วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 01:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ผมเจอมาเยอะครับ นักอภิธรรมบางท่านก็ปฎิบัติเขาก็ยอมรับว่าทั้งหมดแล้วต้องปฎิบัติให้เข้าถึงธรรม ธรรมมะเพียงการอ่าน การโยนิโสอะไรนั้นมันแค่ขั้นพิจารณาให้เข้าใจไม่เข้าไม่ถึงสภาวะจริง เหมือนเตรียมเครื่องแกง วถ้าจะแกงมีอะไรบ้าง แต่ไม่ได้ลิ้มรสแกง พระอาจารณ์สุรศักดิ์เจ้าอาวาสวัดดังแห่งหนึ่งสอบได้ที่1ของนักอภิธรรรมยังยืนยันในการปฎิบัติเลย ส่วนนักอภิธรรมที่ไม่ลงมือปฎิบัตินั้นตีความหมายผิดมากน่าเสียใจจริงๆเลย แค่พระองค์ทรงแสดงมากจริงๆเรื่องอานาปานสติ กรรมฐาน40 นั้นโคนไม้ นั้นเรือนว่าง นั่งตัวตรงดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า เธอจงมีสติรู้ว่า ลมหายใจออกรู้หายใจเข้ารู้ฯ ยังไม่เข้าใจกันเลย :b34: :b34: :b34:
ละเลงน้ำลายเปื้อนกระทู้ตัวเองอีกล่ะ ที่บิกทู่บอกว่า ลมหายใจเข้ารู้ ลมหายใจออกรู้ ถามหน่อยที่ว่ารู้น่ะรู้อะไร :b32: ดันพูดมาได้โยนิโสไม่เข้าถึงธรรม แล้วอะไรที่ทำให้เข้าถึงธรรม :b13:
รู้จักน้ำร้อนมั้ย?บอกแค่นี้ก็พอรู้เนาะ ลองจับดูก็รู้ว่ามันต่างกัน สติที่เข้าไประลึกรู้สภาวะของไตรลักษณะจริงๆนะ คุณไม่เคยสัมผัสคุณจะรู้ได้อย่างไร อธิบายอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เรื่องลมไม่ตอบหรอกครับ
:b32:
เรื่องน้ำร้อนที่ว่า ลองจับดูมันต่างกัน มันต่างกันอย่างไรครับ เอาเป็นว่าสภาวะธรรมมันต่างกันอย่างไรครับ? ฟังคิดก็ได้แค่รู้ จับมันทั้งรู้ทั้งร้อน เรื่องไตรลักษณ์พูดมาเถอะครับ เรื่องเข้าใจนะผมเข้าใจครับ แต่อยากรู้ว่าโม้หรือเปล่า ?อ่านมาฟังมาคิดพิจารณาก็เข้าใจใช่มั้ย สภาวะบอกแล้วมันเกิดในมโนทวาร ถ้าผมบอกอย่างนี้ถ้าคุณไม่สงสัยก็แสดงว่าเคย แต่ถ้าสงสัยก็แสดงว่ายังไม่ถึงตอบได้แค่นี้นะครับ(นั่งสมาธินี้แหละอย่าเข้าฌานให้พิจารณาการเกิดดับทั่วร่างกายเรานี่แหล่ะนั่งผ่านความเจ็บปวดให้ถึงที่สุดถ้าหายเจ็บแล้วก็นั่งอีกจนเจ็บไม่หายนะครับดูสิมันจะไปถึงไหน จิตมันก็หลุดพ้น รูปนามแยกกันชั่วขณะท่านจะเห็นทุกอย่าง ต้องยอมตายจริงๆไม่ใช่แค่เล่นๆนะครับ ไม่อยากคุยเล่น เมื่อเห็นความจริงแล้วทำลายสักกายะทิฎฐิไม่สามารถเดินออกจากธรรมมะได้หรอกครับ จิตมันไม่ไป) :b4: :b4: :b4: เรื่องลมที่บอกไม่ตอบ ไม่บอกก็รู้ครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 26 ก.ค. 2012, 14:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
พี่โฮ รู้มั้ยสตินะมันมีกันทุกคนนะครับ สำหรับคนปฎิบัติธรรมนะครับ แต่ทำไมรู้ทั้งรู้แต่ก็อดไม่ได้เรื่องบนเตียงนะครับ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามัน ถุงขี้ทั้งนั้น เพราะคนเรากำลังสติมันไม่เท่ากัน ( ยกเลิกเรื่องกินก็แล้วกันเดี๋ยวท่านก็ตอบว่าไม่กินเดี๋ยวก็ป่วย ก็หมดแรงอีก) เอาเรื่องที่ไม่ทำแล้วไม่ตายดีกว่า ทำไม มันอดไม่ได้ล่ะ โยนิโสยังไง ถึงอดไม่ได้ละครับ โยนิโสนะครับเขาให้รู้ว่าอะไรคืออะไร สมควรอย่างไร สติปัญญาที่มีกำลังต่างหากที่จะระงับ ละเว้น มันเลยโยนิโสมาแล้วครับ Kiss Kiss

กำลังว่า นางวิสาขาอยู่หรือเปล่าครับ ไม่ดีนะมันบาป
ไหนปากฉอดๆๆจ้อเรื่องศีล เคร่งเรื่องธรรมไม่ใช่หรือ :b32:

เพราะเขาโยนิโสไง ถึงมองดูเป็นเรื่องของความปกติ
แต่ไอ้คนที่โยนิโสไม่เป็น มันก็คิดว่าศีลไม่ยุ่งกับเมีย
ไม่กินข้าวปล่อยให้ท้องหิวแล้วจะทำให้เป็นพระอรหันต์

แต่งงานกันเป็นผัวเมียกัน มันก็ต้องยุ่งกันเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ
ไม่ได้ไปยุ่งกับเมียชาวบ้านนี่หว่า ถ้าไม่ยุ่งกับเมียจริงๆมันต้องหนีไปบวช
แบบพระพุทธเจ้าโน้น ไม่ใช่มานั่งมองหน้าเมีย แล้วเคลิ้มว่าเมียตัวเองสวย
แต่อวดชาวบ้านว่าไม่ยุ่งกับเมีย :b32:
คนที่ปฎิบัติธรรมถึงจุดถ้าเขายังไม่แต่งงาน เขาจะไม่แต่งงานหรอกครับมีให้ห็นมากมาย แต่ถ้าปฎิบัติธรรมแล้วมองอะไรยังไม่ออกเพราะกิเลสมันยั่วก็แต่งไปอยู่ไปก็อย่ามาบ่นเลือกทางเอง ส่วนคนที่เขาแต่งงานก่อนการเรียนรู้การปฎิบัติธรรมเขาก็ต้องบริหารครอบครัวของเขาให้ลงตัว แต่เขาไม่ปรารถนาเรื่องแบบนั้นมากมายก็ทำตามหน้าที่ชักชวนคู่ของต้นเดินบนเส้นทางธรรม จนได้เวลาเหมาะสมก็คุยกันให้ลงตัวก็แค่นี้ไม่เห็นมีปัญหาเลยครับ ชีวิตก็อยู่ได้สบายๆไม่เห็นต้องมีเรื่องแบบนั้นก็สบายดีนี่ครับ นี่ไงครับถ้าโยนิโสผิด มันจะออกได้อย่างไรในเมื่อยังชุ่มด้วยน้ำกาม มันก็ได้แต่พูดคุยเรื่องธรรมมะกันก็เท่านั้น มันพากันจมน้ำตายกันเปล่าๆๆ แต่ก็ยังดีเป็นการสะสมไปในชาติๆหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ต้องละอยู่ดี แต่ถ้าถือเป็นทิฎฐิมานะเราเป็นผู้รู้มากเรียนมามากแตกฉานในพระธรรม วางอุเบกขาทุกอย่าง เสพกันไปโดยไม่คิดที่จะออก มันเป็นไปได้จริงเหรอ คุณรู้มั้ย 6เดือนแล้วเรื่องอย่างว่าฝันก็ไม่ฝันผมไม่มีขยับเลย คุณว่ามันผิดทางเหรอ ผมนะเป็นคนชอบเรื่องแบบนั้นมากคุณรู้มัย ทำไมผมทำได้รู้มั้ยครับ มันไม่ใช่ผมเก่งหรอกครับ มันเป็นเพราะการปฎิบัติที่ถูกทาง ธรรมมะที่แท้จริงจะต้องเห็นผลแก่ผู้ปฎิบัติทั้งทางกายและจิตใจ แต่ถ้าได้แต่ความคิดนะเราคิดผิดหรือเปล่า ลองถามตัวเราเองไม่มีใครตอบได้ เรื่องความรู้นะครับมันทันกัน อ่านมากฟังมากก็รู้เรื่องเดียวกัน แต่มันลดละไม่เท่ากัน ไปดูในกิจอริยสัจให้มากๆๆเข้าให้ละทั้งตัณหา และอุปาทาน ไม่ใช่ละอุปาทานอย่างเดียว ถ้าละอุปาทานอย่างเดี๋ยวมันก็จะเสพกามแบบไม่ยึด กลายเป็นลูกสาวลูกชายพยามารไปซะเลย พยามารมันท่องเทียวได้ถึงพรหมโลกนะครับระวังให้ดี:b4: :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 22:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
....
ทำไม มันอดไม่ได้ล่ะ โยนิโสยังไง ถึงอดไม่ได้ละครับ โยนิโสนะครับเขาให้รู้ว่าอะไรคืออะไร สมควรอย่างไร สติปัญญาที่มีกำลังต่างหากที่จะระงับ ละเว้น มันเลยโยนิโสมาแล้วครับ [/size]Kiss Kiss

:b12:
ขอ..พูดเท่าที่เข้าใจนะครับ....ผิดถูกจากตำราอย่างไรก็ขออภัย..ใว้ก่อนนะ :b8:

ใช่ครับ...โยนิโส...ไม่ใช่การละกิเลส....แต่เป็นการทำความเข้าใจ

แล้วก็อย่าลืมด้วยว่า...โยนิโส..จะตามด้วย..มนสิการ...ที่ใคร ๆ เขาแปลว่า..กระทำใว้ในใจ(อย่างแยบคาย)...

ส่วนตัว...เข้าใจว่า...โยนิโสมนสิการ...คือ...ทำความเข้าใจเก็บใว้ให้ดี

เมื่อใจมันเต็ม..ด้วยความเข้าใจที่ได้มนสิการใว้ในใจแล้ว..ใจจะเกิดพลวัตไปสู่จุดหมายเอง

เหมือนหยดน้ำลงในโอ่ง...เราไม่รู้หรอกว่า...หยดน้ำหยดไหน...หยดที่เท่าไรมันถึงจะเต็มพอดี....แต่เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือ....หยดน้ำลงไปเรื่อย ๆ ..ครับ

ดูได้จากเรื่องที่เราทำได้ที่ผ่านมาซิครับ...อาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่า

ตัวอย่าง.....กว่าจะถือศีล 5 ครบ..นั้นเป็นงัยละครับ

ไปดูข้อสุดท้ายที่ตัวเองทำได้ซิครับ....กว่าจะทำได้...ก็บอกแล้วบอกอีกว่ามันไม่ดีนะ...ตัวเองก็บอกตัวเองอยู่นั้นแหละ...นี้แหละครับ...โยนิโส...แล้วสัญญาก็ทำหน้าที่มนสิการ( หากเข้าใจแบบกินใจ..มันจะมนสิการได้แจ่มชัด....หากคิดแบบอ๋อ ๆ...สัญญาก็จำแบบไม่มีน้ำหนัก )...พอวันที่ทำได้ปั๊ป...มันก็บอกไม่ได้แล้วว่าที่ทำได้เพราะอะไร...อยากจะเรียกว่า...บารมีศีลมันเต็ม...เต็มด้วยอะไร.....ก็เต็มจากของเก่า ๆ...ความนึกคิดเก่า ๆ ...ความพยายามเก่า ๆ ...ที่ผ่านมานั้นแหละ...

หากบางท่าน..คิดแล้วก็ทำได้เลย...อันนี้ก็ขอแสดงความนับถือด้วยครับ..แสดงว่าของเก่าท่านทำมาดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 23:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
....
ทำไม มันอดไม่ได้ล่ะ โยนิโสยังไง ถึงอดไม่ได้ละครับ โยนิโสนะครับเขาให้รู้ว่าอะไรคืออะไร สมควรอย่างไร สติปัญญาที่มีกำลังต่างหากที่จะระงับ ละเว้น มันเลยโยนิโสมาแล้วครับ [/size]Kiss Kiss

:b12:
ขอ..พูดเท่าที่เข้าใจนะครับ....ผิดถูกจากตำราอย่างไรก็ขออภัย..ใว้ก่อนนะ :b8:

ใช่ครับ...โยนิโส...ไม่ใช่การละกิเลส....แต่เป็นการทำความเข้าใจ

แล้วก็อย่าลืมด้วยว่า...โยนิโส..จะตามด้วย..มนสิการ...ที่ใคร ๆ เขาแปลว่า..กระทำใว้ในใจ(อย่างแยบคาย)...

เมื่อใจมันเต็ม..ด้วยความเข้าใจที่ได้มนสิการใว้ในใจแล้ว..ใจจะเกิดพลวัตไปสู่จุดหมายเอง

เหมือนหยดน้ำลงในโอ่ง...เราไม่รู้หรอกว่า...หยดน้ำหยดไหน...หยดที่เท่าไรมันถึงจะเต็มพอดี....แต่เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือ....หยดน้ำลงไปเรื่อย ๆ ..ครับ

ดูได้จากเรื่องที่เราทำได้ที่ผ่านมาซิครับ...อาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่า

ตัวอย่าง.....กว่าจะถือศีล 5 ครบ..นั้นเป็นงัยละครับ

ไปดูข้อสุดท้ายที่ทำได้ซิครับ....กว่าจะทำได้...ก็บอกแล้วบอกอีกว่ามันไม่ดีนะ...ตัวเองก็บอกตัวเองอยู่นั้นแหละ...นี้แหละครับ...โยนิโส...แล้วสัญญาก็ทำหน้าที่มนสิการ( หากเข้าใจแบบกินใจ..มันจะมนสิการได้แจ่มชัด....หากคิดแบบอ๋อ ๆ...สัญญาก็จำแบบไม่มีน้ำหนัก )...พอวันที่ทำได้ปั๊ป...มันก็บอกไม่ได้แล้วว่าที่ทำได้เพราะอะไร...อยากจะเรียกว่า...บารมีศีลมันเต็ม...เต็มจากของเก่า ๆที่ผ่านมานั้นแหละ...

หากบางท่าน..คิดแล้วก็ทำได้เลย...อันนี้ก็ขอแสดงความนับถือด้วยครับ..แสดงว่าของเก่าท่านทำมาดี
พี่กบ ครับถูกหรือผิด ก็ว่ากันไป ผมเข้าใจอย่างนี้นะครับ สัญญามันจำได้เป็นเรื่องๆ เรื่องไหนมันจำได้ก็ไม่ต้องไปจำมันอีก อย่างเช่นสีขาว เรารู้แล้วก็ไม่ต้องไปดูมันอีกเราก็จำได้ เช่นเดียวกันไตรลักษณะถ้าสติปัญญามันรู้แล้วก็ไม่ต้องไปรู้ซ้ำ มันสำคัญตรงที่ว่าสติปัญญามันรู้ในระดับไหนลึกแค่ไหนต่างหาก ปัญญาที่รู้ลึกมันมีพลังมากที่จะดับกิเลสได้ เพราะองค์ของการตรัสรู้นั้น จะต้องครบ ถ้าเราฝึกสติแบบ อธิฐานการงานมันเป็นการกั้นอกุศลไม่ให้มีกำลังเฉยๆ ไม่ได้ตัดกิเลส และฝีกสติแบบอธิฐานการงานจะเกิดโพชฌงค์ได้อย่างไรอันนี้ผมยังดูไม่ออก ถูกหรือผิดโปรดพิจารณาครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 23:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านจำความเพียรชอบ 4 อย่างได้นะครับ..(แห่ม..บางคนอาจจะว่า..ผมละชอบยกตรงนี้มาจัง.. :b32: )

สังวรปทาน

ปหานปทาน

ภาวนาปทาน

อนุรักขาปทาน
ทำไมจึงต้องทำเนือง ๆ ละครับ...

คนเรามีหลายประเภท...เอาประเภทที่ต้องทำเนือง ๆ นะ..ทำไมต้องทำเนือง ๆ ละครับ

ด้านของอกุศล....อันใหม่ไม่ให้เข้า...อันเก่าให้เอาออก

ด้านกุศล...อันใหม่ให้ทำเข้า...เอาเก่าอย่าให้ออก

ดู ๆ แล้ว..คล้าย ๆ โยนิโสมนสิการ...บ้างมั้ยครับ?

ทำไมต้องทำเนือง ๆ ด้วยละ....ทำทีเดียวทำไมไม่พอ?
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 23:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุญญตามี 3 ชนิด

s004


แก้ไขล่าสุดโดย จางบาง เมื่อ 27 ก.ค. 2012, 00:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 23:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องการพิจารณาธรรมมะนั้นเรามักจะเชื่อเรื่องราวในตำราว่าท่านนั้นสำเร็จง่าย ท่านนี่ฟังแป็บเดี๋ยวเป็นพระอรหันต์ ท่านนั้นสำเร็จตอนอายุเท่านี้ ขอให้เราเข้าใจกันอย่างนี้ดีกว่ามั้ยครับ ผมมีข้อสังเกตุอย่างนี้คำใดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสต้องเป็นความจริงและมีประโยชน์ถูกต้องมั้ยครับ ดูที่บทอธิฐานความเพรียรเพื่อความสำเร็จซิครับ พระองค์ทรงกล่าวเองยิ่งยวดขนาดไหน และอย่างคำว่าอาตา สัมปชาโน สติมา ก็ล้วนแต่ยิ่งยวดทั้งนั้น ส่วนที่แสดงไว้ในตำราท่านใดฟังธรรมแล้วสำเร็จไว ฟังปุ๊บสำเร็จกันทีละเยอะๆเป็นหมื่นๆนั้น มันก็เป็นการเรียบเรียงมา กล่าวซึ่งยังหาที่สุดมิได้ แต่สิ่งที่หาที่สุดได้แล้วคือพุทธพจน์นั้นทุกท่านยอมรับได้จริง เราก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่หาที่สุดได้ก่อน ปฎิบัติอย่างจริงจังอย่างตั้งใจ ส่วนสิ่งทียังหาที่สุดไม่ได้นั้นมันอาจจะจริงหรือไม่จริงยังไม่รู้แต่ถ้าจริงก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ แต่ถ้าไม่จริงละครับเท่ากับเราเสียโอกาสในการปฎิบัตินะครับ อย่างนางวิสาขานั่งอยู่รวมกับลูกๆหลานดูไม่ออกว่าใครเป็นนางวิสาขา เพราะดูสวยเหมือนกันหมดดูเด็กเหมือนกันหมดอายุตัง100แล้วมันเป็นไปได้จริงเหรอครับที่จะเป็นเช่นนั้น เรื่องหลายเรื่องเราไม่ต้องพิสูจน์หรอกครับ แต่เรื่องบางเรื่องตีความผิดเนี่ยเสียหายมากนะครับ เหมือนการเดินทางเราเตรียมสิ่งของให้พร้อมไว้ก่อน ใช่ไม่ใช้ก็อีกเรื่อง ถ้ามันไม่ได้ใช่ก็ไม่เสียหาย แต่ถ้ามันต้องใช้แต่ไม่ได้เตรียมไปนี่สิยุ่งเลย นี้เป็นข้อสังเกตุของผมครับ เราอย่าประมาทเลย เราได้พบธรรมมะในชาตินี้แล้ว ถ้าเราพลาดไม่รู้ว่าเราจะต้องทุนทุกข์ทรมานกันอีกไม่รู้กี่ล้านชาติกว่าจะมีโอกาสเจอธรรมมะอีกนะครับ :b4: :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 27 ก.ค. 2012, 05:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ท่านจำความเพียรชอบ 4 อย่างได้นะครับ..(แห่ม..บางคนอาจจะว่า..ผมละชอบยกตรงนี้มาจัง.. :b32: )

สังวรปทาน

ปหานปทาน

ภาวนาปทาน

อนุรักขาปทาน
ทำไมจึงต้องทำเนือง ๆ ละครับ...

คนเรามีหลายประเภท...เอาประเภทที่ต้องทำเนือง ๆ นะ..ทำไมต้องทำเนือง ๆ ละครับ

ด้านของอกุศล....อันใหม่ไม่ให้เข้า...อันเก่าให้เอาออก

ด้านกุศล...อันใหม่ให้ทำเข้า...เอาเก่าอย่าให้ออก

ดู ๆ แล้ว..คล้าย ๆ โยนิโสมนสิการ...บ้างมั้ยครับ?

ทำไมต้องทำเนือง ๆ ด้วยละ....ทำทีเดียวทำไมไม่พอ?
s006
ผมว่าต่างกันมากครับ เพราะการดำเนินชีวิตเป็นเรื่องของประโยชน์โลกนี้และประโยชน์โลกหน้าครับถึงต้องทำกุศลบ่อยๆเพราะการดำเนินชีวิตก็มีอกุศลเกิดขึ้นอยู่ตลอดครับ ส่วนความรู้ที่ดับกิเลสเป็นประโยชน์สูงสุด นั้นต้องรู้ชัดรู้แจ้งครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 00:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ท่านจำความเพียรชอบ 4 อย่างได้นะครับ..(แห่ม..บางคนอาจจะว่า..ผมละชอบยกตรงนี้มาจัง.. :b32: )

สังวรปทาน

ปหานปทาน

ภาวนาปทาน

อนุรักขาปทาน
ทำไมจึงต้องทำเนือง ๆ ละครับ...

คนเรามีหลายประเภท...เอาประเภทที่ต้องทำเนือง ๆ นะ..ทำไมต้องทำเนือง ๆ ละครับ

ด้านของอกุศล....อันใหม่ไม่ให้เข้า...อันเก่าให้เอาออก

ด้านกุศล...อันใหม่ให้ทำเข้า...เอาเก่าอย่าให้ออก

ดู ๆ แล้ว..คล้าย ๆ โยนิโสมนสิการ...บ้างมั้ยครับ?

ทำไมต้องทำเนือง ๆ ด้วยละ....ทำทีเดียวทำไมไม่พอ?
s006
ผมว่าต่างกันมากครับ เพราะการดำเนินชีวิตเป็นเรื่องของประโยชน์โลกนี้และประโยชน์โลกหน้าครับถึงต้องทำกุศลบ่อยๆเพราะการดำเนินชีวิตก็มีอกุศลเกิดขึ้นอยู่ตลอดครับ ส่วนความรู้ที่ดับกิเลสเป็นประโยชน์สูงสุด นั้นต้องรู้ชัดรู้แจ้งครับ


สัมมาวายามะ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดฉันทะพยายาม ปรารภความ
เพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่ เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละ
อกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยัง ไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อความตั้งอยู่
ไม่เลือนหาย เจริญยิ่ง ไพบูลย์ มีขึ้น เต็มเปี่ยม แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว อันนี้เรียกว่า
สัมมาวายามะ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 00:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ผมว่าต่างกันมากครับ เพราะการดำเนินชีวิตเป็นเรื่องของประโยชน์โลกนี้และประโยชน์โลกหน้าครับถึงต้องทำกุศลบ่อยๆเพราะการดำเนินชีวิตก็มีอกุศลเกิดขึ้นอยู่ตลอดครับ ส่วนความรู้ที่ดับกิเลสเป็นประโยชน์สูงสุด นั้นต้องรู้ชัดรู้แจ้งครับ


คุณเล่นพูดทำนองจบปริญญาแล้วจะไปเรียก ปี 1 อีก ทำไม.ซึ่งมันก็ถูก :b32:

คนอื่นเขาพูดว่า...จะจบปริญญาได้..มันต้องเรียน ปี 1 ก่อนทั้งนั้น...

ตกลงพูดเรื่องเดียวกันมั้ยเนี้ย... s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 05:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ผมว่าต่างกันมากครับ เพราะการดำเนินชีวิตเป็นเรื่องของประโยชน์โลกนี้และประโยชน์โลกหน้าครับถึงต้องทำกุศลบ่อยๆเพราะการดำเนินชีวิตก็มีอกุศลเกิดขึ้นอยู่ตลอดครับ ส่วนความรู้ที่ดับกิเลสเป็นประโยชน์สูงสุด นั้นต้องรู้ชัดรู้แจ้งครับ


คุณเล่นพูดทำนองจบปริญญาแล้วจะไปเรียก ปี 1 อีก ทำไม.ซึ่งมันก็ถูก :b32:

คนอื่นเขาพูดว่า...จะจบปริญญาได้..มันต้องเรียน ปี 1 ก่อนทั้งนั้น...

ตกลงพูดเรื่องเดียวกันมั้ยเนี้ย... s002
ผมว่าผมเข้าใจอย่างนี้นะครับ ผมไม่ได้ย้อนไปปี1หรอหครับ สิ่งที่ท่านว่านั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำเสมออยู่แล้วเพราะผมปฏิบัติอยู่เป็นประจำ แต่ผมกำลังใช้ความเห็นส่วนตัวอยู่ว่า ปัญญาเมื่อรู้แล้วก็ไม่ไป*โยนิโสแล้วครับสัญญามันทำหน้าที่ม้นเองได้* ให้ฝึกสติให้แรงกล้าก็เพียงพอแล้ว *มันเลยโยนิโสมาแล้ว* ส่วยใครจะโยนิโสผมว่าก็ไม่ผิดหรอก กลับไปทบทวนของเก่าก็ดี มันจะได้เข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจแล้ว ว่าอะไรเป็นอะไร ก็วิ่งใว่เลยสตินะครับเอาแบบแรงๆหน่อย เคาะแรงๆมันถึงจะออก :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 05:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเช่นนั้น....ท่านเข้าใจโยนิโส..ผิดแล้วละ....

โยนิโส...ไม่ใช่การไปคิดเรื่องเก่า...

แต่...เป็นเรื่องที่กำลังเจออยู่ตรงหน้า...

มันจึงใหม่อยู่เสมอ....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 05:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เรื่องน้ำร้อนที่ว่า ลองจับดูมันต่างกัน มันต่างกันอย่างไรครับ เอาเป็นว่าสภาวะธรรมมันต่างกันอย่างไรครับ? ฟังคิดก็ได้แค่รู้ จับมันทั้งรู้ทั้งร้อน

นี่หรือบอกว่ารู้ ที่ว่ารู้ความแตกต่าง เขาให้รู้ผัสสะ รู้เวทนา
ฟังคิดมันก็เป็นผัสสะหนึ่ง จับดูมันก็เป็นผัสสะหนึ่ง แบบนี้เรียกว่า.
ความแตกต่างของผัสสะ
ส่วนการจับแล้วร้อนมันเป็นความแตกต่างของเวทนา
bigtoo เขียน:
เรื่องไตรลักษณ์พูดมาเถอะครับ เรื่องเข้าใจนะผมเข้าใจครับ แต่อยากรู้ว่าโม้หรือเปล่า ?อ่านมาฟังมาคิดพิจารณาก็เข้าใจใช่มั้ย สภาวะบอกแล้วมันเกิดในมโนทวาร ถ้าผมบอกอย่างนี้ถ้าคุณไม่สงสัยก็แสดงว่าเคย แต่ถ้าสงสัยก็แสดงว่ายังไม่ถึงตอบได้แค่นี้นะครับ(นั่งสมาธินี้แหละอย่าเข้าฌานให้พิจารณาการเกิดดับทั่วร่างกายเรานี่แหล่ะนั่งผ่านความเจ็บปวดให้ถึงที่สุดถ้าหายเจ็บแล้วก็นั่งอีกจนเจ็บไม่หายนะครับดูสิมันจะไปถึงไหน จิตมันก็หลุดพ้น รูปนามแยกกันชั่วขณะท่านจะเห็นทุกอย่าง ต้องยอมตายจริงๆไม่ใช่แค่เล่นๆนะครับ ไม่อยากคุยเล่น เมื่อเห็นความจริงแล้วทำลายสักกายะทิฎฐิไม่สามารถเดินออกจากธรรมมะได้หรอกครับ จิตมันไม่ไป) :b4: :b4: :b4:

ดูที่ผมเม้นตัวแดงไว้ แล้วก็ฟังผม ไตรลักษณ์มันมีกันทุกคน
แต่มันขึ้นอยู่ว่าใครจะเห็น ไอ้ที่คุณพูดมาน่ะ ลองดูซิว่าคุณเห็นหรือคิด

แค่นี้แหล่ะ ก็เหมือนกับที่คุณพูดถ้ายังสงสัยแสดงว่าคุณยังไม่เคยเจอไตรลักษณ์
คุณบิกทู่ ไม่สงสัยบ้างเลยหรือว่า ที่เพื่อนไล่บี้คุณได้เพราะ เขารู้ในสิ่งที่คุณพูด
ว่ามันผิดหรือถูก ที่เขารู้ก็เพราะเขามีประสบการณ์ เข้าใจมั้ย :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
เรื่องน้ำร้อนที่ว่า ลองจับดูมันต่างกัน มันต่างกันอย่างไรครับ เอาเป็นว่าสภาวะธรรมมันต่างกันอย่างไรครับ? ฟังคิดก็ได้แค่รู้ จับมันทั้งรู้ทั้งร้อน

นี่หรือบอกว่ารู้ ที่ว่ารู้ความแตกต่าง เขาให้รู้ผัสสะ รู้เวทนา
ฟังคิดมันก็เป็นผัสสะหนึ่ง จับดูมันก็เป็นผัสสะหนึ่ง แบบนี้เรียกว่า.
ความแตกต่างของผัสสะ
ส่วนการจับแล้วร้อนมันเป็นความแตกต่างของเวทนา
bigtoo เขียน:
เรื่องไตรลักษณ์พูดมาเถอะครับ เรื่องเข้าใจนะผมเข้าใจครับ แต่อยากรู้ว่าโม้หรือเปล่า ?อ่านมาฟังมาคิดพิจารณาก็เข้าใจใช่มั้ย สภาวะบอกแล้วมันเกิดในมโนทวาร ถ้าผมบอกอย่างนี้ถ้าคุณไม่สงสัยก็แสดงว่าเคย แต่ถ้าสงสัยก็แสดงว่ายังไม่ถึงตอบได้แค่นี้นะครับ(นั่งสมาธินี้แหละอย่าเข้าฌานให้พิจารณาการเกิดดับทั่วร่างกายเรานี่แหล่ะนั่งผ่านความเจ็บปวดให้ถึงที่สุดถ้าหายเจ็บแล้วก็นั่งอีกจนเจ็บไม่หายนะครับดูสิมันจะไปถึงไหน จิตมันก็หลุดพ้น รูปนามแยกกันชั่วขณะท่านจะเห็นทุกอย่าง ต้องยอมตายจริงๆไม่ใช่แค่เล่นๆนะครับ ไม่อยากคุยเล่น เมื่อเห็นความจริงแล้วทำลายสักกายะทิฎฐิไม่สามารถเดินออกจากธรรมมะได้หรอกครับ จิตมันไม่ไป) :b4: :b4: :b4:

ดูที่ผมเม้นตัวแดงไว้ แล้วก็ฟังผม ไตรลักษณ์มันมีกันทุกคน
แต่มันขึ้นอยู่ว่าใครจะเห็น ไอ้ที่คุณพูดมาน่ะ ลองดูซิว่าคุณเห็นหรือคิด

แค่นี้แหล่ะ ก็เหมือนกับที่คุณพูดถ้ายังสงสัยแสดงว่าคุณยังไม่เคยเจอไตรลักษณ์
คุณบิกทู่ ไม่สงสัยบ้างเลยหรือว่า ที่เพื่อนไล่บี้คุณได้เพราะ เขารู้ในสิ่งที่คุณพูด
ว่ามันผิดหรือถูก ที่เขารู้ก็เพราะเขามีประสบการณ์ เข้าใจมั้ย :b13:
ผมได้แสดงหมดแล้วเรื่องไตรลักษณะ :b34: ที่นี้คุณแสดงบ้างสิครับไตรลักษณะของคุณเป็นอย่างไร พี่โฮเผื่อผมไม่เคยเจอ เรื่องน้ำร้อนนะครับเห็นมัยครับ ความคิดกับการจับจริงมันต่างกัน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 27 ก.ค. 2012, 05:25, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 05:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้ว...สติที่ว่า...ฝึกสติอย่างเดียวเลยนี้....จะเป็นสัมมาสติอย่างไร....หากไม่มีสัมมาวายามะ
เป็นต้น...นะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร