วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 20:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้บอกว่า "ใกล้ตายต้องทำอย่างไร"
คุนน้องเกิดไอเดียปิ๊งๆ..(แต่ยังทำไม่ได้นะ :b5: ) เข้าสมาธิระดับสูงให้ได้แล้วแยกกายกับจิตออกจากกัน คุนน้องว่าจิตคือแบตเตอรี่ ร่างกายก็เป็นแค่หุ่นยนต์ ถ้าไม่มีแบตเตอรี่ หุ่นยนก็ไม่เคลื่อนที่ ต้องฝึกถอดจิตก่อนตายจะได้ไปแบบสงบ55+ s002 ลองใช้วิจารญาน ดูคลิปนี้ตอนท้ายๆ ที่วัดการหยุดเต้นของหัวใจดูสิเจ้าค่ะ คุนน้องว่าเขาใช้วิธีเข้าฌานในระดับสูงมาก มนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้หรอก สามารถแยก กายกับจิตออกจากกันได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับ วาสนาบารมีของใครของมันนะ เรื่องแบบนี้
http://www.youtube.com/watch?v=CqBwblfs ... re=related


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 03:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เอามาฝาก ฝึกกันไว้ครับ

แนะนำจขกท ไปหมั่นฝึกเจริญสติบ่อยๆครับ การมีสติมีสัมปชัญญะกับการงานที่ทำจะทำให้เกิด
สมาธิ เช่นเดียวกันการมีสมาธิกับธรรมที่อยู่ตรงหน้าย่อม สามารถอธิบายธรรมหรือพิจารณาธรรม
ได้อย่างถูกต้อง ไม่ทำให้การพิจารณาธรรมเป็นลักษณะเด็กอ่านกลอนท่องอาขยาน
ฝึกจิต เขียน:
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อใกล้จะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานอีก ๓ เดือน
ได้ทรงปลงอายุสังขาร แล้วตรัสสอนพระอานนท์พร้อมหมู่ภิกษุทั้งหลายว่า


อยากให้จขกทดูซิว่า ใครเป็นคนสอนเรื่องมรณานุสติ และใครเป็นคนฟังเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอน
และอยากให้ดูว่า ใครกันที่กำลังจะตาย พระพุทธเจ้าเป็นผู้ปลงอายุสังขาร แสดงว่า ผู้ที่จะต้อง
ตายเป็นพระพุทธเจ้า เหล่าพุทธสาวกไม่ได้กำลังจะตาย แสดงว่า ไม่ได้สอนให้กลัวความตาย
แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน มีสาเหตุมาจากพุทธสาวกรู้ว่าพระพุทธเจ้ากำลังจะตาย
ทำให้โศรกเศร้ากับความตายของพระพุทธเจ้า

ดังนั้นความโศรกเศร้าของเหล่าพุทธสาวกก็คือ ความพลัดพราก
การที่จะไม่ได้พบกับพระพุทธเจ้าแล้ว

อยากบอกจขกทไว้ สภาวะความตายเป็นของเที่ยง
ผู้ที่จะเห็นสภาวะความตายได้ ก่อนละสังขารก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น
ก็เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงปลงอายุสังขารได้นั้นแหล่ะครับ


ดังนั้นผมว่าจขกทอย่าเพ้อเจ้อเลยครับ

ฝึกจิต เขียน:
“อานนท์ ตถาคตได้เคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือว่า สัตว์จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจไปทั้งสิ้น สัตว์จะได้ตามปรารถนาในสังขารนี้แต่ที่ไหนเล่า การที่จะขอให้สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว ที่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว และที่จะต้องมีการแตกดับเป็นธรรมดาว่าอย่าฉิบหายเลย ดังนี้ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะมีได้ เป็นได้ การปรินิพพานของเราตถาคตจักมีในกาลไม่นานเลย ถัดจากนี้ไปอีก ๓ เดือน

ประโยคนี้พระพุทธองค์ทรงบอกแก่พระอานนท์ว่า
"สัตว์ทั้งหลายจะต้องพลักพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น"

ความพลัดพรากก็คือสังขารของคนที่ยังมีชีวิตที่มีต่อผู้ที่ตายจาก
ความเศร้าจากความพลัดพรากเกิดกับคนที่ยังมีชีวิต


"สัตว์จะได้ตามปรารถนาในสังขารนี้แต่ที่ไหนเล่า การที่จะขอให้สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว
ที่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว และที่จะต้องมีการแตกดับเป็นธรรมดาว่าอย่าฉิบหายเลย
ดังนี้ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะมีได้ เป็นได้ "

ประโยคนี้พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ความรักของพระอานนท์และเหล่าสาวก
ที่มีต่อพระพุทธเจ้า
เป็นแค่การปรุงแต่ง มันเกิดแล้วก็ดับ ดังนั้นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระอานนท์และเหล่าสาวก เป็นแค่เรื่อง
การปรุงแต่งของสังขารเกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด มันไม่ได้เกี่ยวกับความตายเลย


ฝึกจิต เขียน:
ถัดจากนี้ไปอีก ๓ เดือน ทั้งที่เป็นพาลและบัณฑิต ทั้งที่มั่งมีและยากจน ล้วนแต่มีความตายเป็นเบื้องหน้า เปรียบเหมือนภาชนะ ดินที่ช่างหม้อได้ปั้นแล้ว ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่สุกและที่ยังดิบ ล้วนแต่มีการแตกทำลายไปในที่สุดฉันใด ชีวิตแห่งสัตว์ทั้งหลายก็ล้วนแต่มีความตายเป็นเบื้องหน้าฉันนั้น วัยของเราแก่หง่อมแล้วชีวิตของเราริบหรี่แล้วเราจักต้องละพวกเธอไป


ลองพิจารณาดูที่คอมเม้นไว้ คนที่กำลังจะตาย กับคนที่เป็นปกติ
ลองเอาสมองเอาปัญญานิดเดียวคิดซิว่า ลูกหลานบริวาลกำลังเศร้าโศรกเสียใจ
กับบุพการีที่กำลังจะตายจาก ถามหน่อยลูกหลานเศร้าโศรกเรื่องอะไรอยู่ครับ
เศร้าเพราะกลัวตายเหมือนบุพการีหรือครับ พุทโธ๋! เขาเศร้าเพราะบุพการีกำลังจะจากไป
ไม่ใช่ตัวเองกำลังจะจากไป แบบนี้เขาเรียกว่า ความพลัดพรากของผู้ที่ยังอยู่ เข้าใจมั้ย

สรุปเลยว่า พระพุทธองค์บอกว่า อย่างไรแล้วก็ต้องพลัดพราก
ไม่พบวันนี้ก็ต้องพบวันหน้า เพราะมีเงื่อนไขที่หลีกไม่ได้คือความตาย
พระองค์เอาความตายซึ่งเป็นสิ่งที่เที่ยง มาดับความกลัวความพลัดพรากที่เป็นสิ่งไม่เที่ยง


ปล. ผมว่าผมต้องเหนื่อยฟรีแน่ๆ รับรองได้ว่าจขกทไม่รู้เรื่อง
คนยังมีวิจิกิจฉา มันก็เละแบบนี้แหล่ะ ตัวกิเลสเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้
เอาคำสอนของพระสงฆ์มาแย้งพุทธพจน์เฉยเลย



กระผมเอามาจากหนังสือในเวป ท่านคงต้องทำหนังสือประทวงทางผู้จัดทำแล้วละครับ ผมเอามาให้อ่านเฉยๆ อิอิ
:b12:

ไอ้อาการแบบจขกท เขาเรียกหัวฝัดหัวเหวี้ยงครับ คือโกรธอีกฝ่ายไม่รู้จะทำอย่างไร
เห็นอะไรใกล้มือก็เอาขว้างใส่เขา ขว้างก็ไม่โดน พอเขาเอาของที่ตัวเองขว้างไป
โยนกลับมาโดนหัวตัวเอง ก็ร้องเอะอะโวยวาย บอกว่าของที่ตัวเองใช้ขว้างไม่ใช่ของตัว
จะเอาเรื่องต้องไปเอาที่คนเป็นเจ้าของๆที่ตัวขว้าง

อีกหน่อยไปโขมยมีดชาวบ้านมาแทงคนอื่น คงบอกว่าไม่ใช่มีดตัวเอง
เจ้าเอาเรื่องที่โดนแทง ก็ให้ไปเอาเรื่องเจ้าของมีด
เห็นจขกทพูดจาแต่ละเรื่อง ไม่ค่อยมีสติสตังกับเขาเลย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 06:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b9: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2012, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอคุยเรื่องนี้ต่ออีกนิดน่ะค่ะ เป็นไปได้มั๊ย!ค่ะ คนเราบางคนยังไม่ตาย แต่วิญญานไปรออยู่นรกแล้ว
คือไม่ได้เจ็บป่วยอะไรน่ะ
เพียงแต่ว่าตอนนี้จิตวิญญานของเค้าไปอยู่ที่นรกแล้ว :b8: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2012, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
ขอคุยเรื่องนี้ต่ออีกนิดน่ะค่ะ เป็นไปได้มั๊ย!ค่ะ คนเราบางคนยังไม่ตาย แต่วิญญานไปรออยู่นรกแล้ว
คือไม่ได้เจ็บป่วยอะไรน่ะ
เพียงแต่ว่าตอนนี้จิตวิญญานของเค้าไปอยู่ที่นรกแล้ว :b8: :b41: :b55: :b49:

เรื่องแบบนี้มันเป็น อจิณไตยรู้ได้เฉพาะตนน่ะพี่เต้ แต่ถ้าให้คุนน้องตอบตามความเป็นจริง ก็คือ อาการของจิตที่เคยทำอกุศลกรรมไว้มากมาย จนทำให้เค้าเหมือนตกนรกในสิ่งที่เค้าทำ อย่างเช่น สมมติ ผู้ร้ายฆ่าคนตาย เค้าก็จะกลัวกับสิ่งที่เค้าเคยกระทำ กลัวหวาดระแวงว่าคนอื่นจะตามมาฆ่า เป็นโรคประสาทหลอนเห็นคนตาย อะไรทำนองนี้เจ้าค่ะ ลักษณะแบบนี้ก็เหมือนคนที่วิญญาณตกนรกเช่นกันเจ้าค่ะ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 04:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
bbby เขียน:
ขอคุยเรื่องนี้ต่ออีกนิดน่ะค่ะ เป็นไปได้มั๊ย!ค่ะ คนเราบางคนยังไม่ตาย แต่วิญญานไปรออยู่นรกแล้ว
คือไม่ได้เจ็บป่วยอะไรน่ะ
เพียงแต่ว่าตอนนี้จิตวิญญานของเค้าไปอยู่ที่นรกแล้ว :b8: :b41: :b55: :b49:

เรื่องแบบนี้มันเป็น อจิณไตยรู้ได้เฉพาะตนน่ะพี่เต้ แต่ถ้าให้คุนน้องตอบตามความเป็นจริง ก็คือ อาการของจิตที่เคยทำอกุศลกรรมไว้มากมาย จนทำให้เค้าเหมือนตกนรกในสิ่งที่เค้าทำ อย่างเช่น สมมติ ผู้ร้ายฆ่าคนตาย เค้าก็จะกลัวกับสิ่งที่เค้าเคยกระทำ กลัวหวาดระแวงว่าคนอื่นจะตามมาฆ่า เป็นโรคประสาทหลอนเห็นคนตาย อะไรทำนองนี้เจ้าค่ะ ลักษณะแบบนี้ก็เหมือนคนที่วิญญาณตกนรกเช่นกันเจ้าค่ะ :b1:

น้องลิงจ๋อ อจินไตยอะไรกันจ๊ะ สงสัยสองคนนี้เป็นแฟนคลับอีตากมล(ป๋อง)
หามันอยู่นั้นแหล่ะผี พี่ว่าตามหาจิตตัวเองให้เจอดีกว่า
แล้วไอ้ทีน้องพูดน่ะเขาเรียกว่า การปรุงแต่งมันเกิดที่สมองความคิด
อาการของจิตมันเป็นสภาวะเป็นผลที่เกิดจากสัญญา เข้าใจมั้ย

อีกอย่างเรื่องผีเรื่องสาง อย่าเอามาคุยในห้องนี้
จะคุยไปคุยห้องกฎแห่งกรรมโน้น สติแยกแยะยังไม่มีแล้วจะคุยธรรมรู้เรื่องหรือ


ดักทางไว้ก่อน ไม่ต้องแก้ตัวว่าไม่ได้คุยเรื่องผี วิญญาณที่พูดถึงนั้นแหล่ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 06:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
nongkong เขียน:
bbby เขียน:
ขอคุยเรื่องนี้ต่ออีกนิดน่ะค่ะ เป็นไปได้มั๊ย!ค่ะ คนเราบางคนยังไม่ตาย แต่วิญญานไปรออยู่นรกแล้ว
คือไม่ได้เจ็บป่วยอะไรน่ะ
เพียงแต่ว่าตอนนี้จิตวิญญานของเค้าไปอยู่ที่นรกแล้ว :b8: :b41: :b55: :b49:

เรื่องแบบนี้มันเป็น อจิณไตยรู้ได้เฉพาะตนน่ะพี่เต้ แต่ถ้าให้คุนน้องตอบตามความเป็นจริง ก็คือ อาการของจิตที่เคยทำอกุศลกรรมไว้มากมาย จนทำให้เค้าเหมือนตกนรกในสิ่งที่เค้าทำ อย่างเช่น สมมติ ผู้ร้ายฆ่าคนตาย เค้าก็จะกลัวกับสิ่งที่เค้าเคยกระทำ กลัวหวาดระแวงว่าคนอื่นจะตามมาฆ่า เป็นโรคประสาทหลอนเห็นคนตาย อะไรทำนองนี้เจ้าค่ะ ลักษณะแบบนี้ก็เหมือนคนที่วิญญาณตกนรกเช่นกันเจ้าค่ะ :b1:

น้องลิงจ๋อ อจินไตยอะไรกันจ๊ะ สงสัยสองคนนี้เป็นแฟนคลับอีตากมล(ป๋อง)
หามันอยู่นั้นแหล่ะผี พี่ว่าตามหาจิตตัวเองให้เจอดีกว่า
แล้วไอ้ทีน้องพูดน่ะเขาเรียกว่า การปรุงแต่งมันเกิดที่สมองความคิด
อาการของจิตมันเป็นสภาวะเป็นผลที่เกิดจากสัญญา เข้าใจมั้ย

อีกอย่างเรื่องผีเรื่องสาง อย่าเอามาคุยในห้องนี้
จะคุยไปคุยห้องกฎแห่งกรรมโน้น สติแยกแยะยังไม่มีแล้วจะคุยธรรมรู้เรื่องหรือ


ดักทางไว้ก่อน ไม่ต้องแก้ตัวว่าไม่ได้คุยเรื่องผี วิญญาณที่พูดถึงนั้นแหล่ะ :b32:

วิญญาณอะไรกันหละ แค่ตกจิต(วิญญาณ)ไปคำเดียวเอง :b32:
ประเด็นของธรรมนี้คือ จิตวิญญาณที่เหมือนตกนรก
แล้วคุนน้องก็อธิบายไปว่า อาการของจิตที่เคยทำอกุศลกรรมไว้(มันก็คือสัญญาของจิตที่เป็นอกุศล)
แต่พี่โฮบอกว่า อาการของจิตมันเป็นสภาวะเป็นผลมาจากสัญญา เข้าใจมั้ย
ขอตอบเลย ไม่เข้าใจ :b32: พี่พูดเรื่องสภาวะที่เป็นผลจากสัญญาผิดที่ผิดทาง เพราะ สัยญา คือความจำเป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล แล้วพี่มาพูดว่าเป็นอาการของจิตที่เกิดจากสภาวะสัญญา มันไม่ถูกต้องตามธรรมนะ จิตวิญญาณที่เหมือนตกนรกอ่ะ มันคืออาการของจิตที่เป็นอกุศลไปดึงเอาสัญญานั้นมาปรุงแต่งทำให้เกิดสภาวะ ฟุ้งซ่านและจินตนาการไปต่างๆนาๆ มันไม่ใช่อาการปรุงแต่งของสมอง เพราะความกลัวไม่ได้ปรุงแต่งจากสมองนะเจ้าค่ะ อย่างคนกลัวผี เขาก็ไม่ได้ปรุงแต่งจากสมอง เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผีมันหน้าตาเป็นไง แต่มันเป็นอาการของจิต เหมือนโดนปลุกฝังลงไปแล้วว่า ผีน่ากลัว ผีคือคนที่ตายไปแล้ว ทั้งที่ตามความเป็นจริงเราก็ไม่เคยรู้ แต่ฟังๆตามกันมา แล้วอาการกลัวมันเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าไม่ใช่สัญญา ส่วนการปรุงแต่งของสมองคือการได้รับผัสสะ ทางอาตนะ 6 แล้วปรุงแต่งต่อไปอีก เช่น เราสั่งอาหารเช่นข้าวผัด แต่พอไปเห็นกับข้าวในจานเพื่อนเป็นราดหน้าทะเล เกิดอยากกินของเพื่อนขึ้นมา ดันไม่อยากกินของตัวเอง นี่คือการปรุงแต่งของสมอง หรือการปรุงแต่งของขันธ์5 :b16: :b43: :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ประเด็นของธรรมนี้คือ จิตวิญญาณที่เหมือนตกนรก:

เริ่มโหมโรงออกแขกมันก็ผิดแล้ว จิตวิญญาณมันมีด้วยหรือ
คนเราพอตายลง มันก็เป็นสังขาร ไอ้ตัวสังขารนี่แหล่ะ ที่ตอนยังมีชีวิต
เราไปปรุงแต่งทั้งดีทั้งชั่วกุศล อกุศล จนยึดไว้เพราะมีตัวสังโยชน์คอยบงการ
พอตายสิ่งที่ยึดไว้ทั้งหลายก็แปลเปลี่ยนเป็นสังขาร เคยคิดดีปรุงแต่งดีมันก็เป็นสวรรค์
คิดชั่วปรุงแต่งชั่วมันก็เป็นนรก

สังขารจะเรียกจิตแทนก็ได้ แต่ไม่สามารถเรียกจิตวิญาณได้เพราะ
เมื่อสังขารเปลี่ยนเป็นวิญญาณจะเกิดการปฏิสนธิ์ขึ้น เป็นรูปนาม
หรือพูดง่ายๆว่า มาเกิดเป็นคนอีกแล้ว
nongkong เขียน:
แล้วคุนน้องก็อธิบายไปว่า อาการของจิตที่เคยทำอกุศลกรรมไว้(มันก็คือสัญญาของจิตที่เป็นอกุศล)
แต่พี่โฮบอกว่า อาการของจิตมันเป็นสภาวะเป็นผลมาจากสัญญา เข้าใจมั้ย
ขอตอบเลย ไม่เข้าใจ

อาการของจิต มันเป็นผลของสัญญา มันเป็นกระบวนการขันธ์
เกิดตามเหตุปัจจัยหลีกเลี่ยงไม่ได้

อาการของจิตไม่มีเรื่องราวอะไรแบบที่น้องลิงจ๋อพูด
อาการของจิตได้แค่ โกรธ ชอบ หรือหยุด(สติ) ฯลฯ


ที่น้องลิงจ๋อเห็นเป็นเรื่องราวก็เพราะ เมื่อเกิดอาการของจิตขึ้นแล้ว สมองจะ
เริ่มยึดเอาอาการของจิต ไปคิดหรือเรียกว่าปรุงแต่งต่อให้เป็นเรื่องแล้วแต่กิเลสจะพาไป
(กิเลสที่ว่าคือ สังโยชน์)
nongkong เขียน:
พี่พูดเรื่องสภาวะที่เป็นผลจากสัญญาผิดที่ผิดทาง เพราะ สัยญา คือความจำเป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล แล้วพี่มาพูดว่าเป็นอาการของจิตที่เกิดจากสภาวะสัญญา มันไม่ถูกต้องตามธรรมนะ :

มันจะไม่ถูกอย่างไร มันแน่ยิ่งกว่า1+1เป็น2เสียอีก มันเป็นกระบวนการขันธ์ห้า เกิดดับเรียงกัน
ตามเหตุปัจจัย ที่น้องลิงจ๋อสับสนก็เพราะไปเอาสมองมาปนกับกระบวนการขันธ์
ความดีความชั่ว นรกสวรรค์ เทวดานางฟ้า มันก็เกิดจากสมองไปปรุงแต่งจินตนาการ
nongkong เขียน:
จิตวิญญาณที่เหมือนตกนรกอ่ะ มันคืออาการของจิตที่เป็นอกุศลไปดึงเอาสัญญานั้นมาปรุงแต่งทำให้เกิดสภาวะ ฟุ้งซ่านและจินตนาการไปต่างๆนาๆ มันไม่ใช่อาการปรุงแต่งของสมอง

อาการของจิตจะไปดึงสัญญาได้ยังไง อาการของจิตจะเกิดก็ต่อเมื่อสัญญาดับไปแล้ว
แล้วที่บอกว่าสัญญาคือการจำได้หมายรู้น่ะ มันเป็นการจำได้หมายรู้ในตัวเวทนา

แล้วที่บอกว่าจิตอกุศลเพราะดึงสัญญามาปรุงแต่ง ก็ไม่ใช่ อาการของจิตที่เป็นอกุศล
มันเป็นไปตามธรรมชาติของขันธ์ที่ยังไม่รู้ในกระบวนการขันธ์ ต้นเหตุมาจากผัสสะที่มากระทบ
ลองดูถ้า เราไปโดนผัสสะแรงๆเช่นใครมาตบหัวกระบาลน้องลิงจ๋อ เวทนาก็จะเป็นไม่ชอบ
สัญญาจำเวทนาตัวไม่ชอบนี้ได้ ก็จะเกิดอาการของจิตเป็นโทสะ (ลืมบอกอาการของจิตเขาเรียกอีก
อย่างว่าสังขารขันธ์น่ะ)

แล้วที่ว่ารู้หมายถึงอะไร คือรู้การเกิดดับของขันธ์มันเป็นของมันอย่างนั้น อาการของจิตก็จะเป็นสติ
nongkong เขียน:
เพราะความกลัวไม่ได้ปรุงแต่งจากสมองนะเจ้าค่ะ อย่างคนกลัวผี เขาก็ไม่ได้ปรุงแต่งจากสมอง เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผีมันหน้าตาเป็นไง แต่มันเป็นอาการของจิต เหมือนโดนปลุกฝังลงไปแล้วว่า ผีน่ากลัว ผีคือคนที่ตายไปแล้ว ทั้งที่ตามความเป็นจริงเราก็ไม่เคยรู้ แต่ฟังๆตามกันมา

ความกลัวมันไม่มีก็ถูกแล้วไง ไอ้ความกลัวที่ว่าเป็นกิเลสที่เรียกว่า ความฟุ้งซ่าน

เมื่อเกิดกระบวนการขันธ์ขึ้น ถ้ากระบวนการขันธ์ถูกความฟุ้งซ่านครอบง้ำ
จะเกิดความคิดที่ปรุงแต่งเป็นความกลัว ความคิดนี้เขาเรียกว่า ผัสสะมันเกิดจาก
อายตนะภายในคือสมอง และอายตนะภายนอกคือธัมมารมณ์
nongkong เขียน:
แล้วอาการกลัวมันเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าไม่ใช่สัญญา ส่วนการปรุงแต่งของสมองคือการได้รับผัสสะ ทางอาตนะ 6 แล้วปรุงแต่งต่อไปอีก :

อาการกลัวมันไม่มี มันมีแต่อาการที่เรียกว่าโทสะ มันมีอาการที่ไม่ต้องการผัสสะนั้นๆ

แล้วไอ้การปรุงแต่งที่เกิดจากทวารทั้งห้า มันจะกลายเป็นผัสสะที่เรียกว่า ความคิด
ความคิดเป็นผัสสะอันเกิดจากสมองและธัมมารมณ์ดังที่บอกมาแล้ว
nongkong เขียน:
เช่น เราสั่งอาหารเช่นข้าวผัด แต่พอไปเห็นกับข้าวในจานเพื่อนเป็นราดหน้าทะเล เกิดอยากกินของเพื่อนขึ้นมา ดันไม่อยากกินของตัวเอง นี่คือการปรุงแต่งของสมอง หรือการปรุงแต่งของขันธ์5 :b16: :b43: :b22:

น้องลิงจ๋อพูดแบบนี้เพราะไม่เข้าใจเรื่อง ผัสสะและตัวกิเลส
ที่น้องเห็นราดหน้าทะเลของเพื่อนแล้วชอบ มันเป็นเพราะผัสสะมันเปลี่ยนแล้ว
และผัสสะตัวที่ว่าที่กิเลสตัวกามราคะบงการอยู่ กิเลสที่ว่าคือเห็นรูปแล้วก็เกิดกามราคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


มาเรียกเราว่าน้องลิงจ๋อ ชอบตั้งชื่อนั้นชื่อนี้ให้ เด๋วคุนน้องจะตั้งชื่อฉายาให้พี่โฮฮับใหม่ว่า พี่โฮ่งฮับ (น่ารักป่ะ) :b32:
สภาวะที่คุนน้องอธิบายไปอ่ะ คุนน้องตั้งใจจะอธิบายครอบคลุมไม่ต้องการยึดบัญญัติมาก พี่คงไม่รู้ว่าเวลาที่พี่อธิบายมันจะสอนได้บอกได้เฉพาะคนที่มีพื้นฐานทางภาคปฏิบัติธรรมมาก่อน แต่พี่ไปสอนเด็กป.6ไปจนถึง ระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้หรอก ถ้าคนเหล่านั้นไม่มีความเข้าใจบัญญัติ แล้วพี่โฮ่งฮับก็เอา สภาวะของคุนน้องมะคลุกเคล้ามั่วไปหมดเลย จากจะเน้นแค่สภาวะตามความเป็นจริงก็มีบัญญัติทางสภาวะธรรมมาแซม แล้วต้องอธิบายความกันต่อไปให้ยืดยาวอีกแล้วที่พี่บอก
อ้างคำพูด:
น้องลิงจ๋อพูดแบบนี้เพราะไม่เข้าใจเรื่อง ผัสสะและตัวกิเลส
ที่น้องเห็นราดหน้าทะเลของเพื่อนแล้วชอบ มันเป็นเพราะผัสสะมันเปลี่ยนแล้ว
และผัสสะตัวที่ว่าที่กิเลสตัวกามราคะบงการอยู่ กิเลสที่ว่าคือเห็นรูปแล้วก็เกิดกามราคะ

ตามสภาวะความเป็นจริงมันก็คือ เมื่อตาเห็นรูป จมุกได้กลิ่น ก็เกิดอุปทานธ์รูปและกลิ่น จนไปยึดเอาตันหาคือเจ้ากิเลศ กลายเป็นความอยากขึ้นมาแล้ว สมองของเรานั่นแหละที่ปรุงแต่ง(พี่ศึกษาแต่ธรรมมะแล้วไม่ศึกษาร่างกายของมนุษย์ด้วยหรอ) แล้วมาบอกคุนน้องไม่เข้าใจเรื่องผัสสะและตัวกิเลส สงสัยจะเข้าใจผิดแล้วนะจ้ะพี่โฮ่งฮับ :b32: :b4:
ปล.อุปมาก็เหมือน คนนึงทำกล้วยปิ้ง แต่อีกคนไม่ชอบกล้วยปิ้ง แล้วเอากล้วยปิ้งมาทับให้มันแบนหลังจากนั้นก็ราดน้ำเชื่อมต่อซะ ขั้นตอนเยอะเนอะ แล้วจะรู้ม่ะว่าที่กินมันก็กล้วยปิ้งละว้า :b22:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
ขอคุยเรื่องนี้ต่ออีกนิดน่ะค่ะ เป็นไปได้มั๊ย!ค่ะ คนเราบางคนยังไม่ตาย แต่วิญญานไปรออยู่นรกแล้ว
คือไม่ได้เจ็บป่วยอะไรน่ะ
เพียงแต่ว่าตอนนี้จิตวิญญานของเค้าไปอยู่ที่นรกแล้ว :b8: :b41: :b55: :b49:


ไม่รู้เหมือนกันครับ ถ้าพิจารณาขันธ์5 คิดว่า หากรูปยังเจริญอยู่เพราะอาหาร นามก็ไม่น่าจะแยกออกจากร่างได้(เพราะความเป็นอนัตตา) ยิ่งวิญญาณเป็นจิตด้วย แต่ถ้าพิจารณาตามปฏิจจสมุปบาท ภพได้ไปจ่อที่นรกแล้ว

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
มาเรียกเราว่าน้องลิงจ๋อ ชอบตั้งชื่อนั้นชื่อนี้ให้ เด๋วคุนน้องจะตั้งชื่อฉายาให้พี่โฮฮับใหม่ว่า พี่โฮ่งฮับ (น่ารักป่ะ) :b32:

เอาเลยจ๊ะ จะโฮ่งฮับ โฮ่งแฮ่ยังไงก็ได้ หรือจะเป็นกระบือโฮ ควายฮับก็ไม่รังเกียจ
แต่โฮ่งฮับนี่มันเก่าแล้วน่า เคยได้ยินบ่อยๆ

ไม่ชอบให้เรียกลิงจ๋อ เรียกแม่บาบูนก้นแดงก็ได้ :b32:
nongkong เขียน:

สภาวะที่คุนน้องอธิบายไปอ่ะ คุนน้องตั้งใจจะอธิบายครอบคลุมไม่ต้องการยึดบัญญัติมาก พี่คงไม่รู้ว่าเวลาที่พี่อธิบายมันจะสอนได้บอกได้เฉพาะคนที่มีพื้นฐานทางภาคปฏิบัติธรรมมาก่อน แต่พี่ไปสอนเด็กป.6ไปจนถึง ระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้หรอก ถ้าคนเหล่านั้นไม่มีความเข้าใจบัญญัติ แล้วพี่โฮ่งฮับก็เอา สภาวะของคุนน้องมะคลุกเคล้ามั่วไปหมดเลย จากจะเน้นแค่สภาวะตามความเป็นจริงก็มีบัญญัติทางสภาวะธรรมมาแซม แล้วต้องอธิบายความกันต่อไปให้ยืดยาวอีกแล้วที่พี่บอก

อิหล้านี่อยากสิเว้า เว้าก็บ่เถือก! ที่พี่โฮพูดนะมันเป็นอภิธรรม เพียงแต่น้องหล้าไม่เข้าใจ
สภาวะปรมัตถ์ก็เลยโมเมโยนกลองไปว่า พี่พูดบัญญัติ พอฟังคำที่น้องหล้าอ้างแล้ว
มันก็เลยบ่งบอกว่า น้องหล้าไม่รู้เรื่องทั้งบัญญัติและปรมัตถ์

แล้วที่บอกครอบคลุมนั้นน่ะ แบบนี้เมื่อไรจะเห็นไตรลักษณ์
เนี่ยถ้าคุณโสกะแกมาเห็นเข้า แกรู้เลยว่าน้องไปโกหกเขาว่าได้โสดาบันแล้ว

เรารึอุตสาห์แยกสภาวะให้ ดันมาหาว่าเราเอาสภาวะหล่อนมามั่ว
สภาวะของน้องหล้าที่พูดมา มันเป็นสภาวะของคนเมากระแช่ค้างปียังไงยังงั้น
nongkong เขียน:

อ้างคำพูด:
น้องลิงจ๋อพูดแบบนี้เพราะไม่เข้าใจเรื่อง ผัสสะและตัวกิเลส
ที่น้องเห็นราดหน้าทะเลของเพื่อนแล้วชอบ มันเป็นเพราะผัสสะมันเปลี่ยนแล้ว
และผัสสะตัวที่ว่าที่กิเลสตัวกามราคะบงการอยู่ กิเลสที่ว่าคือเห็นรูปแล้วก็เกิดกามราคะ

ตามสภาวะความเป็นจริงมันก็คือ เมื่อตาเห็นรูป จมุกได้กลิ่น ก็เกิดอุปทานธ์รูปและกลิ่น จนไปยึดเอาตันหาคือเจ้ากิเลศ กลายเป็นความอยากขึ้นมาแล้ว สมองของเรานั่นแหละที่ปรุงแต่ง(พี่ศึกษาแต่ธรรมมะแล้วไม่ศึกษาร่างกายของมนุษย์ด้วยหรอ) แล้วมาบอกคุนน้องไม่เข้าใจเรื่องผัสสะและตัวกิเลส สงสัยจะเข้าใจผิดแล้วนะจ้ะพี่โฮ่งฮับ :b32: :b4:
:

สงสัยแอบเอายาตั้งพ่อใหญ่ข้างบ้านมาถุนแน่ๆ พูดเหมือนคนมึนใบยาสูบ
ไอ้เรื่องผัสสะของน้องที่ไปเห็นข้าวผัดมันดับไปแล้ว ผัสสะใหม่ที่ไปเห็นราดหน้าเป็นผัสสะใหม่
มันเลยรุนแรงกว่าผัสสะเก่า เพราะของเก่ามันดับไป

พี่โฮเริ่มเวียนหัวกับน้องแล้วน่ะ ไอ้ที่บอกว่าสมองปรุงแต่งมันเป็นคำพูดของพี่ไม่ใช่หรือ

nongkong เขียน:
ปล.อุปมาก็เหมือน คนนึงทำกล้วยปิ้ง แต่อีกคนไม่ชอบกล้วยปิ้ง แล้วเอากล้วยปิ้งมาทับให้มันแบนหลังจากนั้นก็ราดน้ำเชื่อมต่อซะ ขั้นตอนเยอะเนอะ แล้วจะรู้ม่ะว่าที่กินมันก็กล้วยปิ้งละว้า :b22: :

น้องลิงจ๋อ จะสื่ออะไรจ๊ะ หรือแค่จะบอกว่า อาหารโปรด
จะสื่ออะไรให้มันรู้เรื่องหน่อยซิ คนอื่นไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร
แต่ตัวเองเป็นคนสื่อ จะต้องรู้ด้วย เนี่ยสงสัยตัวเองก็ไม่รู้ว่าสื่ออะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 16:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
พี่โฮเริ่มเวียนหัวกับน้องแล้วน่ะ ไอ้ที่บอกว่าสมองปรุงแต่งมันเป็นคำพูดของพี่ไม่ใช่หรือ

สงสัยพี่โฮจะเวียนหัวกลิ่นน้ำหอมสาวๆในที่ทำงานน่ะจ้ะ :b23: เลยโมเมว่าสมองปรุงแต่งเป็นคำพูดของตัวเอง :b32:
อ่านใหม่นะ สภาวะที่น้องอธิบาย
nongkong เขียน:
การปรุงแต่งของสมองคือการได้รับผัสสะ ทางอาตนะ 6 แล้วปรุงแต่งต่อไปอีก เช่น เราสั่งอาหารเช่นข้าวผัด แต่พอไปเห็นกับข้าวในจานเพื่อนเป็นราดหน้าทะเล เกิดอยากกินของเพื่อนขึ้นมา ดันไม่อยากกินของตัวเอง นี่คือการปรุงแต่งของสมอง หรือการปรุงแต่งของขันธ์5
จิตมันเกิดดับตั้งแต่ผัสสะตัวใหม่มากระทบแล้ว แต่คุนน้องไม่อยากอธิบายให้ซับซ้อน มันก็เหมือนกล้วยปิ้ง เอามาทับให้แบนแล้วราดน้ำเชื่อม สภาวะที่คุนน้องอธิบายก็น่าจะเข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องตามระลึกรู้ว่าจิตเกิดดับหรอก แค่สติมาทันผัสสะนั้นๆก็เพียงพอแล้ว


อ้างคำพูด:
อุปมาก็เหมือน คนนึงทำกล้วยปิ้ง แต่อีกคนไม่ชอบกล้วยปิ้ง แล้วเอากล้วยปิ้งมาทับให้มันแบนหลังจากนั้นก็ราดน้ำเชื่อมต่อซะ ขั้นตอนเยอะเนอะ แล้วจะรู้ม่ะว่าที่กินมันก็กล้วยปิ้งละว้า :

น้องลิงจ๋อ จะสื่ออะไรจ๊ะ หรือแค่จะบอกว่า อาหารโปรด
จะสื่ออะไรให้มันรู้เรื่องหน่อยซิ คนอื่นไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร
แต่ตัวเองเป็นคนสื่อ จะต้องรู้ด้วย เนี่ยสงสัยตัวเองก็ไม่รู้ว่าสื่ออะไร

น้องจะบอกว่า พี่เห็นการอธิบายความของน้องไม่ตรงกับบัญญัติ พี่ก็เลยเข้ามาพูด โดยยึดเอาบัญญัติ ทั้งที่สภาวะตามความเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นสภาวะที่คุนน้องพูดไป เพราะพี่เป็นคนที่ทำอะไรให้มันยุ่งยากเกินไป เข้าใจอะไรยากเกินไป ต้องตามที่ตนเข้าใจเปะๆ มันก็เลยเป็นจั่งซี้เด้อ :b28:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2012, 04:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
จิตมันเกิดดับตั้งแต่ผัสสะตัวใหม่มากระทบแล้ว แต่คุนน้องไม่อยากอธิบายให้ซับซ้อน มันก็เหมือนกล้วยปิ้ง เอามาทับให้แบนแล้วราดน้ำเชื่อม สภาวะที่คุนน้องอธิบายก็น่าจะเข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องตามระลึกรู้ว่าจิตเกิดดับหรอก แค่สติมาทันผัสสะนั้นๆก็เพียงพอแล้ว:


มันคนละเรื่อง ถ้าเอากล้วยปิ้งที่น้องว่า มาเปรียบกับผัสสะ ไอ้กล้วยปิ้งที่น้องว่ามันก็คือ
ผลที่มาจากเหตุปัจจัยอันเดียวกัน พูดให้เข้าใจก็คือ ไอ้กล้วยราดน้ำเชื่อมมันก็มาจากกล้วยปิ้ง
กล้วยราดน้ำเชื่อมเป็นการปรุงแต่ง กล้วยปิ้งเป็นผัสสะ มันเป็นกระบวนการขันธ์ดัวเดียวกัน

แนะนำ ถ้าจะยกตัวอย่าง น้องต้องกำหนดให้เนื้อเรื่องในตัวอย่าง
ให้มันอยู่ในประเด็นเดียวกัน ไม่ใช่กำหนดเนื้อเรื่องเป็นแนวจินตนาการแบบนี้
คนฟังต่อให้เป็นผู้รู้ ก็ไม่รู้เรื่องที่น้องต้องการสื่อ มันยุ่งเหยิงยังไงไม่รู้
nongkong เขียน:
น้องจะบอกว่า พี่เห็นการอธิบายความของน้องไม่ตรงกับบัญญัติ พี่ก็เลยเข้ามาพูด โดยยึดเอาบัญญัติ ทั้งที่สภาวะตามความเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นสภาวะที่คุนน้องพูดไป เพราะพี่เป็นคนที่ทำอะไรให้มันยุ่งยากเกินไป เข้าใจอะไรยากเกินไป ต้องตามที่ตนเข้าใจเปะๆ มันก็เลยเป็นจั่งซี้เด้อ :b28:

น้องลองคิดมุมกลับ ที่ว่าพี่ทำอะไรให้มันยุ่งยาก แล้วให้พี่ทำอะไรง่ายๆแบบน้อง
ให้เข้าใจสภาวะตามความเป็น ไอ้สภาวะตามเป็นจริงที่น้องพูดน่ะใช่
แล้วมันก็มีอยู่จริง เขาเรียกว่า"หลง" หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า จินตนาการเขียนเอา เข้าใจมั้ย :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร