วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 05:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2012, 07:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
การแปลว่า...ควรน้อมเข้ามาใส่ตน...

ว่ากันโดยการปฏิบัติ...ก็ทำได้...ไม่ผิด...แต่ก็มีหลวงปู่หลวงตา..บอกว่า..ยังไม่ถึงใจ...

จะให้ถึงใจท่านว่า...ควรจะเป็น....ควรน้อมเข้าไปในใจ...


นี้..กระผมฟังแล้วก็...ว่า..ใช่...ถึงใจดี..

แต่...การไปตีความว่า....ต้องเอาธรรมนอกมาใส่ตัว...นั้น....เถรตรงเกินไป..และก็ผิดซะด้วย

ธรรมะ..เป็นนามธรรม...จะเอาไปวางตรงนั้นตรงนี้...มันทำได้หรอ? ...มันทำไม่ได้

:b12: :b12: :b12:
:b16:
โอปะนะยิโก
สำนวนสวนโมกข์แปล ...เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว ;


:b10:

แต่...การไปตีความว่า....ต้องเอาธรรมนอกมาใส่ตัว...นั้น....เถรตรงเกินไป..และก็ผิดซะด้วย
ความเห็นของคุณกบ


:b14:
อโศกะ

อ้าว! นี่คุณกบก็เห็นด้วยกับผมหรือนี่

:b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2012, 07:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
การไปแปลว่า....ควรทำให้พอกพูนในใจ...

นี้ยิ่งไปใหญ่....อย่าลืม..ว่านี้เป็นการประพันธ์ถึงคุณของพระธรรม...ไม่ใช่การบอกถึงมรรค

การทำให้พอกพูน..นั้น...มันเป็น...สัมมาวายามะ...ความเพียรชอบ...ข้อที่ว่า..ภาวนาปทาน....อนุรักขาปทาน...นั้นแล้วครับ

บอกใว้ที่มรรค 8 แล้ว...

ดังนั้น....การทำให้พอกพูนขึ้นในใจ....เป็นการทำตามมรรค..ซึ่งก็ดีอยู่แล้ว...แต่มันผิดที่เอามาเป็นความหมายของคำว่า...โอปนยิโก...

เรียกว่า...ดีผิดที่..


Onion_L
คุณกบกำลังมาชักใบให้เรือเสีย
:b7:
ความหมายของ โอปนยิโกนั้นลึกซึ้งมาก ปัญญาที่คิดเอานั้นไม่สามารถจะรู้ถึงความลึกซึ้งอันนี้ได้
จึงขอให้คุณกบและทุกๆท่านสังเกต พิจารณาให้ดีๆ

โอปนยิโก.......ความพอกพูน

******เราจะพอกพูนอะไร?

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วและควรพอกพูนขึ้นให้มากในใจนั้นคืออะไร?

การแปลว่า "เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว" นี่สำนวนเดิมยอดนิยม

การแปลความหมาายใหม่ว่า "ความเห็นถูกต้อง(คือเห็นอนัตตา)นั้น เป็นสิ่งที่ควรพอกพูนให้เกิดในตัว(หมายถึงรูปนามขันธ์ 5 ทั้งหมด)ยิ่งๆขึ้นไป(เพราะเมื่อพอกพูนถึงที่แล้ว จักส่งให้ถึง มรรค ผล นิพพาน)

นี่มันจะไม่กระชับ รัดกุม แหลมคม ยิ่งกว่าที่คุณกบ มาทำให้บานปลายออกไปหา มรรค 8 หรือ เรื่องสัมมาวายามะอะไรที่คุณกบยกมาอ้าง(โดยอาศัยบัญญัติหรือปริยัติที่ตนเองยึดจำมา)

อย่ามาทำของง่ายให้เป็นของยาก อย่ามาทำให้ของน้อยกลายเป็นของมากอยู่ต่อไปอีกเลย ด้วยความไม่ลึกซึ้งในธรรม(ภาคปฏิบัติ) อกุศลกรรมจะเกิดด้วยความไม่รู้ตัว(ขวางสัจจธรรม ปฏิบัติธรรม..ชักนำแต่ไปหาปริยัติธรรม)

:b34: :b34: :b34:
:b21:
:b27:
:b31:
:b4:
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2012, 08:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
tongue ธรรมคุณข้อที่ 5 โอปนยิโก สำนวนสวนโมกข์แปลว่า.......เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว ...... อธิบาย.....ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ทั้งจากในคัมภีร์(ไตรปิฎก) ทั้งจากการถ่ายทอดต่อของผู้รู้ ครูบาอาจารย์ นั้นเป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว วิจารณ์......นี่เป็นการแปลโดยยึดเอาบัญญัติ ปริยัติเป็นหลัก จึงให้หาธรรมะจากนอกตัวเข้ามาใส่ในตัว เหมือนกับว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นมีอยู่นอกตัว ในตัวไม่มี อาจเพราะเห็นว่าต้องไปศึกษาหามาจากข้างนอกเท่านั้น สำนวนใหม่แปลว่า.......ความเห็นธรรม(เห็นอนัตตา)นั้นเป็นสิ่งที่ควรพอกพูนให้เกิดในตัวยิ่งๆขึ้นไป(เพราะเมื่อพอกพูนได้ถึงที่แล้วจะส่งให้เกิดมรรค ผล และ เข้าถึงนิพพาน) อธิบาย....[/b][b]ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น คือความจริงหรือสิ่งที่มีอยู่ปรากฏอยู่ในกายในจิตของมนุษย์ทุกคน ที่เราจะต้องค้นหาให้พบเหตุ ปัจจัย และผล ที่ทำให้เกิดความทุกข์ เวียนว่ายตายเกิด แล้วเอาเหตุนั้นออกเสียให้ได้เพื่อให้ถึงสุขโดยถาวร คือพระนิพพาน ความจริงที่แสดงอยู่ตลอดเวลา คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งอนิจจังและทุกขังก็ล้วนไปรวมลงที่ "อนัตตา"ดังพุทธดำรัสสรุปไว้ว่า "สัพเพธัมมา อนัตตา" แต่ ในจิตปุถุชนทุกคนมีโมหะ อวิชชา มาบดบังทำให้เกิดความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ เกิดสักกายทิฏฐิ เห็นว่าเป็นอัตตาตัวตน เรา เขา เกิดมานะทิฏฐิ สำคัญว่าเป็นตนเป็นเรา จึงไม่ยอมรับความจริงเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดิ้นรนที่จะทำให้เกิด นิจจัง ....สุขขัง....อัตตา ด้วยอำนาจของตัณหาและกิเลสทั้งหลาย ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันของ "สันทิฏฐิโก" .....ความเห็นธรรม คือเห็นอนัตตา กับ "โอปนยิโก"....การน้อมให้เกิดความเห็นธรรมคือเห็นอนัตตาให้เพิ่มมากขึ้น ๆ นั้น จะนำไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือทำลาย อัตตา สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด และมานะทิฏฐิ ความยึดผิด อันเป็นตัวเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดกิเลส ตัณหา วัฏฏะสงสารที่ไม่รู้จบ ให้ดับขาด สิ้นสุด ยุติ หมดไปจากกมลสันดานโดยสิ้นเชิง วิจารณ์......ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นเรื่องของสัจจธรรม ปรมัตถธรรม เป็นเรื่องของรูป นาม กาย ใจ มีปรากฏแสดงอยู่ในกายใจ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปน้อมจากนอกตัวเข้ามาใส่ในตัว แต่ความเห็นความจริงในตัว คือเห็นธรรมหรือเห็นอนัตตานั้น เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดในตัวในใจ ถ้าน้อม (โอปนยิโก)ให้เกิดในตัวในใจมากขึ้นๆแล้ว ย่อมจะส่งให้ถึง มรรค ผล นิพพานโดยกฏของกรรมหรือกฏของเหตุและผลอย่างแน่นอน :b51: นี่คือการแปลความหมายของธรรมคุณ โดยอิงธรรม อิงปรมัตถสัจจะ ซึ่งสามารถจะทดสอบพิสูจน์ได้ทันทีจากการปฏิบัติจริง :b8 :
ต่อๆๆๆ อยากรู้ๆๆสำนวนใหม่ ใครแปลๆ :b13:
:b11: ทำไมไปอยากรู้แค่ว่าใครแปล? ทำไมไม่อยากรู้ว่า เมื่อนั่งสงบนิ่งเฉย หลับตาเนื้อเปิดตาใน เอาสติ ปัญญา ส่องเข้าดู รู้ สังเกต พิจารณาเข้าไปข้างใน กายและจิต คำว่า สันทิฏฐิโก....อะกาลิโก...เอหิปัสสิโก...โอปนยิโก .....มันจะเป็นไปตามสำนวนแปลใหม่ ที่ว่าเป็นไปตามธรรมนี้ไหม แล้วลงลงมือทำจริง พิสูจน์ความจริงให้เห็นชัดเสียก่อน เมื่อชัดในธรรมสภาวะแล้ว ก็จะรู้จักคนแปลเอง และอาจไม่จำเป็นต้องถามหาชื่อคนแปล เพราะถ้ารู้ชื่อคนแปลเสียก่อนอาจเกิด Bias ความเบี่ยงเบนไปจากธรรมเพราะชื่อคนแปลก็เป็นได้ เพราะนี้เป็นวิสัยของคนยุคนี้ :b7: :b4:
ผมเชื่อคนอยาก เพราะผมเชื่อคำสอน เพราะพระพุทธองค์สอนไม่ให้เชื่อซะด้วยซิ ถึงผมจะรู้ชื่อใครแปล หรือแปลอย่างไร ผมก็ไม่เอียงง่ายๆหรอก เพราะผมหายสงสัยเรื่องราวทั้งในคำสอนนานแล้ว เพียงอยากรู้ใครแปลจะได้ชื่นชมท่านก็เท่านั้น ที่ตั้งใจดี ขนาดท่านอโศกะยกมานี่ต้องไม่ธรรมดาแล้วล่ะ :b45:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2012, 09:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรม...มีหยาบ...กลาง...ละเอียด....ตามอินทรีย์ของผู้นั้น... onion

การเห็นทุกข์..ของแต่ละบุคคล...ก็ย่อมแตกต่างกันไป...แต่...อริยะสัจมีหนึ่งเดียว...คือทุกข์เหมือนกัน..

อย่าง..ทุกข์ที่กินใจของอโสกะ..อาจเป็น...การที่ต้องผลัดพรากจากของรัก...แต่..ทุกข์ที่กินใจผม..อาจเป็น...ความลำบากที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีวิต....ที่มันกินใจผม....ซึ่งมันก็ลงจุดเดียวกันคือ...เพราะมีเกิด.....นี้ทุกข์อริยะสัจมีหนึ่งเดียว..

แต่ละคน...จึง...พึงกำหนดรู้ทุกข์...

คนอื่นตาย....เราทุกข์มั้ย?....ไม่ทุกข์....พอเราเจ็บจะตาย...ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนหนีตาย...

นี้มันทุกข์...แต่ไม่เคยมองเห็น...

ทำยังงัย..จะเห็น?....ก็พึงกำหนดรู้..งัย...เห็นคนอื่นตาย....ก็ให้มองมาที่ตนด้วยว่า...ความตายก็มีกับเราได้..

เห็นคนอื่นร้องไห้..คนรักตาย...ก็ให้เห็นว่า...คนที่เรารักก็จะตายจากเราไปเยี่ยงนี้เช่นกัน....

เห็นคนอื่นขาดทุนล้มละลาย....ก็ให้คิดว่า...ตัวเราก็มีสิทธิ์เจอได้เช่นกัน..

อย่างนี้เป็นต้น...ทำไปจนใจมันมองเหนว่า...เราก็จะทุกข์อย่างนี้เช่นกัน..เป็นอัตโนมัต.

ทำจนเห็น..นี้...มันก็คือ...การทำให้พอกพูนขึ้นมาในใจ...อยู่แล้ว..ซึ่งมันเป็นมรรค์ คือ เพียรชอบ

นี้แบบหยาบ ๆ...คือ..พบเห็นได้ง่าย...แล้วก็น้อมมาที่ตน...จนใจของตนเห็นว่า..อื่มม...ใช่..

อย่างนี้....มีประโยชน์มั้ย?....ก็ต้องบอกว่า...มีประโยชน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2012, 23:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


cool

เอ้าเอาตามที่คุณกบถนัดเลยเด้อ

:b4:
อย่าลืม หมั่นประเมินผลตนเองเป็นระยะๆไปด้วย จะได้รู้ว่าวิธีที่ปฏิบัติอยู่ นำพาตนเอง พาตัวพาใจ ไปใกล้ความหลุดพ้นเพียงใด
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2012, 19:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:

แค่...แสดงอีกมุมหนึ่ง....แค่นั้นเอง...

:b13: ....ผู้มาอ่านเขาจะคิดของเขาเองแหละ....
:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 06:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
มีคำถามและความเห็นจากอีกลานธรรมหนึ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ในกระทู้นี้ ต่อท่านผู้ติดตามศึกษาทุกๆท่าน จึงขอยกมาแสดงให้ทุกท่านช่วยกันพิจารณาด้วยครับ
onion


อ้างคำพูด:
พี่อโศกะ และ กัลยาณมิตร

ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นและถามแทรกคั่นรายการครับ


อ้างอิง


ความเห็นที่ 23
ความเห็นถูกต้องในที่นี้หมายถึงความเห็น "อนัตตา" นั่นเลยทีเดียว ผู้ใดเห็นซึ้งถึง "อนัตตา" ผู้นั้นก็เห็นธรรม ดังคำสรุปของพุทธองค์ว่า "สัพเพธัมมา อนัตตา".....ธรรม ทั้งหมดทั้งปวงเป็น "อนัตตา"


ตั้งแต่ WATT ศึกษา และ ปฏิบัติมา ได้อ่านได้ยินพุทธพจน์เพียงคำว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”
แต่ยังไม่เคยได้อ่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดเห็นซึ้งถึง "อนัตตา" ผู้นั้นก็เห็นธรรม”
หรือ ยังจะมีคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดเห็นอนัตตา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”อยู่ด้วย รบกวนพี่อธิบายเพิ่มเติมครับ



อ้างอิง


ความเห็นที่ 25
สำนวนสวนโมกข์
สันทิฏฐิ โก......คำนี้สำคัญมาก สำนวนสวนโมกข์แปลความว่า.....เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง

พฤติกรรมหรือการกระทำที่พึงจะเกิดจากความหมายนี้ก็คือ

ต้องศึกษาและลงมือปฏิบัติตามข้อธรรมที่ศึกษา จนมีประสบการณ์จริงในธรรม รู้ชัดขึ้นมาในในใจของตนเอง


สำนวนใหม่
สำนวนใหม่แปลสันทิฏฐิโกว่า......เป็นสิ่งที่ผู้มีความเห็นถูกต้องจักรู้ได้ด้วยตนเอง


WATT มองว่าผู้ที่เข้ามาศึกษาและปฏิบัติแล้วยังคงเป็นผู้เห็นถูกก็มี ผู้เห็นผิดก็มี ดังนี้แล้ว
ผู้ที่ไม่ศึกษาและไม่ปฏิบัติ จะพึงเห็นถูกได้อย่างไรครับ?

นับถือ


เจริญสุขครับคุณwatt
ขอบคุณกับคำถาม เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ได้อธิบาย ขยายความให้ทุกท่านได้เห็นและเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น ถึงความหมายของคำบาลีอันน่าอัศจรรย์ใจของธรรมคุณทั้ง 6 ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมคุณข้อที่ 2 สันทิฏฐิโก



อ้างคำพูด:
อ้างอิง


ตั้งแต่ WATT ศึกษา และ ปฏิบัติมา ได้อ่านได้ยินพุทธพจน์เพียงคำว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”
แต่ยังไม่เคยได้อ่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดเห็นซึ้งถึง "อนัตตา" ผู้นั้นก็เห็นธรรม”
หรือ ยังจะมีคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดเห็นอนัตตา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”อยู่ด้วย รบกวนพี่อธิบายเพิ่มเติมครับ


อโศกะ ตอบ........

"สพฺเพธมฺมา อนฺตตา"....... ธรรมทั้งหมดทั้งปวงล้วนเป็นอนัตตา นี่ก็เป็นพุทธพจน์เช่นกันใช่ไหมครับ?

เพราะฉนั้น ใครเห็นอนัตตา ก็คือเห็นธรรมทั้งหมดนั่นเอง เห็นตามพุทธพจน์ด้วยเช่นกัน ถึงแม้พระพุทธองค์มิได้ทรงตรัสว่าเห็นอนัตตาแล้วย่อมเห็นธรรม แต่ ความจริง สัจจธรรม ปรมัตถธรรมเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้จะมีคำพูดหรือพุทธดำรัสรองรับหรือไม่รองรับ ธรรมเขาก็จักเป็นอยู่เช่นนั้นจริงๆไม่สามารถแปรเป็นอื่นได้ นี่คือความจริงและความหมายโดยธรรม ไม่ทราบว่าคุณwattและท่านอื่นๆจะเข้าใจตรงนี้ไหมครับ?
เอาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จะแสดงคำแปลที่สั้นกระชับรัดกุมเข้าใจง่าย ตรงกับความหมายที่แท้จริงของคำบาลีว่า "สันทิฏฐิโก"ให้มากยิ่งขึ้น

สำนวนสวนโมกข์......เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง.....แปลให้เข้าใจและกระชับขึ้นว่า

(ธรรมะ ๆ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้น)....เป็นสิ่งที่ศึกษาและปฏิบัติแล้วจะเห็นเอง

คำแปลอย่างนี้เป็นการทำให้กว้าง ครอบคลุม แต่ไม่เจาะลึกตรงประเด็นที่แท้จริงของบาลี เพราะ จะยังมีปัญหา คำถาม เรื่องที่จะต้องตีความอีกมาก และแตกออกไปได้อีกหลายความเห็นเช่น

ศึกษา.....จะต้องศึกษาเรื่องอะไรบ้าง อย่างไร? ต้องอ่านพระไตรปิฏกจนครบทั้ง 84,000 ก่อน หรือจะต้องศึกษาเฉพาะสูตรไหน วรรคใด ตอนใด จะต้องศึกษาทั้ง สมถะ และวิปัสสนา หรือเอาเฉพาะวิปัสสนาภาวนาก็ได้ หรืออย่างไร ฯลฯ

ปฏิบัติ.....จะปฏิบัติอย่างไร แนวไหนจึงจะลัดสั้นและตรงทางมากที่สุด เริ่มสมถะภาวนามาก่อน หรือเริ่มทำวิปัสสนาภาวนาทันทีเลย หรืออย่างไร? ดังนี้เป็นต้น


แต่คำแปลสำนวนใหม่.....สัน...ทิฏฐิ...โก......(ธรรมะ ๆ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้น)เป็นสิ่งที่เมื่อทำความเห็นให้ถูกต้องแล้ว(สัมมาทิฏฐิ)ก็จะเห็นเอง

สันทิฏฐิ....ทำความเห็นให้ตรง ให้ถูกต้อง คือทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นนั่นเอง เป็นการแปลที่ทำให้แคบ แหลม ละเอียด ลึกซึ้ง ชี้ตรงไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว ไม่มีประเด็นให้เห็นไปเป็นอย่างอื่นด้วยอำนาจทิฏฐิของใคร แต่ให้เป็นไปตามพุทธประสงค์ทันที

แล้วความคล้องจองอย่างลึกซึ้งและตรงประเด็นและเป้าประสงค์แห่งการปฏิบัติธรรมก็ลิ้งค์ถึงกันทันที เพราะ "สัมมาทิฏฐิ"เป็นมรรคข้อที่ 1 ในมรรค 8 ซึ่งสำคัญที่สุด เพราะถ้า ทิฏฐิ ความเห็น เป็นสัมมาแล้ว มรรคที่เหลือก็จักเป็นสัมมาตามกันไปหมดสัมมาทั้ง 8 ข้อนั้นจะสมบูรณ์ ถูกต้อง ก็สำคัญที่มรรคตข้อที่ 1 นี้แหละ เรื่องนี้ก็มีพุทธวัจนะรองรับอยู่


ที่ครูบาอาจารย์ วงเล็บให้ต่อไปทันทีเลยว่า "เห็นถูกต้องคือ เห็นอนัตตา" นั้น ยิ่งลึกซึ้งและลัดสั้นยิ่งขึ้นไปอีก เพราะแม้ความหมายของสัมมาทิฏฐิดังแสดงไว้ในเรื่องของมรรค 8 อันบอกไว้ว่า ....สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องตามมรรค 8 นั้น คือการเห็นอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั่นเอง เห็นนอกไปจากนี้ ไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

แต่ถ้าระบุว่าเห็นถูกต้อง คือเห็นอนัตตา นี่เป็นการ สรุปคำสอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติลงมาไว้ที่คำเดียว คือ "อนัตตา"

ดังนั้นใครก็ตาม ที่เพียรทำความเห็นของตนให้ถูกต้อง คือเห็นอนัตตา นั่นคือรู้ทั้งทฤษฎีและหลักปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระบรมศาสดา แถมยังเป็นการศึกษาและปฏิบัติที่ตรงประเด็นและเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่งด้วยเพราะ

ถ้าใครค้นพบ อนัตตา ทราบซึ้งจนใจยอมรับ อนัตตา ....อัตตาหรือสักกายทิฏฐิ อันเป็นสังโยชน์ตัวแรก ตัวสำคัญ ที่กั้น มรรค ผล นิพพานไว้ จะถูกทำลาย ขาดสะบั้นลงทันที ผู้ปฏิบัติท่านนี้ก็จะถึงเป้าหมายที่ 1 ทางธรรม ที่ผู้มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนาทุกคนควรไปให้ถึงทันในชาตินี้



คุณwattและกัลยาณมิตรทุกท่านครับ ใช่อยู่ที่เราต้องมีการศึกษาและทดลองปฏิบัติ ใครไม่สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้ แต่ศึกษาแค่ไหน อย่างไร ศึกษาแล้วสามารถนำเอาหลักทฤษฎีทั้งดุ้นนั้น มาแอพพลายด์ประยุคใช้กับการปฏิบัติจริงของเจ้าของได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด คือเรียนรู้น้อย ยุ่งยากน้อยที่สุดแต่เอามาปฏิบัติได้ผลมากที่สุด ทำอย่างไร? นั่นคือการศึกษาที่ชาญฉลาด

คำแปลที่ชี้กว้าง กับคำแปลความหมายที่ "ชี้ตรงตามธรรม" จึงมีความหมายสำคัญที่ทุกท่านจะต้องตีความออกมาให้ได้ ให้ตรง ให้ถูกต้อง ตามธรรมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอให้สังเกต พิจารณา กันให้ดีๆ ละเอียด ลึกซึ้งกันต่อไปนะครับ
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
มีคำถามและความเห็นจากอีกลานธรรมหนึ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ในกระทู้นี้ ต่อท่านผู้ติดตามศึกษาทุกๆท่าน จึงขอยกมาแสดงให้ทุกท่านช่วยกันพิจารณาด้วยครับ
onion


อ้างคำพูด:
พี่อโศกะ และ กัลยาณมิตร

ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นและถามแทรกคั่นรายการครับ


อ้างอิง


ความเห็นที่ 23
ความเห็นถูกต้องในที่นี้หมายถึงความเห็น "อนัตตา" นั่นเลยทีเดียว ผู้ใดเห็นซึ้งถึง "อนัตตา" ผู้นั้นก็เห็นธรรม ดังคำสรุปของพุทธองค์ว่า "สัพเพธัมมา อนัตตา".....ธรรม ทั้งหมดทั้งปวงเป็น "อนัตตา"


ตั้งแต่ WATT ศึกษา และ ปฏิบัติมา ได้อ่านได้ยินพุทธพจน์เพียงคำว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”
แต่ยังไม่เคยได้อ่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดเห็นซึ้งถึง "อนัตตา" ผู้นั้นก็เห็นธรรม”
หรือ ยังจะมีคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดเห็นอนัตตา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”อยู่ด้วย รบกวนพี่อธิบายเพิ่มเติมครับ



อ้างอิง


ความเห็นที่ 25
สำนวนสวนโมกข์
สันทิฏฐิ โก......คำนี้สำคัญมาก สำนวนสวนโมกข์แปลความว่า.....เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง

พฤติกรรมหรือการกระทำที่พึงจะเกิดจากความหมายนี้ก็คือ

ต้องศึกษาและลงมือปฏิบัติตามข้อธรรมที่ศึกษา จนมีประสบการณ์จริงในธรรม รู้ชัดขึ้นมาในในใจของตนเอง


สำนวนใหม่
สำนวนใหม่แปลสันทิฏฐิโกว่า......เป็นสิ่งที่ผู้มีความเห็นถูกต้องจักรู้ได้ด้วยตนเอง


WATT มองว่าผู้ที่เข้ามาศึกษาและปฏิบัติแล้วยังคงเป็นผู้เห็นถูกก็มี ผู้เห็นผิดก็มี ดังนี้แล้ว
ผู้ที่ไม่ศึกษาและไม่ปฏิบัติ จะพึงเห็นถูกได้อย่างไรครับ?

นับถือ


เจริญสุขครับคุณwatt
ขอบคุณกับคำถาม เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ได้อธิบาย ขยายความให้ทุกท่านได้เห็นและเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น ถึงความหมายของคำบาลีอันน่าอัศจรรย์ใจของธรรมคุณทั้ง 6 ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมคุณข้อที่ 2 สันทิฏฐิโก



อ้างคำพูด:
อ้างอิง


ตั้งแต่ WATT ศึกษา และ ปฏิบัติมา ได้อ่านได้ยินพุทธพจน์เพียงคำว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”
แต่ยังไม่เคยได้อ่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดเห็นซึ้งถึง "อนัตตา" ผู้นั้นก็เห็นธรรม”
หรือ ยังจะมีคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดเห็นอนัตตา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”อยู่ด้วย รบกวนพี่อธิบายเพิ่มเติมครับ


อโศกะ ตอบ........

"สพฺเพธมฺมา อนฺตตา"....... ธรรมทั้งหมดทั้งปวงล้วนเป็นอนัตตา นี่ก็เป็นพุทธพจน์เช่นกันใช่ไหมครับ?

เพราะฉนั้น ใครเห็นอนัตตา ก็คือเห็นธรรมทั้งหมดนั่นเอง เห็นตามพุทธพจน์ด้วยเช่นกัน ถึงแม้พระพุทธองค์มิได้ทรงตรัสว่าเห็นอนัตตาแล้วย่อมเห็นธรรม แต่ ความจริง สัจจธรรม ปรมัตถธรรมเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้จะมีคำพูดหรือพุทธดำรัสรองรับหรือไม่รองรับ ธรรมเขาก็จักเป็นอยู่เช่นนั้นจริงๆไม่สามารถแปรเป็นอื่นได้ นี่คือความจริงและความหมายโดยธรรม ไม่ทราบว่าคุณwattและท่านอื่นๆจะเข้าใจตรงนี้ไหมครับ?
เอาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จะแสดงคำแปลที่สั้นกระชับรัดกุมเข้าใจง่าย ตรงกับความหมายที่แท้จริงของคำบาลีว่า "สันทิฏฐิโก"ให้มากยิ่งขึ้น

สำนวนสวนโมกข์......เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง.....แปลให้เข้าใจและกระชับขึ้นว่า

(ธรรมะ ๆ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้น)....เป็นสิ่งที่ศึกษาและปฏิบัติแล้วจะเห็นเอง

คำแปลอย่างนี้เป็นการทำให้กว้าง ครอบคลุม แต่ไม่เจาะลึกตรงประเด็นที่แท้จริงของบาลี เพราะ จะยังมีปัญหา คำถาม เรื่องที่จะต้องตีความอีกมาก และแตกออกไปได้อีกหลายความเห็นเช่น

ศึกษา.....จะต้องศึกษาเรื่องอะไรบ้าง อย่างไร? ต้องอ่านพระไตรปิฏกจนครบทั้ง 84,000 ก่อน หรือจะต้องศึกษาเฉพาะสูตรไหน วรรคใด ตอนใด จะต้องศึกษาทั้ง สมถะ และวิปัสสนา หรือเอาเฉพาะวิปัสสนาภาวนาก็ได้ หรืออย่างไร ฯลฯ

ปฏิบัติ.....จะปฏิบัติอย่างไร แนวไหนจึงจะลัดสั้นและตรงทางมากที่สุด เริ่มสมถะภาวนามาก่อน หรือเริ่มทำวิปัสสนาภาวนาทันทีเลย หรืออย่างไร? ดังนี้เป็นต้น


แต่คำแปลสำนวนใหม่.....สัน...ทิฏฐิ...โก......(ธรรมะ ๆ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้น)เป็นสิ่งที่เมื่อทำความเห็นให้ถูกต้องแล้ว(สัมมาทิฏฐิ)ก็จะเห็นเอง

สันทิฏฐิ....ทำความเห็นให้ตรง ให้ถูกต้อง คือทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นนั่นเอง เป็นการแปลที่ทำให้แคบ แหลม ละเอียด ลึกซึ้ง ชี้ตรงไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว ไม่มีประเด็นให้เห็นไปเป็นอย่างอื่นด้วยอำนาจทิฏฐิของใคร แต่ให้เป็นไปตามพุทธประสงค์ทันที

แล้วความคล้องจองอย่างลึกซึ้งและตรงประเด็นและเป้าประสงค์แห่งการปฏิบัติธรรมก็ลิ้งค์ถึงกันทันที เพราะ "สัมมาทิฏฐิ"เป็นมรรคข้อที่ 1 ในมรรค 8 ซึ่งสำคัญที่สุด เพราะถ้า ทิฏฐิ ความเห็น เป็นสัมมาแล้ว มรรคที่เหลือก็จักเป็นสัมมาตามกันไปหมดสัมมาทั้ง 8 ข้อนั้นจะสมบูรณ์ ถูกต้อง ก็สำคัญที่มรรคตข้อที่ 1 นี้แหละ เรื่องนี้ก็มีพุทธวัจนะรองรับอยู่


ที่ครูบาอาจารย์ วงเล็บให้ต่อไปทันทีเลยว่า "เห็นถูกต้องคือ เห็นอนัตตา" นั้น ยิ่งลึกซึ้งและลัดสั้นยิ่งขึ้นไปอีก เพราะแม้ความหมายของสัมมาทิฏฐิดังแสดงไว้ในเรื่องของมรรค 8 อันบอกไว้ว่า ....สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องตามมรรค 8 นั้น คือการเห็นอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั่นเอง เห็นนอกไปจากนี้ ไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

แต่ถ้าระบุว่าเห็นถูกต้อง คือเห็นอนัตตา นี่เป็นการ สรุปคำสอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติลงมาไว้ที่คำเดียว คือ "อนัตตา"

ดังนั้นใครก็ตาม ที่เพียรทำความเห็นของตนให้ถูกต้อง คือเห็นอนัตตา นั่นคือรู้ทั้งทฤษฎีและหลักปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระบรมศาสดา แถมยังเป็นการศึกษาและปฏิบัติที่ตรงประเด็นและเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่งด้วยเพราะ

ถ้าใครค้นพบ อนัตตา ทราบซึ้งจนใจยอมรับ อนัตตา ....อัตตาหรือสักกายทิฏฐิ อันเป็นสังโยชน์ตัวแรก ตัวสำคัญ ที่กั้น มรรค ผล นิพพานไว้ จะถูกทำลาย ขาดสะบั้นลงทันที ผู้ปฏิบัติท่านนี้ก็จะถึงเป้าหมายที่ 1 ทางธรรม ที่ผู้มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนาทุกคนควรไปให้ถึงทันในชาตินี้



คุณwattและกัลยาณมิตรทุกท่านครับ ใช่อยู่ที่เราต้องมีการศึกษาและทดลองปฏิบัติ ใครไม่สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้ แต่ศึกษาแค่ไหน อย่างไร ศึกษาแล้วสามารถนำเอาหลักทฤษฎีทั้งดุ้นนั้น มาแอพพลายด์ประยุคใช้กับการปฏิบัติจริงของเจ้าของได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด คือเรียนรู้น้อย ยุ่งยากน้อยที่สุดแต่เอามาปฏิบัติได้ผลมากที่สุด ทำอย่างไร? นั่นคือการศึกษาที่ชาญฉลาด

คำแปลที่ชี้กว้าง กับคำแปลความหมายที่ "ชี้ตรงตามธรรม" จึงมีความหมายสำคัญที่ทุกท่านจะต้องตีความออกมาให้ได้ ให้ตรง ให้ถูกต้อง ตามธรรมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอให้สังเกต พิจารณา กันให้ดีๆ ละเอียด ลึกซึ้งกันต่อไปนะครับ
tongue
สัมมาทิฎฐินั้นมันมีหลายระดับไอ้ที่ว่าเห็นอนัตตานั้นท่านได้บรรลุธรรมเรียบร้อยแล้วเป็นโสดาบันอย่างน้อยแล้วท่านอโศกะ และการเห็นอนัตตานั้นโลกจะต้องสูญขาดจริงๆทางมโนทวาร ท่านก็น่าจะถึงแล้วล่ะถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะ สาธุๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 08:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b8: :b12: :b12: :b12:
อ้างคำพูด:
สัมมาทิฎฐินั้นมันมีหลายระดับ

:b16:
พูดกันอย่างนี้นี่แหละที่ทำให้ผู้คนเบี่ยงเบนออกจากสัจจธรรมหลักไปกว้าง

ถ้ายังเห็นอื่น นอกจาก อริยสัจ 4 และไตรลักษณ์
ยังเป็นแค่ชั้นความเห็นธรรมดาๆ เป็นได้ทั้งบุญและบาป

เมื่อไหร่เห็นอริยสัจ 4 และไตรลักษณ์ จึงจะเป็น เห็นถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ)จริงๆ


อ้างคำพูด:
ไอ้ที่ว่าเห็นอนัตตานั้นท่านได้บรรลุธรรมเรียบร้อยแล้วเป็นโสดาบันอย่างน้อยแล้วท่านอโศกะ


ดูให้ดีนะครับว่า ผมบอกว่า ใครทำความเห็นให้ถูกต้อง คือเห็น อนัตตา ก็เห็น ธรรม เป็นการบอกกระบวนการที่จะให้เห็นอนัตตา ไม่ใช่บอกเรื่องอนัตตา

:b11:

อ้างคำพูด:
และการเห็นอนัตตานั้นโลกจะต้องสูญขาดจริงๆทางมโนทวาร


ตรงนี้ต้องมาคุยกันโดยละเอียดสักตั้งนะครับ เพราะมีรายละเอียดที่่ต้องแจงกันเยอะจึงจะเข้าใจ ลำดับแห่งธรรม เริ่มตั้งแต่ ศึกษาบัญญัติ ยึดบัญญัติมาค้นหาปรมัตถ์.....ละบัญญัติ ถึงปรมัตถ์..... อนุโลมญาณ.....โคตรภูญาณ....มรรคญาณ....ผลญาณ....นิพพาน....ปัจจเวกขณญาณ

อ้างคำพูด:
ท่านก็น่าจะถึงแล้วล่ะถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะ สาธุๆ


:b14:
:b5:

ข้อนี้......เล่นจะเอาสารพิษมาใส่คำพูดให้ผมดื่ม(ด่ำ)เสียแล้ว
รู้ใครรู้มันดีกว่านะครับ พูดไปเดี๋ยวจะพาลไปพอก "กิเลสใส" ขยะใจที่เอาออกยากนะครับ
:b12:
สาธุ เจริญสุข เจริญธรรมกันทุกๆท่านนะครับ
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12: :b8: :b12: :b12: :b12:
อ้างคำพูด:
สัมมาทิฎฐินั้นมันมีหลายระดับ

:b16:
พูดกันอย่างนี้นี่แหละที่ทำให้ผู้คนเบี่ยงเบนออกจากสัจจธรรมหลักไปกว้าง

ถ้ายังเห็นอื่น นอกจาก อริยสัจ 4 และไตรลักษณ์
ยังเป็นแค่ชั้นความเห็นธรรมดาๆ เป็นได้ทั้งบุญและบาป

เมื่อไหร่เห็นอริยสัจ 4 และไตรลักษณ์ จึงจะเป็น เห็นถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ)จริงๆ


อ้างคำพูด:
ไอ้ที่ว่าเห็นอนัตตานั้นท่านได้บรรลุธรรมเรียบร้อยแล้วเป็นโสดาบันอย่างน้อยแล้วท่านอโศกะ


ดูให้ดีนะครับว่า ผมบอกว่า ใครทำความเห็นให้ถูกต้อง คือเห็น อนัตตา ก็เห็น ธรรม เป็นการบอกกระบวนการที่จะให้เห็นอนัตตา ไม่ใช่บอกเรื่องอนัตตา

:b11:

อ้างคำพูด:
และการเห็นอนัตตานั้นโลกจะต้องสูญขาดจริงๆทางมโนทวาร


ตรงนี้ต้องมาคุยกันโดยละเอียดสักตั้งนะครับ เพราะมีรายละเอียดที่่ต้องแจงกันเยอะจึงจะเข้าใจ ลำดับแห่งธรรม เริ่มตั้งแต่ ศึกษาบัญญัติ ยึดบัญญัติมาค้นหาปรมัตถ์.....ละบัญญัติ ถึงปรมัตถ์..... อนุโลมญาณ.....โคตรภูญาณ....มรรคญาณ....ผลญาณ....นิพพาน....ปัจจเวกขณญาณ

อ้างคำพูด:
ท่านก็น่าจะถึงแล้วล่ะถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะ สาธุๆ


:b14:
:b5:

ข้อนี้......เล่นจะเอาสารพิษมาใส่คำพูดให้ผมดื่ม(ด่ำ)เสียแล้ว
รู้ใครรู้มันดีกว่านะครับ พูดไปเดี๋ยวจะพาลไปพอก "กิเลสใส" ขยะใจที่เอาออกยากนะครับ
:b12:
สาธุ เจริญสุข เจริญธรรมกันทุกๆท่านนะครับ
:b38:
ไอ้เราก็ไม่ยากจะเถียงเขา เห็นเขาพูดกันว่าสัมมาทิฎฐิมันมีหลายระดับเช่นเห็นบุญบาปมีจริง ทำดีได้ดีอะไรประมาณนี้แหล่ะที่เขาเรียกสัมมาทิฎฐิ ไอ้เราก็นึกในใจว่ามันยังไม่ใช่สัมมาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐฺนั้นต้องเห็นความเป็นอนัตตา อันนีก็อีกนั้นแหละมันมีสองอย่างอีก บางคนบอกว่าคิดเอาก็เข้าใจได้ ไอ้เราก็คิดในใจอีกนั้นแหละเอาคิดเอาก็คิดเอาวะมันอาจจะเป็นไปได้ แต่เรามันดันไปเห็นในมโนทวารที่มันเกิดขึ้นมาเองเป็นลักษณะโลกขาดสูญโดยไม่ได้คิดเลยทั้งๆตอนนั้นนั่งอยู่เจ็บจะตาย และส่วนญาณต่างๆจะอธิบายกันยังไงล่ะ มันปัจจัตตังทั้งนั้น

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 08:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b20:
อ้างคำพูด:
ไอ้เราก็ไม่ยากจะเถียงเขา เห็นเขาพูดกันว่าสัมมาทิฎฐิมันมีหลายระดับเช่นเห็นบุญบาปมีจริง ทำดีได้ดีอะไรประมาณนี้แหล่ะที่เขาเรียกสัมมาทิฎฐิ ไอ้เราก็นึกในใจว่ามันยังไม่ใช่สัมมาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐฺนั้นต้องเห็นความเป็นอนัตตา อันนีก็อีกนั้นแหละมันมีสองอย่างอีก บางคนบอกว่าคิดเอาก็เข้าใจได้ ไอ้เราก็คิดในใจอีกนั้นแหละเอาคิดเอาก็คิดเอาวะมันอาจจะเป็นไปได้ แต่เรามันดันไปเห็นในมโนทวารที่มันเกิดขึ้นมาเองเป็นลักษณะโลกขาดสูญโดยไม่ได้คิดเลยทั้งๆตอนนั้นนั่งอยู่เจ็บจะตาย และส่วนญาณต่างๆจะอธิบายกันยังไงล่ะ มันปัจจัตตังทั้งนั้น

:b27:

"คิด....... แล้วเห็นเออออ ตามตำราที่ศึกษามา .........เป็นของปลอม"


"เห็นประจักษ์ตรงที่ใจ......แล้วมาคิดเทียบเคียงกับตำราในภายหลัง.......เป็นของจริง"
:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b20:
อ้างคำพูด:
ไอ้เราก็ไม่ยากจะเถียงเขา เห็นเขาพูดกันว่าสัมมาทิฎฐิมันมีหลายระดับเช่นเห็นบุญบาปมีจริง ทำดีได้ดีอะไรประมาณนี้แหล่ะที่เขาเรียกสัมมาทิฎฐิ ไอ้เราก็นึกในใจว่ามันยังไม่ใช่สัมมาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐฺนั้นต้องเห็นความเป็นอนัตตา อันนีก็อีกนั้นแหละมันมีสองอย่างอีก บางคนบอกว่าคิดเอาก็เข้าใจได้ ไอ้เราก็คิดในใจอีกนั้นแหละเอาคิดเอาก็คิดเอาวะมันอาจจะเป็นไปได้ แต่เรามันดันไปเห็นในมโนทวารที่มันเกิดขึ้นมาเองเป็นลักษณะโลกขาดสูญโดยไม่ได้คิดเลยทั้งๆตอนนั้นนั่งอยู่เจ็บจะตาย และส่วนญาณต่างๆจะอธิบายกันยังไงล่ะ มันปัจจัตตังทั้งนั้น

:b27:

"คิด....... แล้วเห็นเออออ ตามตำราที่ศึกษามา .........เป็นของปลอม"


"เห็นประจักษ์ตรงที่ใจ......แล้วมาคิดเทียบเคียงกับตำราในภายหลัง.......เป็นของจริง"
:b11:
สาธุๆ ขอให้เป็นจริงเถอะ จะได้จบกันสักทีวัฎฎะนี้คงเหลือไม่ถึง7ชาติแล้ว

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2012, 06:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
ฟังธรรมคุณ 6 ประการต่อนะครับ

เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า

สันทิฏฐิโก .......อะกาลิโก ....เอหิปัสสิโก.....โอปนยิโก.....เป็นอย่างไร ก็ให้นั่งตัวตรง หลับตา ตั้งสติปัญญาขึ้นมารู้เข้าไปในกายและจิต ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์ ละความยินดียินร้ายต่ออารมณ์ทุกอารมณ์ได้จนใจหยุดนึกหยุดคิด ก็จะเห็นธรรมหรือปรมัตถธรรมเบื้องต้นเอหิปัสสิโกขึ้นมาเรียก สติปัญญาไปดู .....ทรงความเห็นสภาวธรรมที่ปัจจุบันอารมณ์นั้นไป โดยไม่มีความนึกคิดสัญญาใดมารบกวน ไม่นานนักก็จะเห็นและเข้าใจความเป็น ทุกขัง ....ทนไม่ได้.....ความเป็นอนิจจัง.....ต้องเปลี่ยนแปลง และสุดท้ายทุกธรรมทุกอารมณ์จะไปรวมสรุปลงที่ "บังคับไม่ได้" เป็น "อนัตตา" ให้เห็น และท้าพิสูจน์อยู่เสมอไปในกายและจิต โดยไม่มีขีดขั้นของ กาล เวลา สถานที่ บุคคล เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ วรรณะ ศาสนา เพศ วัย และการแต่งกาย พอกพูนความเห็นและซึ้งใจในความบังคับบัญชาไม่ได้ของทุกอารมณ์ทุกสภาวธรรมไป ไม่ช้า จะได้เห็นปฏิกิริยาของอัตตา .....ไม่ยินดียินร้ายตามอำนาจอัตตา.....ถ้ามีวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ ที่เยี่ยมยอด ก็จะได้เห็นชัดอนัตตา ซึ้งใจในอนัตตา จน เมื่อใจยอมรับอนัตตาเต็มสมบูรณ์ ความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู ก็จะดับขาดให้เห็นต่อหน้า ไม่มีใครมารู้ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่รู้เฉพาะตน

นี่คือสรุปความหมายและวัตถุประสงค์ของกระทู้นี้ หวังว่า วิญญูชนทุกท่านคงเข้าใจเจตนาอันบริสุทธ์เพื่อธรรมของกระทู้นี้นะครับ

ธรรมคุณข้อที่ 6 คือ ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหีติ

ก็แสดงรวมในสรุปวัตถุประสงค์ของกระทู้ข้างต้นแล้ว
นะครับ

สำหรับคุณ bigtoo ถ้าเป็นมาตามนี้หรือคล้ายดังการพิสูจน์ธรรมที่กล่าวมานี้ ที่หวังไว้ว่าจะลดภพชาติให้เหลือไม่เกิน 7 ชาติให้ทันในปัจจุบันชาตินี้ ก็เป็นที่หวังได้แน่นอนครับ

เจริญสุข เจริญธรรมกันทุกๆท่าน ทำนิพพานให้แจ้งกันทุกๆคนนะครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2012, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
tongue
ฟังธรรมคุณ 6 ประการต่อนะครับ



สำหรับคุณ bigtoo ถ้าเป็นมาตามนี้หรือคล้ายดังการพิสูจน์ธรรมที่กล่าวมานี้ ที่หวังไว้ว่าจะลดภพชาติให้เหลือไม่เกิน 7 ชาติให้ทันในปัจจุบันชาตินี้ ก็เป็นที่หวังได้แน่นอนครับ

เจริญสุข เจริญธรรมกันทุกๆท่าน ทำนิพพานให้แจ้งกันทุกๆคนนะครับ
:b8:
:b8: ขอให้เป็นจริงทีเถอะสาธุ :b8:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 20:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
tongue
ฟังธรรมคุณ 6 ประการต่อนะครับ



สำหรับคุณ bigtoo ถ้าเป็นมาตามนี้หรือคล้ายดังการพิสูจน์ธรรมที่กล่าวมานี้ ที่หวังไว้ว่าจะลดภพชาติให้เหลือไม่เกิน 7 ชาติให้ทันในปัจจุบันชาตินี้ ก็เป็นที่หวังได้แน่นอนครับ

เจริญสุข เจริญธรรมกันทุกๆท่าน ทำนิพพานให้แจ้งกันทุกๆคนนะครับ
:b8:
:b8: ขอให้เป็นจริงทีเถอะสาธุ :b8:

:b11:
ขอด้วย ทำจริงด้วย นั้น สวยแน่
ขอแล้ว แผ่ รอโอกาส อย่ามาดหมาย
ในโลกนี้ ไม่มี ใด ดั่งใจ
ทุกสิ่งไซร้ ล้วนต้องทำ ด้วย ความเพียร

:b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร