วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 19:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 03:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาทำความเข้าใจกับคำว่าชีวิตกันหน่อย....ชีวิตเป็นสมมุติบัญญัติ
ที่บรรดาอรรถกถาจารย์กำหนดขึ้นมา เพื่อให้ทราบถึงสภาวะปรมัตถ์ธรรมที่เรียกว่า...ปฏิจสมุบาท

เกิด...แก่....เจ็บ...ตาย เป็นวัฎฎะสงสาร หรือเรียกว่าช่วงเวลาของชีวิต
ช่วงชีวิตหนึ่ง หมายถึงการดำเนินการของปฏิจจสมุบาท เริ่มตั้งแต่รูปนามจนถึง
มรณะนี่คือหนี่งช่วงชีวิต

ถ้าเราจะเอาขันธ์ห้าไปเปรียบกับชืวิต มันไม่ถูกต้องนัก..เพราะ
ช่วงเวลาหนี่งชีวิต มีการเกิดดับของขันธ์ห้านับครั้งไม่ถ้วน

และที่สำคัญชีวิต(ปฏิจจสมุบาท)เป็นเรื่องของ...อวิชา
ส่วนขันธ์ห้าเป็นเรื่องของ...วิชชา

ที่เกิดปฏิจจสมุบาท(ชีวิต)ขึ้นเป็นเพราะ เรายังไม่รู้ความมีอยู่ของขันธ์ห้า
การจะรู้ความมีอยู่ของขันธ์ห้าได้นั้น เราจะต้องได้รู้หรือเห็นกฎธรรมนิยามหรือไตรลักษณ์เสียก่อน
กระบวนการขันธ์ห้าจีงจะเกิดขึ้นได้ ธรรมนิยามหรือไตรลักษณ์มีลักษณะดังนี้...
ธรรมนิยาม กำหนดแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ,
ความจริงที่มีอยู่หรือดำรงอยู่ธรรมชาติของมัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบ
แล้วทรงนำมาแสดงชี้แจงอธิบายให้คนทั้งหลายให้รู้ตาม มี ๓ อย่าง
แสดงความตามพระบาลีดังนี้
๑. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง
๒. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งปวง คงทนอยู่มิได้
๓. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวง ไม่เป็นตัวตน;


เมื่อเราได้รู้ไตรลักษณ์หรือธรรมนิยามแล้ว พระพุทธองค์ทรงสอนว่า
กำหนดรู้ไตรลักษณ์เพื่อรู้ สฬายตนะ12และขันธ์ห้า ให้รู้ว่า ทั้งสองเป็นเหตุปัจจัยแก่กัน

สรุปก็คือ ควรกำหนดรู้ไตรลักษณ์ สฬายตนะ12และขันธ์ห้าด้วยความเพียร
ก็จะรู้ว่า ชีวิตเป็นเพียงอุปาทานขันธ์ เป็นกองทุกข์ ทำให้เกิดกระบวนการวัฏฏสงสารไม่สิ้นสุด

แยกให้ดูความแตกต่างของขันธ์ห้ากับชีวิตตามเหตุปัจจัย....
ขันธ์ห้าไม่ใช่ชีวิตแต่เป็นรูปนาม อันมีเหตุปัจจัยมาจาก...วิญญาณ

ส่วนชีวิตมีเหตุปัจจัยมาจากกระบวนการวัฏฏสงสาร นั้นคือการทำงานของรูปนามจนถีงมรณะ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ในไตรลักษณะนั้นเป็นปัญญาที่พระพุทธองค์ค้นพบและประจักษ์แจ้งจริงเป็นปัญญาขั้นสูงสุด และนำมาสอนมนุษย์ให้หลุดพ้น จากกิเลสต่างไม่ให้ยึดติดหมายความว่าทั้งลด ทั้งละ ทั้งเลิก ทำไมต้องสามคำไม่ใช่คำๆเดียวคือเลิก มันใช้ไม่ได้คือบางอย่างเพียง ลดได้ บางอย่างเพียงละเป็นครั้งคราว บางอย่างต้องงดเลิกเลย ยกตัวอย่างเรื่องการเกิน ต้องลด เลิกกินไม่ได้ ละงานบางอย่างก็ต้องละ เลิกทำซะที่เดียวไม่ได้ เลิกบางอย่างต้องเลิกเช่นการเสพเมถุนฯ

การศึกษาธรรมะมันแสนอยากที่จะเข้าใจ เพราะในอรรถนั้นมันมีความหมายว่า ที่สุดแล้วไม่ให้ยึดทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่จิตใจเจาะลงไปไม่ลึกถึงอนุสันกิเลส ก็มักจะใช้คำนี้ง่ายๆดูหลายสิ่งหลายอย่างง่ายไปเสียหมด จนลืมเข้าไปลดกิเลสของตนจริงๆ และสิ่งนี้นั้นมันเป็นเพียงความคิด จะลดละกิเลสแท้จริงไม่ได้เลย พวกนี้จะเป็นปรัซญาชีวิตเท่านั้น

คนที่เจาะลงลงไปสู่จิตใต้สำนึกนั้นจะลดละกิเลสอย่างหยายๆได้ไปเรื่อยๆจนถึงละเอียดที่สุด ตรงนี้เองที่มีการถกเถียงกันในเชิงปรัชญากันมากมาย ผมถึงบอกอยู่ตลอดว่าการตีความหมายนั้นมันเป็นความคิดของตัวเองทั้งนั้น

และไม่มีใครรู้เลยว่ามันเป็นกิเลสแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ตาม ฉะนั้นสิ่งที่ข้าพเจ้าทำตามที่พระพุทธองค์ทรงทำนั้นก็เพื่อป้องกันความคิดของเรามันอาจจะผิดพลาด พระพระศาสดาไม่อยู่กับเราแล้วเราจะไปถามใคร และอะไรจะเป็นการสั่งสอนเราได้ดีกว่านี้อีกเล่า โอวาทปาติโมกข์ไง ซึ่งรวมความทั้งหมดลงที่ ไม่ทำบาปทั้งบวง ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ขาวรอบ ตรงนี้เองที่ตีความหมายกันง่ายเกินไป

สำหรับนักปฎิบัติบางคน เอาแต่ทำใจให้ชาวรอบอย่างเดียวและการทำใจให้ขาวรอบนั้นเราทำถูกจริงมั้ย เราลืมอะไรกันไปหรือเปล่า ลืมสองข้อแรกไปหรือเปล่า ชีวิตเราถึงวกวลทำอยู่กับสิ่งเก่าๆและเราก็ว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้อง สิ่งที่ผมกล่าวไปนั้นบางทีมันอาจจะดูว่าผมอวดตนว่าเก่งกว่าคนอื่น ที่จริงแล้วหาใช่เช่นนั้นเลย

ผมพยามยกตัวอย่างในชีวิตจริงที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ที่มีทั้งความเลวและความดีที่สร้างให้เกิดในจิตใจจริงขึ้นมาได้ และก็เห็นความแตกต่างทางความคิดคนในเรื่องๆเดียวกัน เห็นมั้ยว่ามันมีคนที่คิดผิดและคิดถูก ฉะนั้นเราจะเชื่อความคิดเราเองว่าถูกฝ่ายเดียวได้อย่างไร ความคิดที่หลายท่านคิดกันว่าสิ่งทั้งหลายไม่ควรยึด ผมก็คิดได้สบายจะตายแบบนั้น แต่ผมก็จะไม่ปล่อยความคิดผมเป็นสิ่งวัดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกที่สุด ผมจึงน้อมนำข้อปฎิบัติเข้ามาในตนเท่าที่จะทำได้ ตามเหตุปัจจัยชีวิตสถานะความเป็นอยู่ที่แท้จริงในปัจจุบันให้ได้มากที่สุด

ส่วนเรื่องความคิดมันไม่มีอะไรมันว่างทุกสิ่งจักรวาลทั้งจักรวาลมันไม่มีอะไรมันเป็นเพียง"มายา" จงเชื่อในพระปัญญาของพระศาสดาจริงอยู่ชีวิตมันมีหลากหลายก็จริงแต่สิ่งที่พระศาสดาทรงกระทำและปฎิบัตินั้นย่อมเป็นสิ่งที่เลิศที่สุด และให้ผลได้ดีที่สุด และเป็นสิ่งที่สมควรทำตามที่สุด ตรงนี้แล้วแต่ปัญญาที่จะพิจรณาให้เห็นตามจริงนั้น ด้วยความปรารถนาดี BIGTOO

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 09 ก.ย. 2012, 08:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




q228a34.gif
q228a34.gif [ 10.08 KiB | เปิดดู 7775 ครั้ง ]
ชีวิตเป็นธรรมะหรือเป็นธรรมชาติ ก็ชีวิต(สังขาร) หมดทั้งตัว เป็นทั้งไตรลักษณ์เป็นทั้งปฏิจจมุปบาท :b1:

พูดตามภาษาสมมติก็ว่าคนที่เขาสมมติ (ข้อตกลงร่วมกัน) ว่านาย ก. นาย จ. เป็นต้นเนี่ยว่ายึดมั่นถือมั่นมีว่าเป็นอัตตา ตัวตน เป็นสัตว์บุคคลเรา เขา (คือยึดธรรมชาติ)

ก็ในเมื่อคนยึดชีวิตติดสมมติว่าเป็นอัตตา (อาตมัน) พระพทธศาสนาจึงแยกแยะชีวิตให้ดูว่า ชีวิตนี้ (พูดโดยปรมัตถ์) เมื่อจำแนกแยกแยะแล้วก็มีแต่รูปกับนาม มีแต่ขันธ์ ...อายตนะ ...ธาตุ

แล้วก็ถามว่า ไหนล่ะอัตตา ตัวตน มีแต่รูปนามเป็นต้น


ไม่ต้องไปกำหนดให้มันเป็นหรอก มันเป็นของมันอยู่แร้ววววววววววววววววว :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 07:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"นี่แน่ะมาร ท่านจะมีความเห็นยึดถือว่า เป็นสัตว์ได้อย่างไร ในสภาวะที่เป็นเพียงกองแห่งสังขารล้วนๆนี้ จะหาตัวสัตว์ไม่ได้เลย เปรียบเหมือนว่า เพราะคุมส่วนประกอบเข้าด้วยกัน ศัพท์ว่า รถ ย่อมมีฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ สมมติว่าสัตว์ก็ย่อมมีฉันนั้น"

พระภิกษุณีวชิรา กล่าวกับมาร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 07:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนปฎิจสมุปบาทนั้นก็เป็นการอธิบายอะไรเป็นสาเหตุของการเกิดของวงจรชีวิต มีอะไรเป็นส่วนประกอบ สรุปง่ายๆ ความโง่เป็นวงจรของการเกิด ความรู้หรือหายโง่เป็นความฉลาดก็เป็นสายดับ ก็เท่านั้น จะเป็นวงจรการเกิดของชีวิตหรือขันต์5 หรือจะเป็นการดับวงจรชีวิตหรือดับขันต์5ก็ล้วนอยู่ตรงนั้นทั้งหมด แค่นี้แหล่ะครับ ส่วนอิทัปปัจยตานั้นก็เป็นวงจรใหญ่ทุกสิ่งไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตล้วนเป็นเหตุปัจจัยสามารถร่วมกันได้ทั้งหมด :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ท่านโฮกล่าวมาเมื่อพิจารณารวมๆก็ถูก เมื่อเรารู้อย่างนั้นแล้วเราดับกิเลสดับทุกข์ได้ใหม อย่างไร :b8:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


แก้ไขล่าสุดโดย ขณะจิต เมื่อ 09 ก.ย. 2012, 08:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนีความจริงกันยกใหญ่ อย่ากลัวความจริง ไปปฏิบัติให้เห็นความจริงแล้วอยู่กับความจริงนั้นอยู่อย่างไม่มีทุกข์เข้าใจมั้ย :b9: :b32:

ที่พร่ำพูดกันว่าจิตๆๆ นั่นก็เป็นไตรลักษณ์เป็นปฏิจจสมุปบาท

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ชีวิตเป็นธรรมะหรือเป็นธรรมชาติ ก็ชีวิต(สังขาร) หมดทั้งตัว เป็นทั้งไตรลักษณ์เป็นทั้งปฏิจจมุปบาท :b1:

พูดตามภาษาสมมติก็ว่าคนที่เขาสมมติ (ข้อตกลงร่วมกัน) ว่านาย ก. นาย จ. เป็นต้นเนี่ยว่ายึดมั่นถือมั่นมีว่าเป็นอัตตา ตัวตน เป็นสัตว์บุคคลเรา เขา (คือยึดธรรมชาติ)

ก็ในเมื่อคนยึดชีวิตติดสมมติว่าเป็นอัตตา (อาตมัน) พระพทธศาสนาจึงแยกแยะชีวิตให้ดูว่า ชีวิตนี้ (พูดโดยปรมัตถ์) เมื่อจำแนกแยกแยะแล้วก็มีแต่รูปกับนาม มีแต่ขันธ์ ...อายตนะ ...ธาตุ

แล้วก็ถามว่า ไหนล่ะอัตตา ตัวตน มีแต่รูปนามเป็นต้น


ไม่ต้องไปกำหนดให้มันเป็นหรอก มันเป็นของมันอยู่แร้ววววววววววววววววว :b32:
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงบรรลุ ญาณ 3 ญาณ ในที่นี้หมายถึง จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ซึ่งเกิดขึ้นในจิตใจเป็นของพระองค์ด้วยผลของการปฏิบัติให้สมบรูณ์ ในศีล สมาธิ ปัญญา จนสภาพจิตใจของพระองค์นั้น ไม่หวั่นไหว เป็นสมาธิสงบ ปราศจากกิเลส ท่านจำแนกไว้ 3 ประการคือ
1. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ ได้แก่หยั่งรู้ว่า นี้เป็นทุกข์ นี้เป็นสมุทัยนี้เป็นนิโรธ นี้เป็นนิโรธคามินีปฏิปทา 2. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ได้แก่ หยั่งรู้ว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติ ที่ควรกำหนดรู้ สมุทัยเป็นสภาพที่ควรละ นิโรธเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิป
ทา เป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด 3. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันได้กระทำแล้ว ได้แก่ หยั่งรู้กิจ 4 อย่างนั้นว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้ ก็ได้กำหนดรู้แล้ว ทุกขสมุทัยเป็นสภาพที่ควรละก็ได้แล้ว ทุกขนิโรธ เป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง ก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิดก็ได้เกิดแล้ว และความรู้นี่แล่ะ ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า

คำที่ว่าไม่ต้องกำหนดไปทำอะไรนั้นคงใช่ไม่ได้กับการกำจัดกิเลส เพราะกิจในอริยสัจนั้นนอกจากจะกำหนดรู้แล้วยังมีกิจที่ต้องทำอีกเยอะ ตามมรรคมีองค์แปด สภาวะธรรมที่เป็นอนัตตานั้นมันเป็นลักษณะที่ไม่เป็นกลุ่มก้อนเฉยๆไม่ได้หมายความว่างเปล่าจนจัดการอะไรไม่ได้ พระองค์ให้เราเข้าไปให้ถึงสภาวะนั้นให้ได้ ตรงนี้แหล่ะที่หลายคนเข้าไม่ถึงก็เลยมีแต่ความคิดที่อธิบายไปในแนวไม่ต้องทำอะไร มีในพระสูตรเยอะมากที่ต้องลงมือกระทำแม้บทอธิฐานความเพียรกระดูก หนัง เส้นเอ็นแม้จะเหือดแห้งก็จะไม่ลุกถ้าไม่สำเร็จะรรมและ อานาปานสติก็ต้องปฎิบัติเพื่อให้เข้าไปถีงตรงนี้คือเข้าถึงสภาวะจนจิตหลุดพ้นเมื่อเข้าถึงสภาวะนี้ครับ นี่คือความเข้าใจของผม

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กำหนดรู้ ตามความเข้าใจของ น้อง big คือ ยังไง กำหนดรู้น่ะ ถามท่านโฮฮับจังด้วย เอาชัดๆ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามอีกหน่อย ชีวิต (รวมหมดทั้งตัวคือกาย-ใจ) น้อง big ซึ่ง่เคลื่อนไหวไปมาได้อยู่เนี่ย เมื่อว่าตามความหมายปรมัตถ์แล้วเนี่ย เป็นใคร เป็นชีวิตเป็นสังขารของนาย big หรอ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมดาว่า ปุถุชน ย่อมมีความยึดถือในตัวตนอย่างเหนียวแน่น อย่างหยาบๆ ก็ถือเอารูป คือ ร่างกายเป็นตัวตน
เมื่อคิดลึกซึ้งลงไป เห็นว่าร่างกายเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะมีความเปลี่ยนแปลงให้เห็นได้ชัดๆโต้งๆ
ก็เลื่อนไปยึดเอาจิตหรือคุณสมบัติบางอย่างของจิต เช่น ความรู้สึก ความจำ ปัญญา การรับรู้ เป็นต้น ว่าเป็นตัวตน

ถ้าใช้ศัพท์ทางธรรมที่ว่า ยึดเอาขันธ์ใดขันธ์หนึ่งเป็นอัตตา บางทีก็ยึดถือรวมๆคลุมๆทั้งกายและใจ คือ ขันธ์ ๕ ทั้งหมดว่าเป็นตัวตน

บ้างคิดแยบยลลึกซึ้งต่อไปอีกว่า ทั้งกายและใจ หรือขันธ์หมดทั้ง ๕ เป็นตัวตนไม่ได้ แต่มีตัวตนอยู่ต่างหาก เป็นอัตตา หรือ อาตมันตัวแท้ตัวจริง เป็นแก่นเป็นแกนของชีวิต ซ้อนอยู่ภายในขันธ์ ๕ หรือ อยู่นอกเหนือจากขันธ์ ๕ แต่เป็นตัวครอบครองควบคุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กำหนดรู้ ตามความเข้าใจของ น้อง big คือ ยังไง กำหนดรู้น่ะ ถามท่านโฮฮับจังด้วย เอาชัดๆ :b1:
ทางสายผมเน้นที่สุดรู้ในส่วนที่ความรู้สึกละเอียดที่สุดทั่วร่างกายนอกเหนือทั้ง5ทวารแล้วดังที่บอกไปแล้ว เช่นพิจารณาทั่วร่างกายเมื่อสติรับรู้สึกถึงความไม่เทียงเป็นอนิจจัง ความละเอียดที่มันเกิดทั่วร่างกายได้แล้ว ในที่นี้หมายความว่าละเอียดที่สุดเป้นแรงสั่นสะเทือนสิ่งนั้นมันเกิดขึ้นและดับไวมากๆจนเป็นแรงสั่นสะเทือน

และเมื่อเราทำได้แล้วทุกคนต้องทำสภาวะนี้ให้ได้ก่อน ซึ่งไม่ยากเลยเริ่มจากอานาปานสติเป็นสะพานเชื่อมไปให้รูปนามสัมพันธ์กันก่อน เรานั่งนานๆมันก็มีความเจ็บมากแต่ในความเจ็บมากนั้นถ้าเราวางเฉยหรือเรียกว่าดูมันเฉยๆจะเห้นมีแต่แรงสั่นสะเทือนเล็กๆความเจ็บที่รุนแรงนั้นมันก็เป็นอนิจจัง มันเกิดขึ้นสักพักความเจ็บทีุ่รุนแรงนั้นมันก็ไม่สามารถคงทนอยู่ได้มันก็หายไปในที่สุด

แต่ตรงนี้จะมีคนทนได้น้อยเพราะอุเบกขาอาจจะมีกำลังน้อย ตรงนี้แหละครับถ้าใครอุเบกขาได้จนผ่านก็จะเกิดปัญญา ปัญญาในที่นี้จะมีกำลังจริงๆเพราะได้ว่างเฉยกับความไม่พอใจได้จริงๆ เพราะความเจ็บนั้นเป็นลักษณะของความไม่พอใจ เท่ากับเราวางเฉยกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจตรงนี้ได้จริง และนัยเดียวกันกับความเสบายที่มันเกิดจะรู้สึกน่ายินดีขนาดไหนก็ให้วางอุเบกขาไม่เข้าไปยินดีกับความสุขนั้นเพราะความสุขนั้นก็เป็นอนิจจัง ความรู้ทั้งหมดเกิดขึ้นตรงนี้ อนิจัง ทุกขัง อนัตตา แต่เป็นความรู้ที่ผ่านการฝึกจิตที่ละเอียดที่สุด วางเฉยทั้งสุขและทุกข์ได้จริงๆเพราะปัญญารู้อนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่ได้คิดเอาผ่าความรู้สึกจริงๆ ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก ที่เป็นอุเบกขาบารมี ก็จะบังเกิดได้ครับ คล้ายๆกับคำว่าร้อน กับรู้จักความร้อนที่แท้จริงมันต่างกันครับ

คล้ายกับคำว่าหนอนะครับอะไรๆก็หนอหรือพูดง่ายว่าเออช่างมัน มันเกิดขึ้นและก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนก็แค่นั้นประมาณนี่ครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับผู้ยังห่วงตัวตน กลัวความรู้สึกว่ามีตัวตนจะสูญไป อ่านแล้วรู้สึกหวิวๆจะเป็นลม ก็ไม่ควรอ่านปรมัตถธรรม เพราะว่าท่านแสดงสภาวธรรมล้วนๆ



แนะนำให้อ่านหัวข้อนี้ซึ่งท่านสอนเกี่ยวกับตัวตน :b1:

เรื่องอัตตา-อนัตตา เป็นหลักทางปัญญาที่สำคัญยิ่ง

ที่พระพุทธศาสนาสอนเรื่องนี้ไว้ ถ้าพูดเป็นภาษาธรรมดาก็ว่า อัตตา ที่ไม่มีนั่น ใช้มันไปเถอะ ได้ประโยชน์ดีจริงๆ

ท่านสอนให้พัฒนาไปจนถึงที่สุด แล้วจะประสบพบสิ่งที่เลิศประเสริฐยิ่ง แต่อัตตามีขึ้นเมื่อไร เป็นปัญหาทุกที เกิดอัตตาขึ้นมาเมื่อไรก็ยุ่งเมื่อนั้น มีปัญหา เกิดทุกข์ เกิดการกระทบกระทั่งต่างๆ

พระพุทธศาสนามีคำสอนว่าด้วยอัตตาหรือตัวตนนี้มากมาย เช่น

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึงของตน

อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ ก็บุคคลมีตนฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้โดยยาก

อตฺตทีปา อตฺตสรณา จงมีตนเป็นเกาะ จงมีตนเป็นที่พึ่ง

อตฺตานํ ทมยนติ ปณฺฑิตา บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน

สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ ความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตัว

อตฺตนา โจทยตฺตานํ จงเตือนตน ด้วยตน

อตฺตานญฺเจ ปิยํ ชญฺญา น นํ ปาเปน สํยุเช หากรู้ว่าตัวนี้เป็นที่รัก ก็ไม่ควรเอาตัวนั้นไปเกลือกกลั้วกับความชั่ว
ฯลฯ

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=2031.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
คล้ายกับคำว่าหนอนะครับ อะไรๆก็หนอหรือพูดง่ายว่าเออช่างมัน มันเกิดขึ้นและก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนก็แค่นั้นประมาณนี่ครับ


คล้ายกับคำว่าหนอนะครับอะไรๆก็หนอหรือ พูดง่ายว่าเออช่างมัน มันเกิดขึ้นและก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนก็แค่นั้นประมาณนี่ครับ

ไปยึดในคำว่าหนอ ว่าหนี ว่านี่ว่านั่น ไม่ใช่เลยครับ นั่นเป็นวิธี เป็นวิธีครับ ตัดทิ้งได้ แต่สภาวะที่เกิดตางหากควรกำหนดรู้ตามที่มันเป็นไปเรื่อยๆ แล้วในขณะเดียวกันก็ต้องมี่หลักเกาะหรือมีฐานครับ

อ้างคำพูด:
พูดง่ายว่าเออช่างมัน มันเกิดขึ้นและก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนก็แค่นั้นประมาณนี่


เราเห็นความเป็นยังงั้นของกายใจ (รูปนาม) หรือยังล่ะ หรือ จำๆมาว่าท่านว่าไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนเราก็ว่าไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนก็แค่นั้นแหละ ประเด็นคือเราเห็นความมิใช่ตัวใช่ตนของนามรูปนี้มั้ย เห็นหรือยัง นี่คือคำตอบสุดท้าย :b1:


อย่างนั้นแหละเขาเรียกวิปัสสนึกเอา :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ธรรมดาว่า ปุถุชน ย่อมมีความยึดถือในตัวตนอย่างเหนียวแน่น อย่างหยาบๆ ก็ถือเอารูป คือ ร่างกายเป็นตัวตน
เมื่อคิดลึกซึ้งลงไป เห็นว่าร่างกายเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะมีความเปลี่ยนแปลงให้เห็นได้ชัดๆโต้งๆ
ก็เลื่อนไปยึดเอาจิตหรือคุณสมบัติบางอย่างของจิต เช่น ความรู้สึก ความจำ ปัญญา การรับรู้ เป็นต้น ว่าเป็นตัวตน

ถ้าใช้ศัพท์ทางธรรมที่ว่า ยึดเอาขันธ์ใดขันธ์หนึ่งเป็นอัตตา บางทีก็ยึดถือรวมๆคลุมๆทั้งกายและใจ คือ ขันธ์ ๕ ทั้งหมดว่าเป็นตัวตน

บ้างคิดแยบยลลึกซึ้งต่อไปอีกว่า ทั้งกายและใจ หรือขันธ์หมดทั้ง ๕ เป็นตัวตนไม่ได้ แต่มีตัวตนอยู่ต่างหาก เป็นอัตตา หรือ อาตมันตัวแท้ตัวจริง เป็นแก่นเป็นแกนของชีวิต ซ้อนอยู่ภายในขันธ์ ๕ หรือ อยู่นอกเหนือจากขันธ์ ๕ แต่เป็นตัวครอบครองควบคุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง
อันนี้ที่พี่ยกมานั้นเป็นสิ่งที่น่าคิด ความรู้ทั้งหมดที่เราเรียนมา ปฎิบัติมาก็เพื่อละความจางคายละลายสิ่งยึดมั่นนี้แหละคือความเห็นเป็นตัวตนเราเขา แต่สิ่งนี้จะจางคลายไปไม่ได้เลยเพียงไตร่ตรองหรือตรึกเอาเฉยๆต้องผ่านสภาวะอนิจัง ทุกขัง อนัตตาที่แท้จริง

ไม่ได้จากการเรียนตามตำรา หรือเพียงได้ยินมา ต้องผ่าการฝึกอย่างพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้หลายใน ทั้งอด ทั้งทน พระองค์เป็นผู้แสดงเอง สิ่งไหนพระองค์แสดงสิ่งนั้นต้องมีประโยชน์เป็นจริงตามนั้น และยิ่งย้อนไปในอดีต แต่ละท่านสะสมกันมามากมายกว่าจะบรรลุธรรมกัน เป็นฤษี ดาบส เป็นอะไรต่ออะไรกันมากกว่าจะมาฟังพระธรรมเข้าใจอย่างเช่นที่พี่กล่าวมา

และสิ่งที่พี่กล่าวมานั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสำเร็จเพียงการฟังหรอกนะครับ มีอยู่แน่นอน ถ้าได้สะสมความพร้อมมาแล้วฟังเสร็จจะต้องบรรลุทันทีแต่ถ้าฟังแล้วไม่บรรลุทันทีก็ต้องฟังให้ละเอียขึ้นไปอีก ถ้าละเอียดแล้วไม่สำเรัจก็ต้องสะสมด้วยการปฎิบัติต่ออีกจะนานหรือไม่นานไม่มีใครตอบได้ ก็พุทธวจนเป็นหลักดีที่สุด พูดมาตรงนี้ไม่ได้ไปดูถูกครูบาอาจารย์ท่านใดนะ ผมก็มีครูอาจารย์เหมือนกัน แต่ขนาดพระสารีบุตรที่ได้ชื่อว่าปัญญเลิศที่สุด พระพุทธองค์ก็ยังเคยบอกว่าท่านกล่าวธรรมผิดเลย และรุ่นหลังท่านก็อาจจะกล่าวผิดพลาดได้ นี่เป็นความคิดในการปฎิบัติธรรมของผมครับ ปฎิบัติไปตรวจทานนั้นแหละครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร