วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 06:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 09:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 23:30
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


ประวัติความเป็นมา
________________________________________
เรื่องลั ทธิที่อ้างพระเมตไตรยก็เป็นอีกหนึ่งในหลายรูปแบบที่แพร่หลาย นับแต่อดีตจนถึงปั จจุบัน ทั้งในจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฯลฯ แม้แต่ประเทศไทยในปั จจุบั นก็ สามารถพบเห็นได้ ซึ่งสามารถพบได้ในแหล่งคนจีน และไม่ใช่คนจีน ความจริงลั ทธิพวกนี้แม้ จะอ้างบุคคลตลอดจนถึงหลั กคำสอน ในพุทธศาสนาและศาสนาเต๋า แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาและศาสนาเต๋าแต่อย่างใด ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาจีน เรียกลั ทธิพวกนี้ว่า “ลั ทธิเดียรถีย์ ที่อิงแอบพุทธศาสนา” ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นมีทั้งที่อิงพุทธศาสนาและทั้งที่อิงศาสนาเต๋า หรืออิงทั้ง2-3ศาสนา (รวมขงจื่อด้วย) มีการนำ บุคคล, คัมภีร์, คำสอนของศาสนาดังกล่าวเพื่อบั งหน้า แต่ลึกๆแล้วมีการสอดแทรกคำสอนของตน ตลอดจนมีการอธิบายความคำสอนตามความคิดของตน เพื่อจุดประสงค์ต่างๆกันไป โดยจุดประสงค์ของลั ทธิ พวกนี้ ก็มีตั้งแต่เพื่อหาเงิน, สมาชิก, สร้าง ความยิ่งใหญ่ขององค์กรหรือแม้แต่กระทั่งเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง ฯลฯ

ศรัทธานั้นไม่มีตัวตน แต่มีพลัง สามารถทำให้คนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดๆ บางครั้งศรัทธาที่เจ้าลั ทธิอุปโลกน์ขึ้น ก็สามารถยั งให้ทรัพย์ สมบั ติทั้งหมดของผู้มีศรัทธา ตกเป็นของเจ้าลั ทธิ หรือให้ ผู้มีศรัทธากระทำการ ใดการหนึ่งเพื่อเจ้าลั ทธิ แม้กระทั่งไปตายแทนบรรดาเจ้าลั ทธิได้

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างลัทธิบางส่วน ที่ได้ชื่อว่า “ลัทธิแอบอ้างศาสนา” โดยบางส่วนของลัทธิเหล่านี้บางลัทธิ ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งโดยมากจะอยู่ในไต้หวัน และที่ อยู่ของชาวจีนโพ้นทะเล ในสมัยปัจจุบันได้แก่ สมาคมสหกุศลธรรม, ลัทธิบุบผาประทีป, ลัทธิพลังธรรมจักร (ฝ่าหลุนกง), ลัทธินาคปุษปะ, ลัทธิบุพพนภามรรค, ลัทธิอนุตตรธรรม, ลัทธิเมตไตรยมหามรรค ฯลฯ

อี๋ก้วนเต้าหรือเทียนเต้า ในภาษาจีนกลางหรือก็คือ "ลัทธิอนุตตรธรรม" ในภาษาไทย ("ลัทธิอนุตตรธรรม", "อนุตตรธรรม", "วิถีอนุตตรธรรม" เป็นชื่อที่ใช้เรียกตนเองเมื่อเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย) ก่อตั้งในรัชสมัยกวางซฺวี่ ปี่ที่12 แห่งราชวงศ์ชิง ตรงกับปีพ.ศ. 2429 โดยหลิงชิงซฺวี ปรมาจารย์ รุ่นที่ 16 ของลัทธิหลอจู่ โดยแตกแขนงออกมาจากลัทธิบุพพนภามรรคอีกที (ลัทธิบุพพนภามรรคเกิดจากการผสมผสานระหว่างลั ทธิหลอ จู่และลั ทธิบัวขาว) ปรมาจารย์ คนสำคัญของลัทธิอนุตตรธรรมคือ ลู่จงอี ปรมาจารย์ รุ่นที่ 17 ลู่จงอี ซึ่งอ้างตนว่าเป็นพระเมตไตรยใน ทางพุทธศาสนามาอุบัติ ขณะเดียวกันในทางศาสนาเต๋าก็อ้างว่าตนเป็นปรมาจารย์ จินกงมาจุติ ลู่จงอีเริ่มเผยแพร่ลั ทธิในปี พ.ศ. 2449 ที่มณฑลซันตง ที่ซันตงลู่จงอี ได้รับศิษย์ เอก 25 คน ต่อมาในปี พ.ศ.2468 ลู่จงอีถึงแก่กรรมอำนาจบริหารลัทธิจึงตกไปอยู่ในมือของลู่จงเจี๋ยผู้เป็นน้องสาว

ปีพ.ศ. 2473 จางจื้อหรัน (บ้างก็ว่าชื่อจางเทียนหรัน) 1 ใน 8 ศิษย์ เอก (จาก25) ของลู่จงอีออกจากเมืองจี้หนิงอาศัยซันตงเป็นที่มั่นเผยแพร่ลัทธิอนุตตรธรรม อีกปีถัดมาในวันที่ 10 กรกฎาคม จางจื้อหรันอ้างว่าตนได้รับประกาศิตจากเหลาหมู่หรือพระเจ้า(เมื่อเข้ามาเผยแพร่ลัทธิ ในประเทศไทยเรียกว่าอนุตตรธรรมมารดา) ตั้งตนเป็นปรมาจารย์ รุ่นที่ 18 ทั้งที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจาก ศิษย์ เอกของลู่จงอีคนอื่นๆ ในปี พ.ศ. 2477 จางจื้อหรันไปเทียนจินเพื่อทำการเผยแพร่ลั ทธิทำให้เทียนจินเป็นฐานที่มั่นสำคัญของลั ทธิอนุ ตตรธรรม ต่อมาในปี พ.ศ. 2479 เพราะเผยแพร่ลั ทธิจึงถูกรัฐบาลประชาชนจีนสั่งจำคุกเป็นเวลาเกือบปี

หลั งจากเสร็จสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ลั ทธิอนุตตรธรรมมีสานุศิษย์ ทั่วประเทศจีน โดยเฉพาะที่ปั กกิ่งนั้นมี สานุศิษย์ กว่า 2 แสน และกว่า 1 แสน 4 หมื่นที่เทียนจิน รัฐบาลประชาชนจีน จึงตัดสินใจที่จะเป็นมิตรกับลัทธิอนุตตรธรรม ทว่าในวันที่ 29 กันยายน ปี พ.ศ. 2490 จางจื้อหรันซึ่งมีอายุได้ 58 ปี กลับเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน หลิวส้วยเจินและจางอิงอฺวี้ ภรรยา และบุตรชายของจางจื้อหรันเชื่อว่า เป็นฝีมือการวางยาพิษของญาติจางจื้อหรันที่ชื่อซุนฮุ่ยหมิง(ซุนฮุ่ยหมิงมีอีกชื่อ ว่าซุนซู่เจิน)

จางอิ่งอฺวี้และซุนฮุ่ยหมิงต่างแย่งชิงความเป็นใหญ่ในลัทธิอนุตตรธรรม ทำให้ลัทธิแตกออกเป็น ๒ ฝ่าย จางอิ่งอฺวี้ยึดหังโจวเป็นฐานที่มั่นเรียกว่าฝ่ายตะวันออก ส่วนฝ่ายซุนฮุ่ยหมิงยึดเมืองเฉิงตู เป็นที่มั่น เรียกว่าฝ่ายตะวันตก จาก นั้นซุนฮุ่ยหมิงประกาศคำสาบาน 5 ข้อคือ 1. ตัดขาดไม่นับขาดจางจื้อหรันเป็นอาจารย์ 2. ไม่นับหลิวส้วยเจินเป็นอาจารย์ แม่ 3. ไม่นับจางอิงอฺวี้ เป็นศิษย์ พี่ 4. จะไม่เอ่ยชื่อจางจื้อหรันในการเผยแพร่ลั ทธิอีก 5. จะไม่กราบไหว้หลุมศพจางจื้อหรันที่หังโจว(ด้วยเหตุนี้ลัทธิอนุตตรธรรม จึงไม่เคยเอ่ยนามจางจื้อหรันหากแต่ เอ่ยถึงเพียงลู่จงอีว่าเป็นปรมาจารย์ รวมทั้งที่มาเผยแพร่ในเมืองไทยด้วย)

ในปี พ.ศ. 2491 – 2492 ก่อนที่สาธารณรัฐประชาชนจีนจะถูกจัดตั้งขึ้นเป็นที่เรียบร้อยกองทัพปลดแอกออกประกาศสลายลั ทธิต่างๆ ในขณะนั้นลั ทธิอนุตตรธรรมขนาด ใหญ่มากลั ทธิหนึ่ง ปี พ.ศ . 2492 ซุนฮุ่ยหมิงหนีจากซื่อชวน (เสฉวน)ไปฮ่องกง ในปีเดียวกันเดือนกันยายนก็แอบกลับเข้าเมืองจีน อย่างลั บๆ เพื่อร่วมงาน "จีนโพ้นทะเลกลั บบ้านเกิด" จากนั้นแอบตระเวนเผยแพร่ลั ทธิอย่างลั บๆ ที่เทียนจิน (เทียนสิน), เป่ยจิง (ปั กกิ่ง),จี้หนาน, หนานจิง (นานกิง), ซั่ง ไห่ (เซี่ยงไฮ้) ขณะที่เดือนกรกฎาคมปีนั้นเอง หลิวส้วยเจินภรรยาของจางจื้อหรัน ถูกจั บกุมที่ซันตง

ในปี พ.ศ. 2492 พรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศจั ดตั้งการปกครองในเขตต่างๆ ทำการโจมตีพรรคกว๋อหมินตั่ง (ก๊กมินตั๋ง) เพื่อให้มี ส่วนแบ่งในอำนาจการปกครอง ลั ทธิอนุตตรธรรมจึงประกาศสนับสนุนพรรคกว๋อหมินตั่ง (ก๊กมินตั๋ง) โดยในปี พ.ศ. 2493 มีการประกาศอย่างชัดเจนว่า จะ ให้การสนับสนุนพรรคกว๋อหมินตั่ง ให้จั ดตั้งระบอบการปกครองใหม่

ในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2492 พรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศว่าใครที่ใช้กิจกรรม ทางศาสนาหรือลัทธิเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐถือเป็นกบฏต้องโทษประหาร ในการนี้มีคนมากมายถูกประหารหนึ่งในนั้นมีหลิวส้วยเจินและจางอิงอฺวี้ ภรรยาและบุตรชายของจางจื้อหรัน (จางอิงอฺวี้ถูกประหารในปี พ.ศ. 2496) วันที่ 18 ธั นวาคมในปีเดียวกัน ผู้นำลั ทธิอนุตตรธรรมกว่า 130 คน ถูกจับกุมที่ปักกิ่งในครั้งนั้นซุนฮุ่ยหมิง และจางอู่ฝูได้หนีไปฮ่องกง

ลั ทธิอนุตตรธรรมเริ่มเผยแพร่จากเซี่ยงไฮ้และเทียนจินไปยั งใต้หวันปี พ.ศ. 2489 อาศัยความสัมพั นธ์ ที่มีต่อ พรรคกฺว๋อหมินตั่ง ซุนอุ่ยหมินจึงย้ายไปอยู่ใต้หวันในปี พ.ศ.2497 และเสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2518 ต่อมาในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2530 รัฐบาลไต้หวันประกาศให้ลัทธิอนุตตรธรรมเป็นลัทธิที่ถูกกฎหมาย
---------------------------------------

ขณะนี้ ลัทธิอนุตตรธรรม กำลังแพร่กระจายในไทยอย่างรวดเร็วมีคนจำนวนมากหลงเชื่อตามคำสอนที่ยกคำสอนทางพุทธศาสนามาบิดเบือนและแต่งขิ้นใหม่จำนวนมากนอกจากนี้ยังมีการ เข้าทรงพระพุทธเจ้า และแต่งตำราใหม่มากมาย หากต้องการอ่านเพิ่มเติมเข้าไปดูได้ที่
http://board.palungjit.com/f13/%E0%B8%A ... 54445.html

เจริญในธรรมทุกท่าน สาธุ


แก้ไขล่าสุดโดย วังโพธิสัตว์ เมื่อ 25 ส.ค. 2012, 21:42, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 310


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมสาวกธรรมกาย :b14: :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 13:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 23:30
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว




download (1).jpg
download (1).jpg [ 3.45 KiB | เปิดดู 39461 ครั้ง ]
images (2).jpg
images (2).jpg [ 1.93 KiB | เปิดดู 39461 ครั้ง ]
images (1).jpg
images (1).jpg [ 1.81 KiB | เปิดดู 39461 ครั้ง ]
1(1).jpg
1(1).jpg [ 24.88 KiB | เปิดดู 39461 ครั้ง ]
จุด๔.png
จุด๔.png [ 6.36 KiB | เปิดดู 39461 ครั้ง ]
เปิดเผยความลับ ลัทธิอนุตตรธรรม(ตอนที่๑)
วันนี้เราจะเปิดเผยว่าอะไรคือความลับของ ลัทธิอนุตตรธรรม และทุกท่านควรพิจารณาเองว่าจะตรงต่อมรรคผลนิพพานน่าเชื่อหรือไม่แล้วแต่ความเห็นส่วนบุคคล ( แต่คนที่รับธรรมมะกับเขาจะได้รู้สิ่งต่อไปนี้)

ความลับนี้เรียกว่า ไตรรัตน์ ๓ ประการอันเป็นหัวใจ ซึ่งศัพท์ที่ใช้นั้นตรงกับคำว่า ไตรรัตน์ หรือ รัตนตรัย ในพุทธศาสนาจึงเป็นที่น่าเชื่อถือยิ่งนัก แต่เนื้อหาจะไช่หรือไม่ลองติดตาม

๑ จุดญาณทวาร คือจุดตรงกลางระหว่างคิ้ว ตรงดั้งจมูกหัก(รูปประกอบด้านบน) โดยจะทำพิธิเบิกจุดโดยอาจารย์ซึ่งมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้ได้รับโองการสวรรค์จากพระแม่องค์ธรรม (พระเจ้า)นอกนั้นทั้งหมดทำไม่ได้ และจะสอนต่อไปว่า จิตของเราตั้งอยู่ที่ตรงนี้ เป็นจุดสถิตแห่งวิญญาน ตรงนี้คือรากต้นธรรมญาณ ธรรมแท้อยู่ที่รากต้นแห่งจิตก็คือตรงนี้ซึ่งคนที่เชื่อก็มั่นใจว่าพบพระนิพพานโดยฉับพลันแล้วเพียงทราบจากการบอกเล่าเท่านั้น ซึ่งจะสอนต่อดังนี้ว่าเมื่อคนเสียชีวิตจิตจะออกได้ ๖ ช่องทางคือ หู ตา จมูก ปาก สะดือ กระหม่อม (เรียกว่า ชีววิถี ๖) แต่เมื่อรับธรรมมะจากที่นั้นแล้วจิตจะออกทางพิเศษคือ จุดที่เขาเปิดให้ตรงดั้งจมูกระหว่างคิ้วนั้น และจะถึงนิพพาน แม้แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก้ต้องทำพิธีเปิดจุดนี้ได้จึงถึงธรรม

เละที่น่าฟังมากคือการโยงทุกศาสนามาอย่างง่ายดายเพื่อให้ตรงข้อนี้ คือกล่าวว่า ศาสดาทุกพระองค์ได้ทำปริศนาธรรมถึงจุดนี้ทั้งหมดแต่เราไม่ทราบเองดังนี้ (ดูรูปประกอบด้านบน)

๑ ธรรมจักรแห่งพุทธศาสนา เป็นรูปวงล้อมีแฉกด้านใน (ลองวาดดู) จากนั้นนั้นจะวาดตาไส่สองข้างตรงแกนกลางด้านในให้เป็นหน้าคน ตรงกลางจะเป็นดั้งจมูกพอดี (เข้ากันได้เปะ) และยกอีกเรื่องว่าพระพุทธเจ้าได้กล่าวถึง เชิงเขาคิชกูฏ ซึ่งเป็นปริศนาว่าคือตรงดั้งจมูกนี่เอง

๒ ไม้กางเขนแห่งคริสต์ศาสนา ให้วาดรูปไม้กางเขนและวาดวงกลมครอบลงไปจะได้วงกลมมีสี่แฉกด้านในพอไส่ตาตรงแกนสองข้างจะเป็นหน้าคน ตรงกลางก็คือดั้งจมูกเปะ

๓ สัญลักษณ์อิสลาม จะเป็นเป็นรุปพระจันทร์เสี้ยวมีดาวชี้ลงมา โดยกล่าวว่านั่นคือหน้าคนด้านข้างดาวนั้นชี้ลงมาที่ดั้งจมูก

๔ แจกันและกิ่งหลิวเจ้าแม่กวนอิม จะเป็นรูปกิ่งหลิวแยกเป็นสองแฉกออกไปสองข้าง หากวาดรูปตรงแจกกันจะเป็นจมูก กิ่งหลิวเป็นคิ้วจากนั้นวาดตาไส่ไต้กิ่งหลิว จะเป็นรูปหน้าคนพอดี โดยกล่าวว่าเจ้าแม่กวนอิมต้องบำเพ็ญจนน้ำเต็มแจกันจึงบรรลลุธรรม หากวาดรูปเสร็จปากแจกันที่น้ำเต็มจะตรงกับดั้งจมูกพอดี

ง่ายดายใหมล่ะ

๒ รหัสคาถาพระแม่องค์ธรรม ( อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ )
นี่เป็นรหัสคาถาพระแม่องค์ธรรม(พระเจ้า)ที่ใครทราบจะผ่าน ด่านตรีเทพพิทักษ์ และไปนิพพาน แต่หากแพร่งพรายความลับสวรรค์จะตกนรกห้ามออกเสียงให้ใครได้ยินนอกจากในพิธิเท่านั้น

๓ ลัญจกรณ์ เป็นสัญลักณ์อันจะผ่านไปสู่ยุคพระศรีอาริย์เมตไตรคล้ายตราประทับศักสิทธิ โดยทำมือดังนี้
ยกมือขวาขึ้นมาเอาปลายนิ้วโป้งกดที่โคนนิ้วนางค้างไว้ จากนั้นนำมือซ้ายมาเชื่อมดังนี้ น้ำปลายนิ้วโป้งซ้ายกดที่โคนนิ้วก้อยขวาจากนั้นโอบมือเข้าหากันโดยมือซ้ายทับขวา จะเหมือนกับที่คนจีนกำมือแสดงความยินดีกันแต่ด้านในจะแตะที่สองจุดนี้คือ โคนนิ้วนางและนิ้วก้อย โดยกล่าวว่านี้คือลักษณะแห่งรากบัวเพราะยุคนี้เป็นยุคแห่งรากบัวหรือยุคแห่งพระศรีอารีย์เมตไตร ยุคแห่งพระโคดมหมดไปแล้ว โดยจะแบ่งออกเป็นธรรมกาล ๓ ยุคดังนี้
๑ ยุคแห่งใบบัว มีพระพุทธเจ้าทีปังกรปกครอง จะไหว้โดยแบมือและยกขึ้นข้างเดียวแบบในหนังจีน
๒ ยุคแห่งดอกบัว มีพระโคดมที่เรารู้จักตอนนี้ปกครอง จะพนมมือเป็นดอกบัวตูม (ซึ่งกล่าวว่าหมดแล้ว)
๓ ยุคแห่งรากบัว มีพระศรีอารีย์เมตไตรปกครอง ก็ทำมือเป็นลัญจกรณ์อย่างที่อธิบาย (ผู้ที่ทำเป็นจะพบพระศรีอารีย์)

แต่ไม่ว่ายุคได พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องเข้าพิธีรับธรรมมะอย่างนี้และได้รับโองการสวรรค์จากพระแม่องค์ธรรม (พระเจ้าของเขา)เพื่อปกครองธรรมกาลประกาศศาสนา

นี่คือความลับแห่งอนุตตรธรรม ที่เรียกว่าไตรรัตน์ ๓ ประการ ผู้ที่เข้ารับและทราบสิ่งนี้จะถอนชื่อจากนรกทันทีและเข้านิพพานแน่นอน ซึ่งทั้ง ๓ ข้อนี้ทราบได้เฉพาะผู้ที่ได้รับธรรมมะในพิธีที่จัดขึ้นเท่านั้น คนภายนอกไม่มีโอกาศรู้เพราะเป็นการแพร่งพรายความลับสวรรค์ ไม่มีบันทึกแม้ในหนังสือหรือที่ใดทั้งนั้นเพราะฉะนั้นไม่ต้องไปค้นหา จะบอกกัน ปากต่อปาก และเฉพาะเวลาทำทำพิธีเท่านั้น เมื่อจบพิธีจะออกเสียงไม่ได้ ถึงแม้จะอยู่คนเดียวก็ตาม (กลัวผีจะได้ยิน) คิดไนใจได้เท่านั้น หลายคนที่ไปมาแล้วก็ทราบแต่ไม่กล้าบอกใครเพียงเพราะแค่คำว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ขณะนี้ ลัทธิอนุตตรธรรม กำลังเผยแพร่อย่างเร็วมากในประเทศไทยข้าพเจ้าเพียงนำมาเล่าสู่กันเท่านั้น แต่ผู้อ่านควรพิจาณนากันเองเถิดว่าสิ่งนี้จะตรงต่อรัตนตรัยหรือมรรรคผลนิพพานอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าไม่ขอออกความเห็น แล้วแต่ท่านจะพิจารณา
ติดตามเพิ่มเติมที่ http://board.palungjit.com/f13/%E0%B8%A ... 54445.html

หากกล่าวพลาดพลั้งสิ่งใดข้าพเจ้าต้องขออภัย ณ.ที่นี้
เจริญในธรรมทุกท่าน
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 21:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 23:30
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีก ตอนนี้แค่บอกข่าวเตือนเพื่อนผู้บำเพ็ญนั้น ที่จริงลัทธินี้เขาเข้ามาในไทยนานแล้วล่ะและกำลังเติบโต บางทีเพื่อน ๆ บางคนอาจมีประสบการณ์บ้างแล้วใครทราบอย่างไรก็เล่าให้กันฟังหน่อยก็ดีนะ ส่วนใครที่นับถืออยู่ในลัทธินี้ต้องขออภัย ข้าพเจ้าเพียงแต่เล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นโดยมิได้พาดพิงบุคคลไดทั้งสิ้น ความเห็นเป็นอย่างไรแล้วแต่ท่านทั้งหลายพิจารณาเองเถิด

เจริญในธรรม สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 21:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ยกมา...เป็นข้อเท็จจริงหรอ?

ถ้าจริง....ก็สาธุ...ที่ปราถณาดี....นะครับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 22:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 23:30
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดคนที่ไปรับธรรมมะในลัทธินี้มาแล้วจะทราบดี แต่เรื่องในตอนที่ ๑ ที่ได้กล่าวเรื่องรหัส ๓ อย่างที่เขาไช้ชื่อว่า ไตรรัตน์ ๓ ประการ แต่บิดเบือนเนื้อหาออกไปคนที่เคยไปลัทธินี้เท่านั้นจึงจะทราบคนที่กำลังจะไปก็จะได้ทราบอย่างที่ข้าพเจ้าบอกนี้ล่ะ ซึ่งท่านพิจารณเองเถิดว่าไตรรัตน์ที่เขาสอนเช่นนี้เรียกว่าบิดเบือนหรือไม่ และตรงต่อพระนิพพานอย่างไร เดี๋ยวจะมาเล่าต่อว่าเขาทำอะไรขั้นตอนอย่างไรบ้างถ้าเราไปกับเขา

เจริญในธรรม สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 22:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 23:30
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องรหัส ๓ ประการของเขานั้นคนจะทราบได้ต้องเข้าพิธิรับธรรมมะกับเขาเท่านั้นหากคนที่ไปแล้วแต่อาจะแค่ไปสนทนาหรือเยี่ยมชมเฉย ๆ ก็ไม่ทราบอยู่ดีเพราะจะไม่เปิดเผยคนภายนอกเวลาทำพิธีก็ต้องมิดชิดปิดประตูหน้าต่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ กันและไม่มีการจดบันทึกที่ไหนทั้งสิ้นจะบอกกันปากต่อปากเมื่อเสร็จพิธีห้ามแม้แต่ออกเสียงแม้กระทั่งอยู่คนเดียวก็พูดไม่ได้ ใครอยากทราบว่าจริงดังนี้หรือไม่ต้องเข้าพิธีรับธรรมมะกับเขาดูแล้วพิจารณากันเองเถิด

เจริญในธรรมทุกท่าน สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 01:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ความไม่เสมอ เป็นนิสัยของมนุษย์ แม้กระทั่งความเชื่อความศรัทธาก็ไม่เสมอ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2012, 16:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 23:30
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


เปิดเผยความลับ ลัทธิอนุตตรธรรม(ตอนที่๒)
ตอนที่ ๑ ได้เล่าให้ฟังเรื่อง ความลับรหัส ๓ ประการ ที่ทางลัทธินี้เขียนขึ้นมาเองไปบ้างแล้วตอนนี้ขออธิบายคร่าว ๆ อีกสักหน่อย

ลัทธินี้ไช้ชื่อว่า อนุตตรธรรม คือเป็นคำที่ไช้ในพุทธศาสนาคือธรรมอันยิ่ง เมื่อไช้ภาษาตรงกันเขาจึงแปลไปว่าลัทธินี้เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่เป็นธรรมชาติที่ก่อเกิดมาก่อนฟ้าดิน จากการใช้ศัพท์เช่นนี้คนในลัทธิจึงเชื่อว่า ลัทธินี้เป็นต้นกำเนิดทุกสิ่งเป็นรากเหง้าทุกศาสนาและศาสดาทั้งหลายรวมถึงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นเพียงกิ่งใบที่แตกมาจากลัทธินี้เท่านั้น
เมื่อไปที่นั่นต้องลงทะเบียนและเสียเงินค่ารับธรรมมะซึ่งบอกว่าตามศรัทธา แต่ถ้าน้อยมากก็จะคาดคั้นให้ทำเยอะ ๆ อย่างต่ำ ๒๐๐ - ๓๐๐ ขึ้นไปเพื่อเป็นบุญใหญ่ (แต่ถ้าไม่จ่ายเงินรับไม่ได้เด็ดขาด)
ก่อนจะทำพิธีรับธรรมมะของเขา จะมีการแสดงความบริสุทธิ์โดย ผู้แนะนำ คือคนที่ไปชวนเรา และผู้รับรอง คือคนที่รับรองให้เรารับได้ สองคนนี้ต้องมาคุกเข่าต่อหน้าสิ่งศักสิทธิ์ว่า ลัทธินี้เป็นธรรมแท้ไม่ได้หลอกลวงหากว่าหลอกลวงขอให้ฟ้าดินลงโทษ ทุกคนที่เห็นก็จะเชื่อจริง ๆ ถามว่าทำไมเขาถึงกล้าสาบานตนเช่นนั้น ตอบได้ง่ายมากว่าท่านเหล่านั้นก็เชื่องมงายมาตลอดเช่นกันว่าเป็นธรรมแท้ คนแนะนำทุกคนก็พยายามทำยอดทุกอาทิตย์ต้องพาคนมาให้ได้หลายสิบคนจะได้สะสมบุญเป็นเซียน มีรถไปรับส่งถึงที่หน้าบ้าน บางทีคนที่มามีมากบางคนก็ไม่ทราบว่าจะไปทำอะไรเพราะอธิบายไม่ชัดเจนบอกแค่ว่า จะพาไปรับธรรมมะ ผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านั้นก็คิดว่าไปทำบุญพอไปถึงก็ต้องเลยตามเลยกันซะ
จากนั้นจะนำชื่อทุกท่านไปเขียน ใบเปี่ยวเหวิน และนำไปเผาโดยกล่าวว่ารายชื่อทุกท่านที่เผานี้จะถูกถอนชื่อออกจากนรกทันทีและและจะไปปรากฏที่สวรรค์ ณ.ด่านตรีเทพพิทักษ์ ซึ่งสักครู่เขาจะบอกรหัส ๓ ประการ(ดูตอนที่๑)เป็นกุญแจเพื่อเข้าสู่ด่านตรีเทพพิทักษ์ จากนั้นก็จะได้รับธรรมมะแล้ว ซึ่งจะสอนว่าทุกคนต้องมารับธรรมมะเท่านั้นจึงนิพพานได้แม่แต่พระพุทธเจ้า นั่นหมายถึงพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองแต่เป็นเพราะรับธรรมมะจากลัทธินี้ สุดยอดจริง ๆ

ที่นี้จะเป็นการเบิกจุดหรือที่เรียกว่า จุดญาณทวาร และ บอกรหัสอีก ๒ ข้อ ในที่นี้เราขอกล่าวคร่าว ๆ เพียงข้อแรก (ต้องการดูทั้งหมดติดตามตอนที่ ๑ )

๑ จุดญาณทวาร คือจุดตรงกลางระหว่างคิ้ว ตรงดั้งจมูกหัก (ดูภาพตอนที่๑) โดยจะทำพิธิเบิกจุดโดยอาจารย์ซึ่งมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้ได้รับโองการสวรรค์จากพระแม่องค์ธรรม (พระเจ้า)นอกนั้นทั้งหมดทำไม่ได้ จะใช้นิ้วเจิมลงไป และจะสอนต่อไปว่า จิตของเราตั้งอยู่ที่ตรงนี้ ตัวตนที่แท้จริงคือตรงนี้ เป็นจุดสถิตแห่งวิญญาน เป็นจุดเกิดตาย เป็นรากธรรมญาณ ซึ่งคนที่ได้ยินก็มั่นใจว่าพบพระนิพพานแล้วเจอพุทธะในตนแล้วเพียงทราบจากการบอกเล่าเท่านั้น ซึ่งจะสอนต่อดังนี้ว่าเมื่อคนเสียชีวิตจิตจะออกได้ ๖ ช่องทางคือ หู ตา จมูก ปาก สะดือ กระหม่อม (เรียกว่า ชีววิถี ๖) แต่เมื่อรับธรรมมะจากที่นั้นแล้วจิตจะออกทางพิเศษคือ จุดญาณทวาร และจะถึงนิพพาน แม้แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก้ต้องรู้และเปิดจุดนี้ได้จึงถึงธรรม ตอนทำพิธีต้องปิดประตูหน้าต่างหลบซ่อนทุกอย่างเพราะกลัวคนจะเห็น
ทีนี้สงสัยว่าคนตายไปแล้วล่ะมีแต่ขี้เถ้าแล้วจุดนี้มันจะเปิดได้ไงเขาก็ทำแบบนี้คนตายแล้วถ้าจะไปสวรรค์ก็ต้องมาเข้าร่างทรงและเข้าพิธีเพื่อเปิดจุดนี้ ตำราที่เขียนออกมามากมายจึงพยายามโยงไปที่จุดนี้แต่จะไม่บอกตรง ๆ แต่จะเป็นปริศนาเพราะเป็นความลับ ด้วยเหตุนี้อีกศาสดาทุกศาสนาจึงกลายเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้นแต่ตรงนี้สิต้นกำเนิด และยังกล่าวต่อว่าเริ่มแรกบ้านเราทุกคนก็คือนิพพาน ตอนแรกที่ลงมายังโลก "จิตก็เข้าทางจุดนี้" แต่ต่อมาเมื่อมีกิเลสจึงลืมทางเดิมกลับบ้านไม่ได้ แต่บัดนี้เราพบทางเดิมแล้ว พบรากแท้แห่งจิตและนิพพานแล้ว ต้องถึงนิพพานแน่ ๆ (น่าปลื้มใหมล่ะ )
จากนั้นจะบอกรหัสอีก ๒ ข้อที่เหลือ (ดูได้ที่ตอนที่ ๑) เพื่อเป็นกุญแจผ่านด่านตรีเทพพิทักษ์และสู่นิพพานได้ถ้าหากลืมก็เข้าไม่ได้อีก(ห้ามจดบันทึก)เพราะฉะนั้นห้ามลืมเด็ดขาดต้องมาฟังบ่อย ๆ โดยรหัสแต่ละยุคจะไม่เหมือนกัน
เมื่อรับธรรมมะจากเขาไม่นานก็จะกำหนดวัน "ประชุมอบรมธรรม ๓ วัน" เพื่อฝังรากความเชื่อให้ลึกไปอีกโดยเหล่าสาวกทุกคนจะช่วยกันหาคนให้ได้เยอะที่สุดผู้เข้าประชุมจะทราบทันทีว่าโอวาทคำสอนทั้้งหมด ล้วนมาจากร่างทรงทั้งสิ้น ตรงนี้แล้วแต่วิจารณญาณแต่ละท่าน เพราะร่างทรงต่างก็น่าเชื่อถือยิ่งนัก มีทั้ง ทรงเจ้าแม่กวนอิม ทรงพระพุทธเจ้า เทพนาจา พระจี้กง กษัตริย์ไทยสมัยก่อนทุกองค์ เรียกว่าพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทุกพระองค์และเหล่าเทพเซียนทั่วจักร์วาล มาประชุมด้วย และยังมีผีนรกมาเข้าทรงเพื่อเป็นตัวอย่างว่าคนที่ไม่ได้รับธรรมหรือรับแล้วเหินห่างจากเขาจะรับกรรมเช่นไร คนศรัทธาก็ทุ่มชีวิตสุดตัวสุดใจ

เอาล่ะตอนต่อไปจะมาเล่าเรื่อร่างทรงกันต่อพอเป็นนิทาน ข้าพเจ้าไม่ขอออกความเห็นไดเป็นเพียงเล่าความจริงที่เกิดขึ้น แล้วแต่วิจารณญานท่านเองเถิด
เจริญในธรรมทุกท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2012, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ต้องถามตัวเองว่า เราวิเคราะห์ออกมาว่าอย่างไร ตัวเราเองจะเป็นผู้ยกระดับเราเอง เรายังติดอยู่กับความเชื่อ เราก็ต้องเฝ้าแต่แสวงหาข้อเท็จจริง เรามีปัญญาแล้ว เราก็ต้องรู้ว่ากิจที่ทำควรจะเป็นอะไร เรามีกิจที่มุ่งหวังความสงบของชีวิต หรือมีกิจที่มุ่งหวังที่จะไปสวรรค์ถ่ายเดียว

ถ้ามุ่งหวังความสงบของชีวิต เราก็ต้องพิจารณาว่าสงบจากอะไร สงบเพราะหลบหลีกหนีโลกไม่ข้องแวะ แล้วเรียกสิ่งนี้ว่าสงบ

หรือ สงบเพราะความเห็นของเราเองที่เกิดจากการพิจารณาหาเหตุหาผล จนเกิดเป็นความรู้แจ้ง ปล่อยวางธรรม อย่างนี้ก็เรียกว่าความสงบ


ส่วนตัวไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าทำอย่างนี้แล้วจะได้ไปสวรรค์หรือเก็บสะสมบุญ เพราะกิจของเราคือมุ่งหวังความสงบในตอนนี้ อริยสัจ4 คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรายึดมาปฏิบัติ นอกจากนี้ เราไม่ยึดถือคำสอนใคร

การแอบอ้างคำสอนของผู้อื่นมาเป็นคำสอนตัวเอง เป็นธรรมที่ผู้มีปัญญาไม่พึงทำ สัตตบุรุษ ควรหลีกเว้นไปให้ไกล

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2012, 17:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 23:30
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้เป็นเพียงเตือนภัยอันเกิดจากผู้บิดเบือนต่อพระศาสนาเท่านั้นมิได้มีจุดประสงค์อื่นได อันว่าบุคคลทั้งหลายมีความไม่เสมอกันการปกป้องพระศาสนาจากกลุ่มที่ไม่หวังดีและบอกข่าวเตือนภัยย่อมเป็นสิ่งปกติที่ทำกันมาทุกสมัย ผู้ที่มีปัญญารู้รอบต่อทางที่ถูกแล้วอาจไม่จำเป็นเท่าไรข้าพเจ้าขออนุโมทนาด้วย ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยรู้ก็อาจเป็นประโยชน์บ้างต่อบางคน ส่วนผู้เป็นสาวกลัทธินี้ข้าพเจ้าต้องขออภัยที่ต้องเปิดเผยความจริง ลัทธินี้หากไปตั้งศาสนาใหม่อาจลดแรงกดดันต่อตัวเองลงได้ แต่การอ้างตัวอยู่ในแต่ละศาสนาแล้วบิดเบือนให้เปลี่ยนไปนั้นได้ชื่อว่าหากินและทำลายทุกศาสนาลงอย่างย่อยยับ ศาสนาทุกศาสนามีประวัติศาสตร์และธรรมเนียมอันดีงามมาอย่างยาวนานไม่สมควรชุบมือเปิปอย่างง่ายดาย

ศาสนาที่ดีเป็นที่พึ่งนั้นมีมากมายสมควรสนับสนุนกันและกันให้คู่โลกส่วนลัทธิมารศาสนาเถื่อนนั้นย่อมต้องเตือนภัยตามโอกาศเพื่อความผาสุขของหมู่ชนเช่นกัน

ขอบคณทุกท่านที่เข้ามาให้ความรู้แก่ข้าพเจ้า
เจริญในธรรมทุกท่าน สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 13:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 23:30
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


เตือนภัยลัทธินี้ใครอยากรู้จักแวะไปดูได้ที่

http://board.palungjit.com/f13/%E0%B8%A ... 54445.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 14:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

เราก็เคยเจอ ๆ อยู่ แต่เราไม่ได้สนใจ
เพราะ สินค้าไม่โดนใจ

คือ เขานำเสนอได้แต่เป็น นิทาน
แต่เรื่อง สัจจะ ไม่ได้

แต่จริง ๆ อย่าว่าแต่ อนุตระธรรม เลย
สำนักที่ขึ้นชื่อว่าเป็น พุทธ เองก็เถอะ

ที่เคยเจอ เขาอธิบายได้แค่ "เปรตเข้าแทรก"
แต่ สัจจะ ไม่ได้

และก็ มาแย่งชิงความถูกต้อง ชิงความเป็นหนึ่ง
คือ มันเป็นเพียง นิทาน เพียงเสี้ยวเดียว

ซึ่งพระพุทธองค์ได้สอนครอบคลุมไว้หมดแล้ว
ไม่ว่าผู้ปฏิบัติจะหนักไปในทางด้านใด
ศรัทธา ปัญญา สมาธิ ทาน ศีล ภาวนา

คือ ถ้าใคร ศรัทธา สิ่งอื่นอยู่
ก็ลองมา ศรัทธา ในพระพุทธเจ้าสิ่
ก็จะเห็นผลแห่งกำลังศรัทธาปรากฏได้เช่นเดียวกัน
เพราะ ศรัทธา มันเกิดที่จิต ไม่ได้เกิดที่ตรงไหน

ถ้าศรัทธาในเทพเจ้า จิต ก็นำพาตนไปสู่ความเป็นเทพเจ้า ไหลไปรวมกับกองนั้น
เป็นชนที่ตกอยู่ในแรงดึงดูดของนิคมนั้น ไปจนกว่านิคมนั้นจะเดินไปสู่ความศิวิไล และเสื่อมสลาย

ถ้าศรัทธาในพุทธะ จิต ก็จะนำพาไปสู่ความเป็น พุทธะ

ถ้าประเภท ศรัทธาในเทพด้วย ศรัทธาในพุทธด้วย
คือชนกลุ่มนี้ มีโอกาสเป็น กบฎ ... :b14: :b9:
และ หมากที่จะเป็นตัวกบฎ ก็ได้ถูกแทรกซึมไปในทุกความเชื่อ

:b12:

และในยุคหนึ่งแห่งศรัทธาทางศาสนา
ยุคที่ศาสนาจะรวมเป็นหนึ่ง
กบฎต่าง ๆ จะเป็นกำลังสำคัญที่โค่นล้มนิคมต่าง ๆ เอง

คือ มันต้อง กบฎ แน่ๆ เมื่อถึงวันที่ได้เห็นแสงแห่ง สัจธรรม

:b48: :b48: :b48: :b48:

อย่างในยุคต้นที่พระพุทธเจ้าเริ่มประกาศศาสนาในประเทศอินเดีย
ยุคนั้น เพราะลัทธิมีอยู่มากมาย
เดิมพระสารีบุตรก็อยู่ในลัทธิอื่น แต่เมื่อพระสารีบุตรหันมาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
พรรคพวกในลัทธิอีกเป็นโขยงตามพระสารีบุตรออกมากันหมด

แม้แต่ ชฎิลสามพี่น้อง

:b7: :b7: :b7:

บางทีคนที่ศรัทธานในลัทธิที่แตกออกไปอย่างนี้
อาจจะเป็นวิบากที่เขาจะต้องไปเติบโตในนิคมนั้น
เพื่อเป็นกบฎคนสำคัญในอนาคต .. :b14: ..ก็ได้

คือมันมีหลายแพคเกจฟรีให้ได้เลือกได้อย่างอิสนระอยู่แล้ว
กบฎวันนี้ กบฎวันหน้า กบฎอาทิตย์หน้า
กบฎเดือนหน้า กบฎปีหน้า กบฎชาติหน้า กบฎกัลป์หน้า
ถามใจตัวเอง ว่าจะใช้แพคเกจไหน

:b5: :b5: :b5:

:b9: อิอิ กบฏ คิดได้ไงก็ไม่รู้ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 14:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


น้านดิ....นับถือ...นับถือ... smiley smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 15:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วย คุณวัง

เพราะอันนี้ ตามไปอ่านแล้ว :b7:

อ้างคำพูด:
ขอยกเรื่องของท่านอื่นมาให้ดูเป็นอุทาหรณ์สักนิด ท่านผู้นี้เป็นผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจาก ลิทธิอนุตตรธรรม เป็นอย่างไรลองติดตาม
____________________________________

ฉันแต่งงานกับสามีที่เป็นลูกชายคนเดียวและทางบ้าน (จ.เชียงราย) ตั้งเป็นสถานธรรม ดิฉันแต่งงานมาตั้งแต่ืปี ๔๙ ปัจจุบันดิฉันโดนสามีขอหย่า เนื่องจาก ทางบ้านรับดิฉันไม่ได้ที่่ไม่ปฏิบัติธรรมะ ซึ่งดิฉันไม่เข้าใจว่าจะให้ปฏิบัติแบบไหน เพราะดิฉันนั่งสมาธิ สวดมนต์ ไปวัดอัมพวันตั้งแต่อยู่ ม.๒ แต่เพื่อครอบครัวดิฉันก็ยอมทานเจตลอดชีวิต (ชิงโข่ว) แต่เนื่องจากการงานดิฉันต้องอยู่ที่ กทม. ดิฉันอยากรู้ว่าดิฉันผิดอะไร ผิดตรงไหน และตอนนี้ดิฉันกำลังตั้งท้องอยู่ เค้าก็ให้เอาออกเพราะดิฉันเป็นมาร และไม่เข้าใจในหลักธรรมะของพวกเค้า นี่หรือคือสิ่งที่ดิฉันได้รับและตอบแทน ดิฉันอยากทราบว่าอนุตรธรรมนี่เป็นอย่างนี้เลย ดิฉันทำดีสักแค่ไหนก็ไม่เคยดี ตั้งแต่แต่งงานกันมาดิฉันไม่เคยได้รับเงินทองค่าเลี้ยงดูอะไรเลย แต่พ่อแม่เค้าต้องการให้ลูกชายได้แต่งงานกับคนในอาณาจักรธรรมด้วยกัน และฉุดช่วยด้วยกัน แต่ด้วยหน้าที่การงานของดิฉัน ทำให้ดิฉันไม่มีเวลาทำอย่างนั้นได้ ตอนนี้ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ที่พิมพ์อยู่ก็สงสารลูกในท้องมาก หรือว่าฉันเป็นมารอย่างที่เค้าว่าจริงๆ แต่ฉันสวดมนต์และไปวัดเพื่อรักษาศีล ๘ ทุกครั้งที่มีโอกาส และรักและซื่อสัตย์ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีมาตลอด ไม่ว่าแฟนของดิฉันจะทำให้เสียใจแค่ไหน ทั้งแฟนและดิฉันทำงานทหารทั้งคู่ แต่นายของแฟนก็เข้าข้างแฟนเสียเหลือเกิน ท้อแท้มากคะ

ขอขอบพระคุณคำแนะนำทุกๆ ท่านนะคะ ยิ่งอ่านยิ่งสะท้อนใจที่ร้องให้
เพราะซึ่งในน้ำใจที่ทุกๆท่านมีและมอบให้นะคะ ดิฉันเคยพาสามีไปปฏิบัติกรรมฐาน
ที่่วัดอัมพวันมาแล้วคะ ทั้งศูนย์เวฬุวัน แต่ก็เหมือนเดิมคะ พาไปบ่อย
แต่เค้าก็บอกว่าสู้ทางของเค้าไม่ได้ เหมือนกับเอาก้อนหินไปทับหญ้า
สู้มาบำเพ็ญอนุตรธรรมดีกว่า ดิฉันก็ไม่ว่าอะไรคะ
แต่ดิฉันก็ยังสวดมนต์อยู่ทุกวัน ก็คือ พาหุงมหากา และอิติปิโสเกินอายุ ทุกวัน
แต่สามีบอกว่ายิ่งอยู่ยิ่งไม่มีอะไรดีขึ้น สู้เขาได้บำเพ็ญบุญ
เป็นคู่บุญกับผู้หญิงในสถานธรรมดีกว่า
ดิฉันอยู่ กรุงเทพฯ อุ้มท้องคนเดียว มันแสนทรมานอยู่แล้ว ไม่มีสามีที่คอยดูแล
หากจะให้ดิฉันย้ายไปอยู่เชียงรายคงต้องใช้เวลาเพราะมันไม่ได้ย้ายง่าย ๆ
แต่กลับมาเจอคำพูดของสามีและพ่อแ่ม่สามีที่มาบอกให้เลิกกันหย่ากัน
เพราะสาเหตุที่เค้าบอกว่าดิฉันเป็นตัวมาร ทุกวันนี้ดิฉันกินข้าวไม่ลงเลย
ก็คอยอ่านกำลังจากทุกๆท่านที่มอบให้มา ดิฉันเป็นคนต่างจังหวัดคนหนึ่งที่ต้องมาทนทำงานและเจอปัญหาในเมืองใหญ่แบบนี้เหมือนตัวคนเดียวไม่มีใครจริงๆ ดิฉันต้องรับวิบากกรรมนี้คนเดียวกับลูกหรือ ดิฉันไม่ได้ทำกรรมอะไรให้ครอบครัวหรืออนุตรธรรมเลยทำไมถึงมาโทษ มาลงโทษดิฉันกับลูกแบบนี้

PANTIP.COM : Y10535540 เมื่อชีวิตฉันถูกลัทธิอุตรธรรมทำลาย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร