่นๆ อาจะเรียกว่ามื้อเย็น

มื้อเย็นสำหรับ วลัยพร คือ มื้อดึก เพราะ กว่าคุณสามี กลับมาถึง กว่าจะได้กินข้าว โน่น หลัง สามทุ่ม บางครั้งเกือบเที่ยงคืนก็มี

แล้ว วลัยพร ก็ต้องนั่งกินเป็นเพื่อน อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้าง แล้วแต่ความชอบใจในอาหารชนิดนั้นๆ

เหตุที่ต้องกินเป็นเพื่อน เพราะ เวลาคุณสามีกินข้าวคนเดียว จะกินเหมือนสักแต่ว่ากิน กินได้น้อย
พอไปนั่งกินเป็นเพื่อน เขาจะพูดว่า โน่นก็อร่อย นี่ก็อร่อย ตามด้วยผลไม้ ไม่ก็ขนมหวาน เป็นแบบนี้ทุกวัน

ชีวิตของวลัยพรและครอบครัว อยู่แบบเพียงพอ(พอใจ) คือ ทำตามเหตุปัจจัย " ไม่ได้อยู่แบบ "ติดดี"


การที่ใคร ใช้ชีวิตแบบไหน จะเสพกามหรือไม่เสพกาม ไม่ใช่ตัววัดผลความก้าวหน้าทางจิต

ตัววัดผล ความก้าวหน้าทางจิต คือ การกระทำ หรือ การสร้างเหตุทางกายกรรม วจีกรรม ตามความรู้สึก ยินดี ยินร้าย ที่เกิดขึ้น ส่วนมโนกรรม เว้นไว้ได้ แค่รู้ไปว่า ยังมีอยู่ เพราะยังมีกิเลส


นอกเหนือจาก สมถะ-วิปัสสนา ในสติปัฏฐาน ๔
การกระทำ ที่คิดว่า การทำเช่นนี้ๆ สามารถบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ได้ ล้วนเป็น สีลัพพตปรามาส

ทุกสรรพสิ่ง ล้วนมีเหตุ เป็นแดนเกิด

การที่พระผู้มีพระภาค ทรงวางกฏเกณฑ์ต่างๆไว้ ล้วนมีเหตุมาก่อน ไปหาศึกษาดู
แต่ละคนมีสิทธิที่จะคิดที่จะทำในสิ่งที่ตนคิดตนปรารถนา แต่ไม่ใช่ทุกคนจะไปถึงในสิ่งที่ปราถนาได้ ตอนคุณนี้ยังทานอาหารเจอยู่หรือเปล่าครับ! :b37: :b37:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ตอนคุณนี้ยังทานอาหารเจอยู่หรือเปล่าครับ! :b37: :b37:



ว่าเขียนไว้ชัดแล้วนา "ตามเหตุปัจจัย"

อีกอย่าง จะกินเจ หรือไม่กินเจ เกี่ยวข้อง อย่างไรหรือ?

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝากเป็นข้อคิดบางคนสงสัยว่า ไปเจอมาโดนใจมากๆ บางคนสงสัยว่า ศีลเป็นเพียง บันไดขั้นต้น ไม่น่าจะทำให้ถึงนิพพาน ต้องสมาธิ ปัญญา จึงจะถึงได้ เสร็จแล้ว ก็หวนมาแปลงคำแปล “นิพพุติง ยันติ” แปลว่า “ถึงความเยือกเย็น” อย่างนี้เป็นต้น แต่ความจริงแล้ว ขอให้ดู ในพรหมจรรย์ ทั้ง ๑๐ ข้อนั้นท่านจะเห็นได้ว่า ศีลเป็นปัจจัยสำคัญ ในการตัด จากโลกีย์ ตั้งแต่ต้น จนตลอดเลยถ้าหากจะเอาศีล เปรียบกับบันได ก็ไม่ควรเปรียบ กับขั้นบันได แต่ควรเปรียบ กับแม่บันไดบันไดสูงเท่าไร แม่บันได ก็ต้องสูงเท่านั้นปลายข้าง ของแม่บันได จดที่พื้นล่าง... อีกข้าง จดพื้นบนศีลก็เหมือนกัน จำเป็น ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งสุดเขตโลกีย์.......นี่ขอฝาก ไว้เป็นข้อคิด.

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
bigtoo เขียน:
ตอนคุณนี้ยังทานอาหารเจอยู่หรือเปล่าครับ! :b37: :b37:



ว่าเขียนไว้ชัดแล้วนา "ตามเหตุปัจจัย"

อีกอย่าง จะกินเจ หรือไม่กินเจ เกี่ยวข้อง อย่างไรหรือ?
เห็นหัวข้อกระทู้ ครับ เรื่องอาหารเจ :b37: :b31:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 18:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


เอามาฝาก

การกินเจ โดย หลวงพ่อชา
วันหนึ่งมีคนมาถามหลวงพ่อชา
เกี่ยวกับเรื่องการกินเจกับ​การกินอาหารเนื้ออาหารปลา
ต่างกันอย่างไร อย่างไหนถูก อย่างไหนผิด

เพราะปัจจุบัน
มีสำนักปฏิบัติที่ถือข้อวัต​รปฏิบัติต่างกันมากมายหลายแ​ห่ง

บางแห่งถือว่าการกินเนื้อสั​ตว์เป็นบาปเป็นกรรมร่วม
เพราะเท่ากับเป็นการยุให้เข​าฆ่าสัคว์
ที่นั้นจะต้องถือมังสวิรัติ
เว้นการฉันเนื้อฉันปลาอย่าง​เด็ดขาด

บางแห่งว่าการกินเจเป็นข้อว​ัตรของเทวทัตที่เคร่งครัดเก​ินไป
จนพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต
เขาจึงสงสัยว่าอย่างไรจะถูก​อย่างไรจะผิด
ในระหว่างข้อวัตรปฏิบัติทั้​งสองแบบนี้

ท่านตอบว่า

เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ
โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมั​นดีกว่ากัน

ความจริงแล้ว

พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะ​ไร ไม่ได้เป็นอะไร
ในจิตของท่านไม่มีอะไรเป็นอ​ะไรอีกแล้ว

การบริโภคอาหารเป็นสักแต่ว่​า
เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างก​ายพอให้คงอยู่ได้
ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอา​หาร
ไม่ให้ติดอยู่ในทุกสิ่งทุกอ​ย่าง

ให้รู้จักประมาณในการบริโภค
ไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา
นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะ​ไร
ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรแล้ว

ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรส​ชาติของเนื้อ นั่นเป็นตัณหา

ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อ
ก็รังเกียจและโกรธเขา ไปด่าว่านินทาเขา
เอาความชั่วของเขาไปไว้ในใจ​ตัวเอง
นั่นก็เป็นคนโง่กว่าเขา
ทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือน​กัน

การที่เราไปโกรธเกลียดเขานั​้น
มันก็คือผีที่สิงอยูในใจเรา

เขากินเนื้อเป็นบาปเราโกรธเ​ขา
เราก็เป็นผีเป็นบาปอีกเหมือ​นกัน

มันยังเป็นสัตว์อยู่ทั้งสอง​ฝ่าย ยังไม่เป็นธรรมะ
อาตมาจึงว่าเหมือนกบกับคางค​ก

แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ
คนกินเนื้อ ก็อย่าเห็นแก่ปากปากท้อง
อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยจ​นเกินไป อย่าถึงกับฆ่าเขากิน

ส่วนคนกินเจก็ให้เชื่อมั่นใ​นข้อวัตรของตัวเอง
เห็นคนอื่นกินเนื้ออย่าไปโก​รธเขา รักษาตัวเราไว้
อย่าให้คิดอยูในการกระทำภาย​นอก

พระเณรในวัดนี้ของอาตมาก็เห​มือนกัน
องค์ไหนจะถือข้อวัตรฉันเจก็​ถือไป
องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตาม​ได้ก็ถือไป
แต่อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในเง่ร้าย
อาตมาสอนอย่างนี้ ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร

ให้เข้าใจว่า

ธรรมะที่แท้นั้น เราจะเข้าถึงได้ด้วยปัญญา
ทางปฏิบัติที่ถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าเราสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบ
และปัญญาความรู้เท่าทันสภาพ​ของสังขารทั้งหลาย ก็จะเกิดขึ้น
จิตใจก็เบื่อหน่ายจากสิ่งที​่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย วิมุตตก็เกิดขึ้นเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ฝากเป็นข้อคิดบางคนสงสัยว่า ไปเจอมาโดนใจมากๆ บางคนสงสัยว่า ศีลเป็นเพียง บันไดขั้นต้น ไม่น่าจะทำให้ถึงนิพพาน ต้องสมาธิ ปัญญา จึงจะถึงได้ เสร็จแล้ว ก็หวนมาแปลงคำแปล “นิพพุติง ยันติ” แปลว่า “ถึงความเยือกเย็น” อย่างนี้เป็นต้น แต่ความจริงแล้ว ขอให้ดู ในพรหมจรรย์ ทั้ง ๑๐ ข้อนั้นท่านจะเห็นได้ว่า ศีลเป็นปัจจัยสำคัญ ในการตัด จากโลกีย์ ตั้งแต่ต้น จนตลอดเลยถ้าหากจะเอาศีล เปรียบกับบันได ก็ไม่ควรเปรียบ กับขั้นบันได แต่ควรเปรียบ กับแม่บันไดบันไดสูงเท่าไร แม่บันได ก็ต้องสูงเท่านั้นปลายข้าง ของแม่บันได จดที่พื้นล่าง... อีกข้าง จดพื้นบนศีลก็เหมือนกัน จำเป็น ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งสุดเขตโลกีย์.......นี่ขอฝาก ไว้เป็นข้อคิด.




ศิล ตามที่คุณกล่าวมา ล้วนเป็น สีลัพพตปรามาส

ศิล ที่สามารถ บรรลุ มรรค ผล นิพพานได้ คือ ศิล ที่หมายถึง ความปกติ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
เอามาฝาก

การกินเจ โดย หลวงพ่อชา
วันหนึ่งมีคนมาถามหลวงพ่อชา
เกี่ยวกับเรื่องการกินเจกับ​การกินอาหารเนื้ออาหารปลา
ต่างกันอย่างไร อย่างไหนถูก อย่างไหนผิด

เพราะปัจจุบัน
มีสำนักปฏิบัติที่ถือข้อวัต​รปฏิบัติต่างกันมากมายหลายแ​ห่ง

บางแห่งถือว่าการกินเนื้อสั​ตว์เป็นบาปเป็นกรรมร่วม
เพราะเท่ากับเป็นการยุให้เข​าฆ่าสัคว์
ที่นั้นจะต้องถือมังสวิรัติ
เว้นการฉันเนื้อฉันปลาอย่าง​เด็ดขาด

บางแห่งว่าการกินเจเป็นข้อว​ัตรของเทวทัตที่เคร่งครัดเก​ินไป
จนพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต
เขาจึงสงสัยว่าอย่างไรจะถูก​อย่างไรจะผิด
ในระหว่างข้อวัตรปฏิบัติทั้​งสองแบบนี้

ท่านตอบว่า

เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ
โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมั​นดีกว่ากัน

ความจริงแล้ว

พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะ​ไร ไม่ได้เป็นอะไร
ในจิตของท่านไม่มีอะไรเป็นอ​ะไรอีกแล้ว

การบริโภคอาหารเป็นสักแต่ว่​า
เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างก​ายพอให้คงอยู่ได้
ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอา​หาร
ไม่ให้ติดอยู่ในทุกสิ่งทุกอ​ย่าง

ให้รู้จักประมาณในการบริโภค
ไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา
นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะ​ไร
ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรแล้ว

ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรส​ชาติของเนื้อ นั่นเป็นตัณหา

ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อ
ก็รังเกียจและโกรธเขา ไปด่าว่านินทาเขา
เอาความชั่วของเขาไปไว้ในใจ​ตัวเอง
นั่นก็เป็นคนโง่กว่าเขา
ทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือน​กัน

การที่เราไปโกรธเกลียดเขานั​้น
มันก็คือผีที่สิงอยูในใจเรา

เขากินเนื้อเป็นบาปเราโกรธเ​ขา
เราก็เป็นผีเป็นบาปอีกเหมือ​นกัน

มันยังเป็นสัตว์อยู่ทั้งสอง​ฝ่าย ยังไม่เป็นธรรมะ
อาตมาจึงว่าเหมือนกบกับคางค​ก

แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ
คนกินเนื้อ ก็อย่าเห็นแก่ปากปากท้อง
อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยจ​นเกินไป อย่าถึงกับฆ่าเขากิน

ส่วนคนกินเจก็ให้เชื่อมั่นใ​นข้อวัตรของตัวเอง
เห็นคนอื่นกินเนื้ออย่าไปโก​รธเขา รักษาตัวเราไว้
อย่าให้คิดอยูในการกระทำภาย​นอก

พระเณรในวัดนี้ของอาตมาก็เห​มือนกัน
องค์ไหนจะถือข้อวัตรฉันเจก็​ถือไป
องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตาม​ได้ก็ถือไป
แต่อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในเง่ร้าย
อาตมาสอนอย่างนี้ ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร

ให้เข้าใจว่า

ธรรมะที่แท้นั้น เราจะเข้าถึงได้ด้วยปัญญา
ทางปฏิบัติที่ถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าเราสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบ
และปัญญาความรู้เท่าทันสภาพ​ของสังขารทั้งหลาย ก็จะเกิดขึ้น
จิตใจก็เบื่อหน่ายจากสิ่งที​่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย วิมุตตก็เกิดขึ้นเท่านั้น




เข้าใจนะ ที่คุณไปลากคำของครูบาอาจารย์มาอ้างอิง เคยเป็นมาก่อน จึงเข้าใจ มันเป็นเรื่องปกติจริงๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 18:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
bigtoo เขียน:
ฝากเป็นข้อคิดบางคนสงสัยว่า ไปเจอมาโดนใจมากๆ บางคนสงสัยว่า ศีลเป็นเพียง บันไดขั้นต้น ไม่น่าจะทำให้ถึงนิพพาน ต้องสมาธิ ปัญญา จึงจะถึงได้ เสร็จแล้ว ก็หวนมาแปลงคำแปล “นิพพุติง ยันติ” แปลว่า “ถึงความเยือกเย็น” อย่างนี้เป็นต้น แต่ความจริงแล้ว ขอให้ดู ในพรหมจรรย์ ทั้ง ๑๐ ข้อนั้นท่านจะเห็นได้ว่า ศีลเป็นปัจจัยสำคัญ ในการตัด จากโลกีย์ ตั้งแต่ต้น จนตลอดเลยถ้าหากจะเอาศีล เปรียบกับบันได ก็ไม่ควรเปรียบ กับขั้นบันได แต่ควรเปรียบ กับแม่บันไดบันไดสูงเท่าไร แม่บันได ก็ต้องสูงเท่านั้นปลายข้าง ของแม่บันได จดที่พื้นล่าง... อีกข้าง จดพื้นบนศีลก็เหมือนกัน จำเป็น ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งสุดเขตโลกีย์.......นี่ขอฝาก ไว้เป็นข้อคิด.
ศิล ตามที่คุณกล่าวมา ล้วนเป็น สีลัพพตปรามาส ศิล ที่สามารถ บรรลุ มรรค ผล นิพพานได้ คือ ศิล ที่หมายถึง ความปกติ
ได้ยินมาเยอะความว่าปกติ มันเป็นอย่างไร เหมือนชีวิตคุณหรือเปล่าครับ :b37:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร