วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 19:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 101 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 00:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
สมัย10กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นเป็นพระไปจำพรรษาอยู่ที่สุพรรบุรีที่วัดแห่งหนึ่งมีพระอยู่ด้วยกัน2รูปแค่นั้น อยู่มาวันหนึ่งผมเกิดจำบางอย่างไม่ได้คือผมไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน นึกไม่ออกเลยว่าอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศที่นี่เรียกว่าอะไร ตำบลอะไร จังหวัดอะไร ไม่รู้เลย แต่รู้ตัวเกี่ยวกับอย่างอืนหมด และมีอีกอย่างนั่งสมาธิอยู่มีเสียงดังบั้งเหมือนเสียงปืนดังมากเกิดขึ้นในจิตแต่ไม่ตกใจนั้นคืออะไร ผู้รู้ช่วยตอบหน่อยครับ :b34:


อาการนึกไม่ออก ผมเห็นด้วยกับคุณ sriariya เพราะบางทีเวลาเหนื่อยล้า ส่วนตัวก็นึกอะไรเล็กๆน้อยๆไม่ออกเป็นบางครั้ง เป็นเพราะเหตุคือรูป ที่เหนื่อยล้าในตอนนั้น และคงจะเกี่ยวข้องกับสัญญาขันธ์ในขันธ์5คือ การเกิดดับของสัญญา แม้ไม่เห็นการเกิดดับของสัญญาจากการกำหนดรู้ตอนนั้น แต่เราก็นำมาพิจารณาว่า เออ ความจำไม่เที่ยง คือ ย้อนมาคิดเรื่องนี้กลับคิดไม่ออก

การรู้สึกว่ามีเสียงดังในระหว่างนั่งสมาธิ คงต้องพิจารณาเหตุว่าตอนนั้น ตอนนั้นกำลังกำหนดอะไร แล้วมีสมาธิเกิดขึ้นหรือยัง จิตสงบแค่ไหน หากพิจารณาว่า ผัสสะไม่ได้เกิดจากโสตวิญญาณ ก็แสดงว่าเกิดสภาวะของจิตขึ้น เป็นนิมิตหรือปล่าวอะไรแบบนั้น เรารู้สึกว่าเรากำหนดรู้การเกิดดับของนามรูปชัดแค่ไหน ถ้าเสียงเกิดขึ้นมาในจิตตอนนั้น เรากำหนดรู้การเกิดดับของเสียงทันหรือปล่าว ทำไมหากเสียงไม่ได้เกิดขึ้นที่โสต แต่เสียงกับดังครั้งเดียว คือ บั้ง เป็นลักษณะของธรรมชาติเสียงอยู่แล้ว คือเสียงเกิดเพราะมีเหตุคือ เรามีโสตที่ทำงานดี และเสียงที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุคือมีอากาศธาตุ เกิดสัญญา เสียงที่เกิดที่จิตนั้นทำไมทำหน้าที่คล้ายธรรมชาติ อย่างนี้เพราะสัญญาขันธ์ทำงานไปเพราะคิดว่าเสียงต้องเป็นลักษณะอย่างนี้หรือปล่าว ก็ต้องพิจารณาดูครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 03:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อิอิ....ท่านใกล้สำเร็จแล้ว...

แต่...ก่อนฟ้าจะลง...พี่บิก...รู้ก่อนรึเปล่า..?
ฝนนมันตกฟ้าร้องหลายที แต่มันผ่าลงใกล้เรา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 13:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ปกติคุณบิ๊กตู่ ได้ยินเสียงคลื่นความถี่
ดัง "วี๊ด" อยู่ในหูได้ง่ายมั๊ยล่ะ

คือ เสียงพวกนี้มันมีตลอด
และเอกอนก็ได้ยินมันอยู่ตลอดน่ะ
แต่ปกติเสียงข้างนอกจะกลบ
แต่เสียงข้างนอกเงียบเมื่อไร ก็ได้ยินเมื่อนั้น

มันเป็นเหมือน คลื่น กระแส
เอกอนฟังและคิดว่า น่าจะเป็นเสียงประเภทเดียวกัน
แต่ไอ้ที่มันปั้งนั้น มันเหมือนกระแสต่างขั้วมาเจอกัน มันก็ ตู๊มมมม
เสียงมัน เหมือน ฟ้าร้อง แต่มันก้องอยู่ในใจ


:b55: :b54: :b54: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 13:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ฝนนมันตกฟ้าร้องหลายที แต่มันผ่าลงใกล้เรา

ใครให้คุณบิ๊กตู่ไปนั่งสมาธิล่อฟ้าล่อฝนอย่างนั้นล่ะ

เป็นสิ่งหนึ่งที่เอกอนหลีกเลี่ยงเรย

เพราะจริง ๆ เอกอนจำลองจิตไว้ประหนึ่งโลกที่ล่องหน
(อันนี้คิดเอาเองเรย จากความรู้สึกที่ประสบ)และมีแกนทอดกลาง
ซึ่งแกนนั้น จะหมุน และทำให้เกิดสนามพลังงาน
การทำสมาธิของเอกอน
บางทีมันเหมือนจะไปทำให้แกนมันหมุนในลักษณะที่ทำให้เกิดสนามพลังงาน

และพลังนั้นมันก็จะเป็นตัวล่อกระแสอย่างดี

เอกอนไม่ค่อยจะทำสมาธิมากนัก แทบจะไม่ทำ
เพราะทำแล้ว รู้สึกว่าพลังงานใน area มันจะสูง
ซึ่งเอกอนจะโดนไฟฟ้าวิ่งเข้าหาบ่อย
เปิดประตูบ้าน (ประตูเหล็ก) ก็โดนไฟช๊อต
เปิดประตูรถยนต์ถ้าไปโดนส่วนที่เป็นเหล็ก ก็โดนช๊อต
ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ลากรถเข็นเผลอไปโดนส่วนที่เป็นเหล็ก ก็โดนช๊อต
เวลาจะเสียบปลั๊กไฟ เอกอนต้องใช้ผ้าเป็นฉนวนกัน
เพราะถ้าใช้มือเปล่า ไฟจะแล็บพุ่งเข้าใส่
เอกอนเคยยืนเงินให้พนักงาน จังหวะที่มือไปชนเขา
มือเขากระตุกและสะดุ้งโหย๋งเรย เอกอนก็รู้สึกว่ากระแสไฟวิ่งเข้าตัวเขา
ซึ่งเอกอนก็ไม่อยากเชื่อ
แต่เขาก็พูดออกมาด้วยสีหน้างง ๆ ว่า "เอ้ย...ไฟช๊อตว่ะ"

555 สายล่อฟ้า 555


:b41: :b43: :b43: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ปกติคุณบิ๊กตู่ ได้ยินเสียงคลื่นความถี่
ดัง "วี๊ด" อยู่ในหูได้ง่ายมั๊ยล่ะ

คือ เสียงพวกนี้มันมีตลอด
และเอกอนก็ได้ยินมันอยู่ตลอดน่ะ
แต่ปกติเสียงข้างนอกจะกลบ
แต่เสียงข้างนอกเงียบเมื่อไร ก็ได้ยินเมื่อนั้น

มันเป็นเหมือน คลื่น กระแส
เอกอนฟังและคิดว่า น่าจะเป็นเสียงประเภทเดียวกัน
แต่ไอ้ที่มันปั้งนั้น มันเหมือนกระแสต่างขั้วมาเจอกัน มันก็ ตู๊มมมม
เสียงมัน เหมือน ฟ้าร้อง แต่มันก้องอยู่ในใจ


:b55: :b54: :b54: :b55:
ได้ยินครับดังวิ๊ดตลอด ทางตาก็เห็นเป็นธาตุเล็กๆเกิดดับคลอดนะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
ฝนนมันตกฟ้าร้องหลายที แต่มันผ่าลงใกล้เรา

ใครให้คุณบิ๊กตู่ไปนั่งสมาธิล่อฟ้าล่อฝนอย่างนั้นล่ะ

เป็นสิ่งหนึ่งที่เอกอนหลีกเลี่ยงเรย

เพราะจริง ๆ เอกอนจำลองจิตไว้ประหนึ่งโลกที่ล่องหน
(อันนี้คิดเอาเองเรย จากความรู้สึกที่ประสบ)และมีแกนทอดกลาง
ซึ่งแกนนั้น จะหมุน และทำให้เกิดสนามพลังงาน
การทำสมาธิของเอกอน
บางทีมันเหมือนจะไปทำให้แกนมันหมุนในลักษณะที่ทำให้เกิดสนามพลังงาน

และพลังนั้นมันก็จะเป็นตัวล่อกระแสอย่างดี

เอกอนไม่ค่อยจะทำสมาธิมากนัก แทบจะไม่ทำ
เพราะทำแล้ว รู้สึกว่าพลังงานใน area มันจะสูง
ซึ่งเอกอนจะโดนไฟฟ้าวิ่งเข้าหาบ่อย
เปิดประตูบ้าน (ประตูเหล็ก) ก็โดนไฟช๊อต
เปิดประตูรถยนต์ถ้าไปโดนส่วนที่เป็นเหล็ก ก็โดนช๊อต
ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ลากรถเข็นเผลอไปโดนส่วนที่เป็นเหล็ก ก็โดนช๊อต
เวลาจะเสียบปลั๊กไฟ เอกอนต้องใช้ผ้าเป็นฉนวนกัน
เพราะถ้าใช้มือเปล่า ไฟจะแล็บพุ่งเข้าใส่
เอกอนเคยยืนเงินให้พนักงาน จังหวะที่มือไปชนเขา
มือเขากระตุกและสะดุ้งโหย๋งเรย เอกอนก็รู้สึกว่ากระแสไฟวิ่งเข้าตัวเขา
ซึ่งเอกอนก็ไม่อยากเชื่อ
แต่เขาก็พูดออกมาด้วยสีหน้างง ๆ ว่า "เอ้ย...ไฟช๊อตว่ะ"

555 สายล่อฟ้า 555


:b41: :b43: :b43: :b41:
แปลกดีนะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 14:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
ปกติคุณบิ๊กตู่ ได้ยินเสียงคลื่นความถี่
ดัง "วี๊ด" อยู่ในหูได้ง่ายมั๊ยล่ะ

คือ เสียงพวกนี้มันมีตลอด
และเอกอนก็ได้ยินมันอยู่ตลอดน่ะ
แต่ปกติเสียงข้างนอกจะกลบ
แต่เสียงข้างนอกเงียบเมื่อไร ก็ได้ยินเมื่อนั้น

มันเป็นเหมือน คลื่น กระแส
เอกอนฟังและคิดว่า น่าจะเป็นเสียงประเภทเดียวกัน
แต่ไอ้ที่มันปั้งนั้น มันเหมือนกระแสต่างขั้วมาเจอกัน มันก็ ตู๊มมมม
เสียงมัน เหมือน ฟ้าร้อง แต่มันก้องอยู่ในใจ


:b55: :b54: :b54: :b55:
ได้ยินครับดังวิ๊ดตลอด ทางตาก็เห็นเป็นธาตุเล็กๆเกิดดับตลอดนะ


:b20: ด้วยเหร๋อ ... จริงหง่ะ

อื้อ ... เหมี๋ยนกานเรย


:b20: :b20: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
ปกติคุณบิ๊กตู่ ได้ยินเสียงคลื่นความถี่
ดัง "วี๊ด" อยู่ในหูได้ง่ายมั๊ยล่ะ

คือ เสียงพวกนี้มันมีตลอด
และเอกอนก็ได้ยินมันอยู่ตลอดน่ะ
แต่ปกติเสียงข้างนอกจะกลบ
แต่เสียงข้างนอกเงียบเมื่อไร ก็ได้ยินเมื่อนั้น

มันเป็นเหมือน คลื่น กระแส
เอกอนฟังและคิดว่า น่าจะเป็นเสียงประเภทเดียวกัน
แต่ไอ้ที่มันปั้งนั้น มันเหมือนกระแสต่างขั้วมาเจอกัน มันก็ ตู๊มมมม
เสียงมัน เหมือน ฟ้าร้อง แต่มันก้องอยู่ในใจ


:b55: :b54: :b54: :b55:
ได้ยินครับดังวิ๊ดตลอด ทางตาก็เห็นเป็นธาตุเล็กๆเกิดดับตลอดนะ


:b20: ด้วยเหร๋อ ... จริงหง่ะ

อื้อ ... เหมี๋ยนกานเรย


:b20: :b20: :b20:


นอกจากนี้ ยังมีอะไรอีกครับที่เราสามารถอธิบายการเกิดดับของจักษุธาตุได้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 15:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
ปกติคุณบิ๊กตู่ ได้ยินเสียงคลื่นความถี่
ดัง "วี๊ด" อยู่ในหูได้ง่ายมั๊ยล่ะ

คือ เสียงพวกนี้มันมีตลอด
และเอกอนก็ได้ยินมันอยู่ตลอดน่ะ
แต่ปกติเสียงข้างนอกจะกลบ
แต่เสียงข้างนอกเงียบเมื่อไร ก็ได้ยินเมื่อนั้น

มันเป็นเหมือน คลื่น กระแส
เอกอนฟังและคิดว่า น่าจะเป็นเสียงประเภทเดียวกัน
แต่ไอ้ที่มันปั้งนั้น มันเหมือนกระแสต่างขั้วมาเจอกัน มันก็ ตู๊มมมม
เสียงมัน เหมือน ฟ้าร้อง แต่มันก้องอยู่ในใจ


:b55: :b54: :b54: :b55:
ได้ยินครับดังวิ๊ดตลอด ทางตาก็เห็นเป็นธาตุเล็กๆเกิดดับตลอดนะ


:b20: ด้วยเหร๋อ ... จริงหง่ะ

อื้อ ... เหมี๋ยนกานเรย


:b20: :b20: :b20:


นอกจากนี้ ยังมีอะไรอีกครับที่เราสามารถอธิบายการเกิดดับของจักษุธาตุได้


ตอบอย่างจริงใจเรยนะ อิอิ

"ไม่รู้" :b32: :b32: :b32:

คือเอกอนไม่ได้แคะแกะเกาเกี่ยวกับเรื่องประมาณนี้มานานนักแล้ว
เพราะไม่ไหวจะทำ คือเราขี้เกียจที่จะต้องเหนื่อยไปกับการเข้าไปรู้ในสิ่งต่าง ๆ แล้ว

อย่างเอกอนเคยโพสต์กระทู้นี้
นั่นคือความจริงที่
ตอนนั้นเอกอนจิตเป็นนิ่ง สงบ ว่าง แล้วจับกระแสที่ส่งจากแกนกลางออกไป
กระทบยังจุดหนึ่งของอะไรบางอย่างแล้วสะท้อนกลับมา
และเกิดการรับรู้
อธิบายให้พอจะเห็นภาพ ก็เหมือนกับปลาโลมา
ที่ปล่อยคลื่นโซน่าออกไป ซึ่งเป็นคลื่นที่ปลาโลมาใช้ในการสื่อสาร

และเอกอนก็สรุปความเข้าใจหนึ่งออกมา

คือตอนนั้นเอกอนมีความรู้สึกว่า
กระแสจิตของเอกอนมันไปแตะสิ่งหนึ่งที่เหมือนจะเกือบเป็นสิ่งที่อยู่ ณ ขอบจักรวาล
สิ่งนั้นเหมือนจะเคลื่อนที่อย่างแทบนิ่ง
ซึ่งจะทำงานประสานกับแกนกลางของสรรพสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายใน
และทำให้เกิดการเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งจักรวาล

และความเข้าใจที่เอกอนสรุป ในตอนนั้น
หลังจากนั้นสิบกว่าปี เอกอนก็ไปอ่านพบการทดลองนี้

เอรากอน เขียน:
"การอิงอาศัย"
การทดลอง "ลูกตุ้มฟูโกต์"

ฟูโกต์ นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสต้องการพิสูจน์ว่าโลกหมุนรอบแกนตัวเอง
โดยการแขวนลูกตุ้มจากเพดานโบสถ์แพนธีออน
ทันทีที่ลูกตุ้มเคลื่อนที่ ลูกตุ้มจะปรากฎพฤติกรรมที่แปลกประหลาด เมื่อเวลาผ่านไป ลูกตุ้มจะค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทางการแกว่งตัว
คือ ถ้าลูกตุ้มตั้งต้นแกว่งจากทิศเหนือ-ใต้ หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง
ลูกตุ้มจะแกว่งในแนวทิศตะวันออก-ตก
จากการคำนวณเราจึงรู้ว่า หากนำลูกตุ้มไปแขวนบริเวณขั้วโลกเหนือ
หรือขั้วโลกใต้
ลูกตุ้มจะหมุนรอบเป็นวงกลมสมบูรณ์ภายในเวลา 24 ชม.
ความเคลื่อนไหวที่เห็นเป็นภาพลวงตา
ที่จริงแล้วลูกตุ้มแกว่งในทิศเดียวกันตลอด แต่โลกต่างหากที่...หมุน

จากการค้นพบตรงจุดนี้มันเลยเถิดไปยัง "การเคลื่อนไหวที่สัมบูรณ์"
จากแนวความคิดเดิมของ กาลิเลโอ
กาลิเลโอ เห็นว่า การเคลื่อนไหวมีอยู่ ก็ต่อเมื่อสัมพันธ์กับบางสิ่งเท่านั้น
คือ โลกหมุน ก็เมื่อสัมพันธ์กับสิ่งที่ ไม่หมุน
คำถาม "เราจะหาบางสิ่งที่ว่านั้น จากที่ไหน"


ซึ่งถ้าเราจะทดสอบการไม่เคลื่อนที่ของจุดอ้างอิงใด ๆ
เราก็แค่แกว่งลูกตุ้มไปทางดาวดวงนั้น ถ้าดาวดวงนั้นไม่เคลื่อนที่
ลูกตุ้มจะแกว่งไปทางดาวดวงนั้นตลอด
แต่ถ้าดาวเคลื่อนที่ มันจะค่อย ๆ
เคลื่อนตัวห่างออกจากการแกว่งของลูกตุ้มอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากผ่านไปสักสองปี ก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้กับบรรดาดาวฤกษ์ใกล้ ๆ
ยิ่งวัตถุมีระยะห่างออกไปมากเท่าไร
เวลาของการแกว่งของลูกตุ้ม...ยิ่งนานขึ้น
ยิ่งการขยับห่างออกไป(ของวัตถุอ้างอิง)
การเคลื่อนตัวห่างออกจากแนวแกว่งยิ่งน้อยลงจนเข้าใกล้ศูนย์มากขึ้น

เฉพาะกาแลคซีที่ไกลที่สุด ที่ตั้งอยู่ที่ขอบเอกภพที่เรามองเห็น
ซึ่งห่างออกไปหลายพันล้านปีแสงเท่านั้น
ที่จะไม่ขยับออกจากระนาบตั้งต้นของการแกว่งลูกตุ้มเลย

บทสรุปของการทดลองนี้
ลูกตุ้มของฟูโกต์ ไม่มีพฤติกรรมตามสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวมัน
แต่กลับขึ้นอยู่กับ กาแลคซี่ที่อยู่ห่างออกไปไกลที่สุด
หรือถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือ ขึ้นอยู่กับเอกภพทั้งหมด


"สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา
เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล"

..... :b55: :b55: :b55: :b55: .....

:b16: :b16: :b16: :b16: :b16: :b16:


วันที่เอกอนเห็นสิ่งที่ว่า
วันนั้น แสงแดดส่องประกายสีส้มทอง


และมันก็หมดความเข้าใจอะไรเดิม ๆ เกี่ยวกับตัวตนของตัวเองไปหมด
เพราะ มันไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเข้าใจความปรากฎที่เป็นเราอยู่นี่ว่าอะไร
มันบอกไม่ถูกจริง ๆ ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ในจักรวาลนี้

ราวกับว่า เป็นแค่ปรากฎการณ์ของช่วงคลื่นช่วงหนึ่ง ๆ เท่านั้น

:b45: :b55: :b55: :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 16:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ปกติคุณบิ๊กตู่ ได้ยินเสียงคลื่นความถี่
ดัง "วี๊ด" อยู่ในหูได้ง่ายมั๊ยล่ะ

คือ เสียงพวกนี้มันมีตลอด
และเอกอนก็ได้ยินมันอยู่ตลอดน่ะ
แต่ปกติเสียงข้างนอกจะกลบ
แต่เสียงข้างนอกเงียบเมื่อไร ก็ได้ยินเมื่อนั้น

มันเป็นเหมือน คลื่น กระแส
เอกอนฟังและคิดว่า น่าจะเป็นเสียงประเภทเดียวกัน
แต่ไอ้ที่มันปั้งนั้น มันเหมือนกระแสต่างขั้วมาเจอกัน มันก็ ตู๊มมมม
เสียงมัน เหมือน ฟ้าร้อง แต่มันก้องอยู่ในใจ


:b55: :b54: :b54: :b55:


ฮะ...ฮ่า...ฮ่า....มีพวกแล้ว....
:b4: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
student เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
ปกติคุณบิ๊กตู่ ได้ยินเสียงคลื่นความถี่
ดัง "วี๊ด" อยู่ในหูได้ง่ายมั๊ยล่ะ

คือ เสียงพวกนี้มันมีตลอด
และเอกอนก็ได้ยินมันอยู่ตลอดน่ะ
แต่ปกติเสียงข้างนอกจะกลบ
แต่เสียงข้างนอกเงียบเมื่อไร ก็ได้ยินเมื่อนั้น

มันเป็นเหมือน คลื่น กระแส
เอกอนฟังและคิดว่า น่าจะเป็นเสียงประเภทเดียวกัน
แต่ไอ้ที่มันปั้งนั้น มันเหมือนกระแสต่างขั้วมาเจอกัน มันก็ ตู๊มมมม
เสียงมัน เหมือน ฟ้าร้อง แต่มันก้องอยู่ในใจ


:b55: :b54: :b54: :b55:
ได้ยินครับดังวิ๊ดตลอด ทางตาก็เห็นเป็นธาตุเล็กๆเกิดดับตลอดนะ


:b20: ด้วยเหร๋อ ... จริงหง่ะ

อื้อ ... เหมี๋ยนกานเรย


:b20: :b20: :b20:


นอกจากนี้ ยังมีอะไรอีกครับที่เราสามารถอธิบายการเกิดดับของจักษุธาตุได้


ตอบอย่างจริงใจเรยนะ อิอิ

"ไม่รู้" :b32: :b32: :b32:

คือเอกอนไม่ได้แคะแกะเกาเกี่ยวกับเรื่องประมาณนี้มานานนักแล้ว
เพราะไม่ไหวจะทำ คือเราขี้เกียจที่จะต้องเหนื่อยไปกับการเข้าไปรู้ในสิ่งต่าง ๆ แล้ว

อย่างเอกอนเคยโพสต์กระทู้นี้
นั่นคือความจริงที่
ตอนนั้นเอกอนจิตเป็นนิ่ง สงบ ว่าง แล้วจับกระแสที่ส่งจากแกนกลางออกไป
กระทบยังจุดหนึ่งของอะไรบางอย่างแล้วสะท้อนกลับมา
และเกิดการรับรู้
อธิบายให้พอจะเห็นภาพ ก็เหมือนกับปลาโลมา
ที่ปล่อยคลื่นโซน่าออกไป ซึ่งเป็นคลื่นที่ปลาโลมาใช้ในการสื่อสาร

และเอกอนก็สรุปความเข้าใจหนึ่งออกมา

คือตอนนั้นเอกอนมีความรู้สึกว่า
กระแสจิตของเอกอนมันไปแตะสิ่งหนึ่งที่เหมือนจะเกือบเป็นสิ่งที่อยู่ ณ ขอบจักรวาล
สิ่งนั้นเหมือนจะเคลื่อนที่อย่างแทบนิ่ง
ซึ่งจะทำงานประสานกับแกนกลางของสรรพสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายใน
และทำให้เกิดการเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งจักรวาล

และความเข้าใจที่เอกอนสรุป ในตอนนั้น
หลังจากนั้นสิบกว่าปี เอกอนก็ไปอ่านพบการทดลองนี้

เอรากอน เขียน:
"การอิงอาศัย"
การทดลอง "ลูกตุ้มฟูโกต์"

ฟูโกต์ นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสต้องการพิสูจน์ว่าโลกหมุนรอบแกนตัวเอง
โดยการแขวนลูกตุ้มจากเพดานโบสถ์แพนธีออน
ทันทีที่ลูกตุ้มเคลื่อนที่ ลูกตุ้มจะปรากฎพฤติกรรมที่แปลกประหลาด เมื่อเวลาผ่านไป ลูกตุ้มจะค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทางการแกว่งตัว
คือ ถ้าลูกตุ้มตั้งต้นแกว่งจากทิศเหนือ-ใต้ หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง
ลูกตุ้มจะแกว่งในแนวทิศตะวันออก-ตก
จากการคำนวณเราจึงรู้ว่า หากนำลูกตุ้มไปแขวนบริเวณขั้วโลกเหนือ
หรือขั้วโลกใต้
ลูกตุ้มจะหมุนรอบเป็นวงกลมสมบูรณ์ภายในเวลา 24 ชม.
ความเคลื่อนไหวที่เห็นเป็นภาพลวงตา
ที่จริงแล้วลูกตุ้มแกว่งในทิศเดียวกันตลอด แต่โลกต่างหากที่...หมุน

จากการค้นพบตรงจุดนี้มันเลยเถิดไปยัง "การเคลื่อนไหวที่สัมบูรณ์"
จากแนวความคิดเดิมของ กาลิเลโอ
กาลิเลโอ เห็นว่า การเคลื่อนไหวมีอยู่ ก็ต่อเมื่อสัมพันธ์กับบางสิ่งเท่านั้น
คือ โลกหมุน ก็เมื่อสัมพันธ์กับสิ่งที่ ไม่หมุน
คำถาม "เราจะหาบางสิ่งที่ว่านั้น จากที่ไหน"


ซึ่งถ้าเราจะทดสอบการไม่เคลื่อนที่ของจุดอ้างอิงใด ๆ
เราก็แค่แกว่งลูกตุ้มไปทางดาวดวงนั้น ถ้าดาวดวงนั้นไม่เคลื่อนที่
ลูกตุ้มจะแกว่งไปทางดาวดวงนั้นตลอด
แต่ถ้าดาวเคลื่อนที่ มันจะค่อย ๆ
เคลื่อนตัวห่างออกจากการแกว่งของลูกตุ้มอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากผ่านไปสักสองปี ก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้กับบรรดาดาวฤกษ์ใกล้ ๆ
ยิ่งวัตถุมีระยะห่างออกไปมากเท่าไร
เวลาของการแกว่งของลูกตุ้ม...ยิ่งนานขึ้น
ยิ่งการขยับห่างออกไป(ของวัตถุอ้างอิง)
การเคลื่อนตัวห่างออกจากแนวแกว่งยิ่งน้อยลงจนเข้าใกล้ศูนย์มากขึ้น

เฉพาะกาแลคซีที่ไกลที่สุด ที่ตั้งอยู่ที่ขอบเอกภพที่เรามองเห็น
ซึ่งห่างออกไปหลายพันล้านปีแสงเท่านั้น
ที่จะไม่ขยับออกจากระนาบตั้งต้นของการแกว่งลูกตุ้มเลย

บทสรุปของการทดลองนี้
ลูกตุ้มของฟูโกต์ ไม่มีพฤติกรรมตามสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวมัน
แต่กลับขึ้นอยู่กับ กาแลคซี่ที่อยู่ห่างออกไปไกลที่สุด
หรือถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือ ขึ้นอยู่กับเอกภพทั้งหมด


"สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา
เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล"

..... :b55: :b55: :b55: :b55: .....

:b16: :b16: :b16: :b16: :b16: :b16:


วันที่เอกอนเห็นสิ่งที่ว่า
วันนั้น แสงแดดส่องประกายสีส้มทอง


และมันก็หมดความเข้าใจอะไรเดิม ๆ เกี่ยวกับตัวตนของตัวเองไปหมด
เพราะ มันไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเข้าใจความปรากฎที่เป็นเราอยู่นี่ว่าอะไร
มันบอกไม่ถูกจริง ๆ ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ในจักรวาลนี้

ราวกับว่า เป็นแค่ปรากฎการณ์ของช่วงคลื่นช่วงหนึ่ง ๆ เท่านั้น

:b45: :b55: :b55: :b45:
ตอนที่bigtooตัดสินใจตายเป็นตาย และก็พบกับสิ่งที่ทำให้bigtooหายสงสัยในคำสอน ตั้งแต่วันนั้นมา เจอสิ่งที่แปลกมากมาตลอด ก็ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง ตื่นมาวันแรกหลังเจอสิ่งที่ทำให้หายสงสัยในคำสอน พระอาทิตย์ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว บางครั้งมองตัวเองในกระจกกับมองไม่เห็นตัวเอง บางครั้งฟ้าก็เป็นสีทองไปหมดเหมือนเอกอนว่านะครับ ไฟฉายที่เป็นลำแสงก็กลายเป็นดอกไม้หลายสีไปซะอย่างนั้น บางครั้งก็มีพลังงานวิ่งเข้ามาในตัวตั้งนาน ตอนนี้ร่างกายเป็นอณูแรงสั่นสะเทือนเบาไปหมดแล้วในทุกขณะ เป็นความรู้สึกที่รับได้นะ แต่ตอนนี้ไม่สนใจแล้วล่ะมันไม่เทียง ไม่น่าสนใจ หันกลับมา ตั้งใจลดละเลิกจริงๆเข้าไปตรงๆเห็นแต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป ถ้าเรามีสติทันไว มีกำลัง ไม่มีอะไรชนะเราได้สักอย่างเดียว bigtooชนะเรื่องอย่างว่าได้ก็สบายเกือบ100%แล้วล่ะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 21:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
สมัย10กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นเป็นพระไปจำพรรษาอยู่ที่สุพรรบุรีที่วัดแห่งหนึ่งมีพระอยู่ด้วยกัน2รูปแค่นั้น อยู่มาวันหนึ่งผมเกิดจำบางอย่างไม่ได้คือผมไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน นึกไม่ออกเลยว่าอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศที่นี่เรียกว่าอะไร ตำบลอะไร จังหวัดอะไร ไม่รู้เลย แต่รู้ตัวเกี่ยวกับอย่างอืนหมด และมีอีกอย่างนั่งสมาธิอยู่มีเสียงดังบั้งเหมือนเสียงปืนดังมากเกิดขึ้นในจิตแต่ไม่ตกใจนั้นคืออะไร ผู้รู้ช่วยตอบหน่อยครับ :b34:

:b16: :b16: :b16:
ทั้งหมดนั้นท่านเรียกว่า "สภาวธรรม" เป็นได้กับผู้เจริญสมาธิภาวนาแทบทุกคน
:b35:
เรื่องแรก จำอะไรไม่ได้แต่สัมปะชัญญะสมบูรณ์อยู่ นั่นอาจเป็นเพราะจิตเพลินอยู่ในสมาธิจนสติขาด รู้ตัว แต่ไม่รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ สัญญาหยุดทำงานไปชั่วขณะ จะเป็นอยู่สักพัก จนสติสัมปชัญญะถูกปรับเข้าที่ได้สมดุลย์กัน สัญญา ความจำหมายก็จะคืนมาทำหน้าที่ได้เป็นปกติเหมือนเดิม

:b18:
เรื่องที่ 2 นั่งสมาธิอยู่(เพลินๆ)ลืมตัวไปชั่วแว้ปหนึ่งแล้วมีเสียงดังปั้งเหมือนเสียงปืน หรือมีอาการเหมือนเสียงอะไรแตกดังตุ๊บใหญ่ๆในสมอง หรือบางทีมีอาการเหมือนพลัดตกจากที่สูงวูบลงไป ทั้งหมดนี้เป็นสภาวธรรมที่สันตติขาดแบบฉับพลันด้วยอำนาจสมาธิ อาจจะขาดชั่วพริบตาเดียวแล้วกลับมารู้ตัว หรือบางคนอาจขาดดับวูบลงภวังค์ไปนานหลายนาที หรือเป็นชั่วโมง
:b45:
แต่ถ้าเป็นการเจริญปัญญาวิปัสสนาภาวนาต่อเนื่องกันมาโดยมีสติสัมปชัญญะครองกายครองใจทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดีโดยตลอด ญาณต่างๆของวิปัสสนาภาวนาเจริญขึ้นตามลำดับ หากมีอาการสันตติขาดฉับพลันทันทีอย่างนี้บางทีก็ส่งทะลุไปเป็นมรรคญาณ ผลญาณได้เลยที่เดียว

ครูบาอาจารย์ท่านเรียกอาการอย่างนี้ว่า....."ธรรมส่ง...มรรครับ"

ธรรมที่จะมาส่งเข้ามรรคเข้าผลนั้นคือมหาภูตรูปทั้ง 4 อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น

ธาตุดินส่ง(หนัก เบา แข็ง อ่อน) จะมีอาการเหมือนมีอะไรพุ่งพรวดจากในกายทะลุออกไปด้านบนศรีษะเกิดเบาหวิว ลอยวูบหายไปข้างบน หรือมีอาการเหมือนของหนักๆหล่นทับทั้งตัวแล้วดับวูบไป หรือมีอาการเหมือนคนตกเหวที่ลึกไม่มีสิ้นสุดวูบลงแล้วดับไป

ธาตุลมส่ง (เจ็บ ปวด เต้น ตอด เหน็บ ซ่าน โยก คลอน ไหว นิ่ง)เช่นมีอาการเจ็บแปล้บอย่างรุนแรงแล้วดับไป มีอาการเต้นตอดภายในกายอย่างรุนแรงแล้วดับไป มีอาการกายโยกคลอนหรือหมุนอย่างรุนแรงแล้ววูบดับไป มีอาการเหมือนเชือกที่ถูกดึงอย่างแรงแล้วขาดสะบั้นฉับพลันแล้วดับไป มีอาการเหมือนถูกฟ้าผ่าลั่นเปรี้ยะแล้วดับไป

ธาตุไฟส่ง (ร้อน หนาว เย็น อุ่น)(พระพุทธเจ้าบรรลุธรรมโดยธาตุไฟส่ง)เช่นมีอาการร้อนวูบจากในกายพุ่งออกไปทางศรีษะแล้วดับไป มีอาการเย็นวาบเหมือนถูกน้ำแช่น้ำแข็งจนเย็นจัดราดตั้งแต่ศรีษะทะลุลงข้างล่างแล้วดับไป

ธาตุน้ำส่ง (ซึมซับ เอิบอาบ แตกแยก เกาะกุมกันเข้า)ธาตุน้ำเป็นสุขุมธาตุรู้ยาก ตัวอย่างเช่นมีอาการเหมือนธาตุขันธ์แตกระเบิดออกเป็นจุลมหาจุลแล้วดับไป(หลวงปู่ชาเป็นอย่างนี้)

:b1:
เอ้า!.....เลยคุยลามไปเสียไกลเลย ....นี่แหละสมาธิทำให้เพลินจนขาดสติและสัมปชัญญะได้
:b11:
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 21:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

และพลังนั้นมันก็จะเป็นตัวล่อกระแสอย่างดี

เอกอนไม่ค่อยจะทำสมาธิมากนัก แทบจะไม่ทำ
เพราะทำแล้ว รู้สึกว่าพลังงานใน area มันจะสูง
ซึ่งเอกอนจะโดนไฟฟ้าวิ่งเข้าหาบ่อย
เปิดประตูบ้าน (ประตูเหล็ก) ก็โดนไฟช๊อต
เปิดประตูรถยนต์ถ้าไปโดนส่วนที่เป็นเหล็ก ก็โดนช๊อต
ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ลากรถเข็นเผลอไปโดนส่วนที่เป็นเหล็ก ก็โดนช๊อต
เวลาจะเสียบปลั๊กไฟ เอกอนต้องใช้ผ้าเป็นฉนวนกัน
เพราะถ้าใช้มือเปล่า ไฟจะแล็บพุ่งเข้าใส่
เอกอนเคยยืนเงินให้พนักงาน จังหวะที่มือไปชนเขา
มือเขากระตุกและสะดุ้งโหย๋งเรย เอกอนก็รู้สึกว่ากระแสไฟวิ่งเข้าตัวเขา
ซึ่งเอกอนก็ไม่อยากเชื่อ
แต่เขาก็พูดออกมาด้วยสีหน้างง ๆ ว่า "เอ้ย...ไฟช๊อตว่ะ"

555 สายล่อฟ้า 555[/color]

:b41: :b43: :b43: :b41:


อ่อ...มันเป็นจังซี่เองหรอ....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2012, 02:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกวันเวลาผมชงกาแฟในตอนเช้า ผมจะกำหนดวิญญาณขันธืไปที่มือที่ชงอยู่ จะเห็นการทำงานอย่างชัดเจนของรูป คือมือแกว่งตามจังหวะการชงกาแฟ แต่ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกถึงความหน่วงที่เกิดขึ้นระหว่างชงกาแฟ ส่วนตัวจะแยกออกมาเป็นคนละสถานะ คือเวทนาขันธ์ส่วนหนึ่ง และ จักษุวิญญาณส่วนหนึ่ง ความรู้สึกคือเหมือน เวทนาขันธ์เป็นหลัก แต่รูปจริงๆเป็นแค่ภาพลวงตา คือมีสติอยู่ที่ นาม มากกว่ารูป เพราะความเห็นตัวเองจะออกมาทันทีว่ารูปที่แท้จริงนั้น ไม่มีวันลงตัวเพราะจะตั้งบทสรุปทันทีว่า เพราะว่ามีแสงนั่นเอง จึงปรากฎเป็นสัญญาจากจักษุธาตุ ถ้าหลับตาปุ๊บ ธรรมที่คงอยู่คือ เวทนาขันธ์หรือความหน่วงนั่นเอง ไม่ปรากฏรูปอีกต่อไป ดังนั้นสิ่งที่ถูกกำหนดจึงเป็นเวทนาขันธ์จากการชงกาแฟ และ จักษุธาตุ หรือ การทำงานของจักษุธาตุตอนนั้น วิญญาณขันธืจึงกำหนดที่จักษุธาตุ สิ่งที่ปรากฏออกมาจึงเป็น การเกิดดับของจักษูธาตุต่อการมอง ทุกๆจังหวะการมอง หากเอาสติเข้าไปรับรู้ จึงจะเห็นตามความเป็นจริง แล้วส่วนตัวได้สังเกตุว่า เป็นเหตุให้สังขารขันธ์ธรรมปรากฏออกมาเป็น เกิด ดับ(ธาตุ) เท่านั้นที่ปรากฏ ไม่มี สว่าง ไม่มี มืด ไม่มี ชัด ไม่มี เบลอ ไม่มีสี (ความเห็นนั่นเอง) เป็นเพียงการเกิดขึ้นของธรรมที่อาศัยเหตุคือเพราะจักษุธาตุทำงานดีอยู่ ไม่ใช่คนตาบอดนั่นเอง

แต่หากส่วนตัวเมื่อใดที่เผลอ ก็จะถูกขบวนการของความหลงเข้าครอบคลุมเหมือนเดิม แต่ธรรมนั้นไม่มีเฉพาะจากจักษุธาตุ ยังมี โสต ชิวหา กามารมณ์ ฆาณ สัมผัส ที่เราต้องเข้าไปกำหนดรู้ สติ จึงจำเป็นอย่างมากต่อการกำหนดรู้ธรรม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2012, 05:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


cool
อ้างคำพูด:
ตอนที่bigtooตัดสินใจตายเป็นตาย และก็พบกับสิ่งที่ทำให้bigtooหายสงสัยในคำสอน ตั้งแต่วันนั้นมา เจอสิ่งที่แปลกมากมาตลอด ก็ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง ตื่นมาวันแรกหลังเจอสิ่งที่ทำให้หายสงสัยในคำสอน พระอาทิตย์ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว บางครั้งมองตัวเองในกระจกกับมองไม่เห็นตัวเอง บางครั้งฟ้าก็เป็นสีทองไปหมดเหมือนเอกอนว่านะครับ ไฟฉายที่เป็นลำแสงก็กลายเป็นดอกไม้หลายสีไปซะอย่างนั้น บางครั้งก็มีพลังงานวิ่งเข้ามาในตัวตั้งนาน ตอนนี้ร่างกายเป็นอณูแรงสั่นสะเทือนเบาไปหมดแล้วในทุกขณะ เป็นความรู้สึกที่รับได้นะ แต่ตอนนี้ไม่สนใจแล้วล่ะมันไม่เทียง ไม่น่าสนใจ หันกลับมา ตั้งใจลดละเลิกจริงๆเข้าไปตรงๆเห็นแต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป ถ้าเรามีสติทันไว มีกำลัง ไม่มีอะไรชนะเราได้สักอย่างเดียว bigtooชนะเรื่องอย่างว่าได้ก็สบายเกือบ100%แล้วล่ะ


:b27:
เมื่อได้พบกับสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตมาก่อนเลย ก็ย่อมจะเห็นเป็นของแปลกกันอย่างนี้ทุกๆคน เป็นธรรมดา แต่ไม่ช้า ก็จะไม่มีอะไรน่าแปลก เมื่อเข้าใจธรรม(ดา)ได้อย่างลึกซึ้ง

:b14:

ภาวะที่ หูดีเป็นพิเศษ ได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องระงมอยู่รอบตัว และเสียงอื่นๆที่ละเอียดอ่อนให้ได้ยินได้รู้อยู่ตลอดเวลา ก็ดี

ความรู้ชัดลมหายใจ......หัวใจเต้น......ชีพจร.....ตลอดจนรู้ถึงความสั่นสะเทือนในกาย (Vibration)
ได้โดยง่ายดั่งใจทันที ก็ดี

ตาทั้งนอกและใน ที่ไปเห็นสีแสง ความสว่างจ้า ภาพนิมิตที่ว่ามีความจริงมารองรับอยู่เรื่อย ก็ดี

อาการเหมือนสามารถรับคลื่นพลังจากสิ่งรอบตัว เหมือนไฟฟ้าช็อตเบาๆหรือแรงๆ ก็ดี

ฯลฯ

ทั้งหมดนี้เป็นอาการปกติธรรมดาของผู้ที่ขยะใจลดลงเหลือน้อย หรือขยะสำคัญบางอย่างถูกชำระหมดไป
แต่อย่าพึงทำให้ความดูเหมือนแปลกเหล่านั้น มากลายเป็นสิ่งพิเศษหรือของวิเศษที่เรามีอยู่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เพราะนั่นจะทำให้....."กิเลสใส" ......มีกำลังเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่ยังไงใหม่ๆก็ต้องเกิดกับทุกคนแน่ มีแต่ว่าใครจะสลัดทิ้ง ส่งคืนได้เร็วเท่าไหร่ แตกต่างกันไปตามกำลังวาสนาบารมี

:b20:
ท่อนท้าย คำพูดประโยคนี้

"ไม่มีอะไรชนะ.....เรา.......ได้สักอย่างเดียว .....bigtooชนะเรื่องอย่างว่าได้ก็สบายเกือบ100%แล้วล่ะ"

พึงระวังและสังเกตให้ดีๆเพราะมี .......เรา....และ .....bigtoo ยังแทรกซึมอยู่ตรงกลางนะครับ
:b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 101 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร