วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 20:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ก็ทำไปซิครับ ประกอบอาชีพน่ะ ใครๆเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ เขาจะกินกี่มื้อก็เรื่องของเขา ก็เขาไม่ได้ประกาศตนเป็นคนปฎิบัติธรรมบรรลุธรรมเขาจะกินสัก 3-4-5มื้อก็กินไปใครจะไปว่าเขาละมันสิทธิของเขา พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรงห้าม ยังยากอยู่ในวัฎฎะก็อยู่ไป พระองค์ก็ทรงแสดงฆารวาสธรรมให้ฟัง แล้วพระองค์ก็ยังบอกว่า ฆารวาสเหมือนยืนอยู่ปากเหว แต่ฆารวาสที่เขามีปัญญามากเขาก็น้อมนำวิธีที่เดินไกลเหวหน่อยมาปฎิบัติ เพราะเขามีปัญญา *ไม่ใช่ทำไม่ได้ก็ตำหนิคนทำได้ว่าเพ้อเจ้อ บ้าง เรียนแบบพระ คุณนี่แปลกดีจริง**งั้นอริยชน จะต่างอะไรกับปุถุชนละครับพี่โฮ ตีพุทธพจน์เพื่อความสบายอย่างเดียว งั้นจะมาศึกษาพระธรรมทำมัยในเมื่อคุณไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีชีวิตเลย มรรคข้อ2ไงครับ ดำริออกจากกามไง ผมว่าท่านข้อ1ท่านยังไม่เกิดแน่ๆเลย :b34: :b34: :b34:

พูดธรรมมั่วไปเรื่อย ไม่มีสมาธิอยู่กับธรรมซะบ้างเลย พอๆกับอีตาฝึกจิต
ใครจะไปเหมือนกับคุณครับ ประกาสว่าวางอุเบกขา มีเมียสาวสวยแต่ไม่ยุ่งกับเมีย
กินข้าวมื้อเดียวแต่ทำกับข้าวให้เมียกิน

กิเลสกับผู้บรรลุธรรมมันมีระดับของมัน สมัยพุทธกาลก็มีผู้ประกาศตนเป็น
โสดาบันทั้งที่เป็นฆราวาสตั้งหลายคน นางวิสาขาบรรลุธรรมเป็นโสดาบัน
ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ทำไมมีครอบครัวได้ แถมมีลูกเป็นโขยง
พระเจ้าพิมพิสารอีกล่ะ เป็นโสดาบันก็ยังเป็นกษัตริย์ได้เลย

ถึงได้บอกว่า การบรรลุธรรมมีระดับขั้น เหล่าบรรดาอริยสาวกของพระพุทธเจ้า
ท่านผ่านการบรรลุธรรมขั้นต้นมาแล้ว แต่ที่ต้องมาบวชเป็นพระภิกษุก็เพื่อศึกษาปฏิบัติ
ให้ถึงอรหันต์

พอเห็นความแตกต่างหรือยังว่าอริยชนแตกต่างจากปุถุชนตรงไหน

อริยชนก็คือเขามีลูกมีเมีย มีสามีได้เป็นปกติทั่วไป
แต่ปุถุชนที่หลงคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมอย่างบิกทู่ก็คือ มีเมียสาวสวยเก็บไว้ที่บ้านเฉยๆ
ไม่ต้องทำอะไรแม้กระทั่ง ทำกับข้าวให้สามีครับ :b32:
ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นล่ะ พี่โฮทำไปเรื่อยๆ ถ้าคุณน้อมสักนิดเพื่อคิดจะลดละ ผมก็ว่าคุณเป็นได้อริยชนนะ แต่เห็นตะบี้ตะบัน ไม่เห็นคุณค่าของการดำริออกจากกาม ก็เท่านั้นเองละครับ ผมไม่ได้เริ่มปฎิบัติธรรมนะนะครับ คำบางคำผมกว่าจะเขียนออกมานะผมต้องพิจราณาตั้งนานกลัวกระทบจิตใจคน กลัวบาปนะครับ! :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นล่ะ พี่โฮทำไปเรื่อยๆ ถ้าคุณน้อมสักนิดเพื่อคิดจะลดละ ผมก็ว่าคุณเป็นได้อริยชนนะ แต่เห็นตะบี้ตะบัน ไม่เห็นคุณค่าของการดำริออกจากกาม ก็เท่านั้นเองละครับ ผมไม่ได้เริ่มปฎิบัติธรรมนะนะครับ คำบางคำผมกว่าจะเขียนออกมานะผมต้องพิจราณาตั้งนานกลัวกระทบจิตใจคน กลัวบาปนะครับ! :b4: :b4:

สงสัยจะกระทบว่าผมพูดไม่ดีมั้ง พุทโธ่! ก็บอกแล้ว ขออนุญาตแล้ว
แทนที่จะดูจิตตัวเองไปด้วย ไหนบอกวางอุเบกขาได้ไง

เรื่องคำพูดคำจา ผมยังไงก็ได้ครับ
ขอแค่อย่าไปผิดกฎของบอร์ด จนทำให้กระทู้โดนล็อก
แต่ถ้าเป็นกระทู้คุณก็ช่างมันครับ


เออ! อีกเรื่องที่บอกว่า"ดำริออกจากกามนี่น่ะ" อยากให้
ไปศึกษาถามผู้รู้ดูนะครับว่า "กาม" ที่พระพุทธเจ้าสอนหมายถึงอะไร :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นล่ะ พี่โฮทำไปเรื่อยๆ ถ้าคุณน้อมสักนิดเพื่อคิดจะลดละ ผมก็ว่าคุณเป็นได้อริยชนนะ แต่เห็นตะบี้ตะบัน ไม่เห็นคุณค่าของการดำริออกจากกาม ก็เท่านั้นเองละครับ ผมไม่ได้เริ่มปฎิบัติธรรมนะนะครับ คำบางคำผมกว่าจะเขียนออกมานะผมต้องพิจราณาตั้งนานกลัวกระทบจิตใจคน กลัวบาปนะครับ! :b4: :b4:

สงสัยจะกระทบว่าผมพูดไม่ดีมั้ง พุทโธ่! ก็บอกแล้ว ขออนุญาตแล้ว
แทนที่จะดูจิตตัวเองไปด้วย ไหนบอกวางอุเบกขาได้ไง

เรื่องคำพูดคำจา ผมยังไงก็ได้ครับ
ขอแค่อย่าไปผิดกฎของบอร์ด จนทำให้กระทู้โดนล็อก
แต่ถ้าเป็นกระทู้คุณก็ช่างมันครับ


เออ! อีกเรื่องที่บอกว่า"ดำริออกจากกามนี่น่ะ" อยากให้
ไปศึกษาถามผู้รู้ดูนะครับว่า "กาม" ที่พระพุทธเจ้าสอนหมายถึงอะไร :b13:
ผมไม่ได้สนใจคำพูดคุณหรอกครับเอาไว้ฝึกใจดีซะอีก แต่ผมกลัวคำพูดผมกระทบกับหลายๆท่านครับพี่โฮ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 00:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า? (ความ
ตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทุกข์นั้นคือ:-
เพราะอาศัยซึ่งมโนด้วย, ซึ่งธัมมารมณ์ทั้งหลายด้วย, จึงเกิดมโนวิญญาณ;
การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการนี้ คือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี
เวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; เพราะความจางคลายดับไป
ไม่เหลือแห่งตัณหานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
; เพราะมีความดับ
แห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ;
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย
จึงดับสิ้น: ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. นี้คือ ความ
ตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทุกข์.
(รวมทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ด้วย)

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วตัณหาจะจางคลายดับไปได้อย่างไรหละ ถ้าไม่รู้แจ้งอริยสัจ หรือเมื่อไม่ดับอวิชชา

การดับตัณหา ก็ยังต้องดับที่อวิชชาอยู่ดี

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 00:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบาง เขียน:
แล้วตัณหาจะจางคลายดับไปได้อย่างไรหละ ถ้าไม่รู้แจ้งอริยสัจ หรือเมื่อไม่ดับอวิชชา

การดับตัณหา ก็ยังต้องดับที่อวิชชาอยู่ดี

onion



อนุสัย อาสวะ อวิชชา เป็นต้นสาย ของสมุทัย ตัณหาเป็นปลายสายของสมุทัย
ท่านสามารถจางคลาย หรือดับได้ตั้งแต่ผัสสะจนตัณหานั้นแหละครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
จางบาง เขียน:
แล้วตัณหาจะจางคลายดับไปได้อย่างไรหละ ถ้าไม่รู้แจ้งอริยสัจ หรือเมื่อไม่ดับอวิชชา

การดับตัณหา ก็ยังต้องดับที่อวิชชาอยู่ดี

onion

อนุสัย อาสวะ อวิชชา เป็นต้นสาย ของสมุทัย ตัณหาเป็นปลายสายของสมุทัย
ท่านสามารถจางคลาย หรือดับได้ตั้งแต่ผัสสะจนตัณหานั้นแหละครับ

:b13: คุณฝึกจิตครับ ขอร้องเถอะครับไม่ต้องแสดงจำอวดสลับฉากก็ได้ครับ
ไม่รู้เหรอว่าฟันผมหลุดไปหลายซี่ เพราะหัวเราะคุณนี่แหล่ะ :b32:

ที่ว่าให้ดับผัสสะน่ะ ดับไงหรือครับ ให้เอานิ้วแทงลูกตาให้บอดหรือ
เอาไม้แหย่หูให้หนวกทั้งสองข้าง เฉือดลิ้นเอาไปทำสตู เอาปูนพลาสเตอร์
อุดรูจมูกทั้งสองข้างแล้วหายใจทางปากแทน เนื้อหนังเอาออกให้หมดให้เหลือแต่
โครงกระดูกกับเครื่องใน ดีเลยไม่ต้องเปลื้องค่าเอ็กเรย์ สุดท้ายเอาสว่านเจาะหัวกระโหลก
เอาหลอดดูดมันสมองออกมาทำตือฮวนกินเล่น

อพิโถ๋ อพิถังเอ้ย! พูดไปได้ดับผัสสะ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
จางบาง เขียน:
แล้วตัณหาจะจางคลายดับไปได้อย่างไรหละ ถ้าไม่รู้แจ้งอริยสัจ หรือเมื่อไม่ดับอวิชชา

การดับตัณหา ก็ยังต้องดับที่อวิชชาอยู่ดี

onion



อนุสัย อาสวะ อวิชชา เป็นต้นสาย ของสมุทัย ตัณหาเป็นปลายสายของสมุทัย
ท่านสามารถจางคลาย หรือดับได้ตั้งแต่ผัสสะจนตัณหานั้นแหละครับ
ผมเข้าใจอย่างนี้นะครับผิดถูกก็ว่ากันไป ผัสสะมันเกิดทุกขณะไม่ทางทวารใดก็ทวารหนึ่ง เพียงแต่เรารู้ว่าผัสสะไหนมันเป็นโทษเสี่ยงให้อกุศลได้ เราก็ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว อย่างนี้เรียกว่า ทำลายสะพาน :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 05:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงผัสสะดับ..นี้น่าสนใจเหมือนกันนะ..

ตัณหาดับ...เพราะเวทนาดับ
เวทนาดับ....เพราะผัสสะดับ

ผัสสะดับ...เพราะสฬยตนะดับ

สฬายตนะ...มีใน..กับ..นอก

นอก..คือรูปภายนอก..ซึ่งเราไปดับมันไม่ได้อยู่แล้ว..
ใน...คือวิญญาณที่แล่นไปรับรู้ที่ทวารทั้ง5..

อย่าง..เห็น....
มีรูป...กระทบ...ตา...เราก็ต้อง..เห็นอยู่แล้ว...ถึงจะหลับตาได้แต่ใจมันก็คิดได้อีก

แล้ว....สฬายตนะ..มันจะไปดับได้ที่ตรงไหน?

ผมคิดว่า...ดับที่เจตนา...ของวิญญาณที่แล่นไปในทวารทั้ง5 นั้น..

ดับยังงัย...เจตนาของวิญญาณ? ..

เพื่อน..ๆ...ช่วยคิดต่อด้วยนะครับ.. :b32: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 06:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ตรงผัสสะดับ..นี้น่าสนใจเหมือนกันนะ..

ตัณหาดับ...เพราะเวทนาดับ
เวทนาดับ....เพราะผัสสะดับ

ผัสสะดับ...เพราะสฬยตนะดับ

สฬายตนะ...มีใน..กับ..นอก

นอก..คือรูปภายนอก..ซึ่งเราไปดับมันไม่ได้อยู่แล้ว..
ใน...คือวิญญาณที่แล่นไปรับรู้ที่ทวารทั้ง5..

อย่าง..เห็น....
มีรูป...กระทบ...ตา...เราก็ต้อง..เห็นอยู่แล้ว...ถึงจะหลับตาได้แต่ใจมันก็คิดได้อีก

แล้ว....สฬายตนะ..มันจะไปดับได้ที่ตรงไหน?

ผมคิดว่า...ดับที่เจตนา...ของวิญญาณที่แล่นไปในทวารทั้ง5 นั้น..

ดับยังงัย...เจตนาของวิญญาณ? ..

เพื่อน..ๆ...ช่วยคิดต่อด้วยนะครับ.. :b32: :b13: :b13:

:b12:
ย้อนศรไปให้ถึง อวิชชาดับซิครับ คุณกบ คำตอบสำเร็จมีอยู่แล้ว......แต่คำตอบจริงสำหรับเจ้าตัวนั้น เป็นเรื่องของตัวใครตัวมัน.....ปัจจัตตัง....อีกแล้วหละครับ คุณกบ

เข้าพรรษา 3 เดือนที่จะถึงนี้ อธิษฐานทำความเพียร ดับ "กู" ให้ได้ แล้วจึงค่อยคิดไปดับ อวิชชาที่หลังนะครับ


เจริญธรรม
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 07:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
จางบาง เขียน:
แล้วตัณหาจะจางคลายดับไปได้อย่างไรหละ ถ้าไม่รู้แจ้งอริยสัจ หรือเมื่อไม่ดับอวิชชา

การดับตัณหา ก็ยังต้องดับที่อวิชชาอยู่ดี

onion

อนุสัย อาสวะ อวิชชา เป็นต้นสาย ของสมุทัย ตัณหาเป็นปลายสายของสมุทัย
ท่านสามารถจางคลาย หรือดับได้ตั้งแต่ผัสสะจนตัณหานั้นแหละครับ

:b13: คุณฝึกจิตครับ ขอร้องเถอะครับไม่ต้องแสดงจำอวดสลับฉากก็ได้ครับ
ไม่รู้เหรอว่าฟันผมหลุดไปหลายซี่ เพราะหัวเราะคุณนี่แหล่ะ :b32:

ที่ว่าให้ดับผัสสะน่ะ ดับไงหรือครับ ให้เอานิ้วแทงลูกตาให้บอดหรือ
เอาไม้แหย่หูให้หนวกทั้งสองข้าง เฉือดลิ้นเอาไปทำสตู เอาปูนพลาสเตอร์
อุดรูจมูกทั้งสองข้างแล้วหายใจทางปากแทน เนื้อหนังเอาออกให้หมดให้เหลือแต่
โครงกระดูกกับเครื่องใน ดีเลยไม่ต้องเปลื้องค่าเอ็กเรย์ สุดท้ายเอาสว่านเจาะหัวกระโหลก
เอาหลอดดูดมันสมองออกมาทำตือฮวนกินเล่น

อพิโถ๋ อพิถังเอ้ย! พูดไปได้ดับผัสสะ :b13:



ท่านโฮ หากท่านยัง ก้าวย้ำอยู่ที่สัญญา เดิมๆ ไม่ศึกษาเพิ่มเติม และไม่วิปัสสนา เลย แบบนี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กับปัจจุบัน ก็ไม่ไปไหนเลย หรือ อนาคต 1ปี 10ปี หรือ 100 ปี ก็คงเป็นเช่นนี้ มันน่าเศร้านะครับ :b2:

ท่านคิดว่า พระพุทธองค์จะตรัส ในสิ่งที่ทำไม่ได้ มาทำเฮียก อะไรเหรอ
ท่านคิดว่า ขันธ์5 มันมีตอนไหน ตอน รูปนาม หรือ ชาติ ละ
เพราะตนเองไม่เห็น จึงคิดว่า คนอื่นเข้าคงเห็นไม่ได้ ด้วย
เพราะไม่เข้าใจ คำว่าเกิด-ดับ จึงไม่เคยเห็นคำว่าเกิด-ดับ
เพราะไม่เคยเห็น กระแสปฏิจจสมุปบาท จึงไม่เคยเห็นอริยสัจจ์ ทั้ง4
เพราะแยกธรรมออกมากมาย จึงไม่เห็นว่า ทั้งหมดนั้นคือ กระบวนการขันธ์5
เพราะไม่รู้จัก อวิชชาผัสสะ จึงไม่รู้จัก วิชชาผัสสะ
เพราะมองเป็นข้ามภพข้ามชาติ จึงไม่เห็นปัจจุบันขณะ

ท่านทั้งหลายจงมองกระแสปฏิจจสมุปบาทนี้ให้ดี อีก1ความนัยของกระแสนี้ มาให้พิจารณา

1ส่วน เกิดชาติ จน เป็นชรามรณ ะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส-อุปายาสทั้งหลาย
อีก1ส่วน เกิดรูปนาม จน เป็นภพ
อีก1ส่วน เกิดอวิิชา จน เป็นวิญญาณ

มันซ้อนกันอยู่เป็นลำดับ มันเป็นกระแสที่วิ่งจากในสู่นอก

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 09:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
ย้อนศรไปให้ถึง อวิชชาดับซิครับ คุณกบ คำตอบสำเร็จมีอยู่แล้ว......แต่คำตอบจริงสำหรับเจ้าตัวนั้น เป็นเรื่องของตัวใครตัวมัน.....ปัจจัตตัง....อีกแล้วหละครับ คุณกบ

เข้าพรรษา 3 เดือนที่จะถึงนี้ อธิษฐานทำความเพียร ดับ "กู" ให้ได้ แล้วจึงค่อยคิดไปดับ อวิชชาที่หลังนะครับ


เจริญธรรม
:b39:

ใจเย็น..ๆ...แค่นี้ก็จะอ้วกอยู่แล้ว...

:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 27 ก.ค. 2012, 12:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ตรงผัสสะดับ..นี้น่าสนใจเหมือนกันนะ.. ตัณหาดับ...เพราะเวทนาดับ เวทนาดับ....เพราะผัสสะดับ ผัสสะดับ...เพราะสฬยตนะดับ สฬายตนะ...มีใน..กับ..นอก นอก..คือรูปภายนอก..ซึ่งเราไปดับมันไม่ได้อยู่แล้ว.. ใน...คือวิญญาณที่แล่นไปรับรู้ที่ทวารทั้ง5.. อย่าง..เห็น.... มีรูป...กระทบ...ตา...เราก็ต้อง..เห็นอยู่แล้ว...ถึงจะหลับตาได้แต่ใจมันก็คิดได้อีก แล้ว....สฬายตนะ..มันจะไปดับได้ที่ตรงไหน? ผมคิดว่า...ดับที่เจตนา...ของวิญญาณที่แล่นไปในทวารทั้ง5 นั้น.. ดับยังงัย...เจตนาของวิญญาณ? .. เพื่อน..ๆ...ช่วยคิดต่อด้วยนะครับ.. :b32: :b13: :b13:
ตัญญหาดับเพราะไม่ติดใจ ทำไมไม่ติดใจเพราไม่มีใจให้ติด ถ้าเรารู้จักอนาตดดีเราจะละอะไรได้มาก อนาคตมันก็ต้องมาเป็นอดีตอยู่ดี ไม่มีใครได้อะไร เราก็จะไม่ทำอะไรมากเกินไป แล้วเราก็จะลดเลิกได้เพราะ เรารู้ว่าไม่ได้อะไร เราก็เลยไม่เสพกามไงครับ ถ้าเราไม่เสพบ่อยๆวิญญาณก็หมดแรงไปเอง มันก็หมดภาระ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ท่านโฮ หากท่านยัง ก้าวย้ำอยู่ที่สัญญา เดิมๆ ไม่ศึกษาเพิ่มเติม และไม่วิปัสสนา เลย แบบนี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กับปัจจุบัน ก็ไม่ไปไหนเลย หรือ อนาคต 1ปี 10ปี หรือ 100 ปี ก็คงเป็นเช่นนี้ มันน่าเศร้านะครับ :b2:

อย่ามาเศร้ากับผมเลยครับ หัดทำใจให้มีอารมณ์ขันแบบผม
ถ้าไม่ขันก็หาตัวช่วย อย่างเช่นอ่านความเห็นคุณก่อน แล้วก็มาอ่าน
ความเห็นที่ผมแย้งไป คุณก็จะมีอารมณ์ขันร่วมไปกับผมครับ

แล้วที่บอกว่าย้ำอยู่กับที่ ย่ำอยู่กับสัญญา ผมว่าเป็นคุณมากกว่าครับ
สัญญาที่คุณย้ำคิดย้ำทำนี่ดันเป็นของคนอื่น ที่คุณไปจำมาผิดๆเสียด้วย
ฝึกจิต เขียน:
ท่านคิดว่า พระพุทธองค์จะตรัส ในสิ่งที่ทำไม่ได้ มาทำเฮียก อะไรเหรอ
พระพุทธองค์ท่านตรัสของท่านมาดีๆ มันเป็นคุณที่เฮียก แล้วเอาธรรมของ
พระพุทธองค์มาทำเฮียก ว่าแต่ว่าเฮียกนี่มันแปลว่าอะไรหรือ หวังว่าคงไม่หยาบคายน่ะ :b13:

ฝึกจิต เขียน:
ท่านคิดว่า ขันธ์5 มันมีตอนไหน ตอน รูปนาม หรือ ชาติ ละ
เพราะตนเองไม่เห็น จึงคิดว่า คนอื่นเข้าคงเห็นไม่ได้ ด้วย
เพราะไม่เข้าใจ คำว่าเกิด-ดับ จึงไม่เคยเห็นคำว่าเกิด-ดับ
เพราะไม่เคยเห็น กระแสปฏิจจสมุปบาท จึงไม่เคยเห็นอริยสัจจ์ ทั้ง4
เพราะแยกธรรมออกมากมาย จึงไม่เห็นว่า ทั้งหมดนั้นคือ กระบวนการขันธ์5
เพราะไม่รู้จัก อวิชชาผัสสะ จึงไม่รู้จัก วิชชาผัสสะ
เพราะมองเป็นข้ามภพข้ามชาติ จึงไม่เห็นปัจจุบันขณะ:

พูดธรรมมั่วอีกแล้ว ความของดับผัสสะกับเกิดดับของผัสะ ไม่เหมือนกัน
การที่จะดับผัสสะได้ต้องนิพพานแล้วเท่านั้น นั้นคือดับวงปฏิจสมุบาททั้งวงแล้ว

ส่วนการเกิดดับของผัสสะ เป็นการเกิดดับของกระบวนการขันธ์
ผัสสะที่เกิดแล้วที่ว่าดับ ยังไม่ดับไปเลย มันยังเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกระบวนการขันธ์ตัวอื่น

การปฏิบัติที่แท้พระพุทธองค์ทรงบอก ให้รู้ผัสสะในวงปฏิจสมุบาท
ไม่ใช่ให้ดับ(มันดับไม่ได้เพราะมีเหตุปัจจัย)
มันเป็นมรรคในกระบวนการขันธ์ เพื่อไปดับอวิชาเป็นบางส่วนในปฏิจจฯ
นั้นก็คือ ไม่รู้อริยสัจจ์ ในส่วนของสมุทัยหรือไม่รู้เหตุแห่งทุกข์

ฝึกจิต เขียน:

1ส่วน เกิดชาติ จน เป็นชรามรณ ะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส-อุปายาสทั้งหลาย
อีก1ส่วน เกิดรูปนาม จน เป็นภพ
อีก1ส่วน เกิดอวิิชา จน เป็นวิญญาณ

มันซ้อนกันอยู่เป็นลำดับ มันเป็นกระแสที่วิ่งจากในสู่นอก

อันนี้เอามาจากไหนครับ กำลังฟุ้งหรือเปล่า :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 12:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ท่านโฮ หากท่านยัง ก้าวย้ำอยู่ที่สัญญา เดิมๆ ไม่ศึกษาเพิ่มเติม และไม่วิปัสสนา เลย แบบนี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กับปัจจุบัน ก็ไม่ไปไหนเลย หรือ อนาคต 1ปี 10ปี หรือ 100 ปี ก็คงเป็นเช่นนี้ มันน่าเศร้านะครับ :b2:

อย่ามาเศร้ากับผมเลยครับ หัดทำใจให้มีอารมณ์ขันแบบผม
ถ้าไม่ขันก็หาตัวช่วย อย่างเช่นอ่านความเห็นคุณก่อน แล้วก็มาอ่าน
ความเห็นที่ผมแย้งไป คุณก็จะมีอารมณ์ขันร่วมไปกับผมครับ

แล้วที่บอกว่าย้ำอยู่กับที่ ย่ำอยู่กับสัญญา ผมว่าเป็นคุณมากกว่าครับ
สัญญาที่คุณย้ำคิดย้ำทำนี่ดันเป็นของคนอื่น ที่คุณไปจำมาผิดๆเสียด้วย
ฝึกจิต เขียน:
ท่านคิดว่า พระพุทธองค์จะตรัส ในสิ่งที่ทำไม่ได้ มาทำเฮียก อะไรเหรอ
พระพุทธองค์ท่านตรัสของท่านมาดีๆ มันเป็นคุณที่เฮียก แล้วเอาธรรมของ
พระพุทธองค์มาทำเฮียก ว่าแต่ว่าเฮียกนี่มันแปลว่าอะไรหรือ หวังว่าคงไม่หยาบคายน่ะ :b13:

ฝึกจิต เขียน:
ท่านคิดว่า ขันธ์5 มันมีตอนไหน ตอน รูปนาม หรือ ชาติ ละ
เพราะตนเองไม่เห็น จึงคิดว่า คนอื่นเข้าคงเห็นไม่ได้ ด้วย
เพราะไม่เข้าใจ คำว่าเกิด-ดับ จึงไม่เคยเห็นคำว่าเกิด-ดับ
เพราะไม่เคยเห็น กระแสปฏิจจสมุปบาท จึงไม่เคยเห็นอริยสัจจ์ ทั้ง4
เพราะแยกธรรมออกมากมาย จึงไม่เห็นว่า ทั้งหมดนั้นคือ กระบวนการขันธ์5
เพราะไม่รู้จัก อวิชชาผัสสะ จึงไม่รู้จัก วิชชาผัสสะ
เพราะมองเป็นข้ามภพข้ามชาติ จึงไม่เห็นปัจจุบันขณะ:

พูดธรรมมั่วอีกแล้ว ความของดับผัสสะกับเกิดดับของผัสะ ไม่เหมือนกัน

การที่จะดับผัสสะได้ต้องนิพพานแล้วเท่านั้น นั้นคือดับวงปฏิจสมุบาททั้งวงแล้ว

ส่วนการเกิดดับของผัสสะ เป็นการเกิดดับของกระบวนการขันธ์
ผัสสะที่เกิดแล้วที่ว่าดับ ยังไม่ดับไปเลย มันยังเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกระบวนการขันธ์ตัวอื่น

การปฏิบัติที่แท้พระพุทธองค์ทรงบอก ให้รู้ผัสสะในวงปฏิจสมุบาท
ไม่ใช่ให้ดับ(มันดับไม่ได้เพราะมีเหตุปัจจัย)
มันเป็นมรรคในกระบวนการขันธ์ เพื่อไปดับอวิชาเป็นบางส่วนในปฏิจจฯ
นั้นก็คือ ไม่รู้อริยสัจจ์ ในส่วนของสมุทัยหรือไม่รู้เหตุแห่งทุกข์

ฝึกจิต เขียน:

1ส่วน เกิดชาติ จน เป็นชรามรณ ะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส-อุปายาสทั้งหลาย
อีก1ส่วน เกิดรูปนาม จน เป็นภพ
อีก1ส่วน เกิดอวิิชา จน เป็นวิญญาณ

มันซ้อนกันอยู่เป็นลำดับ มันเป็นกระแสที่วิ่งจากในสู่นอก

อันนี้เอามาจากไหนครับ กำลังฟุ้งหรือเปล่า :b13:


ท่านยังไม่ตอบเลยว่า ขันธ์5 มันมีตอนไหน ตอน รูปนาม หรือ ชาติ ละ
คอยฟัง :b12:

ไปหาคำตอบก็อย่าใช้เวลานานนักนะครับ :b12:

ท่านรู้จัก อวิชชาผัสสะ กับ วิชชาผัสสะ ถ้าไม่รู้จักก็แสดงว่า ยังไม่ถึง :b32:
เพราะท่านเป็นแบบนี้ จึงกล่าวมาแบบนั้น เพราะมองเป็นข้ามภพข้ามชาติ จึงไม่เห็นปัจจุบันขณะ: ไม่ผิดจริงๆ :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร