วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 06:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 21:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Jeong-So Park เล่าถึง ซังบอง

มันเป็นเรื่องน่าเซอร์ไพรส์ มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับผม
ผมคิดทุกคนในที่นี้อยากรู้ว่า ผมพบเขาได้อย่างไร
....(ท่อนนี้อ่านรู้เรื่อง แต่ไม่รู้จะแปลอย่างไร...วุ้ย)
แม้ว่าผมจะเป็นคนที่ความจำไม่ดี แต่ผมก็ยังจำได้ดี
เขาเข้ามาหาผมตอนที่เขาอายุ 14 สูงประมาณนี้
ถามผม เพื่อขอให้ผมสอนร้องเพลงให้กับเขา
ตอนนั้น ผมอยู่ที่วิทยาลัย
ซึ่งผมก็ยินดีที่จะสอนให้กับเขา
โดยทั่วไป การเรียนร้องเพลงจะคิดค่าสอนเป็นชั่วโมง
ผมก็บอกอัตราค่าเรียนเขาไป
เขาก็ตอบผมกลับมาว่า "เขาไม่มีตังค์"
ผมก็ร้อง "ห๊า" แล้วบอกเขาไปว่า "งั๊นไปปรึกษาผู้ปกครองก่อนนะแล้วค่อยกลับมาหาผมใหม่"
เขาก็ตอบผมกลับมาว่า "เขาไม่มีผู้ปกครอง"
ดูเขาตอนนี้สิ่ เขาออกจะจ้ำม่ำ หน้าเด็ก และน่ารักมาก
ว๊าว ... ผิวพรรณเขา ผมพบว่ามันยากมากที่จะเชื่อว่า
เขาเป็นเด็กเร่ร่อนที่โตมาตามข้างถนน
และเขาก็คุยโม้เรื่องผิวของเขาให้ผมฟังว่า
"เขาได้ผิวที่ดีเป็นของขวัญ"
เพราะ ผิวเขาดีนี่ล่ะ ทำให้ผมจินตนาการไม่ออกเรย(ว่าเขาเป็นเด็กเร่ร่อนข้างถนน)
ดังนั้นผมก็อยากจะเห็นกับตา ผมก็บอก "ซังบอง พาผมไปดูที่อยู่คุณหน่อย"

ด้านหลังทางเข้าออกสถานีรถแดจอน จะมีชุมชนซอมซ่อ
ซึ่งมันจะมีตู้คอนเทนเนอร์ใช้แล้ว
ที่พวกนักศึกษา(อาสาสมัคร)ที่จะใช้เป็นที่สอน(ฟรี)ในยามกลางคืน
ซึ่งโรงเรียนกลางคืนได้ถูกยุบไปเพราะปัญหาทางการเงิน
ภายในคอนเทนเนอร์มี โซฟาพลาสติกทิ้งแล้ว
ที่มีสภาพชั้นบุโซฟานั้นหลุดรุ่ยว่างเปล่า
ในคืนอันหนาวเหน็บผมมีภรรยาอยู่ข้างกาย
ผมถามเขาว่า
"ซังบอง คุณนอนตรงไหน ที่นี่มันไม่มีไฟฟ้าเลยนะนี่"
"ท่อประปาก็อยู่ข้างนอก ซึ่งมันก็แข็งเป็นน้ำแข็งอยู่นาน"
( :b6: แปลไปงงไป ประปา Frozen)
"คุณนอนไหน"
ซังบองตอบ "จารย์ครับ ผมนอนนี่ล่ะ ใส่เสื้อ 3 - 4 ชั้น"
เขาตอบผมอย่างหน้าตาเฉยมาก (คือไม่ได้มีอาการแสดงอารมณ์ใด ๆ)
คือ ผมไม่เห็นเขาจะแสดงแววตาที่จะบ่งบอกอาการเว้าวอนให้น่าสงสารใด ๆ ออกมา
(ก็เหมือนตอนที่เขาอยู่บนเวทีร้องเพลงประกวดนั่นล่ะ
เอกอนก็ว่า หน้าตาเขาไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมา
ขนาดเขาทำจนพิธีกรต่อมน้ำตาแตกทั้งสองคนได้ขนาดนั้น
เขายังยืนมองหน้าตาเฉย และแม้แต่พิธีกรที่บอกจะให้ความช่วยเหลือเรื่อง
การเรียนร้องเพลง เมื่อเขาได้ฟัง หน้าเขาก็ยัง เฉ๊ยยยย :b6: )

อ้า...ผมเห็นแล้ว ว่าเขาอาศัยอยู่ในที่ที่คิดไม่ถึงจริง ๆ
"คุณต้องเจอกับความหนาวแบบซู๊ดยอดดดดเลยนะนี่"
ซังบองตอบ "ถ้ามันเย็นมาก ผมก็ไปนอนในห้องน้ำสาธารณะ
ซึ่งผมก็จะพยายามจะนอนใกล้ ๆ เครื่องทำความอุ่น"
ตลอดเวลาผมและคุณ(ผู้ฟัง)อยู่อย่างสุขสบายภายใต้อ้อมกอดของพ่อ-แม่
ไม่เคยต้องคิดกังวลกับเรื่องกิน เรื่องเครื่องนุ่งห่ม เรื่องนอน
ระหว่างทางกลับบ้านวันนั้น (หลังจากที่พบซังบอง)
น้ำตาผมก็เอ่อไหล่พรากออกมา
ความสัมพันธ์ระหว่าง ผม กับ ซังบอง เริ่มต้นที่ตรงนั้น

เด็กอื่น ๆ ไม่อยากไปโรงเรียน แต่กับซังบอง
ผมถามซังบองว่า ฝันอยากที่จะทำอะไร
เขาตอบเสอมว่า อยากไปโรงเรียน
เขาบอก เขาอยากใส่ชุดนักเรียน เขาพูดอย่างนี้ทุกวัน
ผมก็ถามเขาว่า เด็กอื่น ๆ ไม่อยากไป แต่ทำไมเขาอยากไปโรงเรียน
เขาบอกว่า "เขาอยากไปโรงเรียน เพราะเขาอยากมีเพื่อน"
เขาไม่เคยเข้าโรงเรียนในระดับประถม และมัธยม.
ถ้าเขาได้ยินผมพูด(สิ่งที่จะพูด)เขาจะรู้สึกแย่แน่ ๆ เลย
แต่ผมจะชี้ให้เห็นความจริงที่ว่า
(คือตอนนั้น)เขาอ่านไม่ออก สะกดตัวหนังสือไม่ได้ abc เขาก็ไม่รู้
แล้วผมจะส่งเขาไปโรงเรียนได้อย่างไร
แต่เขา รักเสียงเพลงอย่างมาก
ซึ่งผมก็บอกว่า งั๊นเรียนร้องเพลงก่อน แล้วค่อยส่งไปเรียนโรงเรียนศิลป์
แต่ค่าใช้จ่ายโรงเรียนศิลป์ก็สูง (แม้จะเป็นระดับครอบครัวมีฐานะก็ตาม)
แต่นั่นเราก็ฝัน ที่จะเข้าเรียนแดจอนอาร์ตสคูล
ดังนั้นเราก็เริ่มต้นให้ ซังบอง ผ่าน กศน. (น่าจะงั๊น)
ซึ่งมันก็เป็นหนทางที่ช่างคดเคี้ยวและยาวไกลสำหรับเรา
ผมเริ่มสอน ABCD ให้กับเขา
ซึ่งจริง ๆ ผมก็ไม่เก่ง และ ภาษาผมก็ใช่ว่าจะดี
ผมก็เลยพาเขาไปที่โบสถ์ ซึ่งมีแม่ชีมากมาย
เมื่อพวกเขาได้รู้ถึงเรื่องราวของ ซังบอง
เขาทั้งสอนหนังสือให้กับ ซังบอง
และยังมีอาหารให้กับเขาด้วย หลังจากเสร็จพิธีกรรมทางโบสถ์ :b20: ...ว๊าววว
นั่นล่ะ คือเขาได้เรียน ตรงนั้นล่ะ
วันนี้ พวกเขาที่ได้มอบความเมตตากับเราก็มาอยู่ ณ ที่นี้ด้วย
"ขอบคุณมาก ๆ ครับ"
ซึ่งเราได้รับความช่วยเหลือจากที่นั่นจนกระทั่ง ซังบอง สอบผ่าน กศน. :b20: ...ว๊าววว
และเขาก็สอบเข้าเรียน อาร์ตสคูล (ถ้าเป็นภาษาไทย น่าจะเป็นโรงเรียนศิลปการแสดงนะ ไม่รู้)
และแน่นอน เขาสอบผ่าน อย่างไม่มีใครคาดคิด
เพราะ แม้กระทั่งสำหรับคนมีกระตังค์ที่อาศัยเงินยัดเข้า ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะผ่าน
ซึ่งซังบองก็ต้องไปเรียน แต่ซังบองนั้นยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องสังคมในโรงเรียนมากก่อน
สองวันที่ไปเรียน เขาได้รับบาดแผลจากการต่อสู้มา
เขาบอก เขาไม่ได้ทำอะไรผิด
เขาคิดว่า ฝ่ายตรงข้ามยั่วเขาก่อน
โอ้...และความยุ่งยากในโรงเรียนเริ่มขึ้นแล้ว :b32:
เราทั้งคู่ต่าง บ่อจี้ (อิอิ บ่อมีตังค์)
เราต้องจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนแรกเข้าให้กับโรงเรียน
ตอนนั้นมันประมาณ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเราได้ขอยืม คนที่โบสถ์ ในที่สุด ซังบองก็ได้เข้าเรียน
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า มิสเตอร์....จากกองทุนเด็กแดจอนมาด้วยรึเปล่าในวันนี้
ก็ได้เขานั่นล่ะมาให้การสนับสนุนซังบองต่อ
และผู้ที่ได้รับรู้เรื่องราวของซังบอง(ซึ่งก็มาวันนี้ด้วย)ต่างก็คอยให้การสนับสนุนเขา
นั่นก็คือ ทำให้เขาได้ศึกษาในโรงเรียนนี้ต่อไป
ซึ่งชีวิตซังบอง ลำบากมาก ทำงานเป็นพนักงานส่งของ
.......อันนี้พูดถึงงานของซังบอง.....(พนักงานส่งของ)
ซึ่งจะเสร็จตอนประมาณ 6-7 โมงเช้า (ส่วนเริ่มตอนไหนไม่ชัด)
เขาจะเรียนได้อย่างไร หลังจากที่เพิ่งจะทำงานเสร็จ
พอเขาถึงห้องเรียนเขาก็หลับ
คุณครูและเพื่อน ๆ ในห้องต่างแปลกใจ เขาหลับในห้องเรียนได้อย่างไร
เพราะเขาไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับซังบอง
เรื่องราวในโรงเรียนของซังบองเดินไปเหมือนระเบิดเวลา
(หรือน่าเบื่อหน่ายก็ไม่รู้ ... เดาไม่ถูก มันออกจะแย่ ๆ รอวันสิ้นสุดยังงั๊น)
ตลอดสองปีในชีวิตนักเรียนไฮสคูลเขาบอกว่า เขาไม่อยากไปโรงเรียน
แต่ผมก็บอกว่า "อย่าพูดอย่างนั้น เธอต้องจบ เธอต้องต่อวิทยาลัย"
ซังบองก็บอกว่า
"ค่าติวเพื่อเข้ามหาวิทยลัยมันแพงมาก ผมเข้ามหาวิทยลัยไม่ได้หรอก"
ประมาณ 7,000-10,000 ต่อเทอม
แต่เขาก็เป็นเด็กที่มีความทะนง มีความใฝ่ฝันที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในโซล
และวันหนึ่งเขาก็หายตัวไป
เขาไปทำงานหาเงิน คิดอย่างคนสิ้นหวัง ว่า classical music ไม่ใช่สำหรับเขา
หลังจากข่าวคราวนั้นของเขา ผมก็ขาดการติดต่อจากเขา
แต่ชีวิตมันก็ไม่ง่าย ใช่มั๊ย
หลังจากนั้น 1 ปี เขาก็กลับมา ในสารรูปคนเหนื่อยล้าจากงานหนัก
ตอนนั้นผมก็วางแผนงานคอนเสริตอยู่
ผมส่งเขาไปทำงานเป็น stuff (เด็กสองไฟ) ในคอนเสริต
เป็นคอนเสริตที่จัดช่วยโบสถ์(แห่งหนึ่ง)
และทางโบสถ์ก็ให้รางวัลซังบองเป็นทุนค่าเล่าเรียน จากรายได้ที่ได้รับ
และคอนเสริตที่สามที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เดอะเกาหลีก๊อดทะเล้นโชว์ :b32:
ผมกระแซะให้ซังบองขึ้นโชว์
เขาตอบ "ไม่เอา ผู้เข้าประกวดตั้ง 50,000 กว่า ผมจะชนะได้ยังไง"
ผมก็ตอบไปอย่างตรง ๆ "ก็ว่างั๊นล่ะ"
"แต่ มันก็ไม่มีอะไรจะเสียนี่ เพราะมันไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรในการเข้า audition นี่"
"เรื่องราวชีวิตของเธอมันก็(แย่)เหลือจะเชื่ออยู่แล้วนี่ ก็ลองดูสักหน่อยเป็นไร"
ซังบองบอก "อาจารย์จะให้เอาจริง ๆ อ่ะ"
อาจารย์ "ลองดูสักครังน่า นะ ok ?"
และเขาก็ไปเข้าร่วมการแสดง
วันต่อมาเขาก็มาหาผมหลังจากที่เขาผ่านเข้ารอบที่ 2
ซังบอง "อาจารย์ครับ" ... "อื้อ"
ซังบอง "ผมทำพิธีกรร้องไห้..." :b14: :b32:
อาจารย์ "เอาเธอไปทำอะไรให้เขาร้องไห้ล่ะ"
ซังบอง "พวกเธอร้องไห้"
อาจารย์ "ใช่ ฉันได้ยิน ก็เธอไปทำอะไรให้เขาร้องไห้ล่ะ"
ผมยังไม่อาจจะเชื่อ เพราะผมไม่ได้ดูการแสดง
จนกระทั่งการ adition ครังที่สอง ที่เขาจึงนำมาออกอากาศ
เมื่อผมได้ดูการแสดงของเขา(ซังบอง) หัวใจผมก็...ผมบรรยายไม่ถูกหง่ะ
ผมรู้สึกเหมือนหัวใจผมมันจะแตกจะระเบิดออกมา
และผมกับซังบองก็นอนไม่หลับทั้งคืน เนื่องจากเสียงโทรศัพท์ที่เข้ามาตลอด
เราไปหลับกันตอนตีห้าโน่นน่ะ
พอเช้าเราก็มุ่งหน้าไปยังโบสถ์
........ตรงนี้ไม่รู้จะแปลยังไง เอาเป็นว่า ไปสงบสติอารมณ์น่ะ ไม่งั๊นบ้าแน่ ว่างั๊น........
........และก็ขอให้ บาทหลวง โปรดให้พรเราด้วย........
ซึ่งบาทหลวงก็พูดให้ เราทั้งสองได้ใจสงบขึ้นมานิดนึง
หลังจากที่ การแสดงของซังบองถูกแพร่ภาพออกไปยังสถานีต่าง ๆ
ทั้ง CNN ABC BBC
ผมก็ สติแตกแล้ว คิด"นี่เราเรียกซังบองกลับมาจากโซลทำไมวะเนี๊ยะ"
เพราะ ตอนนี้กลายเป็นว่า
เราต่างก็อยู่กันตรงนี้และเราก็ต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
เพราะต้องรับมือกับแฟน ๆ ทั่วโลก
อย่างเช่นว่า นี่แฟนชาวอเมริกันเชิญให้เขาไปซึ่งเขาต้องเดินทางไป
อเมริกาเดือนธันวาคมนี้
และไหนจะแฟนชาวเยอรมัน ออสเตรเลีย
มากมายเกินจะนำมาบรรยาย
ผู้คนทั่วโลกต่างสนใจ ซังบอง
แต่ในเกาหลี มันมีโชว์มากมายและเขาก็ลืมซังบองไปแล้ว
ในเกาหลีทุกอย่างผ่านมาและผ่านไปเร็วมาก
แต่แฟนในต่างแดน กระแสแรงจริง ๆ
ในเกาหลี นี่เป็นคอนเสริตครั้งสุดท้ายของซังบองในปีนี้
และผมก็แฮปปี้ไปกับพวกคุณในช่วงเวลาอันเป็นประวัติศาสตร์นี้
.......
ขอบคุณครับ
(ที่อุตสาห์ฟังผมพูดตั้ง 11 นาที
แต่เอกอนนี่สิ่ ค่อย ๆ ฟังไปแปลไป
3 ชั่วโมงกว่าจะจบ โหยยยยย.....)


:b55: :b54: :b54: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 03:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b17: :b17: :b17:
ต่อ ต่อ ต่อ
นี่ท่านโฮ เข้าไปในเรื่องความ รัก แล้ว
คราวนี้ โยงไปในเรื่องความ สุข บ้าง

อยากให้เอกอน เอาธรรมบทที่ว่าด้วยเรื่องพรหมวิหารสี่
มาพิจารณาเราก็จะรู้สภาวะที่เรียกว่าความรักและความสุข

ลองสังเกตุดูให้ดียามที่เราปรารถณา ให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มีสุขและพลอยยินดีเมื่อเขามีสุข
นี่แหล่ะเป็นความรู้สึกของความรัก และเมื่อสิ่งที่เราปรารถณาดังกล่าวข้างต้น
สำเร็จผล มันจะเกิดสภาวะธรรมตัวใหม่ที่เรียกว่า ความสุข

ยกตัวอย่างให้ดู อย่างเช่นเอกอนมีญาติพี่น้องที่มีสายสัมพันธ์กัน
ญาติคนนั้น บอกว่าอยากสอบเข้ามหาลัยให้ได้ อารมณ์ที่เรียกว่า ความรัก จะเกิดขี้นทันที
นั้นก็คือ ความปรารถณาหรือความอยากเข้ามหาลัยมันจะมาอยู่ที่ใจเรา

ความต้องการของญาติที่จะเข้ามหาลัย เป็นได้ทั้งความอยากและฉันทะ
แต่ความต้องการของเอกอนที่ปรารถณาให้ญาติเข้ามหาลัยให้ได้เรียกว่า
"พรหมวิหาร"หรือ"ความรัก"

เมื่อญาติเอกอนเข้ามหาลัยได้ เรียกว่าประสบผลสำเร็จ ย่อมต้องเกิดความสุขตามมา
ถ้าเราดูเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความสุขของญาติเอกอน เหตุที่ทำให้เกิดสุขก็คือ..
อิทธิบาท

ส่วนตัวเอกอนเหตุที่ทำให้เกิดความสุขก็คือ..มุทิตา
อันเป็นหนี่งในพรหมวิหารสี่

ที่ต้องสังเกตุในพรหมวิหารสี่ พระพุทธองค์ทรงเน้นธรรมข้อสุดท้ายที่ว่าด้วย...
อุเบกขา
เมื่อได้รับความสุขแล้ว ให้วางอุเบกขาความสุขนั้นซะ ไม่งั้นความสุขนั้นจะแปลเปลี่ยนให้เกิดทุกข์
ก็ด้วยมีความสุขนั้น เป็นเหตุในตัวของมันเองนั้นแหล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 04:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
อย่างในการแสดงทั้งสอง
เอกอนก็รู้สึกนะ รู้สึกเหมือนกับคนทั้งหมดที่มองดูเขา
รู้สึกเหมือนกับพิธีกรสาวทั้งสอง ที่ต่างก็ "อยากให้เขามีความสุข"
ที่พิธีกรสาวคนกลางพูดออกมาตอนแสดงเสร็จว่า "ฉันอยากจะเข้าไปกอดคุณ"
ส่วนพิธีกรสาวอีกคนก็บอกที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยให้โอกาสเขาในเรื่อง "การได้เข้าคอร์สร้องเพลง"

อาการของยัยพิธีกรสองคนเขาเรียกว่า เมตตา..กรุณา
ไอ้อาการหรืออารมณ์นี่แหล่ะ ทำให้ตัดสินให้ผู้แสดงผ่านเข้ารอบ
เมื่อเข้ารอบ ผู้แสดงก็ยินดีมีความสุข เลยพลอยให้พิธีกรมีความสุขไปด้วย

พูดถึงเรื่องนี่แล้ว เลยอยากบอกเอกอนว่า เราอย่าไปอินกับรายการมันให้มากเลย
ผมว่า มันเป็นดร่าม่าเสียส่วนใหญ่ ถ้าเทียบความจริงกับไม่จริง
ผมว่าเป็นความไม่จริง ซะเป็นส่วนใหญ่

ว่าแล้วก็หวนมาคิดถึงไทยแลนด์ ก็อททาเล้นเมืองไทย
ดูพวกมันทำซิ มันไปเอาผู้หญิงมาโชว์หน้าอกออกทีวื
พอโดนชาวบ้านเขาด่า ทางรายการบอกไม่รู้เรื่อง
ผู้หญิงหรือผู้แสดงทำเอง

พอนักข่าวไปสัมภาษณ์ทางผู้แสดงกลับบอกว่า ทางรายการจ้างให้มาทำแบบนั้น
ดูซิดูพวกมันทำ ทางรายการทำผิดแล้วยังไม่ยอมรับ

ใจจริงผมสงสารผู้แสดง เพราะรู้ภายหลังว่า ความเป็นอยู่และภาระที่ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว
เลยทำให้ดูการกระทำหรือการแสดงที่ไม่เหมาะไม่ควรนั้น.....
เป็นการแสดงอันเกิดจากความรักที่มีต่อครอบครัว

ถึงได้บอกว่า การแสดงบนเวทีกับชีวิตจริงมันอาจตรงข้ามกัน
ความสงสารบนเวที อาจแปลเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น ความโกรธแค้นอาจกลาย
เป็นความสงสารก็ได้เมื่อเราได้รู้ความจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
จริง ๆ นะ
อย่าง สุข ในสมาธิ มันก็อย่างหนึ่งนะ
สุขที่ยามเมื่อเราเข้าไปสัมผัสกับความสงบสันติในภายใน
สุข จากการให้ มันก็อย่างหนึ่ง หง่ะ
สุขเมื่อยามที่เราได้สัมผัสกับการ ให้ เอาใจเขามาใส่ใจเรา
และส่งความ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ออกไป
เรา ณ ช่วงเวลานั้น เป็นการออกไปสัมผัสกับ
ความชุ่มฉ่ำเย็น ความสุข ความสงบสันติ จากภายนอก
มั๊ง

เรื่องความสุขอันเกิดจากฌาณ ก็แล้วแต่ใครจะยึดหลักไหน
แต่ผมว่า ความว่างอ้นเกิดจากฌาณไม่ใช่ความสุขที่แท้ครับ
ผมมองว่ามันเป็นความหลงครับ

หลักธรรมที่ธรรมให้เกิดสุขจริงๆ มันต้องอาศัยหลักแห่งความเป็นจริง
แล้วหลักธรรมที่นำมาใช้ให้เกิดสุข มันต้องอาศัย หลักธัมมวิจยะ ในโพชฌงค์เจ็ด

ถ้าเรารู้จักเลือกเฟ้นธรรมมาใช้ให้ได้กับความเป็นจริง สุขที่เกิดก็จะเกิดตามเหตุ
ตามปัจจัยที่แท้จริง

สุขอันเกิดจากการให้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามธรรมตามเหตุปัจจัยที่สุดแล้วครับ
การใช้ธัมมวิจยะเลือกเอาพรหมวิหารสี่มาใช้ สรุปลงที่เป็นการให้ มันจะทำให้เกิดธรรม
ที่เรียกว่า ปิติสัมโพชฌงค์
ปิติสัมโพชฌงค์ เป็นไปในลักษณะอิ่มเอิบแช่มชื่นอันปราศจากอามิสครับ
เมื่อเกิดปิติอันปราศจากอามิส ความสงบกาย สงบใจย่อมเกิดขึ้น
กลายเป็นความสุข เราเรียกความสุขนี่ว่า ..ปัสสิทธิสัมโพชฌงค์ :b13:


เอาธรรม เอาบัญญัติมาประกอบ เพื่อความเข้าใจ
[281] โพชฌงค์ 7 (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ — enlightenment factors)
1. สติ (ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง — mindfulness)
2. ธัมมวิจยะ (ความเฟ้นธรรม, ความสอดส่องสืบค้นธรรม — truth-investigation)
3. วิริยะ (ความเพียร — effort; energy)
4. ปีติ (ความอิ่มใจ — zest)
5. ปัสสัทธิ (ความสงบกายสงบใจ — tranquillity; calmness)
6. สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์ — concentration)
7. อุเบกขา (ความมีใจเป็นกลางเพราะเห็นตามเป็นจริง — equanimity)

http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=281


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 03:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อนๆเคยได้ยินสำนวนนี่มั้ยครับ รักแท้คือความเสียสละ รักอมตะคือการรอคอย
สำนวนนี่เป็นคำพูดที่เขียนสลักภาพ ที่แฟนผมตอนเรียนมัธยมต้นให้ผมไว้ครับ
ผมเห็นสำนวนนั้นแล้ว คิดในใจว่านี่เราหลงมาจีบนางเอกลิเกเข้าแล้วหรือนี่

ต่อมาถึงได้รู้ว่าไอ้สำนวนและรูปภาพรวมทั้งแฟนผม เป็นครูที่สามารถสอนธรรมผม
ทำให้เข้าใจว่า "รักแท้คือความเสียสละ รักอมตะคือการรอคอย" มันมีความหมายของธรรมแฝงอยู่

ความหมายในสำนวนนี่ ในประโยคแรก "รักแท้คือความเสียสละ มันใช่เลยครับ
ส่วประโยคหลังที่ว่า ..รักอมตะคือการรอคอยมันไม่ใช่ครับ

บอกเรื่องที่ไม่ใช่ก่อนครับ เคยได้ยินรักแรกกันแล้วใช่มั้ยครับ
รักแรกของวัยรุ่น ต่อให้รักอย่างไรมันก็ต้องเลิกกันซะเป็นส่วนใหญ่
ปัญหาจากอะไรก็ช่างมันเถอะครับ ที่สำคัญปัญหาของผมซิครับ
ผมมันประเภทรักแล้วไม่ยอมเลิก ที่ว่าไม่ยอมเลิกคือเลิกคิดถึงครับ

กับไอ้ประโยคที่ว่า"รักอมตะคือการรอคอย" ทำให้ผมเฝ้ารอว่า
ต้องมีซักวันเราสองคนจะกลับมารักกันใหม่ จะอยู่กันแบบสองคนตายาย
รอแล้วรอเล่า เธอไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เสียงก็ไม่ได้ยิน นานมากแล้ว

แล้ววันที่รอคอยก็มาถึงครับ เหมือนปาฏิหาริย์ ไปเจอชื่อเธอพร้อมอีเมล์ในกูเกิล
ลองติดต่อไปคุยกันได้ระยะทางอีเมล์ แล้วเธอก็ส่งรูปมาให้ดู....
โอ้! บะเจ้าช่วย นี่หรือคนที่เราเฝ้ารอ นี่หรือคนที่เราหวลระลึกถึงทุกครั้ง
เมื่อเราเหงา


เอารูปปัจจุบันกับรูปที่เธอเคยให้ไว้พร้อมกับประโยคที่ว่า"รักอมตะคือการรอคอย"
มาเทียบกันดู มันเหมือนแม่กับลูกเลยครับ
ความทรงจำที่ได้เดินคู่กับเด็กผู้หญิงเสียงใสๆหน้าตาน่ารัก มันมลายหายไปหมด
มันหายไปพร้อมกับคำพูดที่ว่า..."รักอมตะคือการรอคอย"
มันมีประโยคใหม่มาแทนที่นั้นก็คือ...."อนิจจังวัฎฏะสังขาราครับ" :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 09:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:

http://www.youtube.com/watch?v=igr8d_Vv ... re=related

:b32:

http://www.youtube.com/watch?v=2CcM-Bp2 ... re=related

:b32:

เชื่อว่า ภรรยาคุณก็น่าจะมี First Love เช่นกัน

:b32: :b32:

เพราะขนาดเอกอนยังมีเรยยยยย


จำได้ คนแรกนี่หน้าตาเหมือน อธิป ทองเจือ

ปิ๊งที่สอง นี่ หน้าตาเหมือน บอย จอร์จ

ปิ๊งที่สาม นี่ เหมือน จอน บองโจวี่

5555555

.....

และก็...นักกีฬาแบดมินตันทีมชาติจีน
ก็ระดับตำแหน่งเหรียญเงินเหรียญทองนะ

อันนี้ทึ่งมาก คือเขามาเมืองไทย เอกอนก็ไปดูธรรมดานั่นล่ะ
แต่พอเขาแข่งก็จะไปเชียร์เขาอยู่ขอบสนาม ตอนรอบชิงเหรียญทอง
(มีสองคู่ที่เอกอนเชียร์ขาดใจ หัวใจจะวายตายอยู่ขอบสนาม :b32: )
และพอแข่งเสร็จพวกเขาก็กลับไป
แต่พอหลังจากนั้นอีกปี...เขามาแข่งแมชต์ทัวนาเมนต์ในไทย
เหว๋ย ... เขาเห็นเอกอน เขาจำเอกอนกันได้หมดเรย... :b9:

5555

แต่พอตอนไปขอถ่ายรูปกับหนุ่ม ๆ นักแบดทีมชาติจีน
ได้กอดกับ ชายเดี่ยวมือหนึ่งของจีนด้วย
คือจริง ๆ เอกอนไม่ได้ปลื้มเขานะ ไม่ได้ตามไปเชียร์เลย เพราะสนใจแต่ชายคู่
แต่ตอนถ่ายรูปน้องชายมันชวนไปถ่ายด้วย
ซึ่งเอกอนป่าวเข้าไปขอกอดเขานะ
พอถ่ายรูปเสร็จอยู่ ๆ คนอื่นเขาก็ไม่เข้าไปกอดนะ
เขาก็หันเข้ามากอดเอกอนเฉยเรย
อิอิ สงสัยแอบปิ๊งเราแน่เรย :b3: :b3:
น้องชายยังทำตาตกใจ
"เอ้ย...เขาเข้ามากอดพี่เฉยเรยว่ะ :b10:
เอ้ย...คนอื่นเขาไม่เห็นเข้าไปกอดเรยนะเว้ย... :b19: :b19: "

5555

:b3: :b3: :b3:

5555


:b41: :b41: :b41:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 27 ส.ค. 2012, 10:08, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 09:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ที่จัดว่าปิ๊งเป็นรักแรกที่กินใจที่สุด ก็ประมาณ
น้อง ๆ เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิค น่ะ

:b32: :b32: :b32:

อิอิ หนุ่มในฝันแต่ละคน 555 แบบระดับซู๊ดยอดทั้งนั้น

มันก็เลยเหมือนหมาเหงนหน้ามองยานอวกาศ :b32: :b32:

5555 เกิดเป็นยาจก แต่ดัน หัวสูง

:b41: :b46: :b46: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 12:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
โอ้! บะเจ้าช่วย นี่หรือคนที่เราเฝ้ารอ นี่หรือคนที่เราหวลระลึกถึงทุกครั้ง
เมื่อเราเหงา



:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2012, 03:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เชื่อว่า ภรรยาคุณก็น่าจะมี First Love เช่นกัน

ถ้าเป็นแฟนไม่แน่ใจ แต่ถ้าเป็นแม่ของลูก อันนี้ชัวร์ว่าผมเป็น รักแรก รักทรหดของเธอ
เอาเป็นว่า กว่าที่เธอจะตาสว่าง เธอตัองเสียน้ำตาเพราะผมไปเท่าไรต่อเท่าไร

เห็นกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว วันสุดท้ายที่หย่าขาดกัน ผมเห็นสีหน้าเธอแล้ว
ความรู้สึกผมเหมือนได้ปล่อยวางอะไรหนักๆลง ตั้งแต่รู้จักกันมาเหมือนต้องแบกเอา
ความห่วงหาอนาทร ต้องคอยมองดูอาการที่โกรธก็เงียบ เสียใจก็ร้องไห้

เคยถูกผมกระทบกระเทียบบ่อยๆว่า อย่าทำตัวเป็นนางเอกได้มั้ย
ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี่ก็เพราะ ตีสีหน้าแบบนี้ ชอบบีบน้ำตาร้องไห้
เห็นแล้วทนไม่ได้
eragon_joe เขียน:
เพราะขนาดเอกอนยังมีเรยยยยย [/color]

จำได้ คนแรกนี่หน้าตาเหมือน อธิป ทองเจือ

นามสกุลผิดหรือเปล่า รู้จักแต่ อธิป ทองจินดา :b6:
eragon_joe เขียน:
ปิ๊งที่สอง นี่ หน้าตาเหมือน บอย จอร์จ

โอ้!พระเจ้า....จอร์จ นายเป็นเกย์ ซาร่ารับไม่ได้
เอกอนจ๋า บอย จอร์จ มันเป็นเกย์ไม่ใช่หรือ ? :b22:
eragon_joe เขียน:
ปิ๊งที่สาม นี่ เหมือน จอน บองโจวี่
5555555

คบกับคนนี้ก็หวาดเสียว เดี๋ยวมันก็เอาภูมิคุ้มกันเอกอนไปหรอก หยะแหย่ง! :b5:
eragon_joe เขียน:
:
[color=#004000]และก็...นักกีฬาแบดมินตันทีมชาติจีน
ก็ระดับตำแหน่งเหรียญเงินเหรียญทองนะ

อันนี้ทึ่งมาก คือเขามาเมืองไทย เอกอนก็ไปดูธรรมดานั่นล่ะ
แต่พอเขาแข่งก็จะไปเชียร์เขาอยู่ขอบสนาม ตอนรอบชิงเหรียญทอง
(มีสองคู่ที่เอกอนเชียร์ขาดใจ หัวใจจะวายตายอยู่ขอบสนาม :b32: )
และพอแข่งเสร็จพวกเขาก็กลับไป
แต่พอหลังจากนั้นอีกปี...เขามาแข่งแมชต์ทัวนาเมนต์ในไทย
เหว๋ย ... เขาเห็นเอกอน เขาจำเอกอนกันได้หมดเรย... :b9:

5555

ถามหน่อย มีการชูป้ายแล้วร้องกรี๊ดดๆๆๆๆๆๆๆๆๆด้วยหรือเปล่า :b13:
eragon_joe เขียน:
แต่พอตอนไปขอถ่ายรูปกับหนุ่ม ๆ นักแบดทีมชาติจีน
ได้กอดกับ ชายเดี่ยวมือหนึ่งของจีนด้วย
คือจริง ๆ เอกอนไม่ได้ปลื้มเขานะ ไม่ได้ตามไปเชียร์เลย เพราะสนใจแต่ชายคู่
แต่ตอนถ่ายรูปน้องชายมันชวนไปถ่ายด้วย
ซึ่งเอกอนป่าวเข้าไปขอกอดเขานะ
พอถ่ายรูปเสร็จอยู่ ๆ คนอื่นเขาก็ไม่เข้าไปกอดนะ
เขาก็หันเข้ามากอดเอกอนเฉยเรย

ที่บอกว่า ชายเดี่ยวมือหนื่งเนี้ย แปลว่ามันมีมือเดียวหรือเปล่า
แบบนี้มันไม่เจียมบอดี้ นี่ขนาดมือเดียวมือหนึ่งน่ะ ถ้าเป็นเดี่ยวมือสาม
หรือเดี่ยวมือสี่ เอกอนช้ำไปทั้งตัวแน่ๆ :b32:
eragon_joe เขียน:
น้องชายยังทำตาตกใจ
"เอ้ย...เขาเข้ามากอดพี่เฉยเรยว่ะ
เอ้ย...คนอื่นเขาไม่เห็นเข้าไปกอดเรยนะเว้ย... "
5555

ที่เขากอดเฉยๆน่ะ เอกอนคงผิดหวังมากล่ะซิ
คงด่าเขาในใจว่า....ผู้ชายอะไร บรื่อซะไม่มี :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2012, 04:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยบอกแล้วว่า ทั้งแฟนคนแรกและภรรยาคนสุดท้าย เป็นครูบาอาจารย์แสดงธรรมให้เรารู้ครับ
เรื่อง..รักแท้คือความเสียสละนี่ก็เหมือนกัน มาเข้าใจก็เพราะ สองคนนี้

ตอนแรกคิดว่า รักแท้กับอาการที่เรียกว่ารักแรก เหมือนกันซะอีก
ที่ไหนได้มันไม่ใช่ครับ รักแรกมันเป็นอกุศล ส่วนรักแท้เป็นกุศล

นานมากที่หลงว่า ตัวเรานี่ดีมีรักแรกที่ไม่มีวันลืม เป็นคนหนักแน่น
เป็นชายอกสามศอก แมนมาก สุดท้ายก็มารู้ว่า สิ่งที่เราคิดมันก็แค่
ความหลงในกิเลสเบื้องต่ำ หลงรูป หลงเสียงและสัมผัส
ความจริงของวัฏฏะสงสารบอกให้รู้ว่า รักแรกที่ยังไม่ลืม เฝ้าแต่รอ
อยากให้เจอสิ่งที่เคยเมื่ออดีต ที่ไหนได้หลงมาตั้งนาน

คนที่สอนให้รู้จักความหมายของคำว่ารักแท้ก็คือภรรยานั้นเอง
ความเป็นห่วงที่เธอต้องอยู่บ้านคนเดียว ความสงสารเมื่อเห็นเธอร้องไห้
รู้สึกเป็นสุขใจเมื่อเธอยิ้ม สิ่งเหล่านี้พื่งมารู้ว่ามันเป็นความรัก

มันตรงกับคำว่า รักแล้วทุกข์จริงๆ วันๆชีวิตครอบครัวไม่มีความสุข
มีแต่ทุกข์ ไอ้ทุกข์ที่ต้องคอยมาเป็นห่วงเป็นไยคนนี่มันทรมาณสิ้นดี

มารู้ตอนหลังว่า รู้จักรักรู้จักเป็นห่วงเป็นไยคนมันก็ดี แต่ที่เป็นทุกข์
ก็เพราะไม่รู้จักปล่อยวาง มันก็เหมือนกับพรหมวิหารธรรมที่ว่า..
เมตตา กรุณาแล้ว มุทิตาแล้ว ต้องอย่าลืมวางอุเบกขาด้วย

ไอ้ตอนยังวางอุเบกขาไม่เป็นเนี่ย คิดอยู่อย่างเดียว ชืวิตคู่มันทำให้ทุกข์ใจ
ต้องหาทางเลิกให้ได้ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ เราจะบอกว่า ....
เราเลิกกันเถอะน่ะ เราใจแข็งพอหรือ ที่ทุกข์ที่อยากเลิกก็เพราะสงสารเธอไม่ใช่หรือ
ไปบอกเลิกจะไม่ทำให้เธอเสียใจหรือ

พอมาคิดถึงคำว่า... "รักแท้คือความเสียสละ" เลยเกิดคิดได้ว่า ที่เรารักเมียเป็นห่วงเมีย
เป็นเพราะนิสัยของเธอ และเธอก็คงจะรักเราก็เพราะนิสสัยเราเช่นกัน

ที่นี่แหล่ะที่ผมยอมเสียสละ ยอมเป็นคนไม่ดี ย่อมเปลี่ยน ยอมทำในสิ่งที่ภรรยาไม่ชอบ
น้ำเสียงที่เคยอ่อนหวานมีเมตตา ก็เป็นคำพูดหวนๆไม่มีหางเสียง คอยกุลีกุจอช่วยทำงานบ้าน
แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เห็นเธอซื้ออะไรเข้าบ้าน ก็จะแกล้งบ่นสามบ้านแปดบ้านว่าสุรุ่ยสุร่าย
ผมทำนานๆเข้า การเสแสร้งของผมกลับไปเปลี่ยนนิสสัยเธอครับ

ดูเธอแข็มแข็งขึ้น ที่สำคัญหยิ่งยโสขึ้น ต่อปากต่อคำ สายตาแข็งทื่อ
ไม่มีน้ำตาให้เห็นแล้วครับ และที่ไม่มีวันลืมก็คือ เธอมาขอแยกทางกับผมครับ
นี่แหล่ะครับบทสรุป ของคำว่ารักแท้

ที่แน่ๆชาวบ้านญาติพี่น้อง ตราหน้าผมว่า ไอ้นี่มันเลวจนเมียอยู่ด้วยไม่ได้
แต่อย่างว่าช่างมันฉันไม่แคร์ ฉันรู้แค่ว่าฉันเสียสละยอมเป็นคนเลว ก็มันทุกข์นี่หว่า!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2012, 08:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2012, 13:21
โพสต์: 21

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
อายุ: 20

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เคยบอกแล้วว่า ทั้งแฟนคนแรกและภรรยาคนสุดท้าย เป็นครูบาอาจารย์แสดงธรรมให้เรารู้ครับ
เรื่อง..รักแท้คือความเสียสละนี่ก็เหมือนกัน มาเข้าใจก็เพราะ สองคนนี้

ตอนแรกคิดว่า รักแท้กับอาการที่เรียกว่ารักแรก เหมือนกันซะอีก
ที่ไหนได้มันไม่ใช่ครับ รักแรกมันเป็นอกุศล ส่วนรักแท้เป็นกุศล

นานมากที่หลงว่า ตัวเรานี่ดีมีรักแรกที่ไม่มีวันลืม เป็นคนหนักแน่น
เป็นชายอกสามศอก แมนมาก สุดท้ายก็มารู้ว่า สิ่งที่เราคิดมันก็แค่
ความหลงในกิเลสเบื้องต่ำ หลงรูป หลงเสียงและสัมผัส
ความจริงของวัฏฏะสงสารบอกให้รู้ว่า รักแรกที่ยังไม่ลืม เฝ้าแต่รอ
อยากให้เจอสิ่งที่เคยเมื่ออดีต ที่ไหนได้หลงมาตั้งนาน

คนที่สอนให้รู้จักความหมายของคำว่ารักแท้ก็คือภรรยานั้นเอง
ความเป็นห่วงที่เธอต้องอยู่บ้านคนเดียว ความสงสารเมื่อเห็นเธอร้องไห้
รู้สึกเป็นสุขใจเมื่อเธอยิ้ม สิ่งเหล่านี้พื่งมารู้ว่ามันเป็นความรัก

มันตรงกับคำว่า รักแล้วทุกข์จริงๆ วันๆชีวิตครอบครัวไม่มีความสุข
มีแต่ทุกข์ ไอ้ทุกข์ที่ต้องคอยมาเป็นห่วงเป็นไยคนนี่มันทรมาณสิ้นดี

มารู้ตอนหลังว่า รู้จักรักรู้จักเป็นห่วงเป็นไยคนมันก็ดี แต่ที่เป็นทุกข์
ก็เพราะไม่รู้จักปล่อยวาง มันก็เหมือนกับพรหมวิหารธรรมที่ว่า..
เมตตา กรุณาแล้ว มุทิตาแล้ว ต้องอย่าลืมวางอุเบกขาด้วย

ไอ้ตอนยังวางอุเบกขาไม่เป็นเนี่ย คิดอยู่อย่างเดียว ชืวิตคู่มันทำให้ทุกข์ใจ
ต้องหาทางเลิกให้ได้ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ เราจะบอกว่า ....
เราเลิกกันเถอะน่ะ เราใจแข็งพอหรือ ที่ทุกข์ที่อยากเลิกก็เพราะสงสารเธอไม่ใช่หรือ
ไปบอกเลิกจะไม่ทำให้เธอเสียใจหรือ

พอมาคิดถึงคำว่า... "รักแท้คือความเสียสละ" เลยเกิดคิดได้ว่า ที่เรารักเมียเป็นห่วงเมีย
เป็นเพราะนิสัยของเธอ และเธอก็คงจะรักเราก็เพราะนิสสัยเราเช่นกัน

ที่นี่แหล่ะที่ผมยอมเสียสละ ยอมเป็นคนไม่ดี ย่อมเปลี่ยน ยอมทำในสิ่งที่ภรรยาไม่ชอบ
น้ำเสียงที่เคยอ่อนหวานมีเมตตา ก็เป็นคำพูดหวนๆไม่มีหางเสียง คอยกุลีกุจอช่วยทำงานบ้าน
แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เห็นเธอซื้ออะไรเข้าบ้าน ก็จะแกล้งบ่นสามบ้านแปดบ้านว่าสุรุ่ยสุร่าย
ผมทำนานๆเข้า การเสแสร้งของผมกลับไปเปลี่ยนนิสสัยเธอครับ

ดูเธอแข็มแข็งขึ้น ที่สำคัญหยิ่งยโสขึ้น ต่อปากต่อคำ สายตาแข็งทื่อ
ไม่มีน้ำตาให้เห็นแล้วครับ และที่ไม่มีวันลืมก็คือ เธอมาขอแยกทางกับผมครับ
นี่แหล่ะครับบทสรุป ของคำว่ารักแท้

ที่แน่ๆชาวบ้านญาติพี่น้อง ตราหน้าผมว่า ไอ้นี่มันเลวจนเมียอยู่ด้วยไม่ได้
แต่อย่างว่าช่างมันฉันไม่แคร์ ฉันรู้แค่ว่าฉันเสียสละยอมเป็นคนเลว ก็มันทุกข์นี่หว่า!


โอ้ซึ้งมากเลยครับคุณพี่โฮฮับ..... :b8: ผมขออนุญาติเล่าให้ฟังนะครับ.... ผมเคยมีนะครับถึงไม่ใช่คน

แรก แต่ผมตัดสินใจขอเรียกเธอว่ารักแรกเลย เพราะคนนี้เป็นคนที่ผมตั้งใจจีบ เป็นคนที่ผมคิดหน้าคิดหลัง

ก่อนที่จะทำอะไรให้เสมอ ว่าง่ายๆก็ตรงสเป็กผมเลยละครับ เธอคือหญิงสาวในอุดมคติ แล้วเธอก็สนใจ

ผมด้วย เธอสนใจผมอยู่นานแล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงปี1ในมหาลัย ก็มีกิจกรรมที่ทำด้วยกันบ่อย ผมอยู่ใน

ตำแหน่งหัวหน้างานเสมอ เธอบอกชอบผมในความเป็นผู้นำชอบช่วยเหลือผู้อื่น ตอนหลังเธอเคยบอกว่า

ถ้าจะเลี้ยงให้ลูกนิสัยยังไง เธอว่าต้องดูที่พ่อแม่ละว่านิสัยยังไง โอ้โดนเลยครับเพราะผมเป็นคนไม่เสพของ

มึนเมาไม่ยุ่งกับอบายมุขทุกชนิด ผมหลงตัวเองเลยครับว่า..อ้อเพราะงี้สิน่ะเธอถึงเลือกเราเพราะเห็นคนที่

มาจีบเธอก็แยะไป แล้วเราก็ตกลงเป็นแฟนกันยินยอมทั้งสองฝ่ายมึความสุขมากครับ ครึ่งปีผ่านไปจากที่

เคยหวานฉ่ำ เธอเริ่มเย็นฉากับผมมันไม่เหมือนเก่านะครับ ผมก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์เธอนะครับ

บางวันเธอไม่อยากคุย ผมก็ไม่คุย หลังๆผมจึงถามว่าเธอเป็นอะไร เธอก็ตอบแบบรำคาญมาว่าอย่าถามได้

ไหม ผมก็ไม่ถามแต่มันก็ทนไม่ไหวนี้สิ ผมจึงออกปากไปว่า เกิดอะไรขึ้นกับเราสองคนเธอเป็นอะไรไป ผม

ว่าถ้าผมทำอะไรไม่ดีตรงไหนให้เธอบอกมาผมกล่าวขอโทษขอโพยโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน ตอน

แรกเธอก็จะไม่พูดหรอกครับ แต่ผมถามจนได้ละครับ ผมว่าเธอมีอะไรก็บอกเรามาเถอะ เราพร้อมรับฟัง

ทุกอย่างและพร้อมจะยอมรับทุกอย่าง เธอก็บอกผมตรงๆเลยครับว่า ที่ผ่านมาทั้งหมดเธอหลอกตัวเอง เธอ

ว่าไม่ได้รักผม เธอบอกที่เธอมาสนใจผมเพราะเธอเหงาเพราะเธอเพิ่งถูกแฟนเธอทิ้งมา ที่ผ่านมาเธอว่าเธอ

พยายามทำตัวเข้มแข็งอยู่ตลอด เธอบอกว่าเธอไม่อยากทำร้ายใครอีกต่อไปแล้ว เธอคงไม่พร้อมที่จะรักใคร

ไปอีกนาน ผมก็ช็อคครับ ผมพยายามตั้งสติแล้วก็คิดว่า โอ้..เธอคบกับเราแล้วไม่มีความสุขแล้วน่ะเนี้ย เรา

บอกก่อนหน้านี้แล้วด้วยว่าจะยอมรับทุกอย่าง ตอนนั้นผมยอมครับเพราะผมทำใจมาก่อนแล้วนิดหนึ่งแล้ว

เราก็เลิกกันครับ ก่อนหน้านั้นผมก็บอกเธอว่าผมจะรอเธอน่ะ เธอคือคนเดียวที่ใช่เลยของผม ผมรักเธอมาก

ผมก็บอกไปก่อนเราจะเลิกกัน เพราะเธอบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันได้เริ่มนับหนึ่งใหม่ได้ ผมเลยมีความหวัง

อยู่ หลังจากเลิกกันคำว่า รอ ยังอยู่ในใจผมเสมอแล้วอีกสิ่งที่มาใหม่หลังเลิกกันสิครับ มันคือความทุกข์

ทุกข์ทรมานเหลือเกิน ตอนนั้นมันยอมรับได้สิครับ แต่ตอนนี้มันเบลอไปหมด จากสิ่งที่เคยมีมันไม่มี พี่คง

เข้าใจนะว่าอาการใจของคนที่ถูกบอกเลิกมาเป็นยังไง ผมก็ขอบอกเลยว่าผมเป็นเช่นนั้นหมดเลย ทุกข์เหลือ

เกิน ...ผมก็ดูตัวเองมองตัวเองว่า โอ้แม่เจ้า...ทำไมมันทุกข์อย่างนี้ว๊าาา นี้คือสิ่งที่อยู่ภายใจครับแต่ภาย

นอกผมก็ดูเป็นปกติ ที่รู้ตัวเองว่าปกติเพราะผมรู้ว่าผมควรทำตัวยังไง ผมก็ใช้ชิวิตปกติของผม เพื่อนผมที่รู้

เรื่องบางคนเห็นผมเล่นสนุกปกติยังถามผมเลยว่า เอ็งไม่เสียใจเลยใช่มั๊ยหนิ ผมก็ตอบแบบหน้าตายครับว่า

เสียใจสิ มันก็บอกว่าไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่เลยนะเนี้ยเพราะดูอาการไม่เหมือนคนอกหักถูกทิ้งซักนิดเดียว

ผมก็ ฮ่าๆอืมๆไป เพื่อนบางคนก็บอกจะพาไปเมาผมก็บอกเพื่อนไปว่าผมไม่ไปหรอกเพราะผมเห็นว่ามันไม่

ใช่ทางออกที่ดีนัก ตั้งแต่ความทุกข์มันมาเล่นงานผมนี่นะครับ ผมก็เห็นทางออกอยู่ทางเดียวทางที่จะ

บรรเทาทุกข์ในใจผมได้ก็คือธรรมะครับ ช่วงนั้นผมฟังเทศน์ของท่าน ว.วชิระเมธี เพราะหาง่ายครับฟังจนหา

ฟังไม่ได้ ก็เห็นผลเลยครับ ปลงได้กับหลายๆสิ่งเลย ผมก็มานั่งคิดดูใจตัวเองครับว่า ที่มารอเค้าอยู่เนี้ย

เพราะอะไรน้อ คิดได้ว่าที่อยากกลับไปเหมือนเมื่อก่อนก็เพราะอยากมีแบบเมื่อก่อน อยากมีสิ่งที่ทำให้ตัว

เองมีความสุข เออ...มันรักเค้าหรือรักตัวเองหว่า ว่าแล้วก็ตอบใจตัวเองเลยว่ารักตัวเองชัดๆ ผมคอยมองดู

เค้าผมเห็นเค้าทุกข์เค้าไม่สบายใจเหตุเพราะเค้าอยากคืนดีกับแฟนเก่าเค้า แต่แฟนเก่าเค้าไม่เคยสนใจ ผม

รู้มาจากเพื่อนสนิทเค้าว่าเค้ามักจะร้องไห้ประจำ เพราะคิดถึงแฟนเก่า ผมชอบไปเยี่ยมเค้าในเฟสบุ๊ตบ่อยๆ

ผมก็เห็นเค้าระบายความในใจตลอดประมาณว่า คิดถึงแฟนเก่าเค้า ผมก็ทุกข์ตามเค้าไปด้วยครับ ผมทุกข์ที่

เค้าทุกข์แล้วผมก็มีความรู้สึกว่าอยากให้เค้าสมหวังจังเค้าจะได้ไม่ต้องทุกข์ ผมทำอะไรไม่ได้เลยครับ

เพราะเบอร์โทรศัพท์เค้าก็เปลี่ยนเพื่อหนีผม กลัวผมโทรไปหา ผมเคยให้กำลังใจเค้าในเฟสเค้าก็ลบความ

คิดเห็นผม เค้ายังบล็อกเฟสผมอีก เหอๆผมก็ โอ้...รำคาญเราขนาดนั้นเลยหรือนั้น ยิ่งเราไปยุ่งยิ่งแต่ทำให้

เค้าทุกข์อีก ผมก็วางครับ ช่วงนั้นผมฟังธรรมจากหลวงพ่อชา ผมก็คิดว่าผมคงไม่อยู่ในฐานะที่ทำอะไรได้

แล้ว ผมก็วางครับ ผมเลิกสร้างเหตุนอกตัว มาสร้างเหตุในตัวแทนตอนนี้ผมได้แต่ตั้งใจเรียนให้จบระหว่าง

นั้นผมก็ศึกษาธรรมะด้วย ผมคิดว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้ผมมองเห็นกิเลศของตัวเองชัดมากครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2012, 09:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss Kiss Kiss

กับทั้งสองคน
แสดงให้เห็นว่า แท้จริงแล้วผู้ชายก็มีหัวใจนะนี่

อิอิ แล้วเอกอนไปเอา "ทองเจือ" มาจากไหนหว๋า :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2012, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2011, 17:04
โพสต์: 133


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ไม่กล่าวมุสา แม้แต่เพื่อหัวเราะกัน

ราหุล ! เรากล่าวว่า กรรมอันเป็นบาปหน่อยหนึ่ง
ซึ่งบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการแกล้งกล่าวเท็จ
ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จจะทำาไม่ได้หามีไม่.
เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ เธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้ว่า
“เราทั้งหลายจักไม่กล่าวมุสา แม้แต่เพื่อหัวเราะกันเล่น”
ราหุล ! เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจไว้อย่างนี้.
---------------------
(บาลี) ม. ม. ๑๓/๑๒๕/๑๒๗.

:b42: :b42: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2012, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ละครน้ำเน่า เขียน:
ไม่กล่าวมุสา แม้แต่เพื่อหัวเราะกัน

ราหุล ! เรากล่าวว่า กรรมอันเป็นบาปหน่อยหนึ่ง
ซึ่งบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการแกล้งกล่าวเท็จ
ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จจะทำาไม่ได้หามีไม่.
เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ เธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้ว่า
“เราทั้งหลายจักไม่กล่าวมุสา แม้แต่เพื่อหัวเราะกันเล่น”
ราหุล ! เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจไว้อย่างนี้.
---------------------
(บาลี) ม. ม. ๑๓/๑๒๕/๑๒๗.

:b42: :b42: :b42:

[๘๖๒] ความมัวเมา เป็นไฉน
ความมัวเมา กิริยาที่มัวเมา สภาพที่มัวเมา ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว
สภาพที่ถือตัว การยกตน การเทอดตน การเชิดชูตนดุจธง การยกตนขึ้น ความ
ที่จิตต้องการเป็นดุจธง อันใด นี้เรียกว่า ความมัวเมา


ความมัวเมาในศีล เป็นไฉน
ความมัวเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง เพราะอาศัยศีล นี้
เรียกว่า ความมัวเมาในศีล

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 5&item=874


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2012, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ละครน้ำเน่า เขียน:
ไม่กล่าวมุสา แม้แต่เพื่อหัวเราะกัน

ราหุล ! เรากล่าวว่า กรรมอันเป็นบาปหน่อยหนึ่ง
ซึ่งบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการแกล้งกล่าวเท็จ
ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จจะทำาไม่ได้หามีไม่.
เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ เธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้ว่า
“เราทั้งหลายจักไม่กล่าวมุสา แม้แต่เพื่อหัวเราะกันเล่น”
ราหุล ! เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจไว้อย่างนี้.
---------------------
(บาลี) ม. ม. ๑๓/๑๒๕/๑๒๗.

:b42: :b42: :b42:

[๘๖๒] ความมัวเมา เป็นไฉน
ความมัวเมา กิริยาที่มัวเมา สภาพที่มัวเมา ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว
สภาพที่ถือตัว การยกตน การเทอดตน การเชิดชูตนดุจธง การยกตนขึ้น ความ
ที่จิตต้องการเป็นดุจธง อันใด นี้เรียกว่า ความมัวเมา


ความมัวเมาในศีล เป็นไฉน
ความมัวเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง เพราะอาศัยศีล นี้
เรียกว่า ความมัวเมาในศีล

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 5&item=874


เพิ่มเติมให้ คุณน้ำเน่านำไปพิจารณาครับ.....

[๑๓๐]
ดูกรราหุล เธอปรารถนาจะทำกรรมใดด้วยวาจา เธอพึงพิจารณาวจีกรรมนั้น
เสียก่อนว่า เราปรารถนาจะทำกรรมใดด้วยวาจา วจีกรรมของเรานี้ พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง
เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง และเพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง วจีกรรมนี้เป็นอกุศล มีทุกข์
เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบากกระมังหนอ. ถ้าเธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า เราปรารถนาจะทำ
กรรมใดด้วยวาจา วจีกรรมของเรานี้ พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
และเพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง วจีกรรมนี้เป็นอกุศล

มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก
ดังนี้ไซร้ วจีกรรมเห็นปานนั้น เธอไม่ควรทำโดยส่วนเดียว. แต่ถ้าเธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า
เราปรารถนาจะทำกรรมใดด้วยวาจา วจีกรรมของเรานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อ
เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง และเพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง วจีกรรมนี้เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร
มีสุขเป็นผลดังนี้ไซร้ วจีกรรมเห็นปานนั้น เธอควรทำ. ดูกรราหุล แม้เมื่อเธอกำลังทำกรรม
ด้วยวาจา เธอก็พึงพิจารณาวจีกรรมนั้นแหละว่า เราทำอยู่ซึ่งกรรมใดด้วยวาจา วจีกรรมของเรานี้
ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง และเพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่น
บ้าง วจีกรรมนี้เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบากกระมังหนอ. ถ้าเธอพิจารณาอยู่
พึงรู้อย่างนี้ว่า เราทำอยู่ซึ่งกรรมใดด้วยวาจา วจีกรรมของเรานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน
เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น และเพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่น วจีกรรมนี้เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร
มีทุกข์เป็นวิบากดังนี้ไซร้ เธอพึงเลิกวจีกรรมเห็นปานนั้นเสีย. แต่ถ้าเธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า
เราทำอยู่ซึ่งกรรมใดด้วยวาจา วจีกรรมของเรานี้ ย่อมไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อ
เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง และเพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง วจีกรรมนี้เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร
มีสุขเป็นวิบากดังนี้ไซร้ เธอพึงเพิ่มวจีกรรมเห็นปานนั้น. ดูกรราหุล แม้เธอทำกรรมด้วยวาจา
แล้ว เธอก็พึงพิจารณาวจีกรรมนั้นแหละว่า เราได้ทำแล้วซึ่งกรรมใดด้วยวาจา วจีกรรมของเรานี้
ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง
วจีกรรมนี้เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบากกระมังหนอ. ถ้าเธอพิจารณาอยู่
พึงรู้อย่างนี้ว่า เราได้ทำแล้วซึ่งกรรมใดด้วยวาจา วจีกรรมของเรานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียน
ตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง วจีกรรมนี้เป็นอกุศล
มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบากดังนี้ไซร้ วจีกรรมเห็นปานนั้น เธอพึงแสดง เปิดเผย
ทำให้ตื้น ในพระศาสนาหรือในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้วิญญู ครั้นแล้วพึงสำรวมต่อไป. แต่
ถ้าเธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า เราได้ทำแล้วซึ่งกรรมใดด้วยวาจา วจีกรรมของเรานี้ ย่อมไม่
เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง
วจีกรรมนี้เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบากดังนี้ไซร้ เธอพึงมีปีติและปราโมทย์
ศึกษาในกุศลธรรมทั้งกลางวันและกลางคืน อยู่ด้วยวจีกรรมนั้นแหละ.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/s ... =13&A=2383


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร