วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 03:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2012, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ แปลว่า ความรัก (ผู้อื่น) เสมอด้วยรักตนเองไม่มี

นึกถึงคำพูดพระพยอม (หนุ่มจีบสาว) หากจะทดลองว่าเขารักเราจริงไหม ก็ให้เอาถ่านไฟโยนใส่ดู เขาจะปัดใส่ใคร

ความรักหนุ่ม-สาวมีปัจจัยประกอบร่วมมากมาย พูดตายตัวไม่ได้

ให้ดูแง่หนึ่ง

ตัวอย่าง เช่น หนุ่มรักสาว สาวรักหนุ่ม มองลึกๆ เขาต่างก็รักตนเอง หมายความว่า ต่างฝ่ายต่างก็มองฝ่ายตรงข้ามว่ามีอะไรที่จะให้ตนเสพเสวยรสอร่อย (สุขเวทนา) ได้บ้าง เช่น รูปร่างหน้าตา เครื่องอำนวยสุขเวทนาอย่างอื่นอีก เช่น ฐานะทางสังคม ทรัพย์สินเงินทอง เป็นต้น ถ้าต่างฝ่ายต่างมองกันเฉพาะแง่นี้ เมื่อสิ่งเหล่านั้นผันแปรไป ที่เคยพูด ฉันรักเธอเท่าฟ้า ปรารถนาเธอยิ่งสิ่งใด ถึงเธอจะเป็นเดนใคร

http://www.youtube.com/watch?v=0GiR5NTiPww

ก็อาจเปลี่ยนเป็นอื่นได้ ตัวอย่างมากมาย บางคู่ก่อนแต่งงานกันต่างฝ่ายก็ไม่มีสมบัติอะไร พออยู่ด้วยกันไปต่างขยันขันแข็งทำมาหาเก็บ เก็บหอมรอมริบจนมีฐานะมั่นคง เอาแล้ว (ส่วนมาก) ฝ่ายชายมักลืมคำพูดครั้งอดีตที่ว่า "รักเธอเท่าฟ้า..." จะได้ยินเสียงหัวใจร่ำร้องว่า ฉันหมดรักเธอแล้ว รักคนที่สาวกว่าสวยกว่านั่นโน่นไม่ได้
ถึงอย่างนี้มองลึกๆ ผู้นี้...เขาก็รักตัวเขาเอง เพราะเห็นคนใหม่ถ้าทางจะให้เวทนาอันอร่อยได้ดีกว่าเป็นแน่

ตัวอย่างฝ่ายหญิงก็มี แต่ไม่พูดดีฝ่า เก็บในใจคนเดียวเงียบๆ :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2012, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ แปลว่า ความรัก (ผู้อื่น) เสมอด้วยรักตนเองไม่มี

นึกถึงคำพูดพระพยอม (หนุ่มจีบสาว) หากจะทดลองว่าเขารักเราจริงไหม ก็ให้เอาถ่านไฟโยนใส่ดู เขาจะปัดใส่ใคร
:
555

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2012, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: โฮฮับ

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2012, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




images.jpg
images.jpg [ 12.45 KiB | เปิดดู 3050 ครั้ง ]
เอาอีกแระ เห็นโฮฮับจัง พูดคำศัพท์ "กาม" โฮฮับว่า กาม ที่พูดถึงนี่หมายถึงอะไร จะกำหนดรู้เอาเองว่าเป็นอะไรล่ะที่นี้ :b10: :b14:

คงไม่ใช่ผีตาโขนนะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2012, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


งานนี้ผมวางเดิมพันข้างคุณโฮฮับหมดหน้าตัก huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2012, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


การเสพเมถุนนะมันไม่ผิดหรอก สำหรับมนุษย์ทั่วๆไป แต่อย่ามาคุยกับพวกที่เขาต้องการจะข้ามวัฎฎะ เขามองเรื่องอย่างนี้เป็นอุปสรรค อย่างมากพระวินัยถึงเอาเรื่องพวกนี่ไว้ต้นๆ เป็นความผิดร้ายแรง ขนาดทำช้างน้อยร้องไห้ยังเป็นอาบัติหนักเลยเข้าใจบ่ เพราะการเสพเมถุนนั้นเป็นการสร้างอะไรได้มากมาย ไม่ใช่เรื่องเสพเมถุนเหรอทุกวันนี้ถึงต้องมีทุกข์กันอยู่ทุกวันสืบเนื่องกัน ไม่รู้จักจบสิ้น สร้างเผ่าพันธุ์ สร้างความทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้น

เพราะไอ้นี่แหละตัวร้าย ไม่ต้องมาบอกหรอกกับเมียตัวเองไม่เห็นเป็นอะไร( มันไม่ผิดกับไม่เป็นอะไร )มันต่างกันเข้าใจบ่ มันเป็นเรื่องความไม่หลุดพ้นวงจร เข้าใจบ่ ไอ้ตัวไหนที่มันให้ความสุขมากไอ้ตัวนั้นแหละมันให้โทษมาก คนที่มีปัญญาน้อยมันมองไม่ออกหรอก อย่างเรื่องเงินก็เหมือนกันให้คุณมากก็ให้โทษมาก มนุษย์ทั่ๆไปก็มักจะเถียงที่ จะกินอยู่นั้นแหละ เข้าใจบ่( และเรื่องพวกนี้มันจะเกิดสำหรับคนที่เขาข้ามอะไรเกือบหมดแล้ว เขาถึงพิจารณากัน เขาคุยในหมู่คณะกัน) เราก็นึกว่าเข้าใจ

โถๆๆๆ ไม่ต้องมาพรรณาหรอกจ๊ะ ความรัก กับความใคร่ คนทั่วๆไปมักแยกมันไม่ออกหรอก ความรักแท้มันไม่มีหรอกตราบใดยังเป็นปุถุชนอยู่ มันมีแต่ความอยากสมความปราถนของตัวเอง ลองนั้งตรองดูดีๆ ความรักแแท้จริงนั้นจะต้องเสมอภาคกันทั้งหมด อย่างพระพุทธเจ้ารักท่านลาหุล เสมอเท่ากับทุกคน นี่เรียกว่ารักแท้เข้าใจบ่ :b13:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 06 ก.ย. 2012, 17:06, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 02:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
การเสพเมถุนนะมันไม่ผิดหรอก สำหรับมนุษย์ทั่วๆไป แต่อย่ามาคุยกับพวกที่เขาต้องการจะข้ามวัฎฎะ เขามองเรื่องอย่างนี้เป็นอุปสรรค อย่างมากพระวินัยถึงเอาเรื่องพวกนี่ไว้ต้นๆ เป็นความผิดร้ายแรง ขนาดทำช้างน้อยร้องไห้ยังเป็นอาบัติหนักเลยเข้าใจบ่ เพราะการเสพเมถุนนั้นเป็นการสร้างอะไรได้มากมาย ไม่ใช่เรื่องเสพเมถุนเหรอทุกวันนี้ถึงต้องมีทุกข์กันอยู่ทุกวันสืบเนื่องกัน ไม่รู้จักจบสิ้น สร้างเผ่าพันธุ์ สร้างความทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้น

แบบนี้พวกอริยบุคคลชั้นโสดาบันก็ผิดนะซิ พูดไปได้เรี่อย คิดก่อนแล้วค่อยพูด

หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ไม่นาน ทำไมพระองค์ต้องเสด็จมาหาพระเจ้าพิมพิสาร
ทั้งๆขณะนั้นพระเจ้าพิมพิสารยังเป็นแค่ปุถุชน ยังเสวยสุขทางโลกียะ
ไม่ใช่มาเพื่อสนทนากับพระเจ้าพิมพิสารหรือ

อีกเรื่องนางวิสาขาบรรลุโสดาบัน เป็นอริยบุคคลตั้งแต่เด็ก พอโตท่านก็มีครอบครัว
ท่านก็ยังเสพเมถุนในฐานะผู้ครองเรือน แล้วทำไมท่านจีงเสด็จมาเฝ้าเพื่อสนทนาธรรม
กับพุทธองค์บ่อยๆ

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ การปฏิบัติเพื่อข้ามว้ฏฏะ มันจะต้องคำนึง...กาลเทศะ
นั้นก็คือ บุคคลจะตัองรู้ว่า ...ตนอยู่ในสถานะไหนและมีหน้าที่อะไร
และการที่บุคคลยังดำรงอยู่ในสถานะปัจจุบันนั้น เช่นทำไมนางวิสาขาหรือ
พระเจ้าพิมพิสาร จึงยังทรงครองตนเป็นผู้ครองเรือน ก็เพราะพระองค์และนางวิสาขา
ยังไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย) นั้นก็คือยังไม่รู้ว่า การที่ท่านยังต้องครองเรือนอยู่
เพราะกิเลส ที่เรียกว่า กามราคะและปฏิฆะ การไม่รู้เหตุจึงไม่รู้วิธีการดับเหตุ

ถ้าเอามาเปรียบกับบิกทู่ บิกทู่ก็เป็นปุถุชนที่ไม่รู้..อริยสัจจ์สี่
บิกทู่ขาดปัญญาไม่ว่าจะเป็นทางธรรมหรือทางโลก ทางธรรมไม่ต้องพูดเพราะพูดให้ตาย
บิกทู่ก็ไม่มีปัญญาที่จะฟัง แต่จะบอกเรื่องปัญญาทางโลก
ที่บอกว่าบิกทู่ไม่มีปัญญาทางโลกก็คือ บิกทู่ไม่มีสติอยู่กับเนื้อหาการสนทนา
การพูดต่อตอบกับคนอื่น มักจะชอบแถออกนอกประเด็น มักจะสร้างเรื่องใหม่ขึ้นมา
ทั้งๆที่ปัญหาเก่ายังไม่เคลียร์
และที่ดูเหมือนคนไม่มีปัญญาอีกข้อก็คือ การใช้สำนวนวาจาสองแง่สองง่ามเพื่อเอาชนะ
บิกทู่คงคิดว่า กำลังคุยอยู่กับสาวโสดหรือเด็กสาววัยรุ๋นมั้ง หลงไปว่าวิธีนี้จะเอาชนะได้
เพราะอีกฝ่ายจะต้องอายสงบปากสงบคำไม่กล้าคุยด้วย บอกได้คำเดียว...ทู่จริงๆ :b13:


บิกทู่ไม่รู้ตัวหรอก ที่เอาคำสองแง่สองง่ามมาคุยกับผม รู้หรือเปล่า
กำลังเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน
ที่เขาไม่ต้องการคุยเพราะกลัวจะไปผิดกฎของเว็บบอร์ดเขา....เข้าใจมั้ยทู่
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 02:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เพราะไอ้นี่แหละตัวร้าย ไม่ต้องมาบอกหรอกกับเมียตัวเองไม่เห็นเป็นอะไร( มันไม่ผิดกับไม่เป็นอะไร )มันต่างกันเข้าใจบ่ มันเป็นเรื่องความไม่หลุดพ้นวงจร เข้าใจบ่ ไอ้ตัวไหนที่มันให้ความสุขมากไอ้ตัวนั้นแหละมันให้โทษมาก คนที่มีปัญญาน้อยมันมองไม่ออกหรอก อย่างเรื่องเงินก็เหมือนกันให้คุณมากก็ให้โทษมาก มนุษย์ทั่ๆไปก็มักจะเถียงที่ จะกินอยู่นั้นแหละ เข้าใจบ่( และเรื่องพวกนี้มันจะเกิดสำหรับคนที่เขาข้ามอะไรเกือบหมดแล้ว เขาถึงพิจารณากัน เขาคุยในหมู่คณะกัน) เราก็นึกว่าเข้าใจ

พูดมาได้ "ไม่หลุดพ้นวงจร" พูดไม่คิดอีกแล้ว วงจรที่บิกทู่พูดถึงน่ะ คือการยังอยู่บ้านเดียวกับเมีย
ยังมองเมียตัวเองยังสาวยังสวย นี่แหล่ะเขาเรียกวงจรกิเลส
และไอ้วงจรนี่มันทำให้เกิดผลหรืออาการของจิต ที่เรียกว่า ความอยากและไม่อยาก
ทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นกิเลส ที่บิกทู่ยังมองไม่ออก เพราะถูกครอบงำโดยโมหะอยู่

ถ้าบิกทู่หลุดจากวงจรจริง บิกทู่ต้องปลีกวิเวก ด้วยการไปบวช
หรือยังคิดว่าถือศีลของพระไม่ได้ ก็ต้องแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเมียในฐานะผู้ครองเรือน ต่างคนต่างอยู่ ให้ความรู้สึกว่าคนเคยรู้จัก


ไม่ใช่เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเมีย แล้วมาตะโกน
บอกชาวบ้านว่า "ไม่ยุ่งกับเมีย" ทั้งๆที่ตัวเองนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียว
ส่วนเมียอยู่ในชุดกระโจมอก วุ๋ย!บัดสีบัดเถลิง :b32:


bigtoo เขียน:
โถๆๆๆ ไม่ต้องมาพรรณาหรอกจ๊ะ ความรัก กับความใคร่ คนทั่วๆไปมักแยกมันไม่ออกหรอก ความรักแท้มันไม่มีหรอกตราบใดยังเป็นปุถุชนอยู่ มันมีแต่ความอยากสมความปราถนของตัวเอง ลองนั้งตรองดูดีๆ ความรักแแท้จริงนั้นจะต้องเสมอภาคกันทั้งหมด อย่างพระพุทธเจ้ารักท่านลาหุล เสมอเท่ากับทุกคน นี่เรียกว่ารักแท้เข้าใจบ่ :b13:

พูดเหมือนพวกแรงงานต่างด้าวมันคุยกันในวงเหล้า เหมือนขี้เมากำลังปลอบใจเพื่อน
ทำไมมันมั่วแบบนี้ หยิบโน้นนิดนี้หน่อย เอามาจากนิยายรักนิด หยิบมาจากลครโทรทัศน์หน่อย
ผลก็คือ.... "โวหารเหล้าโรง"

อ้างพระพุทธเจ้า อ้างอรหันต์ เอาเรื่องความรักมาเปรียบกับพระพุทธเจ้า
ที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระพุทธเจ้า ที่พระอรหันต์เป็นพระอรหันต์ได้เพราะ...
ไม่มีเรื่องความรักแล้ว ไม่ว่าจะรักใคร จะเป็นครอบครัว
หรือคนทั้วไป พระองค์หรืออรหันต์มีแต่......พรหมวิหารที่วางอุเบกขาแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มาทำความเข้าใจกับคำว่ารักกับ กาม และที่สำคัญอีกคำก็คือการเสพเมถุนความรัก
ความรักแตกต่างจากกามด้วยเหตุปัจจัย
และความรักหรือกามเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการเสพเมถุน ว่ากันโดยเนื้อแท้แล้ว
การเสพเมถุนก็เป็นอาการที่เป็นผลมาจากกิเลสนั้นเอง
แต่สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก็คือ กิเลสที่ว่าเป็นตัวอกุศลหรือกุศลและอำนาจของมันมีแค่ไหน



กามที่โฮฮับจังพูดถึงในที่นี้หมายถึงอะไร เอาชัดๆ ดูสิว่าจะตรงกับที่พระพุทธศาสนาวสอนไว้ไหม :b1:

เอาศัพท์ทางธรรมมาพูดโยงกันไปกันมาเพื่อให้เข้ากับทิฐิของตน เสียหายเลอะเทอะ

กาม โฮฮับจะกำหนดรู้ว่ายังไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
เพราะไอ้นี่แหละตัวร้าย ไม่ต้องมาบอกหรอกกับเมียตัวเองไม่เห็นเป็นอะไร( มันไม่ผิดกับไม่เป็นอะไร )มันต่างกันเข้าใจบ่ มันเป็นเรื่องความไม่หลุดพ้นวงจร เข้าใจบ่ ไอ้ตัวไหนที่มันให้ความสุขมากไอ้ตัวนั้นแหละมันให้โทษมาก คนที่มีปัญญาน้อยมันมองไม่ออกหรอก อย่างเรื่องเงินก็เหมือนกันให้คุณมากก็ให้โทษมาก มนุษย์ทั่ๆไปก็มักจะเถียงที่ จะกินอยู่นั้นแหละ เข้าใจบ่( และเรื่องพวกนี้มันจะเกิดสำหรับคนที่เขาข้ามอะไรเกือบหมดแล้ว เขาถึงพิจารณากัน เขาคุยในหมู่คณะกัน) เราก็นึกว่าเข้าใจ

พูดมาได้ "ไม่หลุดพ้นวงจร" พูดไม่คิดอีกแล้ว วงจรที่บิกทู่พูดถึงน่ะ คือการยังอยู่บ้านเดียวกับเมีย
ยังมองเมียตัวเองยังสาวยังสวย นี่แหล่ะเขาเรียกวงจรกิเลส
และไอ้วงจรนี่มันทำให้เกิดผลหรืออาการของจิต ที่เรียกว่า ความอยากและไม่อยาก
ทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นกิเลส ที่บิกทู่ยังมองไม่ออก เพราะถูกครอบงำโดยโมหะอยู่

ถ้าบิกทู่หลุดจากวงจรจริง บิกทู่ต้องปลีกวิเวก ด้วยการไปบวช
หรือยังคิดว่าถือศีลของพระไม่ได้ ก็ต้องแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเมียในฐานะผู้ครองเรือน ต่างคนต่างอยู่ ให้ความรู้สึกว่าคนเคยรู้จัก


ไม่ใช่เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเมีย แล้วมาตะโกน
บอกชาวบ้านว่า "ไม่ยุ่งกับเมีย" ทั้งๆที่ตัวเองนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียว
ส่วนเมียอยู่ในชุดกระโจมอก วุ๋ย!บัดสีบัดเถลิง :b32:


bigtoo เขียน:
โถๆๆๆ ไม่ต้องมาพรรณาหรอกจ๊ะ ความรัก กับความใคร่ คนทั่วๆไปมักแยกมันไม่ออกหรอก ความรักแท้มันไม่มีหรอกตราบใดยังเป็นปุถุชนอยู่ มันมีแต่ความอยากสมความปราถนของตัวเอง ลองนั้งตรองดูดีๆ ความรักแแท้จริงนั้นจะต้องเสมอภาคกันทั้งหมด อย่างพระพุทธเจ้ารักท่านลาหุล เสมอเท่ากับทุกคน นี่เรียกว่ารักแท้เข้าใจบ่ :b13:

พูดเหมือนพวกแรงงานต่างด้าวมันคุยกันในวงเหล้า เหมือนขี้เมากำลังปลอบใจเพื่อน
ทำไมมันมั่วแบบนี้ หยิบโน้นนิดนี้หน่อย เอามาจากนิยายรักนิด หยิบมาจากลครโทรทัศน์หน่อย
ผลก็คือ.... "โวหารเหล้าโรง"

อ้างพระพุทธเจ้า อ้างอรหันต์ เอาเรื่องความรักมาเปรียบกับพระพุทธเจ้า
ที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระพุทธเจ้า ที่พระอรหันต์เป็นพระอรหันต์ได้เพราะ...
ไม่มีเรื่องความรักแล้ว ไม่ว่าจะรักใคร จะเป็นครอบครัว
หรือคนทั้วไป พระองค์หรืออรหันต์มีแต่......พรหมวิหารที่วางอุเบกขาแล้ว
แล้วใครบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเราหลุดวงจรแล้ว เราเพียงบอกว่าสิ่งไหนที่มันล่อลวงคนเราอยู่ ให้มองให้เห็น ให้พิจารณาให้ดีสิ่งไหนเป็นโทษ สิ่งไหนเป็นทางให้เกิดโทษและวงจรไม่รู้จบ และสิ่งไหนนักปฎิบ้ติธรรมควรพิจารณาเพ่งโทษให้มากเพื่อหลุดพ้น ถึงจะทำยังไม่ได้ในขณะนี้ ต้องพยายามทำให้จงได้ เข้าใจบ่ เรื่องที่ว่าเมียยังสวยอยู่เขาพูดตามเนื้อผ้าว่าขนาดนั้นเขายังมีความตั้งใจพยายามลดเลิกได้เลยเพราะความน้อมออกจากวัฎฎะครับพี่โฮ ของอย่างไรก็บอกไปอย่างนั้นต้องตรงครับ ไม่ใช่ดูเพราะเป็นกิเลสถึงจะเป็นกิเลสเขาก็หักห้ามใจได้ก็เพราะการภาวนาชั้นเลิศแล้วครับพี่ และเรื่องความรักนั้นไงตัวเองก็บอกอยู่ว่าต้องเป็นเมตตา และความรักจริงๆมันมีเหรอมันไม่มีหรอก มันมีแต่ความใคร่ที่จะทำให้ตนเองสมความปรารถนาเท่านั้นในทุกกรณี แม้แต่ความต้องการเห็นเขาดีก็เพราะเราต้องกา รพื้นฐานมาจากโมหะทั้งนั้น เข้าใจบ่ เพราะสังขารในวัฎฎะทั้งหลายเกิดจากโมหะเข้าใจบ่

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
มาทำความเข้าใจกับคำว่ารักกับ กาม และที่สำคัญอีกคำก็คือการเสพเมถุนความรัก
ความรักแตกต่างจากกามด้วยเหตุปัจจัย
และความรักหรือกามเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการเสพเมถุน ว่ากันโดยเนื้อแท้แล้ว
การเสพเมถุนก็เป็นอาการที่เป็นผลมาจากกิเลสนั้นเอง
แต่สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก็คือ กิเลสที่ว่าเป็นตัวอกุศลหรือกุศลและอำนาจของมันมีแค่ไหน



กามที่โฮฮับจังพูดถึงในที่นี้หมายถึงอะไร เอาชัดๆ ดูสิว่าจะตรงกับที่พระพุทธศาสนาวสอนไว้ไหม :b1:

เอาศัพท์ทางธรรมมาพูดโยงกันไปกันมาเพื่อให้เข้ากับทิฐิของตน เสียหายเลอะเทอะ

กาม โฮฮับจะกำหนดรู้ว่ายังไง

อ้างพุทธศาสนาตะพีดตะพือ บอกจะเอาพระสูตรมายันก็เหลว
สรุปคือเอาเว็บตัวเองเป็นพุทธศาสนา

กามมันเป็นกิเลสตัณหาภายนอก ที่มันมาพร้อมกับอายตนะภายนอก เช่น..
รูป...เสียง...กลิ่น...รส..และกายสัมผัส สิ่งเหล่านี้เรียกกามคุณห้า
แล้วจะรู้ได้ไงว่าเป็นกเลส มันก็ต้องไปดูที่อาการของจิต..เช่น
ตาเห็นรูปแล้ว พอใจหรือไม่พอใจ (สวยหรือน่าเกลียด)
หูได้ยินเสียง พอใจหรือไม่พอใจ (เพราะหรือหนวกหู)
จมูกได้กลิ่น พอใจหรือไม่พอใจ(หอมหรือเหม็น)
ลิ้นได้รส พอใจหรือไม่พอใจ(อร่อยหรือไม่อร่อย)
กายถูกสัมผัสพอใจหรือไม่พอใจ(นุ่มนวลหรือรุนแรง)
สิ่งที่เม้นในวงเล็บอาจไม่ตรง ขึ้นอยู่กับว่า จิตของใครจะชอบหรือปรุงแต่ง
ไปอย่างไร

อาการพอใจหรือไม่พอใจ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะอำนาจของกิเลสตัณหาที่เรียกว่ากามราคะ
บางคนหลงเข้าใจผิดไปว่า การมีศีลสามารถดับกิเลสได้ อันนี้เป็นความเข้าใจผิด
ศีลมีไว้เพื่อไม่ให้เกิดการทำชั่วทางกายและวาจาเท่านั้น

กิเลสตัณหาต้องใช้หลักธรรมที่เรียกโพธิปักขิยธรรม จึงจะดับได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
แล้วใครบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเราหลุดวงจรแล้ว เราเพียงบอกว่าสิ่งไหนที่มันล่อลวงคนเราอยู่ ให้มองให้เห็น ให้พิจารณาให้ดีสิ่งไหนเป็นโทษ สิ่งไหนเป็นทางให้เกิดโทษและวงจรไม่รู้จบ และสิ่งไหนนักปฎิบ้ติธรรมควรพิจารณาเพ่งโทษให้มากเพื่อหลุดพ้น

คุณมาสอนให้ชาวบ้านเขาเพ่งโทษ หรือจะมายุแยให้เขาเกิดโทษ
มาพูดจาซี่ซั้ว อยู่ดีไม่ว่าดีมาสอนให้ครอบครัวเขาแตกแยก
ไม่รู้จักเอาสัมมาศีลมาใส่หัว มาสอนให้ชาวบ้านประพฤติตนผิดเพี้ยน
ผิดหลักการเป็นผู้ครองเรือนที่ดี พอมีคนมาชี้ทางที่สมควรทำให้กลับอ้างโน้นอ้างนี้
บอกยังไม่พร้อมบ้างยังทำไม่ได้บ้าง ถ้าเป็นแบบนี้จะเอาสิ่งที่คุณยังทำไม่ได้มาบอกทำไม

หลักการเบื้องต้นยังไม่ผ่านเลย แต่ดันมาโม้ว่า ต้วเองทำหลักการเบื้องปลายได้แล้ว
ตาตัวเองยังติดใจกับสิ่งสวยๆงามๆ จมูกก็ยังคอยตามดมกลิ่นหอมยั่วยวน
ยังมาบอกได้ว่า ตัวทำได้แล้ว

คนเป็นจิดเพศชอบทำร้ายตัวเอง มันต้องรักษาทางจิต
ไม่ใช่มารักษาทางกาย เข้าใจมั้ยทู่
bigtoo เขียน:
ถึงจะทำยังไม่ได้ในขณะนี้ ต้องพยายามทำให้จงได้ เข้าใจบ่

มันไม่เกี่ยวว่ายังทำได้หรือทำไม่ได้ ความสำคัญมันอยู่ที่ สิ่งที่ตัวเองทำมันผิด
ผิดที่ว่าไม่ได้หมายถึงดีหรือชั่วน่ะ แต่สิ่งที่ทำอยู่มันอาจกลับกลายเป็นชั่ว โดยไม่รู้ตัว
เพราะการกระทำมันเกิดผลกับคนอื่นด้วย ถ้าภรรยาบางคนเขาไม่ได้คิดแบบคุณล่ะ
การกระทำของคุณ มันเป็นการไปเบียดเบียนเขาหรือเปล่า

ถ้าบิกทู่อยากทำในสิ่งที่บิกทู่โม้ มันต้องแยกตัวออกมา
อย่าทำเป็นจรเข้ขวางคลอง (เชื่อเถอะเดี๋ยวก็สร้างเรื่องมาแถอีก)

bigtoo เขียน:
เรื่องที่ว่าเมียยังสวยอยู่เขาพูดตามเนื้อผ้าว่าขนาดนั้นเขายังมีความตั้งใจพยายามลดเลิกได้เลยเพราะความน้อมออกจากวัฎฎะครับพี่โฮ

การที่ยังมองว่าเมียยังสาวยังสวยนั้นแหล่ะ มันเป็นกิเลส
การไปยุ่งกับเมียหลังจากนั้น เขาเรียกว่า ผลจากกิเลส
แม้ว่าบิกทู่มองเห็นเมียยังสาวยังสวย แต่ไม่ยุ่งกับเมีย มันก็ยังเป็นกิเลส
เพราะกิเลสเกิดที่จิต ไม่ได้เกิดที่กาย กายถ้าไม่มีจิตมันก็ทำอะไรไม่ได้

เป็นแค่ปุถุชนบอกการกระทำของตนน้อมออกวัฏฏะ แบบนี้พระโสดาบันอย่าง..
นางวิสาขา อย่างพระเจ้าพิมพิสาร ก็หลงในวัฏฏะนะซิ พูดไม่คิด
bigtoo เขียน:
ของอย่างไรก็บอกไปอย่างนั้นต้องตรงครับ ไม่ใช่ดูเพราะเป็นกิเลสถึงจะเป็นกิเลสเขาก็หักห้ามใจได้ก็เพราะการภาวนาชั้นเลิศแล้วครับพี่

เอาสมมุติว่าเมียคุณมีความต้องการล่ะ คุณจะทำอย่างไร
เมียคุณผิดหรือคุณผิด ถามหน่อย เห็นเคร่งเกินศีลน่ะ เอาศีลมาคุยโว้
การกระทำตัวเองจะเบียนเบียนใจคนอื่นหรือเปล่าไม่สน
bigtoo เขียน:
และเรื่องความรักนั้นไงตัวเองก็บอกอยู่ว่าต้องเป็นเมตตา และความรักจริงๆมันมีเหรอมันไม่มีหรอก มันมีแต่ความใคร่ที่จะทำให้ตนเองสมความปรารถนาเท่านั้นในทุกกรณี แม้แต่ความต้องการเห็นเขาดีก็เพราะเราต้องกา รพื้นฐานมาจากโมหะทั้งนั้น เข้าใจบ่ เพราะสังขารในวัฎฎะทั้งหลายเกิดจากโมหะเข้าใจบ่

ความรักไม่มีหรือ สงสัยคุณโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแหง่
เลยไม่รู้จักความรัก ไอ้ลูกที่บอกกำลังเรียนป.ตรี สงสัยเก็บได้มั้ง

แค่นี้แหล่ะเดี๋ยวก็สร้างเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก สงสัยนั่งเล่นคอมพ์ไปจิบเหล้าโรงไปแหง่ๆ
ถึงได้ละเลงธรรมเหมือนคนเมาระยะสุดท้าย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
การเสพเมถุนนะมันไม่ผิดหรอก สำหรับมนุษย์ทั่วๆไป แต่อย่ามาคุยกับพวกที่เขาต้องการจะข้ามวัฎฎะ เขามองเรื่องอย่างนี้เป็นอุปสรรค อย่างมากพระวินัยถึงเอาเรื่องพวกนี่ไว้ต้นๆ เป็นความผิดร้ายแรง ขนาดทำช้างน้อยร้องไห้ยังเป็นอาบัติหนักเลยเข้าใจบ่ เพราะการเสพเมถุนนั้นเป็นการสร้างอะไรได้มากมาย ไม่ใช่เรื่องเสพเมถุนเหรอทุกวันนี้ถึงต้องมีทุกข์กันอยู่ทุกวันสืบเนื่องกัน ไม่รู้จักจบสิ้น สร้างเผ่าพันธุ์ สร้างความทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้น

แบบนี้พวกอริยบุคคลชั้นโสดาบันก็ผิดนะซิ พูดไปได้เรี่อย คิดก่อนแล้วค่อยพูด

หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ไม่นาน ทำไมพระองค์ต้องเสด็จมาหาพระเจ้าพิมพิสาร
ทั้งๆขณะนั้นพระเจ้าพิมพิสารยังเป็นแค่ปุถุชน ยังเสวยสุขทางโลกียะ
ไม่ใช่มาเพื่อสนทนากับพระเจ้าพิมพิสารหรือ

อีกเรื่องนางวิสาขาบรรลุโสดาบัน เป็นอริยบุคคลตั้งแต่เด็ก พอโตท่านก็มีครอบครัว
ท่านก็ยังเสพเมถุนในฐานะผู้ครองเรือน แล้วทำไมท่านจีงเสด็จมาเฝ้าเพื่อสนทนาธรรม
กับพุทธองค์บ่อยๆ

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ การปฏิบัติเพื่อข้ามว้ฏฏะ มันจะต้องคำนึง...กาลเทศะ
นั้นก็คือ บุคคลจะตัองรู้ว่า ...ตนอยู่ในสถานะไหนและมีหน้าที่อะไร
และการที่บุคคลยังดำรงอยู่ในสถานะปัจจุบันนั้น เช่นทำไมนางวิสาขาหรือ
พระเจ้าพิมพิสาร จึงยังทรงครองตนเป็นผู้ครองเรือน ก็เพราะพระองค์และนางวิสาขา
ยังไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย) นั้นก็คือยังไม่รู้ว่า การที่ท่านยังต้องครองเรือนอยู่
เพราะกิเลส ที่เรียกว่า กามราคะและปฏิฆะ การไม่รู้เหตุจึงไม่รู้วิธีการดับเหตุ

ถ้าเอามาเปรียบกับบิกทู่ บิกทู่ก็เป็นปุถุชนที่ไม่รู้..อริยสัจจ์สี่
บิกทู่ขาดปัญญาไม่ว่าจะเป็นทางธรรมหรือทางโลก ทางธรรมไม่ต้องพูดเพราะพูดให้ตาย
บิกทู่ก็ไม่มีปัญญาที่จะฟัง แต่จะบอกเรื่องปัญญาทางโลก
ที่บอกว่าบิกทู่ไม่มีปัญญาทางโลกก็คือ บิกทู่ไม่มีสติอยู่กับเนื้อหาการสนทนา
การพูดต่อตอบกับคนอื่น มักจะชอบแถออกนอกประเด็น มักจะสร้างเรื่องใหม่ขึ้นมา
ทั้งๆที่ปัญหาเก่ายังไม่เคลียร์
และที่ดูเหมือนคนไม่มีปัญญาอีกข้อก็คือ การใช้สำนวนวาจาสองแง่สองง่ามเพื่อเอาชนะ
บิกทู่คงคิดว่า กำลังคุยอยู่กับสาวโสดหรือเด็กสาววัยรุ๋นมั้ง หลงไปว่าวิธีนี้จะเอาชนะได้
เพราะอีกฝ่ายจะต้องอายสงบปากสงบคำไม่กล้าคุยด้วย บอกได้คำเดียว...ทู่จริงๆ :b13:


บิกทู่ไม่รู้ตัวหรอก ที่เอาคำสองแง่สองง่ามมาคุยกับผม รู้หรือเปล่า
กำลังเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน
ที่เขาไม่ต้องการคุยเพราะกลัวจะไปผิดกฎของเว็บบอร์ดเขา....เข้าใจมั้ยทู่
:b32:
คุณก็อ้างแต่นางวิสาขาอยู่นั้นแหล่ะครับคุณรู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่พิจารณาเรื่องอย่างนี้คุณรู้เหรอ คุณก็ไม่รู้หรอกว่าท่านคุยอะไรกัน เพราะนางวิสาขาก็บรรลุแค่โสดาบัน ยังต้องเกิดอีกอย่างไรก็ต้องเลิกสิ่งนี้อยู่ดี เข้าใจบ่ พระอริยบุคคลมีตั้งหลายอย่าง และอย่างเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าจะคิดเหมือนกัน แต่เพียงแต่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยสถาณการร่วม เช่นครอบครับพ่อ แม่ พี่น้อง สถานะทางสังคม อันนี้ด้วย

สิ่งที่ผมพูดนั้นเพียงให้เห็นโทษให้มาก ส่วนใครจะทำอะไรมันไม่ผิดหรอก(บอกตั้งกี่ครั้งแล้วมึนอะไรอยู่เป็นน้องเป็นนุ่งโดยเนี่ยวแล้ว) ขนาดคนไม่ศึกษาธรรมะมันก็ไม่ผิดสิทธิ์ของใครของมัน นาวิสาขาก็มาสนทนากับพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงให้เห็นโทษอยู่ตลอด แต่ของแบบนี้มันไม่ได้ลด ละ เลิก กันง่ายๆ แม้แต่อริยบุคคลชั้นต้นๆก็ยังทำไม่ได้เลย และส่วนที่บอกว่าคนที่เขากลัววัฎฎะจนสุดตัวเขาไม่เอาแล้วเรื่องอย่างนี้ เขามีปัญญา และอินทรีย์ภาวนาเขาได้เขาก็ทำ คนทำไม่ได้ก็ฟังๆไว้ ไม่ใช่ว่าเขาเดินทางผิดเข้าใจบ่ และคุณไม่เห็นโทษเรื่องอย่างนี้เลิกกับเมียทำไม หรือเบื่อเมีย หรือเอาธรรมะเป็นข้ออ้าง หาจังหวะอยู่เหรอ ถามเลิกกับเมียเพราะเหตุใดมิทราบขอรับตอบมา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
คุณก็อ้างแต่นางวิสาขาอยู่นั้นแหล่ะครับคุณรู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่พิจารณาเรื่องอย่างนี้คุณรู้เหรอ คุณก็ไม่รู้หรอกว่าท่านคุยอะไรกัน เพราะนางวิสาขาก็บรรลุแค่โสดาบัน ยังต้องเกิดอีกอย่างไรก็ต้องเลิกสิ่งนี้อยู่ดี เข้าใจบ่ พระอริยบุคคลมีตั้งหลายอย่าง และอย่างเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าจะคิดเหมือนกัน แต่เพียงแต่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยสถาณการร่วม เช่นครอบครับพ่อ แม่ พี่น้อง สถานะทางสังคม อันนี้ด้วย

จะไม่อ้างได้ไง ก็คุณมาบรรยายสรรพคุณ พรีเซ้นตัวเองเสียเริ่ดหรู่

คุณบอกตัวเองอายุสี่สิบกว่า ไม่ยุ่งกับเมีย แล้วพูดเป็นทำนองว่า
แบบนี้เป็นวิธืหลุดวงจรวัฏฏะ

มันก็เลยเกิดความสงสัยว่า นางวิสาขาบรรลุโสดาบันตั้งแต่เจ็ดขวบ
ท่านย่อมต้องเข้าใจธรรมของพระพุทธ รู้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
ถ้าวิธืการแบบคุณเป็นการทำให้หลุดจากวงจร ทำไมนางวิสาขา
ยังถึงต้องมาแต่งงานมีครอบครัว มีลูกหลานมากมายล่ะครับ
bigtoo เขียน:
สิ่งที่ผมพูดนั้นเพียงให้เห็นโทษให้มาก ส่วนใครจะทำอะไรมันไม่ผิดหรอก(บอกตั้งกี่ครั้งแล้วมึนอะไรอยู่เป็นน้องเป็นนุ่งโดยเนี่ยวแล้ว) ขนาดคนไม่ศึกษาธรรมะมันก็ไม่ผิดสิทธิ์ของใครของมัน นาวิสาขาก็มาสนทนากับพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงให้เห็นโทษอยู่ตลอด แต่ของแบบนี้มันไม่ได้ลด ละ เลิก กันง่ายๆ แม้แต่อริยบุคคลชั้นต้นๆก็ยังทำไม่ได้เลย และส่วนที่บอกว่าคนที่เขากลัววัฎฎะจนสุดตัวเขาไม่เอาแล้วเรื่องอย่างนี้ เขามีปัญญา และอินทรีย์ภาวนาเขาได้เขาก็ทำ คนทำไม่ได้ก็ฟังๆไว้ ไม่ใช่ว่าเขาเดินทางผิดเข้าใจบ่ และคุณไม่เห็นโทษเรื่องอย่างนี้เลิกกับเมียทำไม หรือเบื่อเมีย หรือเอาธรรมะเป็นข้ออ้าง หาจังหวะอยู่เหรอ ถามเลิกกับเมียเพราะเหตุใดมิทราบขอรับตอบมา

เห็นมีโทษมากหรือ ผมไม่เห็นแบบคุณนี่ครับ ความคิดแบบคุณมันพวกเห็นแก่ตัวครับ
ที่ผมพูดจากระทบกระเทียบไปสงสัยไม่เข้าใจมั้ง มีเมียดันบอกว่าการยุ่งกับเมียมีโทษมาก
มีเมียแล้วยุ่งกับเมียไม่มีโทษ แต่มีเมียแล้วไม่ยุ่งกับเมีย แถมอยู่เป็นไอ้เข้ขวางคลอง
นี่แหล่ะเป็นโทษต่อผู้อื่น ไปๆๆบวชซ่ะ เอาแค่ตาเถรก็ได้ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
แล้วใครบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเราหลุดวงจรแล้ว เราเพียงบอกว่าสิ่งไหนที่มันล่อลวงคนเราอยู่ ให้มองให้เห็น ให้พิจารณาให้ดีสิ่งไหนเป็นโทษ สิ่งไหนเป็นทางให้เกิดโทษและวงจรไม่รู้จบ และสิ่งไหนนักปฎิบ้ติธรรมควรพิจารณาเพ่งโทษให้มากเพื่อหลุดพ้น

คุณมาสอนให้ชาวบ้านเขาเพ่งโทษ หรือจะมายุแยให้เขาเกิดโทษ
มาพูดจาซี่ซั้ว อยู่ดีไม่ว่าดีมาสอนให้ครอบครัวเขาแตกแยก
ไม่รู้จักเอาสัมมาศีลมาใส่หัว มาสอนให้ชาวบ้านประพฤติตนผิดเพี้ยน
ผิดหลักการเป็นผู้ครองเรือนที่ดี พอมีคนมาชี้ทางที่สมควรทำให้กลับอ้างโน้นอ้างนี้
บอกยังไม่พร้อมบ้างยังทำไม่ได้บ้าง ถ้าเป็นแบบนี้จะเอาสิ่งที่คุณยังทำไม่ได้มาบอกทำไม

หลักการเบื้องต้นยังไม่ผ่านเลย แต่ดันมาโม้ว่า ต้วเองทำหลักการเบื้องปลายได้แล้ว
ตาตัวเองยังติดใจกับสิ่งสวยๆงามๆ จมูกก็ยังคอยตามดมกลิ่นหอมยั่วยวน
ยังมาบอกได้ว่า ตัวทำได้แล้ว

คนเป็นจิดเพศชอบทำร้ายตัวเอง มันต้องรักษาทางจิต
ไม่ใช่มารักษาทางกาย เข้าใจมั้ยทู่
bigtoo เขียน:
ถึงจะทำยังไม่ได้ในขณะนี้ ต้องพยายามทำให้จงได้ เข้าใจบ่

มันไม่เกี่ยวว่ายังทำได้หรือทำไม่ได้ ความสำคัญมันอยู่ที่ สิ่งที่ตัวเองทำมันผิด
ผิดที่ว่าไม่ได้หมายถึงดีหรือชั่วน่ะ แต่สิ่งที่ทำอยู่มันอาจกลับกลายเป็นชั่ว โดยไม่รู้ตัว
เพราะการกระทำมันเกิดผลกับคนอื่นด้วย ถ้าภรรยาบางคนเขาไม่ได้คิดแบบคุณล่ะ
การกระทำของคุณ มันเป็นการไปเบียดเบียนเขาหรือเปล่า

ถ้าบิกทู่อยากทำในสิ่งที่บิกทู่โม้ มันต้องแยกตัวออกมา
อย่าทำเป็นจรเข้ขวางคลอง (เชื่อเถอะเดี๋ยวก็สร้างเรื่องมาแถอีก)

bigtoo เขียน:
เรื่องที่ว่าเมียยังสวยอยู่เขาพูดตามเนื้อผ้าว่าขนาดนั้นเขายังมีความตั้งใจพยายามลดเลิกได้เลยเพราะความน้อมออกจากวัฎฎะครับพี่โฮ

การที่ยังมองว่าเมียยังสาวยังสวยนั้นแหล่ะ มันเป็นกิเลส
การไปยุ่งกับเมียหลังจากนั้น เขาเรียกว่า ผลจากกิเลส
แม้ว่าบิกทู่มองเห็นเมียยังสาวยังสวย แต่ไม่ยุ่งกับเมีย มันก็ยังเป็นกิเลส
เพราะกิเลสเกิดที่จิต ไม่ได้เกิดที่กาย กายถ้าไม่มีจิตมันก็ทำอะไรไม่ได้

เป็นแค่ปุถุชนบอกการกระทำของตนน้อมออกวัฏฏะ แบบนี้พระโสดาบันอย่าง..
นางวิสาขา อย่างพระเจ้าพิมพิสาร ก็หลงในวัฏฏะนะซิ พูดไม่คิด
bigtoo เขียน:
ของอย่างไรก็บอกไปอย่างนั้นต้องตรงครับ ไม่ใช่ดูเพราะเป็นกิเลสถึงจะเป็นกิเลสเขาก็หักห้ามใจได้ก็เพราะการภาวนาชั้นเลิศแล้วครับพี่

เอาสมมุติว่าเมียคุณมีความต้องการล่ะ คุณจะทำอย่างไร
เมียคุณผิดหรือคุณผิด ถามหน่อย เห็นเคร่งเกินศีลน่ะ เอาศีลมาคุยโว้
การกระทำตัวเองจะเบียนเบียนใจคนอื่นหรือเปล่าไม่สน
bigtoo เขียน:
และเรื่องความรักนั้นไงตัวเองก็บอกอยู่ว่าต้องเป็นเมตตา และความรักจริงๆมันมีเหรอมันไม่มีหรอก มันมีแต่ความใคร่ที่จะทำให้ตนเองสมความปรารถนาเท่านั้นในทุกกรณี แม้แต่ความต้องการเห็นเขาดีก็เพราะเราต้องกา รพื้นฐานมาจากโมหะทั้งนั้น เข้าใจบ่ เพราะสังขารในวัฎฎะทั้งหลายเกิดจากโมหะเข้าใจบ่

ความรักไม่มีหรือ สงสัยคุณโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแหง่
เลยไม่รู้จักความรัก ไอ้ลูกที่บอกกำลังเรียนป.ตรี สงสัยเก็บได้มั้ง

แค่นี้แหล่ะเดี๋ยวก็สร้างเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก สงสัยนั่งเล่นคอมพ์ไปจิบเหล้าโรงไปแหง่ๆ
ถึงได้ละเลงธรรมเหมือนคนเมาระยะสุดท้าย :b32:
ไอ้ที่ผมบอกยังไม่หลุดวงจรนะคือผมยังไม่เป็นอรหันต์ ไอ้ที่บอกไปนะทำได้ทั้งนั้น การที่เรามองอะไรๆว่าสวยอยู่มันไม่ใช่กิเลสหรอกครับ ถ้าปรุงแต่งเกิดความอยากนะครับเขาเรียกกิเลส ของสวยของงามของไม่สวยไม่งามมันก็มีอยู่ตามธรรมชาติ แค่มองเห็นแล้วไม่ปรุงแต่งก็จบเข้าใจบ่

นางวิสาขากับพระเจ้าพิมพิสาร ก็ยังกำจัดโมหะไม่ได้ก็ถือว่ายังหลงอยู่ครับท่าน คนที่ไม่หลงแล้วคืออรหันต์เท่านั้นครับพี่โฮเข้าใจบ่ และที่บอกว่าผมยุให้ครอบครัวเขาแตกแยกกันสงสัยเข้าใจผิดหรือเปล่า มันน่าจะเป็นคุณมั้งพอศึกษาธรรมะหน่อยบอกเลิกกับเมีย อิๆๆ ผมนะยังเป็นครอบครัวที่ดีอยู่เลย และก็ไม่ฝักใฝ่ในกิเลสด้วย ถามมาได้ถ้าเกิดมีอารมณ์ขึ้นมาทำอย่างไร ก็ต้องรู้จักหักห้ามใจตนเองซิ งั้นจะฝึกฝนตนเองกันทำมัย

ก็ความอยากนี่แหล่ะมันทำให้เกิดปัญญาที่จะกำหนดละกำหนดวาง เหมือนคุณน่ะ อยากมาแล้วทำอย่างไร ก็ต้องอดทนจริงบ่ เรื่องลูกที่เรียนอยู่น่ะมันเกิดมาจากความโง่เราก็ต้องแก้ไปให้สมกับความจริงคือความรับผิดชอบเข้าใจบ่ ยังหลงว่าความรักมีจริงมั้งไปตีคำนิยามใหม่เถอะ ล้วนเป็นความปรารถนาของตนเองทั้งนั้น คนมันเกิดมาจากอะไรรู้มั้ยมันเกิดมาจากกามตัณหาหน้ามือ ผลมันก็ต้องมาจากตัณหาหน้ามือ มันไม่ใช่ความรักเข้าใจบ่ แต่ตอนนี้สำหรับผมมันอาจจะเป็นความรักแล้วล่ะเพราะผมอยู่กับภรรยาไม่ได้ปรารถนาหรือสิ่งตอบแทนให้แก่ตนเองแล้ว อยู่ด้วยความเมตตา กรุณาครับ และความรักของผมก็คือจะทำอย่างไรให้คู่ครองเราที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ไม่ใช่ปล่อยให้เขาไป เลิกลากันไป พจญภัยกับอะไรๆมากมายเข้าใจบ่

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร