วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 06:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
พี่โฮ รู้มั้ยสตินะมันมีกันทุกคนนะครับ สำหรับคนปฎิบัติธรรมนะครับ แต่ทำไมรู้ทั้งรู้แต่ก็อดไม่ได้เรื่องบนเตียงนะครับ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามัน ถุงขี้ทั้งนั้น เพราะคนเรากำลังสติมันไม่เท่ากัน ( ยกเลิกเรื่องกินก็แล้วกันเดี๋ยวท่านก็ตอบว่าไม่กินเดี๋ยวก็ป่วย ก็หมดแรงอีก) เอาเรื่องที่ไม่ทำแล้วไม่ตายดีกว่า ทำไม มันอดไม่ได้ล่ะ โยนิโสยังไง ถึงอดไม่ได้ละครับ โยนิโสนะครับเขาให้รู้ว่าอะไรคืออะไร สมควรอย่างไร สติปัญญาที่มีกำลังต่างหากที่จะระงับ ละเว้น มันเลยโยนิโสมาแล้วครับ Kiss Kiss

กำลังว่า นางวิสาขาอยู่หรือเปล่าครับ ไม่ดีนะมันบาป
ไหนปากฉอดๆๆจ้อเรื่องศีล เคร่งเรื่องธรรมไม่ใช่หรือ :b32:

เพราะเขาโยนิโสไง ถึงมองดูเป็นเรื่องของความปกติ
แต่ไอ้คนที่โยนิโสไม่เป็น มันก็คิดว่าศีลไม่ยุ่งกับเมีย
ไม่กินข้าวปล่อยให้ท้องหิวแล้วจะทำให้เป็นพระอรหันต์

แต่งงานกันเป็นผัวเมียกัน มันก็ต้องยุ่งกันเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ
ไม่ได้ไปยุ่งกับเมียชาวบ้านนี่หว่า ถ้าไม่ยุ่งกับเมียจริงๆมันต้องหนีไปบวช
แบบพระพุทธเจ้าโน้น ไม่ใช่มานั่งมองหน้าเมีย แล้วเคลิ้มว่าเมียตัวเองสวย
แต่อวดชาวบ้านว่าไม่ยุ่งกับเมีย :b32:
คนที่ปฎิบัติธรรมถึงจุดถ้าเขายังไม่แต่งงาน เขาจะไม่แต่งงานหรอกครับมีให้ห็นมากมาย แต่ถ้าปฎิบัติธรรมแล้วมองอะไรยังไม่ออกเพราะกิเลสมันยั่วก็แต่งไปอยู่ไปก็อย่ามาบ่นเลือกทางเอง ส่วนคนที่เขาแต่งงานก่อนการเรียนรู้การปฎิบัติธรรมเขาก็ต้องบริหารครอบครัวของเขาให้ลงตัว แต่เขาไม่ปรารถนาเรื่องแบบนั้นมากมายก็ทำตามหน้าที่ชักชวนคู่ของต้นเดินบนเส้นทางธรรม จนได้เวลาเหมาะสมก็คุยกันให้ลงตัวก็แค่นี้ไม่เห็นมีปัญหาเลยครับ ชีวิตก็อยู่ได้สบายๆไม่เห็นต้องมีเรื่องแบบนั้นก็สบายดีนี่ครับ นี่ไงครับถ้าโยนิโสผิด มันจะออกได้อย่างไรในเมื่อยังชุ่มด้วยน้ำกาม มันก็ได้แต่พูดคุยเรื่องธรรมมะกันก็เท่านั้น มันพากันจมน้ำตายกันเปล่าๆๆ แต่ก็ยังดีเป็นการสะสมไปในชาติๆหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ต้องละอยู่ดี แต่ถ้าถือเป็นทิฎฐิมานะเราเป็นผู้รู้มากเรียนมามากแตกฉานในพระธรรม วางอุเบกขาทุกอย่าง เสพกันไปโดยไม่คิดที่จะออก มันเป็นไปได้จริงเหรอ คุณรู้มั้ย 6เดือนแล้วเรื่องอย่างว่าฝันก็ไม่ฝันผมไม่มีขยับเลย คุณว่ามันผิดทางเหรอ ผมนะเป็นคนชอบเรื่องแบบนั้นมากคุณรู้มัย ทำไมผมทำได้รู้มั้ยครับ มันไม่ใช่ผมเก่งหรอกครับ มันเป็นเพราะการปฎิบัติที่ถูกทาง ธรรมมะที่แท้จริงจะต้องเห็นผลแก่ผู้ปฎิบัติทั้งทางกายและจิตใจ แต่ถ้าได้แต่ความคิดนะเราคิดผิดหรือเปล่า ลองถามตัวเราเองไม่มีใครตอบได้ เรื่องความรู้นะครับมันทันกัน อ่านมากฟังมากก็รู้เรื่องเดียวกัน แต่มันลดละไม่เท่ากัน ไปดูในกิจอริยสัจให้มากๆๆเข้าให้ละทั้งตัณหา และอุปาทาน ไม่ใช่ละอุปาทานอย่างเดียว ถ้าละอุปาทานอย่างเดี๋ยวมันก็จะเสพกามแบบไม่ยึด กลายเป็นลูกสาวลูกชายพยามารไปซะเลย พยามารมันท่องเทียวได้ถึงพรหมโลกนะครับระวังให้ดี:b4: :b4: :b4:

พูดซะนีกภาพน้ำท่วมปีที่แล้ว คิดเอาอีกแล้วน้ำท่วมอีกแล้ว
บิกทู้ง่ายๆเลย บิกทู้ว่า โสดาบันเป็นพระอริยะบุคคลหรือยัง
บรรลุธรรมขั้นต้นหรือยัง

แล้วนางวิสาขาบรรลุธรรมตั้งแต่เจ็ดขวบ ทำไมมีสามีมีลูกได้
การที่เรามีเมียแล้วไปยุ่งกับเมียมันผิดศีลมั้ย
มันมีข้อห้ามหรือเปล่าว่า ห้ามฆราวาสยุ่งกับเมีย

คุณบิกทู่ครับอยากแนะนำครับ เท่าที่ฟังคุณมาแต่ต้น
ผมบอกได้เลยครับว่า คุณยังไม่เข้าใจ ทั้งปริยัติและปฏิบัติเบื้องต้นเลย
แนะนำให้คุณถือศีลห้า มีใจเมตตาเสียสละ
และที่สำคัญหมั่นมีสติต่อสิ่งที่คุณกำลังกระทำไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน
หรือกิจวัตรต่างๆเช่นเดิน นั่งนอน แค่นี้แหล่ะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 05:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว...สติที่ว่า...ฝึกสติอย่างเดียวเลยนี้....จะเป็นสัมมาสติอย่างไร....หากไม่มีสัมมาวายามะ
เป็นต้น...นะ
สัมมาวาจา มันเกิดตั้งแต่ มรรคองคํแรกและองค์สองเดิน แล้วครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 05:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
พี่โฮ รู้มั้ยสตินะมันมีกันทุกคนนะครับ สำหรับคนปฎิบัติธรรมนะครับ แต่ทำไมรู้ทั้งรู้แต่ก็อดไม่ได้เรื่องบนเตียงนะครับ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามัน ถุงขี้ทั้งนั้น เพราะคนเรากำลังสติมันไม่เท่ากัน ( ยกเลิกเรื่องกินก็แล้วกันเดี๋ยวท่านก็ตอบว่าไม่กินเดี๋ยวก็ป่วย ก็หมดแรงอีก) เอาเรื่องที่ไม่ทำแล้วไม่ตายดีกว่า ทำไม มันอดไม่ได้ล่ะ โยนิโสยังไง ถึงอดไม่ได้ละครับ โยนิโสนะครับเขาให้รู้ว่าอะไรคืออะไร สมควรอย่างไร สติปัญญาที่มีกำลังต่างหากที่จะระงับ ละเว้น มันเลยโยนิโสมาแล้วครับ Kiss Kiss

กำลังว่า นางวิสาขาอยู่หรือเปล่าครับ ไม่ดีนะมันบาป
ไหนปากฉอดๆๆจ้อเรื่องศีล เคร่งเรื่องธรรมไม่ใช่หรือ :b32:

เพราะเขาโยนิโสไง ถึงมองดูเป็นเรื่องของความปกติ
แต่ไอ้คนที่โยนิโสไม่เป็น มันก็คิดว่าศีลไม่ยุ่งกับเมีย
ไม่กินข้าวปล่อยให้ท้องหิวแล้วจะทำให้เป็นพระอรหันต์

แต่งงานกันเป็นผัวเมียกัน มันก็ต้องยุ่งกันเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ
ไม่ได้ไปยุ่งกับเมียชาวบ้านนี่หว่า ถ้าไม่ยุ่งกับเมียจริงๆมันต้องหนีไปบวช
แบบพระพุทธเจ้าโน้น ไม่ใช่มานั่งมองหน้าเมีย แล้วเคลิ้มว่าเมียตัวเองสวย
แต่อวดชาวบ้านว่าไม่ยุ่งกับเมีย :b32:
คนที่ปฎิบัติธรรมถึงจุดถ้าเขายังไม่แต่งงาน เขาจะไม่แต่งงานหรอกครับมีให้ห็นมากมาย แต่ถ้าปฎิบัติธรรมแล้วมองอะไรยังไม่ออกเพราะกิเลสมันยั่วก็แต่งไปอยู่ไปก็อย่ามาบ่นเลือกทางเอง ส่วนคนที่เขาแต่งงานก่อนการเรียนรู้การปฎิบัติธรรมเขาก็ต้องบริหารครอบครัวของเขาให้ลงตัว แต่เขาไม่ปรารถนาเรื่องแบบนั้นมากมายก็ทำตามหน้าที่ชักชวนคู่ของต้นเดินบนเส้นทางธรรม จนได้เวลาเหมาะสมก็คุยกันให้ลงตัวก็แค่นี้ไม่เห็นมีปัญหาเลยครับ ชีวิตก็อยู่ได้สบายๆไม่เห็นต้องมีเรื่องแบบนั้นก็สบายดีนี่ครับ นี่ไงครับถ้าโยนิโสผิด มันจะออกได้อย่างไรในเมื่อยังชุ่มด้วยน้ำกาม มันก็ได้แต่พูดคุยเรื่องธรรมมะกันก็เท่านั้น มันพากันจมน้ำตายกันเปล่าๆๆ แต่ก็ยังดีเป็นการสะสมไปในชาติๆหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ต้องละอยู่ดี แต่ถ้าถือเป็นทิฎฐิมานะเราเป็นผู้รู้มากเรียนมามากแตกฉานในพระธรรม วางอุเบกขาทุกอย่าง เสพกันไปโดยไม่คิดที่จะออก มันเป็นไปได้จริงเหรอ คุณรู้มั้ย 6เดือนแล้วเรื่องอย่างว่าฝันก็ไม่ฝันผมไม่มีขยับเลย คุณว่ามันผิดทางเหรอ ผมนะเป็นคนชอบเรื่องแบบนั้นมากคุณรู้มัย ทำไมผมทำได้รู้มั้ยครับ มันไม่ใช่ผมเก่งหรอกครับ มันเป็นเพราะการปฎิบัติที่ถูกทาง ธรรมมะที่แท้จริงจะต้องเห็นผลแก่ผู้ปฎิบัติทั้งทางกายและจิตใจ แต่ถ้าได้แต่ความคิดนะเราคิดผิดหรือเปล่า ลองถามตัวเราเองไม่มีใครตอบได้ เรื่องความรู้นะครับมันทันกัน อ่านมากฟังมากก็รู้เรื่องเดียวกัน แต่มันลดละไม่เท่ากัน ไปดูในกิจอริยสัจให้มากๆๆเข้าให้ละทั้งตัณหา และอุปาทาน ไม่ใช่ละอุปาทานอย่างเดียว ถ้าละอุปาทานอย่างเดี๋ยวมันก็จะเสพกามแบบไม่ยึด กลายเป็นลูกสาวลูกชายพยามารไปซะเลย พยามารมันท่องเทียวได้ถึงพรหมโลกนะครับระวังให้ดี:b4: :b4: :b4:

พูดซะนีกภาพน้ำท่วมปีที่แล้ว คิดเอาอีกแล้วน้ำท่วมอีกแล้ว
บิกทู้ง่ายๆเลย บิกทู้ว่า โสดาบันเป็นพระอริยะบุคคลหรือยัง
บรรลุธรรมขั้นต้นหรือยัง

แล้วนางวิสาขาบรรลุธรรมตั้งแต่เจ็ดขวบ ทำไมมีสามีมีลูกได้
การที่เรามีเมียแล้วไปยุ่งกับเมียมันผิดศีลมั้ย
มันมีข้อห้ามหรือเปล่าว่า ห้ามฆราวาสยุ่งกับเมีย

คุณบิกทู่ครับอยากแนะนำครับ เท่าที่ฟังคุณมาแต่ต้น
ผมบอกได้เลยครับว่า คุณยังไม่เข้าใจ ทั้งปริยัติและปฏิบัติเบื้องต้นเลย
แนะนำให้คุณถือศีลห้า มีใจเมตตาเสียสละ
และที่สำคัญหมั่นมีสติต่อสิ่งที่คุณกำลังกระทำไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน
หรือกิจวัตรต่างๆเช่นเดิน นั่งนอน แค่นี้แหล่ะครับ
คุณนี่องค์ความรู้น้อยจริงๆจะต้องให้ผมแสดงแบบพิศดารหรือไร แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ เล่นยกคนคนเดียวอยู่ได้ คุณอ่านมาแค่นั้นก็ตีได้แค่นั้นจริงๆเลย ในชีวิตจริง มันประกอบกบสังคมมันเชื่อมโยงถึงคนอื่นมากมายพ่อแม่พี่น้อง อื่นๆอีกเพียบ ผมกำลังกล่าวสำหรับคนที่เขาไม่มีภาระอยู่ต่างหาก คุณนี่จะต้องให้อธิบายทุกเม็ดเลย อย่างนี้มั้งที่เลิกอะไรไม่ได้ สักว่าเอาง่ายไว้ก่อน ตั้งลัทธิใหม่เถอะพี่โฮ แล้วอย่าใช่ศาสนาพุทธนะ เดียวจะเสียหาย หรือว่าคุณมันลูกชายพยามารส่งมานะ ชักสงสัยแล้วสิอิๆๆ :b12: :b12: :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 05:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว...สติที่ว่า...ฝึกสติอย่างเดียวเลยนี้....จะเป็นสัมมาสติอย่างไร....หากไม่มีสัมมาวายามะ
เป็นต้น...นะ
สัมมาวาจา มันเกิดตั้งแต่ มรรคองคํแรกและองค์สองเดิน แล้วครับ

หากกล่าวอย่างนี้...ผมก็ว่า..สัมมาสติ..ก็เกิดตั้งแต่องค์แรกกับองค์ทรค่สอง้กิดแล้วเช่นกัน...

แล้วใยต้อง...ฝึกสติ...อีกทำไม?..
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว...สติที่ว่า...ฝึกสติอย่างเดียวเลยนี้....จะเป็นสัมมาสติอย่างไร....หากไม่มีสัมมาวายามะ
เป็นต้น...นะ
สัมมาวาจา มันเกิดตั้งแต่ มรรคองคํแรกและองค์สองเดิน แล้วครับ

หากกล่าวอย่างนี้...ผมก็ว่า..สัมมาสติ..ก็เกิดตั้งแต่องค์แรกกับองค์ทรค่สอง้กิดแล้วเช่นกัน...

แล้วใยต้อง...ฝึกสติ...อีกทำไม?..
:b32:
เดี๋ยวจะเข้าใจผิด ผมกำลังกล่าวเกี่ยวกับโยนิโสมนสิการ เมื่อเราโยนิโสเข้าใจแล้วมีปัญญาอ่อนแล้วก็ไม่ต้องน้อมไปโยอีก ให้เดินตรงฝึกสติโดยตรงเลยเมื่อสติเกิดปัญญามันก็เกิดพร้อม เพราะโยนิโสเกิดปัญญาแล้วสัญญามันจำได้มันก็ออกมาทำกิจมันเองไม่ต้องน้อมใจไปแล้ว ผมถึงบอกให้ฝึกสติให้มากให้ปรากฎในมโนทวารให้ได้ ไม่รู้จะมาจากวิธีใดกี่วิธีผมไม่รู้ แต่ผมได้มาจากวิธีที่ผมได้ปฎิบัติมาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันปรากฎในมโนทวารเป็นทั้งความรู้สึกเป็นทั้งภาพที่ปรากฎ ทำสติมีกำลังและปัญญาที่ออ่นอยู่มีกำลังขึ้น ทำให้ผมทำในสิ่งที่ทำได้ยาก สตินี้เป็นใหญ่สุดเพราะเกิดร่วมกับปัญญา ปัญญาจะพาให้ทำได้ทุกอย่าง (ทุกอย่าง)ได้เอง (เพียงแต่ไม่ต้องโยนิโสแล้วให้มุ่งสติโดยตรงครับ)

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 09:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วฝึกสติยังงัย...จึงจะเรียก..สัมมาสติ..ละครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แล้วฝึกสติยังงัย...จึงจะเรียก..สัมมาสติ..ละครับ
สัมมาสติ คือสติเพื่อเป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ ทำไม่พระองค์ทรงเรียงอย่างนี้ ต้องมีเหตุผลครับ กาย เวทนา จิต ธรรม
ก็พิจารณา กาย พอพิจารณกาย ก็จะเกิดเวทนา(ในที่นี่เอาเพียงเวทนาทางกาย) เมื่อเกิดเวทนาเบาสบายผ่านไปไม่ต้องยึดผ่านไปเวทนาหยาบอันนี้ต้องผ่านให้ได้ สุดท้ายการถูกบีบคั้นมันก็เดินมาถึงที่สุดคือไม่สามารถคงทนอยู่ได้เหมือนกับความสบายนั้นแหละครับควารู้สึกนี้จะปรากฎแก่จิต(ในมโนทวาร)จิตรับรู้พิจารณาธรรมที่ปรากฎ( ครบทั้งกาย เวทนา จิตธรรม ) จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดครบทั้งหมดตรงนี้ เรียกว่าแทงตลอดในอริยสัจครับ ถ้าสภาวะสูญญตาปรากฎยิ่งนานยิ่งดีครับนิพพานธาตุจะกำจัดความมืดบอด คืออวิชชา จะแทงตลอดจนบรรลุอรหันต์เลย :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 09:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้ว...พิจารณากาย..ยังงัย?..อะไรได้จากพิจารณากาย..
:b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว...พิจารณากาย..ยังงัย?..อะไรได้จากพิจารณากาย..
:b10:
กายโครงสร้างทั้งหมดทั้งร่างกาย มันเป็นเพียงความสั่นสะเทือน ของธาตุ มันเป็นพลังงาน เมื่อรับรู้แรงสั่นสะเทือนทั่งรางกายได้แล้ว สตินั้นจะแหลมคมมาก ต้องเริ่มจากอานาปานสติ รับรู้เวทนาที่ปลายจมูกเป็นแรกเริ่ม พอรับรู้ได้ ลองไปเริ่มที่กระหม่อมถ้ารับรู้ที่กลางกระหม่อมได้แล้วค่อยๆไปทั่วร่างกาย ถ้ารู้ทั่วร่างกาย เรียกว่ารู้ตัวทั่วพร้อมทางความรู้สึกได้จริง สติก็จะเริ่มเป็นสัมมาสติในระดับกลางๆ ฝึกไปนาน จะรู้สึกตัวทุกขณะที่เราใช้ชีวิตอยูในปัจจุบันขณะ จะเป็นอาการทางความรู้สึกสั่นสะเทือน สมมุตท่านคิดถึงติ่งหูจิตที่ว่องไวและแหลมคมนั้นจะต้องรับรู้ความรู้สึกที่ติ่งหูได้ทันที่ทีนึกถึง เช่นเดียวกันถ้าท่านคิดถึงส่วนไหนในร่างกาย ก็จะรู้สึกถึงสิ่งนั้นทันที่ว่ามันเกิดดับอยู่จริง นี้จึงเรียกว่สัมมาสติ ส่วนสติที่มากที่สุดดังที่เคยกล่าวไปแล้วอันนี้เป็นการสลายของธาตุขันต์ทั้งหมดในลักษณะความรู้สึก มันจะต้องเกิดทั้งความรู้สึก และในมโนทวารครับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
คุณนี่องค์ความรู้น้อยจริงๆจะต้องให้ผมแสดงแบบพิศดารหรือไร แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ เล่นยกคนคนเดียวอยู่ได้ :

องค์ความรู้น้อยไม่สำคัญ ขอให้มันตรงกับธรรมที่พุทธองค์ทรงสอนเป็นพอ
ไม่เหมือนคุณนี่ครับ รู้มากแต่รู้อะไรก็ไม่รู้ เอาแค่แสดงความเห็นก็พอดูออกแล้ว
พูดเป็นน้ำท่วมทุ้ง ผักบุ้งโหรงเหรง หาสาระแก่นธรรมไม่ได้ซักตัว

แล้วที่ว่าผมยกคนๆเดียว ก็คนๆเดียวที่คุณว่า มันตรงกับธรรมที่กำลังมีปัญหาอยู่นี่ครับ
ไม่ถูกหรือที่คุณอ้างว่า คนที่ประกาศว่าบรรลุธรรมแล้ว ไม่ยุ่งกับเมียแบบคุณ

ผมก็ต้องยกตัวอย่าง นางวิสาขาให้ดูว่า ท่านบรรลุธรรมตั้งแต่เจ็ดขวบ
ก่อนมีครอบครัว แล้วทำไมท่านถึงได้มีครอบครัวในภายหลังได้

คุณว่าการปฏิบัติแบบไหนถูก ระหว่างคุณกับนางวิสาขาครับ
คุณมันมีเมียแล้วบรรลุธรรมภายหลัง เลยจับเมียขึ้นหิ้งไม่ยุ่งเกี่ยวเอาไว้บูชา :b32:


bigtoo เขียน:
ในชีวิตจริง มันประกอบกบสังคมมันเชื่อมโยงถึงคนอื่นมากมายพ่อแม่พี่น้อง อื่นๆอีกเพียบ ผมกำลังกล่าวสำหรับคนที่เขาไม่มีภาระอยู่ต่างหาก คุณนี่จะต้องให้อธิบายทุกเม็ดเลย อย่างนี้มั้งที่เลิกอะไรไม่ได้ สักว่าเอาง่ายไว้ก่อน ตั้งลัทธิใหม่เถอะพี่โฮ แล้วอย่าใช่ศาสนาพุทธนะ เดียวจะเสียหาย หรือว่าคุณมันลูกชายพยามารส่งมานะ ชักสงสัยแล้วสิอิๆๆ :b12: :b12: :b12:

รู้เหมือนกันนี่ว่า มีสังคมที่เชื่อมโยงคนอื่น แล้วบอกว่ากำลังกล่าวถึงคนไม่มีภาระ
ผมว่าคุณกำลังกล่าวถึงตัวเองนะครับ คุณมีภาระหรือเปล่าครับ มีลูกเมียหรือเปล่า

คุณกล่าวตั้งแต่เริ่มแล้วว่า
คุณกินข้าวมื้อเดียว คุณมีเมียที่ยังสาวและสวยแถมอยู่บ้านเดียวกัน
และคุณยังบอกว่า คุณทำกับข้าวให้เมียทาน

ถามครับ ที่แก้ตัวมาไม่อายหรือครับ เป็นผู้ใหญ่แล้วอายุมากแล้ว
พูดจาไม่น่านับถือแบบนี้หรือ
:b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
คุณนี่องค์ความรู้น้อยจริงๆจะต้องให้ผมแสดงแบบพิศดารหรือไร แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ เล่นยกคนคนเดียวอยู่ได้ :

องค์ความรู้น้อยไม่สำคัญ ขอให้มันตรงกับธรรมที่พุทธองค์ทรงสอนเป็นพอ
ไม่เหมือนคุณนี่ครับ รู้มากแต่รู้อะไรก็ไม่รู้ เอาแค่แสดงความเห็นก็พอดูออกแล้ว
พูดเป็นน้ำท่วมทุ้ง ผักบุ้งโหรงเหรง หาสาระแก่นธรรมไม่ได้ซักตัว

แล้วที่ว่าผมยกคนๆเดียว ก็คนๆเดียวที่คุณว่า มันตรงกับธรรมที่กำลังมีปัญหาอยู่นี่ครับ
ไม่ถูกหรือที่คุณอ้างว่า คนที่ประกาศว่าบรรลุธรรมแล้ว ไม่ยุ่งกับเมียแบบคุณ

ผมก็ต้องยกตัวอย่าง นางวิสาขาให้ดูว่า ท่านบรรลุธรรมตั้งแต่เจ็ดขวบ
ก่อนมีครอบครัว แล้วทำไมท่านถึงได้มีครอบครัวในภายหลังได้

คุณว่าการปฏิบัติแบบไหนถูก ระหว่างคุณกับนางวิสาขาครับ
คุณมันมีเมียแล้วบรรลุธรรมภายหลัง เลยจับเมียขึ้นหิ้งไม่ยุ่งเกี่ยวเอาไว้บูชา :b32:


bigtoo เขียน:
ในชีวิตจริง มันประกอบกบสังคมมันเชื่อมโยงถึงคนอื่นมากมายพ่อแม่พี่น้อง อื่นๆอีกเพียบ ผมกำลังกล่าวสำหรับคนที่เขาไม่มีภาระอยู่ต่างหาก คุณนี่จะต้องให้อธิบายทุกเม็ดเลย อย่างนี้มั้งที่เลิกอะไรไม่ได้ สักว่าเอาง่ายไว้ก่อน ตั้งลัทธิใหม่เถอะพี่โฮ แล้วอย่าใช่ศาสนาพุทธนะ เดียวจะเสียหาย หรือว่าคุณมันลูกชายพยามารส่งมานะ ชักสงสัยแล้วสิอิๆๆ :b12: :b12: :b12:

รู้เหมือนกันนี่ว่า มีสังคมที่เชื่อมโยงคนอื่น แล้วบอกว่ากำลังกล่าวถึงคนไม่มีภาระ
ผมว่าคุณกำลังกล่าวถึงตัวเองนะครับ คุณมีภาระหรือเปล่าครับ มีลูกเมียหรือเปล่า

คุณกล่าวตั้งแต่เริ่มแล้วว่า
คุณกินข้าวมื้อเดียว คุณมีเมียที่ยังสาวและสวยแถมอยู่บ้านเดียวกัน
และคุณยังบอกว่า คุณทำกับข้าวให้เมียทาน

ถามครับ ที่แก้ตัวมาไม่อายหรือครับ เป็นผู้ใหญ่แล้วอายุมากแล้ว
พูดจาไม่น่านับถือแบบนี้หรือ
:b6:
คุณรู้เกี่ยวกับนางวิสาขาแคไหน ที่ยกแต่นางมา นางนั้นใจอาจจะไม่อยากมีก็ได้ครับ แต่ครอบครัวหรือว่าอะไรมากมาย ที่จะต้องสมยอมที่จะต้องแต่งก็ได้
ส่วนตัวคุณนั้นจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้ สมมุติคุณมีครอบครัวแล้วคุณก็ต้องทำหน้าที่แบบว่า ก็ทำไป ไม่ผิดผมไม่ได้ว่ามันผิด แต่ขอให้น้อมสักนิด ว่าสิ่งนั้นควรอยู่ในระดับใดเบื่อหน่ายบ้างหรือไม่ถ้าไมเลย ก็เลิกกัน ผมเองนะยังมีความรู้สึกเหมือนกัน แต่พิจารณาแล้ว มันของเน่าของเม็นทั้งนั้นทั้งเราและเขา อสุภะนะเคยพิจารณามั้ย (ที่นี้ทำไม่ไม่โยนิโสละครับ ที่กิน จะเสพเมถุนดันโยนิโสเข้าข้างตนเอง) คุณนี่ พี่โฮ! บ้าไปแล้ว

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 04:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
คุณรู้เกี่ยวกับนางวิสาขาแคไหน ที่ยกแต่นางมา นางนั้นใจอาจจะไม่อยากมีก็ได้ครับ แต่ครอบครัวหรือว่าอะไรมากมาย ที่จะต้องสมยอมที่จะต้องแต่งก็ได้
ส่วนตัวคุณนั้นจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้ สมมุติคุณมีครอบครัวแล้วคุณก็ต้องทำหน้าที่แบบว่า ก็ทำไป ไม่ผิดผมไม่ได้ว่ามันผิด แต่ขอให้น้อมสักนิด ว่าสิ่งนั้นควรอยู่ในระดับใดเบื่อหน่ายบ้างหรือไม่ถ้าไมเลย ก็เลิกกัน ผมเองนะยังมีความรู้สึกเหมือนกัน แต่พิจารณาแล้ว มันของเน่าของเม็นทั้งนั้นทั้งเราและเขา อสุภะนะเคยพิจารณามั้ย (ที่นี้ทำไม่ไม่โยนิโสละครับ ที่กิน จะเสพเมถุนดันโยนิโสเข้าข้างตนเอง) คุณนี่ พี่โฮ! บ้าไปแล้ว

ถามได้ว่าผมรู้จักนางวิสาขาแค่ไหน ผมรู้จักดีกว่าคุณก็แล้วกัน
ผมรู้และให้ความเคารพนาง นางวิสาขาเป็นโสดาบันตั้งแต่เด็ก
ท่านละสังโยชน์สามอันได้แก่
...สักกายทิฐิ
...วิจิกิจฉา
...ศีลพรตปรามาส

การกระทำของนางวิสาขาทุกอย่างปราศจากกิเลสสามตัวนี้ นั้นแสดงว่า
นางได้บรรลุธรรมและเป็นอริยบุคคล

ถ้าเอามาเปรียบกับการกระทำของคุณ ที่คุณอ้างว่าบรรลุธรรมแล้ว
ทำไมมันตรงข้ามกันยังกับหน้ามือเป็นหลังมือ

คุณลองดูซิว่าคุณละหรือยัง อ้างมั่วไปเรื่อยที่แท้
ก็โดนกิเลสเล่นงานอยู่ เขาสอนไม่ให้ยึดกายนี้ใจนี้
นี่อะไรกันบรรลุแล้วแต่ยังบอกมีภาระ จำเป็นต้องอยู่บ้านเดียวกับเมีย
จำเป็นต้องทำกับข้าวให้เมียกิน
ประนามคนอื่นว่า เคยทำอสุภะมั้ย รู้จักเบื่อหน่ายมั้ย
แต่ดูตัวเองซิ มือก็ทำกับข้าวให้เมีย ปากก็พร่ำพูดว่า เมียตัวเองยังสาวยังสวย
มันเบื่อหน่ายอะไรของคุณ อสุภะหรืออสุแพะครับ

เสพเมถุนกับเมีย กินข้าวเมื่อร่างกายต้องการ ทำไมต้องโยนิโสฯ
เรื่องนี้มันเป็นความปกติของศีลอยู๋แล้ว

หัดดูกิเลสให้เป็นก่อนเถอะครับ ไม่งั้นแทนที่จะทำหน้าที่สามีนอนกอดเมีย
ไม่เอากลับไปกอดกิเลส

คนที่เขายุ่งกับกับเมีย ถึงแม้เมียตัวเองจะขี้เหร่เหนียงยาน แบบนี้ไม่เรียกกิเลสกาม

แต่สำหรับคุณไม่ยุ่งกับเมีย แต่อยู่บ้านเดียวกับเมีย แถมยังมองว่า เมียยังสาวและสวย
เขาเรียกว่ากิเลส กามราคะ
เรื่องนี้รวมทั้งการกินของคุณด้วย การกินไม่ใช่กิเลส แต่การได้กลิ่นแล้วใจคิดว่า
มันหอมยั่วยวนแบบนี้เป็นกิเลส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 06:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
คุณรู้เกี่ยวกับนางวิสาขาแคไหน ที่ยกแต่นางมา นางนั้นใจอาจจะไม่อยากมีก็ได้ครับ แต่ครอบครัวหรือว่าอะไรมากมาย ที่จะต้องสมยอมที่จะต้องแต่งก็ได้
ส่วนตัวคุณนั้นจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้ สมมุติคุณมีครอบครัวแล้วคุณก็ต้องทำหน้าที่แบบว่า ก็ทำไป ไม่ผิดผมไม่ได้ว่ามันผิด แต่ขอให้น้อมสักนิด ว่าสิ่งนั้นควรอยู่ในระดับใดเบื่อหน่ายบ้างหรือไม่ถ้าไมเลย ก็เลิกกัน ผมเองนะยังมีความรู้สึกเหมือนกัน แต่พิจารณาแล้ว มันของเน่าของเม็นทั้งนั้นทั้งเราและเขา อสุภะนะเคยพิจารณามั้ย (ที่นี้ทำไม่ไม่โยนิโสละครับ ที่กิน จะเสพเมถุนดันโยนิโสเข้าข้างตนเอง) คุณนี่ พี่โฮ! บ้าไปแล้ว

ถามได้ว่าผมรู้จักนางวิสาขาแค่ไหน ผมรู้จักดีกว่าคุณก็แล้วกัน
ผมรู้และให้ความเคารพนาง นางวิสาขาเป็นโสดาบันตั้งแต่เด็ก
ท่านละสังโยชน์สามอันได้แก่
...สักกายทิฐิ
...วิจิกิจฉา
...ศีลพรตปรามาส

การกระทำของนางวิสาขาทุกอย่างปราศจากกิเลสสามตัวนี้ นั้นแสดงว่า
นางได้บรรลุธรรมและเป็นอริยบุคคล

ถ้าเอามาเปรียบกับการกระทำของคุณ ที่คุณอ้างว่าบรรลุธรรมแล้ว
ทำไมมันตรงข้ามกันยังกับหน้ามือเป็นหลังมือ

คุณลองดูซิว่าคุณละหรือยัง อ้างมั่วไปเรื่อยที่แท้
ก็โดนกิเลสเล่นงานอยู่ เขาสอนไม่ให้ยึดกายนี้ใจนี้
นี่อะไรกันบรรลุแล้วแต่ยังบอกมีภาระ จำเป็นต้องอยู่บ้านเดียวกับเมีย
จำเป็นต้องทำกับข้าวให้เมียกิน
ประนามคนอื่นว่า เคยทำอสุภะมั้ย รู้จักเบื่อหน่ายมั้ย
แต่ดูตัวเองซิ มือก็ทำกับข้าวให้เมีย ปากก็พร่ำพูดว่า เมียตัวเองยังสาวยังสวย
มันเบื่อหน่ายอะไรของคุณ อสุภะหรืออสุแพะครับ

เสพเมถุนกับเมีย กินข้าวเมื่อร่างกายต้องการ ทำไมต้องโยนิโสฯ
เรื่องนี้มันเป็นความปกติของศีลอยู๋แล้ว

หัดดูกิเลสให้เป็นก่อนเถอะครับ ไม่งั้นแทนที่จะทำหน้าที่สามีนอนกอดเมีย
ไม่เอากลับไปกอดกิเลส

คนที่เขายุ่งกับกับเมีย ถึงแม้เมียตัวเองจะขี้เหร่เหนียงยาน แบบนี้ไม่เรียกกิเลสกาม

แต่สำหรับคุณไม่ยุ่งกับเมีย แต่อยู่บ้านเดียวกับเมีย แถมยังมองว่า เมียยังสาวและสวย
เขาเรียกว่ากิเลส กามราคะ
เรื่องนี้รวมทั้งการกินของคุณด้วย การกินไม่ใช่กิเลส แต่การได้กลิ่นแล้วใจคิดว่า
มันหอมยั่วยวนแบบนี้เป็นกิเลส
พี่โฮ คลองเขามีไว้สำหรับให้เรือวิ่งนะ ทำไมพี่ชอบถอยหลังเข้าคลองล่ะ เลิกไม่ได้ก็ยอมรับเถอะ อย่ารั้นเลย หัดตื่นมาใส่บาตรพระบ้างเถอะจะได้รู้ความดีมันเป็นอย่างไร พินาจแล้วศาสนาเรา มีคนอย่างท่านหมดกัน ไม่ทำก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ :b34: :b34: :b34:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
คุณรู้เกี่ยวกับนางวิสาขาแคไหน ที่ยกแต่นางมา นางนั้นใจอาจจะไม่อยากมีก็ได้ครับ แต่ครอบครัวหรือว่าอะไรมากมาย ที่จะต้องสมยอมที่จะต้องแต่งก็ได้
ส่วนตัวคุณนั้นจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้ สมมุติคุณมีครอบครัวแล้วคุณก็ต้องทำหน้าที่แบบว่า ก็ทำไป ไม่ผิดผมไม่ได้ว่ามันผิด แต่ขอให้น้อมสักนิด ว่าสิ่งนั้นควรอยู่ในระดับใดเบื่อหน่ายบ้างหรือไม่ถ้าไมเลย ก็เลิกกัน ผมเองนะยังมีความรู้สึกเหมือนกัน แต่พิจารณาแล้ว มันของเน่าของเม็นทั้งนั้นทั้งเราและเขา อสุภะนะเคยพิจารณามั้ย (ที่นี้ทำไม่ไม่โยนิโสละครับ ที่กิน จะเสพเมถุนดันโยนิโสเข้าข้างตนเอง) คุณนี่ พี่โฮ! บ้าไปแล้ว

ถามได้ว่าผมรู้จักนางวิสาขาแค่ไหน ผมรู้จักดีกว่าคุณก็แล้วกัน
ผมรู้และให้ความเคารพนาง นางวิสาขาเป็นโสดาบันตั้งแต่เด็ก
ท่านละสังโยชน์สามอันได้แก่
...สักกายทิฐิ
...วิจิกิจฉา
...ศีลพรตปรามาส

การกระทำของนางวิสาขาทุกอย่างปราศจากกิเลสสามตัวนี้ นั้นแสดงว่า
นางได้บรรลุธรรมและเป็นอริยบุคคล

ถ้าเอามาเปรียบกับการกระทำของคุณ ที่คุณอ้างว่าบรรลุธรรมแล้ว
ทำไมมันตรงข้ามกันยังกับหน้ามือเป็นหลังมือ

คุณลองดูซิว่าคุณละหรือยัง อ้างมั่วไปเรื่อยที่แท้
ก็โดนกิเลสเล่นงานอยู่ เขาสอนไม่ให้ยึดกายนี้ใจนี้
นี่อะไรกันบรรลุแล้วแต่ยังบอกมีภาระ จำเป็นต้องอยู่บ้านเดียวกับเมีย
จำเป็นต้องทำกับข้าวให้เมียกิน
ประนามคนอื่นว่า เคยทำอสุภะมั้ย รู้จักเบื่อหน่ายมั้ย
แต่ดูตัวเองซิ มือก็ทำกับข้าวให้เมีย ปากก็พร่ำพูดว่า เมียตัวเองยังสาวยังสวย
มันเบื่อหน่ายอะไรของคุณ อสุภะหรืออสุแพะครับ

เสพเมถุนกับเมีย กินข้าวเมื่อร่างกายต้องการ ทำไมต้องโยนิโสฯ
เรื่องนี้มันเป็นความปกติของศีลอยู๋แล้ว

หัดดูกิเลสให้เป็นก่อนเถอะครับ ไม่งั้นแทนที่จะทำหน้าที่สามีนอนกอดเมีย
ไม่เอากลับไปกอดกิเลส

คนที่เขายุ่งกับกับเมีย ถึงแม้เมียตัวเองจะขี้เหร่เหนียงยาน แบบนี้ไม่เรียกกิเลสกาม

แต่สำหรับคุณไม่ยุ่งกับเมีย แต่อยู่บ้านเดียวกับเมีย แถมยังมองว่า เมียยังสาวและสวย
เขาเรียกว่ากิเลส กามราคะ
เรื่องนี้รวมทั้งการกินของคุณด้วย การกินไม่ใช่กิเลส แต่การได้กลิ่นแล้วใจคิดว่า
มันหอมยั่วยวนแบบนี้เป็นกิเลส
ศาสนาของพระพุทธองค์เป็นศาสนาแห่งปัญญาทนต่อการพิสูจน์ มิได้กล่าวไว้เพื่อให้เชื่อ พระองค์เองก็ทรงกล่าวว่า อย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่ได้ตนได้ฟังมา จงนำไปปฎิบัติเมื่อสิ่งนั้นมันเกิดประโยชน์กับตนเองยังไม่พอนะครับ ต้องเกิดประโยชน์กับผู้อื่ด้วย เรื่องราวในคำภีร์มีมากมายล้วนกลับไปพิสูจน์ไม่ได้เกี่ยวกับบุคคลในพุทธกาล การที่หยิบยกบางสิ่งมานั้นไม่ผิดแต่ไม่ใช่สิ่งนั้นจะเป็นที่สุดแห่งความเห็น อาจถูกอาจผิด ส่วนที่พระองค์แสดงเรื่องข้อประพฤติปฎิบัตินี้น่าจะยอมรับกันได้ เรื่องการละเว้นอะไรต่างๆตามเหตุที่สมควรตามสถานะ
ผมมิได้ตำหินเลยแต่ละท่านก็มีชีวตที่แตกต่าง ใครจะทำอะไรก็เป็นสิทธิแต่ละคน แต่ถ้ามาสนทนาเรื่องธรรมมะกันแล้วก็ต้องยอมรับว่า กามสุขนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปคล่องเกี่ยว คล่องเกี่ยวนี้ไม่ใช่การเสพแบบไม่ยึด แต่ถ้ายังเสพอยู่ผิดมั้ยมันไม่ผิดหรอกครับ แต่จะบรรลุธรรมขั้นสูงนะคงเป็นไปไม่ได้ และท่านจะเสพหรือไม่เสพก็ทำไปเถอะไม่มีใครว่า แต่ที่ผมติติงก็เพราะท่านไม่มีใจโน้มเอียงเพื่อจะลดล่ะ นี่ต่างหากที่โต้เถียงท่านอยู่ขอท่านเข้าใจไว้ด้วย
ที่นางวิสาขาท่านจะบรรลุธรรมกี่ขวบนั้น จะจริงหรือไม่จริง ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ท่านกำลังยกตัวอย่างในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้มา มันจะบ่งบอกของสติปัญญาท่านนะครับเพราะเรากำลังโต้แย้งกันอยู่นะครับ แต่ถ้าท่านยกมาเป็นตัวอย่างกับคนที่กำลังศึกษาธรรมมะนั้นเป็นส่งที่ดีเพราะเขาก็จะได้ฟังเพื่อเรื่องราวเพื่อเอาไปพิสูจน์แต่ถ้าโต้แย้งนั้นมันไม่จบเพราะหาที่สุดมิได้
เหมือกับที่พระพุทธองค์ทรงยกเรื่องราวมาสอนสาวกนะครับก็มีชาดกมากมายท่านเอาไว้สอนถึงการเพิ่มพูลความดีเป็นตัวอย่างแห่งความดี มิได้ยกตัวอย่างมาแสดงในการโต้แย้ง ส่วนการโต้แย้ง กับเจ้าลัทธิอืนๆ พระองค์ทรงแสดงความสามารถให้เห็นในสิ่งที่พระองค์ทำได้ ก็เหมือนในสิ่งที่ผมทำได้อยู่นี่ไงที่แสดงให้ท่านดู พอเข้าใจบ้างหรือยัง ทำบุญให้ทานเยอะๆนะครับจะได้สนันสนุนปัญญาให้สว่างขึ้นบ้างอย่าห่วงแต่ตัวเองนักเลย ปากท้องก็เหมือนกันอย่าห่วงนักเลย นะขอรับพี่โฮ :b4: :b4: :b4:นางวิสาขาทำบุญทุกวันนะครับพี่โฮ รู้อย่างไร งง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 28 ก.ค. 2012, 09:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
คุณรู้เกี่ยวกับนางวิสาขาแคไหน ที่ยกแต่นางมา นางนั้นใจอาจจะไม่อยากมีก็ได้ครับ แต่ครอบครัวหรือว่าอะไรมากมาย ที่จะต้องสมยอมที่จะต้องแต่งก็ได้
ส่วนตัวคุณนั้นจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้ สมมุติคุณมีครอบครัวแล้วคุณก็ต้องทำหน้าที่แบบว่า ก็ทำไป ไม่ผิดผมไม่ได้ว่ามันผิด แต่ขอให้น้อมสักนิด ว่าสิ่งนั้นควรอยู่ในระดับใดเบื่อหน่ายบ้างหรือไม่ถ้าไมเลย ก็เลิกกัน ผมเองนะยังมีความรู้สึกเหมือนกัน แต่พิจารณาแล้ว มันของเน่าของเม็นทั้งนั้นทั้งเราและเขา อสุภะนะเคยพิจารณามั้ย (ที่นี้ทำไม่ไม่โยนิโสละครับ ที่กิน จะเสพเมถุนดันโยนิโสเข้าข้างตนเอง) คุณนี่ พี่โฮ! บ้าไปแล้ว

ถามได้ว่าผมรู้จักนางวิสาขาแค่ไหน ผมรู้จักดีกว่าคุณก็แล้วกัน
ผมรู้และให้ความเคารพนาง นางวิสาขาเป็นโสดาบันตั้งแต่เด็ก
ท่านละสังโยชน์สามอันได้แก่
...สักกายทิฐิ
...วิจิกิจฉา
...ศีลพรตปรามาส

การกระทำของนางวิสาขาทุกอย่างปราศจากกิเลสสามตัวนี้ นั้นแสดงว่า
นางได้บรรลุธรรมและเป็นอริยบุคคล

ถ้าเอามาเปรียบกับการกระทำของคุณ ที่คุณอ้างว่าบรรลุธรรมแล้ว
ทำไมมันตรงข้ามกันยังกับหน้ามือเป็นหลังมือ

คุณลองดูซิว่าคุณละหรือยัง อ้างมั่วไปเรื่อยที่แท้
ก็โดนกิเลสเล่นงานอยู่ เขาสอนไม่ให้ยึดกายนี้ใจนี้
นี่อะไรกันบรรลุแล้วแต่ยังบอกมีภาระ จำเป็นต้องอยู่บ้านเดียวกับเมีย
จำเป็นต้องทำกับข้าวให้เมียกิน
ประนามคนอื่นว่า เคยทำอสุภะมั้ย รู้จักเบื่อหน่ายมั้ย
แต่ดูตัวเองซิ มือก็ทำกับข้าวให้เมีย ปากก็พร่ำพูดว่า เมียตัวเองยังสาวยังสวย
มันเบื่อหน่ายอะไรของคุณ อสุภะหรืออสุแพะครับ

เสพเมถุนกับเมีย กินข้าวเมื่อร่างกายต้องการ ทำไมต้องโยนิโสฯ
เรื่องนี้มันเป็นความปกติของศีลอยู๋แล้ว

หัดดูกิเลสให้เป็นก่อนเถอะครับ ไม่งั้นแทนที่จะทำหน้าที่สามีนอนกอดเมีย
ไม่เอากลับไปกอดกิเลส

คนที่เขายุ่งกับกับเมีย ถึงแม้เมียตัวเองจะขี้เหร่เหนียงยาน แบบนี้ไม่เรียกกิเลสกาม

แต่สำหรับคุณไม่ยุ่งกับเมีย แต่อยู่บ้านเดียวกับเมีย แถมยังมองว่า เมียยังสาวและสวย
เขาเรียกว่ากิเลส กามราคะ
เรื่องนี้รวมทั้งการกินของคุณด้วย การกินไม่ใช่กิเลส แต่การได้กลิ่นแล้วใจคิดว่า
มันหอมยั่วยวนแบบนี้เป็นกิเลส
ถามจริงๆ พี่โฮ การไม่ยึดของคุณนี่หมายความว่า กินแบบไม่ยึด เสพเมถุนแบบไม่ยึด คุณลองนึกถึงสภาพที่กิจที่คุณทำสิ มันน่าเกลียดมั้ย พระอริยะชั้นต้นนะเขารู้สิ่งเหล่านี้ดีแต่กำลังปัญญาเขายังห้ามกิเลสไม่ได้ที่เขาทำนะ แต่คุณมันมองไม่ออกเลย ก็เลยหมกมุ่นอยู่กับสิ่งสกปรก ก็เลยบอกว่าเสพแบบไม่ยึด มันคนละอย่างกันกับพระอริยครับเข้าใจหรือยัง และอาชีพที่เป็นสัมมาอาชีพที่ดีที่สุดท่านรู้มั้ย ก็คืออาชีพนักบวช เพราะอาชีพนักบวชนั้นเป็นอาชีพเหมาะสมแก่การปฎบัติธรรมที่สุด ทำไมต้องขออารหารเขาทาน ทำไมต้องงดเสพเมถุน และระเบียบอื่นๆอีกมากมาย
ขนาดมองหน้าเพศตรงข้ามยังให้พิจจารณาเลย (อย่าว่าแต่เสพเหมื่อนพี่โฮเลย) :b19: ถ้าสิ่งเหล่านั้นมันไม่เป็นอุปสรรคแก่การบรรลุธรรมชั้นสูง ไม่เห็นจะต้องมาบวชเลย ก็น่าจะสอนเฉยๆซิครับ หรือเพียงโกนหัวเฉยๆแล้วก็ทำกับข้ากินเองก็ได้ไม่เห็นจะต้องไปขอเขากินมีมือมีเท้าเหมือนกัน แล้วก็มีเมียมีลูกต่อไป มันน่าจะง่ายกว่า ต้องมาขอเขากินนะ ถ้าคุณไม่บวชก็ไม่เป็นไร ก็ทรงอนุเคราะห์อีกก็ทรงแสดงว่า ฆารวาสนั้นเหมือนเดินอยู่ปากเหว ปาเหวอย่างไร เพราะยังชุ่มด้วยน้ำกามอยู่ และอื่นๆอีกมากมาย ลองโยนิโสดูนะพี่โฮ :b19: :b19: :b19:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร