วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 05:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 17  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 13:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ไม่มีเรา


ขอบพระคุณคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 13:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


world2/2554 เขียน:
สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
ขอสอบถามผู้รู้คะ

เนื่องจากดิฉันไม่ทราบจึงมาขอสอบถามผู้รู้ในที่นี้ ดิฉันขอแจ้งให้ทราบก่อนว่า ดิฉันไม่เก่งในการที่จะบรรยายหรือชี้แจง ถ้าผู้รู้ท่านใดอ่านแล้วรู้สึกว่า ดิฉันมาถามเพื่อลองของ ดิฉันกราบขอขมาล่วงหน้านะคะ :b8:

ปัญหามีอยู่ว่า...

เมื่อเราพิจารณาขันธ์ห้า ด้วย กาย เวทนา จิต ธรรม ตอนแรกเมื่อพิจารณา เมื่อเราดูขันธ์ห้า เมื่อขันธ์ห้ารู้สึกหรือแสดงอาการอย่างไร เราจะรู้สึกไปด้วย...เมื่อปฎิบัติไปเรื่อยๆแล้วจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ห้าแสดงอาการอย่างไร หรือเสวยอารมณ์แสดงออกอย่างไร จิตร้อนไปด้วย (เราไม่รู้สึกไปด้วยแล้ว เราเป็เพียงผู้ดู ดูและเห็นว่า เมื่อขันธ์เร่าร้อน จิตก็เร่าร้อนไปด้วย)....เมื่อปฎิบัติต่อไปอีก..จะเห็นว่า เมื่อขันธ์แสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่รู้สึกอะไร จิตจะลอยเป็นอิสระเหนือขันธ์ห้า...

เช่นว่า

เมื่อขันธ์ทุกข์ แรกๆ เราก็จะทุกข์ไปกับขันธ์ด้วย...เมื่อปฎิบัติต่อไปอีกจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ทุกข์ เราจะรู้สึกว่า จิตเร้าร้อนไปกับขันธ์(เราเป็นคนยืนมอง ขันธ์ทุกข์และจิตเร่าร้อน)..เมื่อปฎิบัติคือดูขันธ์และจิตไปเรื่อยๆจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ทุกข์จิตจะไม่ทุกข์ตามขันธ์ ไม่ว่าจะมีเวทนาเกิดขึ้นกับขันธ์อย่างไร จิตจะไม่ผูกไปกับขันธ์ที่แสดงออก(ดิฉันพยายามอธิบายได้แค่นี้นะคะ)


ดิฉันอยากถามว่า

1. จิต(ที่เป็นสีแดง)นั้นเป็นอนัตตาหรือเปล่าคะ?

2. จิต(ที่เป็นสีแดง)เป็นธรรมชาติ เป็นอณูเล็กๆในธรรมชาติหรือเปล่าคะ?

(ดิฉันไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ดิฉันเห็นในจิตตอนนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่...เนื่องจากสิ่งที่ดิฉันรู้(แนวคำสอน) ดิฉันรู้สิ้นสุดที่ว่า ดูขันธ์ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง แต่ส่วนที่เป็นจิตนั้น ดิฉันไม่มีความรู้เลยคะ และไม่ทราบว่าต้องไปอ่านคำสอนเพื่อหาความรู้จากครูบาอาจารย์ท่านใด หรือหนังสือเล่มไหน)

ดิฉันเลยมาขอถามผู้รู้ในนี้คะ เพื่อชี้ทางกระจ่างให้แก่ดิฉันด้วย กราบขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b8:

ต้องบอกคำเดียวว่า หากปฏิบัติมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว หายากนะ ทำได้ไม่ง่ายนะที่จะได้จะถึงภาวะธรรมอย่างนี้ เป็นอิสระนะ อิสระจากธรรมที่เกิดขึ้นดับลง มีแล้วไม่มี มีพลังใจที่เอิบอิ่ม กล้าหาญต่อธรรมทั้งหลายเลยทีเดียว จะอยู่ ณ ที่ใด ขึ้นเขาลงห้วย ขึ้นรถลงเรือ แม้กลางคืนกลางแจ้ง ไม่หวั่นเลยนะจิตใจลักษณะนี้ แล้วยังมีความเพียรน้อมนำจิตให้มาดูมาพิจารณาที่กายอีก นี่ท่านเรียกว่า กายคตาสติเลยล่ะ


ขอบคุณนะคะ :b8: ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูดนัก ดิฉันรู้แต่ว่า ทำไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง..ดูไปเรื่อยๆ ไม่เข้าใจไม่รู้ก็สอบถามผู้รู้อย่างเช่นพวกท่านๆเอา..จึงเป็นเหตุทำให้มาพิมพ์กระทู้ถามคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 13:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


world2/2554 เขียน:
เพราะส่วนมากแล้วเมื่อจิตพิจารณารู้ทันต่อขันธ์ทั้งหลายแล้ว จิตใจก็จะพอใจ ดูพิจารณาอยู่กับสังขารจิตนั้น ไม่เพียรที่จะพิจารณากายอันเป็นกรรมฐานที่จะทำให้รู้แจ้งจริงถึงธาตุขันธ์ แต่ท่านนี้พิจารณากายเป็นส่วนมาก ก็อนุโมทนาด้วยครับ ถามว่า จิต (สีแดง) เป็นอนัตตาไหม ก็ต้องตอบว่า เป็นอนัตตา คำว่า อนัตตา กับสักกายทิฏฐินี่ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน เพราะมีความหมายใกล้เคียงกันแต่ใช้ต่างกัน อนัตตานี่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่ว่ามีปรากฏโดยความเป็นภาวะอย่างนั้น จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะถ้าไม่มีก็ไม่ต่างอะไรกับสุญญากาศ ส่วนคำว่า สักกายทิฏฐิ ก็มีความหมาย ไปในทางให้ถอดถอนความยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตน เพราะฉะนั้น จิต ก้ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ว่า ปรากฏมีอยู่... จิต (สีแดง) เท่าที่ทราบมาคือไปรู้มาอีทีหนึ่งจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกว่า เป็นจิตที่มีความสุขมาก สุขเพราะอามิสหรืออะไรก็ไม่ทราบ ....จิต (ธรรมชาติสีแดง) จะเป็นอณูหรือเรียกว่าอะไรก้แล้วแต่ ก็ขอสรุปว่า ปรากฏมีอยู่


ขอบคุณคะที่แนะนำ :b8:

ที่มาถามเพราะ เห็นจิตจากเดิมเราจะู้รู้สึกว่า เป็นดวง พอดูไปเรื่อยๆ กลับมองเห็นว่า ดวงที่เราเห็นนั้น ไม่ต่างอะไรกับอณูธรรมชาติเล็กๆ ที่มารวมตัวกันอยู่ ไม่ได้เกาะกลุ่มกันอยู่ แค่มาอยู่ไกล้ๆกัน ทุกอณูธรรมชาติ มีช่องว่างของอากาศ ไม่ไ่ด้ติดอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน

เห็นอย่างนี้...เลยไม่แน่ใจ เพราะดิฉันเป็นเพียงนักปฎิบัติที่ค่อยๆทำไป เมื่อไ่ม่ทราบไม่มั่นใจในสิ่งที่เห็นเลยมาถามผู้รู้ในนี้คะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 14:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
ขอสอบถามผู้รู้คะ

เนื่องจากดิฉันไม่ทราบจึงมาขอสอบถามผู้รู้ในที่นี้ ดิฉันขอแจ้งให้ทราบก่อนว่า ดิฉันไม่เก่งในการที่จะบรรยายหรือชี้แจง ถ้าผู้รู้ท่านใดอ่านแล้วรู้สึกว่า ดิฉันมาถามเพื่อลองของ ดิฉันกราบขอขมาล่วงหน้านะคะ :b8:

ปัญหามีอยู่ว่า...

เมื่อเราพิจารณาขันธ์ห้า ด้วย กาย เวทนา จิต ธรรม ตอนแรกเมื่อพิจารณา เมื่อเราดูขันธ์ห้า เมื่อขันธ์ห้ารู้สึกหรือแสดงอาการอย่างไร เราจะรู้สึกไปด้วย...เมื่อปฎิบัติไปเรื่อยๆแล้วจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ห้าแสดงอาการอย่างไร หรือเสวยอารมณ์แสดงออกอย่างไร จิตร้อนไปด้วย (เราไม่รู้สึกไปด้วยแล้ว เราเป็เพียงผู้ดู ดูและเห็นว่า เมื่อขันธ์เร่าร้อน จิตก็เร่าร้อนไปด้วย)....เมื่อปฎิบัติต่อไปอีก..จะเห็นว่า เมื่อขันธ์แสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่รู้สึกอะไร จิตจะลอยเป็นอิสระเหนือขันธ์ห้า...

เช่นว่า

เมื่อขันธ์ทุกข์ แรกๆ เราก็จะทุกข์ไปกับขันธ์ด้วย...เมื่อปฎิบัติต่อไปอีกจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ทุกข์ เราจะรู้สึกว่า จิตเร้าร้อนไปกับขันธ์(เราเป็นคนยืนมอง ขันธ์ทุกข์และจิตเร่าร้อน)..เมื่อปฎิบัติคือดูขันธ์และจิตไปเรื่อยๆจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ทุกข์จิตจะไม่ทุกข์ตามขันธ์ ไม่ว่าจะมีเวทนาเกิดขึ้นกับขันธ์อย่างไร จิตจะไม่ผูกไปกับขันธ์ที่แสดงออก(ดิฉันพยายามอธิบายได้แค่นี้นะคะ)


ดิฉันอยากถามว่า

1. จิต(ที่เป็นสีแดง)นั้นเป็นอนัตตาหรือเปล่าคะ?

2. จิต(ที่เป็นสีแดง)เป็นธรรมชาติ เป็นอณูเล็กๆในธรรมชาติหรือเปล่าคะ?

(ดิฉันไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ดิฉันเห็นในจิตตอนนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่...เนื่องจากสิ่งที่ดิฉันรู้(แนวคำสอน) ดิฉันรู้สิ้นสุดที่ว่า ดูขันธ์ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง แต่ส่วนที่เป็นจิตนั้น ดิฉันไม่มีความรู้เลยคะ และไม่ทราบว่าต้องไปอ่านคำสอนเพื่อหาความรู้จากครูบาอาจารย์ท่านใด หรือหนังสือเล่มไหน)

ดิฉันเลยมาขอถามผู้รู้ในนี้คะ เพื่อชี้ทางกระจ่างให้แก่ดิฉันด้วย กราบขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b8:


ถามตัวเอง ดูครับว่า
เราเป็นแบบที่กล่าวมาตลอดมั้ยครับ ที่ว่าจิตไม่ผูกพันธ์กับขันธ์5
เพราะถ้าจริง ท่านจะวาง สังโยชน์ ทั้งหมดได้ ยกเว้น อวิชชา เพราะท่านวาง อุปทานขันธ์5 ได้หมดแล้ว หรือ ใกล้อรหันต์แล้ว
ง่ายๆดูว่า เวลาเห็นของที่ชอบ แล้วยังอยากกินมั้ย ยังอยากดูหนังละคร ที่ชอบ มั้ย

หากยังมีอยู่ แสดงว่ายังไม่แจ้ง แค่เข้าไปแล้วออกมา

อย่าลืม เราที่แยกออกมานั้นแหละ อวิชชา ตัวแม่ ต้องดับตัวนี้ด้วย จนไม่มีเรา ไม่งั้น อวิชชา จะดึงให้มีเรา ดังนั้น สติสำคัญมาก

จากอรหมุนบุคคล ปุถุชนธรรมดา :b12:


ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและเตือนสติคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 14:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
ขอสอบถามผู้รู้คะ

เนื่องจากดิฉันไม่ทราบจึงมาขอสอบถามผู้รู้ในที่นี้ ดิฉันขอแจ้งให้ทราบก่อนว่า ดิฉันไม่เก่งในการที่จะบรรยายหรือชี้แจง ถ้าผู้รู้ท่านใดอ่านแล้วรู้สึกว่า ดิฉันมาถามเพื่อลองของ ดิฉันกราบขอขมาล่วงหน้านะคะ :b8:

ปัญหามีอยู่ว่า...

เมื่อเราพิจารณาขันธ์ห้า ด้วย กาย เวทนา จิต ธรรม ตอนแรกเมื่อพิจารณา เมื่อเราดูขันธ์ห้า เมื่อขันธ์ห้ารู้สึกหรือแสดงอาการอย่างไร เราจะรู้สึกไปด้วย...เมื่อปฎิบัติไปเรื่อยๆแล้วจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ห้าแสดงอาการอย่างไร หรือเสวยอารมณ์แสดงออกอย่างไร จิตร้อนไปด้วย (เราไม่รู้สึกไปด้วยแล้ว เราเป็เพียงผู้ดู ดูและเห็นว่า เมื่อขันธ์เร่าร้อน จิตก็เร่าร้อนไปด้วย)....เมื่อปฎิบัติต่อไปอีก..จะเห็นว่า เมื่อขันธ์แสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่รู้สึกอะไร จิตจะลอยเป็นอิสระเหนือขันธ์ห้า...

เช่นว่า

เมื่อขันธ์ทุกข์ แรกๆ เราก็จะทุกข์ไปกับขันธ์ด้วย...เมื่อปฎิบัติต่อไปอีกจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ทุกข์ เราจะรู้สึกว่า จิตเร้าร้อนไปกับขันธ์(เราเป็นคนยืนมอง ขันธ์ทุกข์และจิตเร่าร้อน)..เมื่อปฎิบัติคือดูขันธ์และจิตไปเรื่อยๆจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ทุกข์จิตจะไม่ทุกข์ตามขันธ์ ไม่ว่าจะมีเวทนาเกิดขึ้นกับขันธ์อย่างไร จิตจะไม่ผูกไปกับขันธ์ที่แสดงออก(ดิฉันพยายามอธิบายได้แค่นี้นะคะ)


ดิฉันอยากถามว่า

1. จิต(ที่เป็นสีแดง)นั้นเป็นอนัตตาหรือเปล่าคะ?

2. จิต(ที่เป็นสีแดง)เป็นธรรมชาติ เป็นอณูเล็กๆในธรรมชาติหรือเปล่าคะ?

(ดิฉันไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ดิฉันเห็นในจิตตอนนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่...เนื่องจากสิ่งที่ดิฉันรู้(แนวคำสอน) ดิฉันรู้สิ้นสุดที่ว่า ดูขันธ์ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง แต่ส่วนที่เป็นจิตนั้น ดิฉันไม่มีความรู้เลยคะ และไม่ทราบว่าต้องไปอ่านคำสอนเพื่อหาความรู้จากครูบาอาจารย์ท่านใด หรือหนังสือเล่มไหน)

ดิฉันเลยมาขอถามผู้รู้ในนี้คะ เพื่อชี้ทางกระจ่างให้แก่ดิฉันด้วย กราบขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b8:


ถามตัวเอง ดูครับว่า
เราเป็นแบบที่กล่าวมาตลอดมั้ยครับ ที่ว่าจิตไม่ผูกพันธ์กับขันธ์5
เพราะถ้าจริง ท่านจะวาง สังโยชน์ ทั้งหมดได้ ยกเว้น อวิชชา เพราะท่านวาง อุปทานขันธ์5 ได้หมดแล้ว หรือ ใกล้อรหันต์แล้ว
ง่ายๆดูว่า เวลาเห็นของที่ชอบ แล้วยังอยากกินมั้ย ยังอยากดูหนังละคร ที่ชอบ มั้ย

หากยังมีอยู่ แสดงว่ายังไม่แจ้ง แค่เข้าไปแล้วออกมา

อย่าลืม เราที่แยกออกมานั้นแหละ อวิชชา ตัวแม่ ต้องดับตัวนี้ด้วย จนไม่มีเรา ไม่งั้น อวิชชา จะดึงให้มีเรา ดังนั้น สติสำคัญมาก

จากอรหมุนบุคคล ปุถุชนธรรมดา :b12:


การทำนั้นต้องทำอยู่เสมอ ตลอดเวลา เรายังเป็นนักปฎิบัติที่มีอวิชชาเต็มหัวใจ มีกิเลสเต็มหัวใจ เราเลยมีหน้าที่แค่ดูในทุกครั้งที่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมา หรือถูกกระทบขึ้น ว่าใจแต่ละครั้ง จิตเราสั่นไหว ไปกับ ขันธ์ที่แสดงไหม.เราสังเกตุและจับผิดตัวเองไปอย่างนี้..:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
ขอสอบถามผู้รู้คะ

ปัญหามีอยู่ว่า...

เมื่อเราพิจารณาขันธ์ห้า ด้วย กาย เวทนา จิต ธรรม ตอนแรกเมื่อพิจารณา เมื่อเราดูขันธ์ห้า เมื่อขันธ์ห้ารู้สึกหรือแสดงอาการอย่างไร เราจะรู้สึกไปด้วย...เมื่อปฎิบัติไปเรื่อยๆแล้วจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ห้าแสดงอาการอย่างไร หรือเสวยอารมณ์แสดงออกอย่างไร จิตร้อนไปด้วย (เราไม่รู้สึกไปด้วยแล้ว เราเป็เพียงผู้ดู ดูและเห็นว่า เมื่อขันธ์เร่าร้อน จิตก็เร่าร้อนไปด้วย)....เมื่อปฎิบัติต่อไปอีก..จะเห็นว่า เมื่อขันธ์แสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่รู้สึกอะไร จิตจะลอยเป็นอิสระเหนือขันธ์ห้า...

เช่นว่า

เมื่อขันธ์ทุกข์ แรกๆ เราก็จะทุกข์ไปกับขันธ์ด้วย...เมื่อปฎิบัติต่อไปอีกจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ทุกข์ เราจะรู้สึกว่า จิตเร้าร้อนไปกับขันธ์(เราเป็นคนยืนมอง ขันธ์ทุกข์และจิตเร่าร้อน)..เมื่อปฎิบัติคือดูขันธ์และจิตไปเรื่อยๆจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ทุกข์จิตจะไม่ทุกข์ตามขันธ์ ไม่ว่าจะมีเวทนาเกิดขึ้นกับขันธ์อย่างไร จิตจะไม่ผูกไปกับขันธ์ที่แสดงออก(ดิฉันพยายามอธิบายได้แค่นี้นะคะ)


ดิฉันอยากถามว่า

1. จิต(ที่เป็นสีแดง)นั้นเป็นอนัตตาหรือเปล่าคะ?

2. จิต(ที่เป็นสีแดง)เป็นธรรมชาติ เป็นอณูเล็กๆในธรรมชาติหรือเปล่าคะ?

(ดิฉันไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ดิฉันเห็นในจิตตอนนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่...เนื่องจากสิ่งที่ดิฉันรู้(แนวคำสอน) ดิฉันรู้สิ้นสุดที่ว่า ดูขันธ์ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง แต่ส่วนที่เป็นจิตนั้น ดิฉันไม่มีความรู้เลยคะ และไม่ทราบว่าต้องไปอ่านคำสอนเพื่อหาความรู้จากครูบาอาจารย์ท่านใด หรือหนังสือเล่มไหน)

ดิฉันเลยมาขอถามผู้รู้ในนี้คะ เพื่อชี้ทางกระจ่างให้แก่ดิฉันด้วย กราบขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b8:

จิตลอย เป็นอิสระ เหนือขันธ์ 5 ไม่มีครับ
จิตเป็นอนูเล็กๆ ในธรรมชาติ ก็ไม่มีครับ

สิ่งที่เขียนมา ทั้งหมด เป็นวิตก วิจาร ทั้งสิ้นครับ
พยายามต่อไปนะครับ

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 14:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
ขอสอบถามผู้รู้คะ

ปัญหามีอยู่ว่า...

เมื่อเราพิจารณาขันธ์ห้า ด้วย กาย เวทนา จิต ธรรม ตอนแรกเมื่อพิจารณา เมื่อเราดูขันธ์ห้า เมื่อขันธ์ห้ารู้สึกหรือแสดงอาการอย่างไร เราจะรู้สึกไปด้วย...เมื่อปฎิบัติไปเรื่อยๆแล้วจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ห้าแสดงอาการอย่างไร หรือเสวยอารมณ์แสดงออกอย่างไร จิตร้อนไปด้วย (เราไม่รู้สึกไปด้วยแล้ว เราเป็เพียงผู้ดู ดูและเห็นว่า เมื่อขันธ์เร่าร้อน จิตก็เร่าร้อนไปด้วย)....เมื่อปฎิบัติต่อไปอีก..จะเห็นว่า เมื่อขันธ์แสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่รู้สึกอะไร จิตจะลอยเป็นอิสระเหนือขันธ์ห้า...

เช่นว่า

เมื่อขันธ์ทุกข์ แรกๆ เราก็จะทุกข์ไปกับขันธ์ด้วย...เมื่อปฎิบัติต่อไปอีกจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ทุกข์ เราจะรู้สึกว่า จิตเร้าร้อนไปกับขันธ์(เราเป็นคนยืนมอง ขันธ์ทุกข์และจิตเร่าร้อน)..เมื่อปฎิบัติคือดูขันธ์และจิตไปเรื่อยๆจะเห็นว่า เมื่อขันธ์ทุกข์จิตจะไม่ทุกข์ตามขันธ์ ไม่ว่าจะมีเวทนาเกิดขึ้นกับขันธ์อย่างไร จิตจะไม่ผูกไปกับขันธ์ที่แสดงออก(ดิฉันพยายามอธิบายได้แค่นี้นะคะ)


ดิฉันอยากถามว่า

1. จิต(ที่เป็นสีแดง)นั้นเป็นอนัตตาหรือเปล่าคะ?

2. จิต(ที่เป็นสีแดง)เป็นธรรมชาติ เป็นอณูเล็กๆในธรรมชาติหรือเปล่าคะ?

(ดิฉันไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ดิฉันเห็นในจิตตอนนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่...เนื่องจากสิ่งที่ดิฉันรู้(แนวคำสอน) ดิฉันรู้สิ้นสุดที่ว่า ดูขันธ์ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง แต่ส่วนที่เป็นจิตนั้น ดิฉันไม่มีความรู้เลยคะ และไม่ทราบว่าต้องไปอ่านคำสอนเพื่อหาความรู้จากครูบาอาจารย์ท่านใด หรือหนังสือเล่มไหน)

ดิฉันเลยมาขอถามผู้รู้ในนี้คะ เพื่อชี้ทางกระจ่างให้แก่ดิฉันด้วย กราบขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b8:

จิตลอย เป็นอิสระ เหนือขันธ์ 5 ไม่มีครับ
จิตเป็นอนูเล็กๆ ในธรรมชาติ ก็ไม่มีครับ

สิ่งที่เขียนมา ทั้งหมด เป็นวิตก วิจาร ทั้งสิ้นครับ
พยายามต่อไปนะครับ

เจริญธรรม


สาธุ ขอบคุณที่ยืนยันให้คะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 16:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
world2/2554 เขียน:
เพราะส่วนมากแล้วเมื่อจิตพิจารณารู้ทันต่อขันธ์ทั้งหลายแล้ว จิตใจก็จะพอใจ ดูพิจารณาอยู่กับสังขารจิตนั้น ไม่เพียรที่จะพิจารณากายอันเป็นกรรมฐานที่จะทำให้รู้แจ้งจริงถึงธาตุขันธ์ แต่ท่านนี้พิจารณากายเป็นส่วนมาก ก็อนุโมทนาด้วยครับ ถามว่า จิต (สีแดง) เป็นอนัตตาไหม ก็ต้องตอบว่า เป็นอนัตตา คำว่า อนัตตา กับสักกายทิฏฐินี่ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน เพราะมีความหมายใกล้เคียงกันแต่ใช้ต่างกัน อนัตตานี่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่ว่ามีปรากฏโดยความเป็นภาวะอย่างนั้น จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะถ้าไม่มีก็ไม่ต่างอะไรกับสุญญากาศ ส่วนคำว่า สักกายทิฏฐิ ก็มีความหมาย ไปในทางให้ถอดถอนความยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตน เพราะฉะนั้น จิต ก้ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ว่า ปรากฏมีอยู่... จิต (สีแดง) เท่าที่ทราบมาคือไปรู้มาอีทีหนึ่งจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกว่า เป็นจิตที่มีความสุขมาก สุขเพราะอามิสหรืออะไรก็ไม่ทราบ ....จิต (ธรรมชาติสีแดง) จะเป็นอณูหรือเรียกว่าอะไรก้แล้วแต่ ก็ขอสรุปว่า ปรากฏมีอยู่


ขอบคุณคะที่แนะนำ :b8:

ที่มาถามเพราะ เห็นจิตจากเดิมเราจะู้รู้สึกว่า เป็นดวง พอดูไปเรื่อยๆ กลับมองเห็นว่า ดวงที่เราเห็นนั้น ไม่ต่างอะไรกับอณูธรรมชาติเล็กๆ ที่มารวมตัวกันอยู่ ไม่ได้เกาะกลุ่มกันอยู่ แค่มาอยู่ไกล้ๆกัน ทุกอณูธรรมชาติ มีช่องว่างของอากาศ ไม่ไ่ด้ติดอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน

เห็นอย่างนี้...เลยไม่แน่ใจ เพราะดิฉันเป็นเพียงนักปฎิบัติที่ค่อยๆทำไป เมื่อไ่ม่ทราบไม่มั่นใจในสิ่งที่เห็นเลยมาถามผู้รู้ในนี้คะ :b8:


ท่านเห็นจิต เป็นดวงหรือครับ แล้วมีหลาย อณูด้วย กำลังเกิด-ดับมั้ยครับ แล้วท่านเห็น เจตสิก มั้ย มันน่าจะอยู่ใกล้ๆกันนะ :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 17:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
world2/2554 เขียน:
เพราะส่วนมากแล้วเมื่อจิตพิจารณารู้ทันต่อขันธ์ทั้งหลายแล้ว จิตใจก็จะพอใจ ดูพิจารณาอยู่กับสังขารจิตนั้น ไม่เพียรที่จะพิจารณากายอันเป็นกรรมฐานที่จะทำให้รู้แจ้งจริงถึงธาตุขันธ์ แต่ท่านนี้พิจารณากายเป็นส่วนมาก ก็อนุโมทนาด้วยครับ ถามว่า จิต (สีแดง) เป็นอนัตตาไหม ก็ต้องตอบว่า เป็นอนัตตา คำว่า อนัตตา กับสักกายทิฏฐินี่ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน เพราะมีความหมายใกล้เคียงกันแต่ใช้ต่างกัน อนัตตานี่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่ว่ามีปรากฏโดยความเป็นภาวะอย่างนั้น จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะถ้าไม่มีก็ไม่ต่างอะไรกับสุญญากาศ ส่วนคำว่า สักกายทิฏฐิ ก็มีความหมาย ไปในทางให้ถอดถอนความยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตน เพราะฉะนั้น จิต ก้ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ว่า ปรากฏมีอยู่... จิต (สีแดง) เท่าที่ทราบมาคือไปรู้มาอีทีหนึ่งจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกว่า เป็นจิตที่มีความสุขมาก สุขเพราะอามิสหรืออะไรก็ไม่ทราบ ....จิต (ธรรมชาติสีแดง) จะเป็นอณูหรือเรียกว่าอะไรก้แล้วแต่ ก็ขอสรุปว่า ปรากฏมีอยู่


ขอบคุณคะที่แนะนำ :b8:

ที่มาถามเพราะ เห็นจิตจากเดิมเราจะู้รู้สึกว่า เป็นดวง พอดูไปเรื่อยๆ กลับมองเห็นว่า ดวงที่เราเห็นนั้น ไม่ต่างอะไรกับอณูธรรมชาติเล็กๆ ที่มารวมตัวกันอยู่ ไม่ได้เกาะกลุ่มกันอยู่ แค่มาอยู่ไกล้ๆกัน ทุกอณูธรรมชาติ มีช่องว่างของอากาศ ไม่ไ่ด้ติดอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน

เห็นอย่างนี้...เลยไม่แน่ใจ เพราะดิฉันเป็นเพียงนักปฎิบัติที่ค่อยๆทำไป เมื่อไ่ม่ทราบไม่มั่นใจในสิ่งที่เห็นเลยมาถามผู้รู้ในนี้คะ :b8:


ท่านเห็นจิต เป็นดวงหรือครับ แล้วมีหลาย อณูด้วย กำลังเกิด-ดับมั้ยครับ แล้วท่านเห็น เจตสิก มั้ย มันน่าจะอยู่ใกล้ๆกันนะ :b10:


ดิฉันเห็นเท่าที่เห็น และเล่าเท่าที่เห็นคะ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 19:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
world2/2554 เขียน:
เพราะส่วนมากแล้วเมื่อจิตพิจารณารู้ทันต่อขันธ์ทั้งหลายแล้ว จิตใจก็จะพอใจ ดูพิจารณาอยู่กับสังขารจิตนั้น ไม่เพียรที่จะพิจารณากายอันเป็นกรรมฐานที่จะทำให้รู้แจ้งจริงถึงธาตุขันธ์ แต่ท่านนี้พิจารณากายเป็นส่วนมาก ก็อนุโมทนาด้วยครับ ถามว่า จิต (สีแดง) เป็นอนัตตาไหม ก็ต้องตอบว่า เป็นอนัตตา คำว่า อนัตตา กับสักกายทิฏฐินี่ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน เพราะมีความหมายใกล้เคียงกันแต่ใช้ต่างกัน อนัตตานี่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่ว่ามีปรากฏโดยความเป็นภาวะอย่างนั้น จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะถ้าไม่มีก็ไม่ต่างอะไรกับสุญญากาศ ส่วนคำว่า สักกายทิฏฐิ ก็มีความหมาย ไปในทางให้ถอดถอนความยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตน เพราะฉะนั้น จิต ก้ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ว่า ปรากฏมีอยู่... จิต (สีแดง) เท่าที่ทราบมาคือไปรู้มาอีทีหนึ่งจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกว่า เป็นจิตที่มีความสุขมาก สุขเพราะอามิสหรืออะไรก็ไม่ทราบ ....จิต (ธรรมชาติสีแดง) จะเป็นอณูหรือเรียกว่าอะไรก้แล้วแต่ ก็ขอสรุปว่า ปรากฏมีอยู่


ขอบคุณคะที่แนะนำ :b8:

ที่มาถามเพราะ เห็นจิตจากเดิมเราจะู้รู้สึกว่า เป็นดวง พอดูไปเรื่อยๆ กลับมองเห็นว่า ดวงที่เราเห็นนั้น ไม่ต่างอะไรกับอณูธรรมชาติเล็กๆ ที่มารวมตัวกันอยู่ ไม่ได้เกาะกลุ่มกันอยู่ แค่มาอยู่ไกล้ๆกัน ทุกอณูธรรมชาติ มีช่องว่างของอากาศ ไม่ไ่ด้ติดอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน

เห็นอย่างนี้...เลยไม่แน่ใจ เพราะดิฉันเป็นเพียงนักปฎิบัติที่ค่อยๆทำไป เมื่อไ่ม่ทราบไม่มั่นใจในสิ่งที่เห็นเลยมาถามผู้รู้ในนี้คะ :b8:


ท่านเห็นจิต เป็นดวงหรือครับ แล้วมีหลาย อณูด้วย กำลังเกิด-ดับมั้ยครับ แล้วท่านเห็น เจตสิก มั้ย มันน่าจะอยู่ใกล้ๆกันนะ :b10:


ดิฉันเห็นเท่าที่เห็น และเล่าเท่าที่เห็นคะ :b1:


คุณเห็นนั้นจริง สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง หลวงปู่ดุลย์ว่าอย่างนี้ใช่มั้ยครับ

ต้องศึกษาเรื่อง สังขาร และ เจตสิก ดู


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 19:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
world2/2554 เขียน:
เพราะส่วนมากแล้วเมื่อจิตพิจารณารู้ทันต่อขันธ์ทั้งหลายแล้ว จิตใจก็จะพอใจ ดูพิจารณาอยู่กับสังขารจิตนั้น ไม่เพียรที่จะพิจารณากายอันเป็นกรรมฐานที่จะทำให้รู้แจ้งจริงถึงธาตุขันธ์ แต่ท่านนี้พิจารณากายเป็นส่วนมาก ก็อนุโมทนาด้วยครับ ถามว่า จิต (สีแดง) เป็นอนัตตาไหม ก็ต้องตอบว่า เป็นอนัตตา คำว่า อนัตตา กับสักกายทิฏฐินี่ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน เพราะมีความหมายใกล้เคียงกันแต่ใช้ต่างกัน อนัตตานี่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่ว่ามีปรากฏโดยความเป็นภาวะอย่างนั้น จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะถ้าไม่มีก็ไม่ต่างอะไรกับสุญญากาศ ส่วนคำว่า สักกายทิฏฐิ ก็มีความหมาย ไปในทางให้ถอดถอนความยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตน เพราะฉะนั้น จิต ก้ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ว่า ปรากฏมีอยู่... จิต (สีแดง) เท่าที่ทราบมาคือไปรู้มาอีทีหนึ่งจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกว่า เป็นจิตที่มีความสุขมาก สุขเพราะอามิสหรืออะไรก็ไม่ทราบ ....จิต (ธรรมชาติสีแดง) จะเป็นอณูหรือเรียกว่าอะไรก้แล้วแต่ ก็ขอสรุปว่า ปรากฏมีอยู่


ขอบคุณคะที่แนะนำ :b8:

ที่มาถามเพราะ เห็นจิตจากเดิมเราจะู้รู้สึกว่า เป็นดวง พอดูไปเรื่อยๆ กลับมองเห็นว่า ดวงที่เราเห็นนั้น ไม่ต่างอะไรกับอณูธรรมชาติเล็กๆ ที่มารวมตัวกันอยู่ ไม่ได้เกาะกลุ่มกันอยู่ แค่มาอยู่ไกล้ๆกัน ทุกอณูธรรมชาติ มีช่องว่างของอากาศ ไม่ไ่ด้ติดอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน

เห็นอย่างนี้...เลยไม่แน่ใจ เพราะดิฉันเป็นเพียงนักปฎิบัติที่ค่อยๆทำไป เมื่อไ่ม่ทราบไม่มั่นใจในสิ่งที่เห็นเลยมาถามผู้รู้ในนี้คะ :b8:


ท่านเห็นจิต เป็นดวงหรือครับ แล้วมีหลาย อณูด้วย กำลังเกิด-ดับมั้ยครับ แล้วท่านเห็น เจตสิก มั้ย มันน่าจะอยู่ใกล้ๆกันนะ :b10:


ดิฉันเห็นเท่าที่เห็น และเล่าเท่าที่เห็นคะ :b1:


คุณเห็นนั้นจริง สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง หลวงปู่ดุลย์ว่าอย่างนี้ใช่มั้ยครับ

ต้องศึกษาเรื่อง สังขาร และ เจตสิก ดู


ดิฉันไม่ค่อยได้ทราบเรื่องราวอะไรมากนัก คงต้องให้คุณฝึกจิตแนะนำเรื่องที่หลวงปู่ดุลย์ท่านได้สอนไว้น่าจะดีกว่าคะ

ส่วนเรื่องสังขารและเจตสิก นี่ก็เหมือนกัน ดิฉันไปหาคำศัทพ์อ่านแล้ว สังขารดิฉันเข้าใจ แต่ไปหาคำแปลของคำว่า เจตสิกแล้ว ดิฉันยิ่งอ่านยิ่งงง...เลยขอวางหนังสือแล้วดูต่อไปในเส้นทางของตน ดิฉันคิดว่าน่าจะเหมาะสมกับตัวเองมากกว่า ดิฉันไม่เหมาะที่จะศึกษา ในหลักธรรมในศัทพ์ธรรม แต่ในศัทพ์ธรรมของขันธ์ห้านั้น ดิฉันเข้าใจได้ทั้งหมด...แต่เจตสิก ดิฉันไม่เข้าใจ อาจเพราะดิฉันทำยังไม่ถึง จึงไม่รู้ เพราะดิฉันก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แค่คนที่ใส่ใจ และตั้งใจที่จะทำเท่าันั้นเอง..มันถึงเป็นอย่างที่ได้เล่ามาคะ

คุณฝึกจิตจะแนะนำอะไร ดิฉันยินดีนะคะ ยินดีที่จะรับฟังในคำแนะนำของท่าน

ส่วนตอนนี้ดิฉันรู้สึกแค่ว่า ช่างมัน ปล่อยทั้งขันธ์ปล่อยทั้งจิต ช่างมันทั้งสองอย่าง เมื่อปล่อยแล้ว ใจมันปล่อยแล้ว มันเบาและสบายมากเลย.. ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ผิดเมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่เรามีปัญญาพอเราก็จะเห็นสิ่งเราเห็นผิด ว่าทางที่ถูกจริงๆแล้วเป็นอย่างไรเอง แล้วเริ่มปรับตัวแก้ไขไหม่ให้มันถูก..

ดิฉันไม่รู้ว่าดิฉันคิดถูกไหม ...ในการวางมันลงในทุกๆอย่าง...แต่ดิฉันเบาและสบายมากเลย :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 20:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:
world2/2554 เขียน:
เพราะส่วนมากแล้วเมื่อจิตพิจารณารู้ทันต่อขันธ์ทั้งหลายแล้ว จิตใจก็จะพอใจ ดูพิจารณาอยู่กับสังขารจิตนั้น ไม่เพียรที่จะพิจารณากายอันเป็นกรรมฐานที่จะทำให้รู้แจ้งจริงถึงธาตุขันธ์ แต่ท่านนี้พิจารณากายเป็นส่วนมาก ก็อนุโมทนาด้วยครับ ถามว่า จิต (สีแดง) เป็นอนัตตาไหม ก็ต้องตอบว่า เป็นอนัตตา คำว่า อนัตตา กับสักกายทิฏฐินี่ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน เพราะมีความหมายใกล้เคียงกันแต่ใช้ต่างกัน อนัตตานี่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่ว่ามีปรากฏโดยความเป็นภาวะอย่างนั้น จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะถ้าไม่มีก็ไม่ต่างอะไรกับสุญญากาศ ส่วนคำว่า สักกายทิฏฐิ ก็มีความหมาย ไปในทางให้ถอดถอนความยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตน เพราะฉะนั้น จิต ก้ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ว่า ปรากฏมีอยู่... จิต (สีแดง) เท่าที่ทราบมาคือไปรู้มาอีทีหนึ่งจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกว่า เป็นจิตที่มีความสุขมาก สุขเพราะอามิสหรืออะไรก็ไม่ทราบ ....จิต (ธรรมชาติสีแดง) จะเป็นอณูหรือเรียกว่าอะไรก้แล้วแต่ ก็ขอสรุปว่า ปรากฏมีอยู่


ขอบคุณคะที่แนะนำ :b8:

ที่มาถามเพราะ เห็นจิตจากเดิมเราจะู้รู้สึกว่า เป็นดวง พอดูไปเรื่อยๆ กลับมองเห็นว่า ดวงที่เราเห็นนั้น ไม่ต่างอะไรกับอณูธรรมชาติเล็กๆ ที่มารวมตัวกันอยู่ ไม่ได้เกาะกลุ่มกันอยู่ แค่มาอยู่ไกล้ๆกัน ทุกอณูธรรมชาติ มีช่องว่างของอากาศ ไม่ไ่ด้ติดอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน

เห็นอย่างนี้...เลยไม่แน่ใจ เพราะดิฉันเป็นเพียงนักปฎิบัติที่ค่อยๆทำไป เมื่อไ่ม่ทราบไม่มั่นใจในสิ่งที่เห็นเลยมาถามผู้รู้ในนี้คะ :b8:


ท่านเห็นจิต เป็นดวงหรือครับ แล้วมีหลาย อณูด้วย กำลังเกิด-ดับมั้ยครับ แล้วท่านเห็น เจตสิก มั้ย มันน่าจะอยู่ใกล้ๆกันนะ :b10:


ดิฉันเห็นเท่าที่เห็น และเล่าเท่าที่เห็นคะ :b1:


คุณเห็นนั้นจริง สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง หลวงปู่ดุลย์ว่าอย่างนี้ใช่มั้ยครับ

ต้องศึกษาเรื่อง สังขาร และ เจตสิก ดู


ดิฉันไม่ค่อยได้ทราบเรื่องราวอะไรมากนัก คงต้องให้คุณฝึกจิตแนะนำเรื่องที่หลวงปู่ดุลย์ท่านได้สอนไว้น่าจะดีกว่าคะ

ส่วนเรื่องสังขารและเจตสิก นี่ก็เหมือนกัน ดิฉันไปหาคำศัทพ์อ่านแล้ว สังขารดิฉันเข้าใจ แต่ไปหาคำแปลของคำว่า เจตสิกแล้ว ดิฉันยิ่งอ่านยิ่งงง...เลยขอวางหนังสือแล้วดูต่อไปในเส้นทางของตน ดิฉันคิดว่าน่าจะเหมาะสมกับตัวเองมากกว่า ดิฉันไม่เหมาะที่จะศึกษา ในหลักธรรมในศัทพ์ธรรม แต่ในศัทพ์ธรรมของขันธ์ห้านั้น ดิฉันเข้าใจได้ทั้งหมด...แต่เจตสิก ดิฉันไม่เข้าใจ อาจเพราะดิฉันทำยังไม่ถึง จึงไม่รู้ เพราะดิฉันก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แค่คนที่ใส่ใจ และตั้งใจที่จะทำเท่าันั้นเอง..มันถึงเป็นอย่างที่ได้เล่ามาคะ

คุณฝึกจิตจะแนะนำอะไร ดิฉันยินดีนะคะ ยินดีที่จะรับฟังในคำแนะนำของท่าน

ส่วนตอนนี้ดิฉันรู้สึกแค่ว่า ช่างมัน ปล่อยทั้งขันธ์ปล่อยทั้งจิต ช่างมันทั้งสองอย่าง เมื่อปล่อยแล้ว ใจมันปล่อยแล้ว มันเบาและสบายมากเลย.. ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ผิดเมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่เรามีปัญญาพอเราก็จะเห็นสิ่งเราเห็นผิด ว่าทางที่ถูกจริงๆแล้วเป็นอย่างไรเอง แล้วเริ่มปรับตัวแก้ไขไหม่ให้มันถูก..

ดิฉันไม่รู้ว่าดิฉันคิดถูกไหม ...ในการวางมันลงในทุกๆอย่าง...แต่ดิฉันเบาและสบายมากเลย :b12:



:b5: กระผมยังเอาตัวไม่รอดเลยครับ :b15:
ให้รู้ไว้ อะไรๆมันก็ไม่แน่ ดอก แต่ความตาย นั้นแน่แท้ เด๋อครับ :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 22:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
:b5: กระผมยังเอาตัวไม่รอดเลยครับ :b15:
ให้รู้ไว้ อะไรๆมันก็ไม่แน่ ดอก แต่ความตาย นั้นแน่แท้ เด๋อครับ :b38:


คะ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 22:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สายลมที่พัดผ่านไป เขียน:

ส่วนตอนนี้ดิฉันรู้สึกแค่ว่า ช่างมัน ปล่อยทั้งขันธ์ปล่อยทั้งจิต ช่างมันทั้งสองอย่าง เมื่อปล่อยแล้ว ใจมันปล่อยแล้ว มันเบาและสบายมากเลย.. ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ผิดเมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่เรามีปัญญาพอเราก็จะเห็นสิ่งเราเห็นผิด ว่าทางที่ถูกจริงๆแล้วเป็นอย่างไรเอง แล้วเริ่มปรับตัวแก้ไขไหม่ให้มันถูก..

ดิฉันไม่รู้ว่าดิฉันคิดถูกไหม ...ในการวางมันลงในทุกๆอย่าง...แต่ดิฉันเบาและสบายมากเลย :b12:


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2012, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2011, 17:04
โพสต์: 133


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็น PM ไปถามผม ผมตอบให้หน้าบอร์ดนะครับ

ว่าคุณไปลอกสภาวะคนอื่นมาปะติดปะต่อกัน
สิ่งที่คุณเล่ามา มันขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 17  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร