วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 12:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสขปาฏิบท (ผู้ยังฝึกศึกษา) "ดูกรอานนท์ ก็พระเสขะ ผู้ยังปกิบัติอยู่ เป็นอย่างไร ?
ดูกรอานนท์ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ สภาพที่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ทั้งน่าชอบใจและไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น แก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธออึดอัด เบื่อหน่าย รังเกียจ ด้วยสภาพน่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพทั้งน่าชอบใจและไม่น่าชอบใจ ก็เกิดขึ้นแล้วนั้นๆ

เพราะได้ยินเสียงด้วยหู...เพราะดมกลิ่นด้วยจมูก...เพราะลิ้มรสด้วยลิ้น...เพราะต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ เธออึดอัด เบื่อหน่าย รังเกียจ ด้วยสภาพน่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพทั้งน่าชอบใจและไม่น่าชอบใจ ก็เกิดขึ้นแล้วนั้นๆ
ดูกรอานนท์ อย่างนี้แหละ ชื่อว่าพระเสขะ ผู้ยังปฏิบัติอยู่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาวิตินทรีย์ (ผู้ศึกษาพัฒนาจบแล้ว) “ดูกรอานนท์ ก็พระอริยะ ผู้ภาวิตินทรีย์ (ได้พัฒนาอินทรีย์แล้ว) เป็นอย่างไร ?

ดูกรอานนท์ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ สภาพที่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ทั้งน่าชอบใจและไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น แก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอนั้น หากจำนงว่า เราจะหมายรู้ในสิ่งปฏิกูล ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ ก็เป็นผู้มีความหมายรู้ในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้

หากจำนงว่า เราจะหมายรู้ในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ ก็เป็นผู้มีความหมายรู้ในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้

หากจำนงว่า เราจะหมายรู้ในสิ่งทั้งไม่ปฏิกูลและปฏิกูล ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ ก็เป็นผู้มีความหมายรู้ในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้

หากจำนงว่า เราจะเว้นคำนึงทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองอย่าง มีอุเบกขาอยู่โดยมีสติสัมปชัญญะ ก็มีอุเบกขาในสิ่งนั้นๆ อยู่โดยมีสติสัมปชัญญะได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ดูกรอานนท์ ข้ออื่นยังมีอยู่อีก เพราะได้ยินเสียงด้วยหู...เพราะดมกลิ่นด้วยจมูก...เพราะลิ้มรสด้วยลิ้น...เพราะต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ สภาพที่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ทั้งน่าชอบใจและไม่น่าชอบใจ ก็เกิดขึ้น แก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เธอนั้น...หากจำนงว่า เราจะเว้นคำนึงทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองอย่าง มีอุเบกขาอยู่โดยมีสติสัมปชัญญะ ก็มีอุเบกขาในสิ่งนั้นๆ อยู่โดยมีสติสัมปชัญญะได้

“ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าพระอริยะ ผู้ภาวิตินทรีย์ (ได้พัฒนาอินทรีย์แล้ว”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาคปฏิบัติไม่ต้องคิดมากขณะนั้นๆ ตาเห็นรูปก็ "เห็นหนอ"
หูได้ยินเสียงก็ "เสียงหนอ"
จมูกได้กลิ่น ก็ "กลิ่นหนอ"
ลิ้นลิ้มรสเปรี้ยวหวานมันเค็ม...ก็ตามที่รู้สึกนั้นๆแหละ...หนอ
กายสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็...ตามทีรู้สึกนั้นๆแหละ...หนอ
ใจรู้สึกนึกคิดยังไง ก็กำหนดรู้ตามที่มันคิดที่รู้สึกนั่นๆแหละ...หนอ

กำหนดรู้ตามที่มันเป็น คือตามเป็นจริง มิใช่ไปคิดไปทำตามความยึดความอยากของตัวเอง :b1: ที่จะให้มันเป็นยังงั้นยังงี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอบพระคุณมากครับท่านกรัชกายที่ให้ความรู้ กำลังพิจารณาอย่างนี้อยู่พอดี สาธุ

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ภาคปฏิบัติไม่ต้องคิดมากขณะนั้นๆ ตาเห็นรูปก็ "เห็นหนอ"
หูได้ยินเสียงก็ "เสียงหนอ"
จมูกได้กลิ่น ก็ "กลิ่นหนอ"
ลิ้นลิ้มรสเปรี้ยวหวานมันเค็ม...ก็ตามที่รู้สึกนั้นๆแหละ...หนอ
กายสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็...ตามทีรู้สึกนั้นๆแหละ...หนอ
ใจรู้สึกนึกคิดยังไง ก็กำหนดรู้ตามที่มันคิดที่รู้สึกนั่นๆแหละ...หนอ

กำหนดรู้ตามที่มันเป็น คือตามเป็นจริง มิใช่ไปคิดไปทำตามความยึดความอยากของตัวเอง :b1: ที่จะให้มันเป็นยังงั้นยังงี้
ในสิ่งที่พี่แสดงมาไม่ต่างจากสิ่งที่ผมปฎิบัติอยู่ แต่ผมไม่มีหนอเพียงรู้และก็วางเฉย ไม่ว่าจะสัมผัสในทวารใดเท่าที่สติจะระลึกได้ทัน และมีความแตกต่างตรงที่ผมเข้าไปรับรู้ตวามละเอียดอ่อนเท่าที่จิตเราจะฝึกเข้าไปรับรู้ได้อย่างเช่น คิดถึงส่วนไหนของร่างกายจิตจะต้องไวรับรู้ความรู้สึกได้ทันที อย่างเช่น นึกถึงกลางกศรีษะก็จะต้องรู้สึกสั่นสะเทือนทันที คิดถึงตรงไหนไม่ว่าจะส่วนที่เล็กที่สุดในร่างกายก็ต้องรับรู้ความรู้สึกทันที

ตรงนี้มีเหตุผลอะไรทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น การปฎิบัติธรรมสายที่ผมปฎิบัติให้เหตุผลไว้ว่าการที่เรารับรู้ถึงความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนที่สุดเท่าที่จิตเราจะทำได้เท่ากับว่าเราเจาะเข้าไปลึกที่สุดเท่าที่จิตจะไปสัมผัสกับความจริงที่มันเกิดอยู่ตลอดเวลา หรือเรียกว่าเข้าไปถึงจิตไร้สำนึก แต่เราไม่เคยรู้เลยทั้งงๆที่มันเกิดดับตลอดเวลาอยู่แล้ว ในขณะที่เรารับรู้สิ่งที่ละเอียดที่สุดนั้น ไม่ว่าอะไรจะมากระทบทวารทั้งหมดไม่ว่าจะเจ็บจะสบายสักเท่าไรก็วางเฉยไม่ไปยินดีียินร้าย เท่ากับเราได้เข้าไปฝึกจิตไรสำนึกเป็นการฝึกความเป็นกลางของจิตอย่างแท้จริง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมได้รับรู้สึกถึงการเกิดดับจริงซึ่งแตกต่างจากความรู้ทางสุตตะและจินตะ แต่ข้อปฎิบัตินี้เป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้นไม่ได้กล่าวว่าจะเป็นที่สุดของการปฎิบัตินะครับ แต่การเลือกแบบการดำเนินชีวิตก็เป็นอีกเรื่องคนล่ะส่วนกับการปฎิบัติ ขอเลือแเพศบรรพชิตครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2013, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
bigtoo เขียน:
ทำไมพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไม่กลับไปใช้ชีวิตเหมือเดิม เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าการจะสั่งสอนคนนั้น จำเป็นจะต้องทำในสิ่งที่ดีที่สุดให้เป็นตัวอย่าง เพราะวิถีชีวิตนักบวชเอื้ออำนวยแก่การบรรลุธรรมได้ดีที่สุด เพราะชีวิตของฆราวาสนั้นไม่เอิ้ออำนวยแก่การบรรลุธรรม

:b20:
...พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะทรงตรัสรู้ธรรมที่เป็นโลกนอก...
...ซึ่งแตกต่างจากความเป็นไปของชีวิตตามความเข้าใจของชาวโลกที่เป็นโลกใน...
...โลกในเป็นโลกที่เกลือกกลั้วไปด้วยธุลีคือจิตใจแน่นหนาไปด้วยกิเลสเห็นธรรมได้ยาก...
...เพราะโลกุตรธรรมเป็นความจริงที่เหนือจากความเป็นไปตามธรรมดาที่มนุษยโลกจะเข้าใจได้...
...ทรงท้อพระทัยว่าจะไปสอนใครได้ ท้าวมหาพรหมเป็นผู้เตือนสติให้พระองค์ระลึกว่ายังมีผู้ที่พอรู้ได้อยู่...
...และอาราธนาอัญเชิญให้พระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรมเพื่อโปรดเวไนยสัตว์สั่งสอนผู้ที่มีกิเลสเบาบาง...
:b8:
...ด้วยพระปัญญาธิคุณที่ทรงตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง ทรงมีพระบริสุทธิคุณคือสิ้นอาสาวะกิเลสโดยสิ้นเชิง...
...เป็นมนุษย์คนแรกที่ค้นพบโลกนอกกลายเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รู้ทั้งโลกในและโลกนอก...
...ที่ไม่กลับไปใช้ชีวิตอย่างกษัตริย์อย่างเดิมนั้นเพราะโลกในเต็มไปด้วยธุลีคือกิเลส แต่พระองค์สิ้นกิเลส...
...ไม่หลงในโลกธรรมแปด...ไม่หลงสมมติทั้งปวงแล้ว...ไม่ทรงยินดีในกามทั้งหลายที่คนทั่วไปยินดี...
...จึงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโดยไม่มีประมาณ...ทรงเล็งพระญาณดูสัตวโลกเพื่อสงเคราะห์ผู้ที่พร้อม...
...คือเข้าไปในข่ายพระญาณว่าจะได้ตรัสรู้ธรรมตามพระองค์และจะมีอันตรายถึงสิ้นชีพหากไม่ช่วย...
...พระองค์ทรงคุณอันประเสริฐทั้ง 3 ประการดังกล่าวข้างต้น...และเมตตาคือให้โอกาสตามสมควร...
...และเพราะการที่จะทรงกลับไปดำรงชีวิตอย่างเดิมนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเหลือวิสัยปุถุชนจะเข้าใจได้...
:b12:
...ทรงประกาศพระศาสนาแก่พุทธบริษัทสี่ มีดังนี้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ใช่เฉพาะนักบวช...
...และพุทธบริษัททั้งสี่ก็สามารถเข้าสู่การบรรลุธรรมได้ทั้งสิ้น โดยจะต้องมีศีล 5 เป็นพื้นฐานในจิตใจ...
...การบรรลุธรรมเป็นไปตามลำดับ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ (มี8จำพวก)...
...เพราะที่ทรงบัญญัติไว้นั้น มีฆราวาสที่เมาเหล้าเข้าเฝ้าได้ฟังธรรมบรรลุพระอรหันต์เข้านิพพานโดยไม่บวชนะ...
:b16: :b29:
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2013, 01:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 พ.ค. 2013, 13:08
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุที่พระองค์ไม่ทรงไปใช้ชีวิตแบบเดิม เพราะพระองค์ต้องการช่วยเหลือให้เหล่ามวลมนุษย์พ้นทุกข์ หลุดพ้นจากวัฎสงสาร นี่คือพันธกิจที่พระองค์ทรงตั้งความเพียรไว้ ตั้งแต่ชาติก่อนที่ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า และพระองค์ยังมีภาระที่ต้องวางรากฐานของศาสนา กำหนดบทบัญญัติ เพื่อให้เหล่าลูกศิษย์ตถาคตปฏิบัติได้อย่างถูกทาง สามารถนำไปเผยแพร่ และจรรโลงศาสนาให้คงอยู่ได้เมื่อพระองค์ทรงดับขันธ์ไปแล้ว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร