วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 03:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
คล้ายกับคำว่าหนอนะครับ อะไรๆก็หนอหรือพูดง่ายว่าเออช่างมัน มันเกิดขึ้นและก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนก็แค่นั้นประมาณนี่ครับ


คล้ายกับคำว่าหนอนะครับอะไรๆก็หนอหรือ พูดง่ายว่าเออช่างมัน มันเกิดขึ้นและก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนก็แค่นั้นประมาณนี่ครับ

ไปยึดในคำว่าหนอ ว่าหนี ว่านี่ว่านั่น ไม่ใช่เลยครับ นั่นเป็นวิธี เป็นวิธีครับ ตัดทิ้งได้ แต่สภาวะที่เกิดตางหากควรกำหนดรู้ตามที่มันเป็นไปเรื่อยๆ แล้วในขณะเดียวกันก็ต้องมี่หลักเกาะหรือมีฐานครับ

อ้างคำพูด:
พูดง่ายว่าเออช่างมัน มันเกิดขึ้นและก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนก็แค่นั้นประมาณนี่


เราเห็นความเป็นยังงั้นของกายใจ (รูปนาม) หรือยังล่ะ หรือ จำๆมาว่าท่านว่าไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนเราก็ว่าไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนก็แค่นั้นแหละ ประเด็นคือเราเห็นความมิใช่ตัวใช่ตนของนามรูปนี้มั้ย เห็นหรือยัง นี่คือคำตอบสุดท้าย :b1:


อย่างนั้นแหละเขาเรียกวิปัสสนึกเอา :b12:
ทุกคนต้องปฎิบัติต้องเรียนรู้เพราะแต่ละคนสะสมมาไม่เหมือนกัน ถ้าถามผมนะครับวิปัสนึกผมผ่านมานานมากแล้ว โลกแทบหยุดแล้วล่ะตัวผม( ผมเปรียบเทียบกับคนทั่วๆไปนะครับ)

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถามอีกหน่อย ชีวิต (รวมหมดทั้งตัวคือกาย-ใจ) น้อง big ซึ่ง่เคลื่อนไหวไปมาได้อยู่เนี่ย เมื่อว่าตามความหมายปรมัตถ์แล้วเนี่ย เป็นใคร เป็นชีวิตเป็นสังขารของนาย big หรอ :b1:
ในปรมัตถ์แล้วมันก็เป็นธาตุเป็นขันต์นั้นแหล่ะครับ แต่ความยึดที่เรายึดนั้นมันต้องถูกคลายด้วยการเอาสมมุติบัญญัตินั้นแหล่ะ คือทั้งกายและจิตฝึกจนประจักษ์บรรลุถึงปรมัตถ์ ประจักษ์จริงๆ คือโลกดับสูญจริงๆ ในระหว่างโลกได้สูญขาดในมโนทวารจริงๆแล้วชั่วขณะดับลงไป ก็จะกลับมาเป็นปรกติ ความหลงก็กลับมาอีก แต่ปัญญาก็ได้ประจักษ์ความจริงแล้ว เป็นวิปัสนาญาณแท้ๆไม่ใช่วิปัสนึกแล้วครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ชีวิตเป็นธรรมะหรือเป็นธรรมชาติ ก็ชีวิต(สังขาร) หมดทั้งตัว เป็นทั้งไตรลักษณ์เป็นทั้งปฏิจจมุปบาท :b1: :

ใช่ไงชีวิตเป็นธรรมชาติหรือธรรมะ
ถามหน่อยในวงปฏิจจสมุบาท มันเป็นมันเป็นวิชชาหรืออวิชชา
ก็เห็นอยู่โต้งๆว่าเป็นอวิชา(ความไม่รู้)
แล้วไตรลักษณ์ล่ะถ้าไม่เป็นวิชชาแล้วมันจะเป็นอะไร ปัญญามันเกิดจากไตรลักษณ์
ดังนั้นไตรลักษณ์กับปฏิจสมุบาท มันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง และขันธ์ห้ารู้ได้ด้วยไตรลักษณ์
ถ้าไม่มีไตรลักษณ์ก็ไม่มีขันธ์ห้า มันเป็นได้แค่รูปนาม(ชีวิต)ในปฏิจจ์

คนที่ไม่เคยเห็นไตรลักษณ์ย่อมต้องไม่รู้จักขันธ์ห้า เห็นมาพูดได้บอกได้
ก็เป็นการจำมาจาก ผู้เห็นไตรลักษณ์อย่างพระพุทธเจ้ามาบอกมาสอน
แต่ยังไม่เคยเห็นจริง พระพุทธเจ้าทรงเน้นย่ำให้บุคคลปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งไตรลักษณ์ด้วยตนเอง
กรัชกาย เขียน:
พูดตามภาษาสมมติก็ว่าคนที่เขาสมมติ (ข้อตกลงร่วมกัน) ว่านาย ก. นาย จ. เป็นต้นเนี่ยว่ายึดมั่นถือมั่นมีว่าเป็นอัตตา ตัวตน เป็นสัตว์บุคคลเรา เขา (คือยึดธรรมชาติ)

ที่ว่าสมมุติไม่ใช่ข้อตกลงร่วมกัน แต่เรื่องที่พระพุทธเจ้าค้นพบเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิต
มันเป็นนามธรรม ไม่สามารถรู้ได้ด้วยทวารทั้งห้า มันเป็นปรมัตถ์ธรรม มันจึงจำเป็น
อย่างยิ่งที่จะต้องเอาสมมุติบัญญัติมากล่าวแทนตัวปรมัตถ์ธรรมนั้น

สรุปก็คือเพื่อให้บรรดาสาวก เข้าใจไปในทางเดียวกับพุทธองค์
หรือเรียกว่าเพื่อสะดวกในการอธิบายธรรมหรือคำสอน

กรัชกาย เขียน:
ก็ในเมื่อคนยึดชีวิตติดสมมติว่าเป็นอัตตา (อาตมัน) พระพทธศาสนาจึงแยกแยะชีวิตให้ดูว่า ชีวิตนี้ (พูดโดยปรมัตถ์) เมื่อจำแนกแยกแยะแล้วก็มีแต่รูปกับนาม มีแต่ขันธ์ ...อายตนะ ...ธาตุ

พระองค์ไม่ได้แยกชีวิตให้ดู แต่พระองค์กำลังอธิบายความให้รู้ว่า
สิ่งที่เราไปคิดว่าเป็นชีวิต แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ชีวิต มันเป็นเพียงขันธ์ห้า
มันเกิดขี้นตั้งอยู่ดับไปตามเหตุปัจจัย
กรัชกาย เขียน:
แล้วก็ถามว่า ไหนล่ะอัตตา ตัวตน มีแต่รูปนามเป็นต้น
ไม่ต้องไปกำหนดให้มันเป็นหรอก มันเป็นของมันอยู่แร้ววววววววววววววววว :b32:

ไอ้อัตตาตัวตน ก็คือตัณหากับอุปาทานไง ท่านถึงให้กำหนดรู้ขันธ์ห้า
ให้รู้สิ่งที่เกิดในปัจจุบันเป็นเพียงขันธ์ห้า เป็นไตรลักษณ์
ที่ต้องกำหนดรู้ขันธ์ห้าก็เพื่อไม่ให้หลง ไปกับตัณหานั้นๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
ที่ท่านโฮกล่าวมาเมื่อพิจารณารวมๆก็ถูก เมื่อเรารู้อย่างนั้นแล้วเราดับกิเลสดับทุกข์ได้ใหม อย่างไร :b8:

ทุกข์และสมุทัยเกิดที่กระบวนการปฏิจจสมุบาท นิโรธและมรรคเกิดที่กระบวนการขันธ์ห้า
การดับทุกข์ต้องดับเหตุแห่งทุกข์
นั้นก็คือการปฏิบัติในเรื่องของอริยมรรคมีองค์แปดในกระบวนการขันธ์

พูดโดยหลักรวมๆก็คือ การปฏิบัติเพื่อไม่ให้กระบวนการขันธ์
เข้ามารวมกับกระบวนการปฏิจสมุบาท ว่ากันโดยเนื้อแท้แล้ว
กระบวนการปฏิจฯเป็นกฏธรรมชาติที่ไม่เกี่ยวกับขันธ์ห้า ทุกข์และเหตุแห่งทุกข์
มันจึงไม่เกี่ยวกับขันธ์ห้าด้วย แต่ที่กายใจขันธ์ห้าเป็นทุกข์ เพราะเราไปยึดเอาปฏิจฯ
มารวมกับขันธ์ห้า ขันธ์ห้าหรือกายใจเราจึงเป็นทุกข์

เรื่องการปฏิบัติให้พ้นทุกข์คือการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปด
กล่าวแบบนี้อาจจะไม่เข้าใจ ว่าอริยมรรคมีองค์แปดคืออะไร
นั้นก็คือการศึกษาและปฏิบัติในเรื่องของโพธิปักขิยธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กำหนดรู้ ตามความเข้าใจของ น้อง big คือ ยังไง กำหนดรู้น่ะ ถามท่านโฮฮับจังด้วย เอาชัดๆ :b1:

ไปหาไตรลักษณ์ให้เจอซะก่อน มันถึงจะกำหนดรู้ได้
แล้วก็ไม่ต้องถามน่ะว่า ไตรลักษณ์หาอย่างไร มันเป็นเรื่องตัวใครตัวมัน :b13:
กรัชกาย เขียน:
ถามอีกหน่อย ชีวิต (รวมหมดทั้งตัวคือกาย-ใจ) น้อง big ซึ่ง่เคลื่อนไหวไปมาได้อยู่เนี่ย เมื่อว่าตามความหมายปรมัตถ์แล้วเนี่ย เป็นใคร เป็นชีวิตเป็นสังขารของนาย big หรอ :b1:

ที่กายของเราเคลื่อนไวได้ต้องอาศัยนามมาคอยบ่งการ
และตัวที่บ่งการ เรียกว่า....ชีวิตินทรีย์
ชีวิตินทรีย์ไม่ใช่รูปแต่เป็นนาม ในทางปรมัตถ์มันเป็นอาการของจิต
เป็นสิ่งที่มาทำให้เกิด อาการ32ทางกาย :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้เห็นตามที่มัน(ธรรมชาติ) เป็นของมัน รู้เห็นยังงี้จบตรงนั้นเองขอรับ เรียกว่ารู้เห็นธรรม :b1:

แต่ถ้าไปคิดเอาว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่มีอะไรเที่ยงแท้ยั่งยืนโลกนี้คือละครบทบาทบางตอนชีวิตยอกย้อนยับเยิน ฯลฯ แบบนี้คิดเอา ภาษานักปฏิบัติเขาเรียกวิปัสสนึก คือนึกเอาตามที่ตนเองยึดอยากให้มันเป็น คืออยากให้มันเป็นวิปัสสนา แล้วการคิดนึกทำนองนี้ จะฟุ้งซ่านพล่านเตลิดอย่างไร้ทิศทาง

เจริญธรรม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ถามอีกหน่อย ชีวิต (รวมหมดทั้งตัวคือกาย-ใจ) น้อง big ซึ่ง่เคลื่อนไหวไปมาได้อยู่เนี่ย เมื่อว่าตามความหมายปรมัตถ์แล้วเนี่ย เป็นใคร เป็นชีวิตเป็นสังขารของนาย big หรอ



ในปรมัตถ์แล้วมันก็เป็นธาตุเป็นขันต์นั้นแหล่ะครับ แต่ความยึดที่เรายึดนั้นมันต้องถูกคลายด้วยการเอาสมมุติบัญญัตินั้นแหล่ะ คือทั้งกายและจิตฝึกจนประจักษ์บรรลุถึงปรมัตถ์ ประจักษ์จริงๆ คือโลกดับสูญจริงๆ ในระหว่างโลกได้สูญขาดในมโนทวารจริงๆแล้วชั่วขณะดับลงไป ก็จะกลับมาเป็นปรกติ ความหลงก็กลับมาอีก แต่ปัญญาก็ได้ประจักษ์ความจริงแล้ว เป็นวิปัสนาญาณแท้ๆไม่ใช่วิปัสนึกแล้วครับ


ก็ปรมัตถ์มันก็โต้งๆอยู่แล้วนี่ แต่เราไปยึดติดมันเอง กายใจหรือจะเรียกรูปนาม หรืออื่นอีกก็เรียกได้เรียกไป มันเป็นปรมัตถ์อยู่แล้วๆๆๆๆๆ ปรมัตถธรรมก็จิต เจตสิก รูป...รวมกันเป็นชีวิตหนึ่งๆ มันเป็นปรมัตถ์ไม่ใช่หรอ :b1: หรือเห็นเป็นนายกรัชกาย นาย big นายโฮฮับ ฯลฯ :b32:

ก็เพราะอวิชชาครอบงำอยู่จึงไม่เห็นความจริง (สัจจธรรม) ก็จึงต้องปฏิบัติเพื่อให้รู้ธรรมชาติคือกายใจนี้ เห็นแล้วมันจบ ถ้าคิดนึกเอาว่าเป็นปรมัตถ์ เตลิดขอรับ

เจริญธรรม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 09 ก.ย. 2012, 16:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
รู้เห็นตามที่มัน(ธรรมชาติ) เป็นของมัน รู้เห็นยังงี้จบตรงนั้นเองขอรับ เรียกว่ารู้เห็นธรรม :b1:

แต่ถ้าไปคิดเอาว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่มีอะไรเที่ยงแท้ยั่งยืนโลกนี้คือละครบทบาทบางตอนชีวิตยอกย้อนยับเยิน ฯลฯ แบบนี้คิดเอา ภาษานักปฏิบัติเขาเรียกวิปัสสนึก คือนึกเอาตามที่ตนเองยึดอยากให้มันเป็น คืออยากให้มันเป็นวิปัสสนา แล้วการคิดนึกทำนองนี้ จะฟุ้งซ่านพล่านเตลิดอย่างไร้ทิศทาง

เจริญธรรม :b1:
อันนี้ต้องขอสงวนสิทธิ์เป็นความคิดส่วนบุคคลแล้วครับ (เป็นข้อสังเกตุนะครับ ถ้าคำนี้คำเดียวจริงๆ84000ธรรมขันต์นั้นคงไม่เกิดขึ้น)

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทั้งที่ความเป็นอนิจจัง ทุกข์ และอนัตตานี้เป็นลักษณะสามัญของสิ่งทั้งหลาย เป็นความจริงที่แสดงตัว
ของมันเองอยู่ตามธรรมดาตลอดทุกเวลา แต่คนทั่วไปก็มองไม่เห็น ทั้งนี้เพราะเป็นเหมือนมีสิ่งปิดบัง
คอยซ่อนคลุมไว้ ถ้าไม่มนสิการคือไม่ใส่ใจพิจารณาอย่างถูกต้อง ก็มองไม่เห็น


สิ่งที่เป็นเหมือนเครื่องปิดบังซ่อนคลุมเหล่านี้ คือ

1. สันตติ บังอนิจจลักษณะ

2. อิริยาบถ บังทุกขลักษณะ

3. ฆนะ บังอนัตตลักษณะ

สันตติ - ความสืบต่อ หรือ ความเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

อิริยาบถ-ความยักย้ายเคลื่อนไหวร่างกาย

ฆนะ- ความเป็นแท่ง เป็นก้อนเป็นชิ้น เป็นอัน เป็นมวล หรือเป็นหน่วยรวม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1 สันตติ บังอนิจจลักษณะ

1.ท่านกล่าวว่า เพราะมิได้มนสิการความเกิดและความดับหรือความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นไป

ก็ถูก สันตติ คือ ความสืบต่อ หรือ ความเป็นไปอย่างต่อเนื่องปิดบังไว้อนิจจลักษณะจึงไม่ปรากฏ


สิ่งทั้งหลายที่เรารู้เราเห็นนั้น ล้วนแต่มีความเกิดขึ้นและความแตกสลายอยู่ภายในตลอดเวลา แต่ความ

เกิด-ดับนั้นเป็นไปอย่างหนุนเนื่องติดต่อกันรวดเร็วมาก คือ เกิด-ดับ-เกิด-ดับ-เกิด-ดับ ฯลฯ

ความเป็นไปต่อเนื่องอย่างรวดเร็วยิ่งนั้น ทำให้เรามองเห็นเป็นว่า สิ่งนั้นคงที่ถาวร เป็นอย่างหนึ่งอย่าง

เดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เหมือนอย่างตัวเราเองหรือคนใกล้เคียงอยู่ด้วยกัน มองเห็นกันเสมือนว่า

เป็นอย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานสังเกตดู หรือไม่เห็นกันนานๆ เมื่อพบกันอีกจึงรู้

ว่าได้มีความเปลี่ยนแปลง ไปแล้วจากเดิม แต่ความเป็นจริง ความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอด

เวลาทีละน้อยและต่อเนื่องจนไม่เห็นช่องว่าง


ตัวอย่าง เปรียบเทียบพอให้เห็นง่ายขึ้น เช่น ใบพัดที่กำลังหมุนอยู่อย่างเร็วยิ่ง มองเห็นเป็นแผ่นกลม

แผ่นเดียวนิ่ง เมื่อทำให้หมุนช้าลง ก็เห็นเป็นใบพัดกำลังเคลื่อนไหวแยกเป็นใบๆ เมื่อจับหยุดมองดู

ก็เห็นชัดว่า เป็นใบพัดต่างหากกัน 2 ใบ 3 ใบ 4 ใบ หรือเหมือนคนเอามือจับก้านธูปที่จุดไฟติดอยู่แล้ว

แกว่งหมุนอย่างรวดเร็วเป็นวงกลม มองดูเหมือนเป็นไฟรูปวงกลม แต่ความจริงเป็นเพียงธูปก้านเดียว

ที่ทำให้เกิดรูปต่อเนื่องติดเป็นพืดไป หรือเหมือนหลอดไฟฟ้าที่ติดไฟอยู่สว่างจ้า มองเห็นเป็นดวง

ไฟที่สว่างคงที่ แต่ความจริงเป็นกระแสไฟฟ้าที่เกิด-ดับไหลเนื่องผ่านไปอย่างรวดเร็ว หรือเหมือน

มวลน้ำในแม่น้ำ ที่มองเห็นดูเป็นผืนหนึ่งผืนเดียว แต่ความจริงเป็นกระแสน้ำที่ไหลผ่านไปๆ เกิดจาก

น้ำหยดน้อยๆมากมายมารวมกันและไหลเนื่อง

สิ่งทั้งหลายเช่นดังตัวอย่างเหล่านี้ เมื่อใช้เครื่องมือหรือวิธีการที่ถูกต้องมากำหนดแยกมนสิการเห็น

ความเกิดขึ้นและความดับไป จึงจะประจักษ์ความไม่เที่ยงแท้ ไม่คงที่ เป็นอนิจจัง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


2. อิริยาบถ บังทุกขลักษณะ

2. ท่านกล่าวว่า เพราะมิได้มนสิการความบีบคั้นกดดันที่มีอยู่ตลอดเวลา ก็ถูก อิริยาบถ คือความ

ยักย้ายเคลื่อนไหว ปิดบังไว้ ทุกขลักษณะจึงไม่ปรากฏ


ภาวะที่ทนอยู่มิได้ หรือภาวะที่คงสภาพเดิมอยู่มิได้ หรือ ภาวะที่ไม่อาจคงอยู่ในสภาพเดิมได้ ด้วยมี

แรงบีบคั้นกดดันขัดแย้งเร้าอยู่ภายในส่วนประกอบต่างๆนั้น จะถึงระดับที่ปรากฏแก่สายตาหรือความรู้สึก

ของคน มักจะต้องกินเวลาระยะหนึ่ง แต่ในระหว่างนั้น ถ้ามีการคืบเคลื่อน ยักย้าย หรือ ทำให้แปรรูปเป็น

อย่างอื่นไปเสียก่อนก็ดี สิ่งที่ถูกสังเกตเคลื่อนย้ายพ้นจากผู้สังเกตไปเสียก่อน หรือ ผู้สังเกตแยกพราก

จากสิ่งที่ถูกสังเกตไปเสียก่อน ก็ดีภาวะที่บีบคั้น กดดัน ขัดแย้งนั้น ไม่ทันปรากฏให้เห็น ปรากฏการณ์ ส่วน

ใหญ่มักเป็นเช่นนี้ ทุกขลักษณะ จึงไม่ปรากฏ


ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ในร่างกายของมนุษย์นี้แหละไม่ต้องรอให้ถึงขั้นชีวิตแตกดับดอก แม้ในชีวิตประจำวัน

นี้เอง ความบีบคั้น กดดัน ขัดแย้งก็มีอยู่ตลอดเวลา ทั่วองคาพยพ จนทำให้มนุษย์ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยใน

ท่าเดียวได้ ถ้าเราอยู่หรือต้องอยู่ในท่าเดียวนานมากๆ เช่น ยืนอย่างเดียว นั่งอย่างเดียว เดินอย่าง

เดียว นอนอย่างเดียว

ความบีบคั้น กดดันตามสภาวะจะค่อยๆเพิ่มมากขึ้นๆจนถึงระดับที่เกิดเป็นความรู้สึกบีบคั้น กดดันที่คน

ทั่วไปเรียกว่าทุกข์ เช่น เจ็บ ปวด เมื่อยจนในที่สุดก็จะทนไม่ไหวและต้องยักย้ายเปลี่ยน ไปสู่ท่าอื่น

ที่เรียกว่าอิริยาบถอื่น เมื่อความบีบคั้น กดดัน อันเป็นทุกข์ตามสภาวะนั้นสิ้นสุดลง ความบีบคั้น กดดัน

ที่เรียกว่า ความรู้สึกทุกข์ (ทุกขเวทนา) ก็หายไปด้วย

(ในตอนที่ความรู้สึกทุกข์หายไปนี้ มักจะมีความรู้สึกสบาย ที่เรียกว่าความสุขเกิดขึ้นมาแทนด้วย แต่อันนี้

เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ว่าโดยสภาวะแล้ว มีแต่ความทุกข์หมดไปอย่างเดียว เข้าสู่ภาวะปราศจาก

ทุกข์)

ในความเป็นอยู่ประจำวันนั้น เมื่อเราอยู่ในท่าหนึ่ง หรืออิริยาบถหนึ่งนานๆ พอจะรู้สึกปวดเมื่อยเป็นทุกข์

เราก็ชิงเคลื่อนไหว เปลี่ยนไปสู่ท่าอื่นหรืออิริยาบถอื่นเสีย หรือเรามักจะเคลื่อนไหว เปลี่ยนท่า เปลี่ยน

อิริยาบถอยู่เสมอ จึงหนีรอด จากความรู้สึกทุกข์ไปได้ เมื่อไม่รู้สึกทุกข์ ก็เลยพลอยมองข้าม ไม่เห็น

ความทุกข์ที่เป็นความจริงตามสภาวะ ไปเสียด้วย ท่านจึงว่าอิริยาบถ บังทุกขลักษณะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


3. ฆนะ บังอนัตตลักษณะ

3. ท่านกล่าวว่า เพราะมิได้มนสิการความแยกย่อยออกเป็นธาตุต่างๆก็ถูกฆนะ คือความเป็นแท่ง

เป็นก้อนเป็นชิ้นเป็นอันเป็นมวลหรือเป็นหน่วยรวม ปิดบังไว้ อนัตตลักษณะจึงไม่ปรากฏ


สิ่งทั้งหลายที่เรียกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ล้วนเกิดจากเอาส่วนประกอบทั้งหลาย มารวบรวมปรุงแต่งขึ้น

เมื่อแยกย่อยส่วนประกอบเหล่านั้นออกไปแล้ว สิ่งที่เป็นหน่วยรวม ซึ่งเรียกว่าอย่างนั้นๆ ก็ไม่มี

โดยทั่วไป มนุษย์มองไม่เห็นความจริงข้อนี้ เพราะถูกฆนสัญญาคือความจำหมายหรือความสำคัญหมาย

เป็นหน่วยรวม คอยปิดบังไว้ เข้ากับคำกล่าวอย่างชาวบ้านว่า เห็นเสื้อ แต่ไม่เห็นผ้า เห็นแต่ตุ๊กตา

มองไม่เห็นเนื้อยาง คือ คนที่ไม่ได้คิดไม่ได้พิจารณา บางทีก็ถูกภาพตัวตนปิดบังตาหลอกไว้ ไม่ได้มอง

เห็นเนื้อผ้าที่ปรุงแต่งขึ้น เป็นรูปเสื้อนั้น ซึ่งว่าที่จริง ผ้านั้นเองก็ไม่มี มีแต่เส้นด้ายมากมายที่มาเรียงกัน

เข้าตามระเบียบ

ถ้าแยกด้ายทั้งหมดออกจากกัน ผ้านั้นเองก็ไม่มี หรือเด็กที่มองเห็นแต่รูปตุ๊กตา เพราะถูกภาพตัวตน

ของตุ๊กตาปิดบังหลอกตาไว้ ไม่ได้มองถึงเนื้อยาง ซึ่งเป็นสาระที่แท้จริงของตัวตุ๊กตานั้น เมื่อจับเอา

แต่ตัวจริง ก็มีแต่เนื้อยาง หามีตุ๊กตาไม่

แม้เนื้อยางนั้นเอง ก็เกิดจากส่วนผสมต่างๆ มาปรุงแต่งขึ้นต่อๆกันมา ฆนสัญญา ย่อมบังอนัตตลักษณะ

ไว้ในทำนองแห่งตัวอย่างง่ายๆ ที่ได้ยกมากล่าวไว้นี้

เมื่อใช้อุปกรณ์หรือวิธีการที่ถูกต้องมาวิเคราะห์มนสิการ เห็นความแยกย่อยออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ

จึงจะประจักษ์ในความไม่ใช่ตัวตน มองเห็นว่า เป็นอนัตตา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
รู้เห็นตามที่มัน(ธรรมชาติ) เป็นของมัน รู้เห็นยังงี้จบตรงนั้นเองขอรับ เรียกว่ารู้เห็นธรรม :b1:

แต่ถ้าไปคิดเอาว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่มีอะไรเที่ยงแท้ยั่งยืนโลกนี้คือละครบทบาทบางตอนชีวิตยอกย้อนยับเยิน ฯลฯ แบบนี้คิดเอา ภาษานักปฏิบัติเขาเรียกวิปัสสนึก คือนึกเอาตามที่ตนเองยึดอยากให้มันเป็น คืออยากให้มันเป็นวิปัสสนา แล้วการคิดนึกทำนองนี้ จะฟุ้งซ่านพล่านเตลิดอย่างไร้ทิศทาง

เจริญธรรม :b1:
อันนี้ต้องขอสงวนสิทธิ์เป็นความคิดส่วนบุคคลแล้วครับ (เป็นข้อสังเกตุนะครับ ถ้าคำนี้คำเดียวจริงๆ84000ธรรมขันต์นั้นคงไม่เกิดขึ้น)


หลังเจ้าชายสิทธัตถะรู้ธรรมคือปฏิจจสมุปบาทจะว่ารู้อริยสัจก็ได้ จึงได้นามว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ใช้เวลาแสดงธรรมแก่คนในยุคนั้นเป็นเวลาถึง 45 ปี แล้วผู้ฟังก็มีทุกชนชั้นวรรณะ เป็นธรรมดาอยู่เองที่คำสอนจะมีมาก มีทั้งคำสอนเกี่ยวกับการทำหน้าที่ระหว่างกัน เช่นหน้าที่ของมารดาบิดาพึงปฏิบัติต่อบุตรธิดา... หน้าที่ของศิษย์จะพึงปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ ธรรมะธรรมดาๆมองเห็นง่ายๆ แต่เราคิดว่าไม่ใช่ธรรมหรืออย่างไร เล่นของสูงสุดยอด เลยไม่ได้อะไรเลย แม้พุทธธรรมจะถูกบันทึกไว้มากมาย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามทั้งสองคน นายกรัชกาย นายโฮฮับ นายbigtoo มีไหม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ถามอีกหน่อย ชีวิต (รวมหมดทั้งตัวคือกาย-ใจ) น้อง big ซึ่ง่เคลื่อนไหวไปมาได้อยู่เนี่ย เมื่อว่าตามความหมายปรมัตถ์แล้วเนี่ย เป็นใคร เป็นชีวิตเป็นสังขารของนาย big หรอ



ในปรมัตถ์แล้วมันก็เป็นธาตุเป็นขันต์นั้นแหล่ะครับ แต่ความยึดที่เรายึดนั้นมันต้องถูกคลายด้วยการเอาสมมุติบัญญัตินั้นแหล่ะ คือทั้งกายและจิตฝึกจนประจักษ์บรรลุถึงปรมัตถ์ ประจักษ์จริงๆ คือโลกดับสูญจริงๆ ในระหว่างโลกได้สูญขาดในมโนทวารจริงๆแล้วชั่วขณะดับลงไป ก็จะกลับมาเป็นปรกติ ความหลงก็กลับมาอีก แต่ปัญญาก็ได้ประจักษ์ความจริงแล้ว เป็นวิปัสนาญาณแท้ๆไม่ใช่วิปัสนึกแล้วครับ


ก็ปรมัตถ์มันก็โต้งๆอยู่แล้วนี่ แต่เราไปยึดติดมันเอง กายใจหรือจะเรียกรูปนาม หรืออื่นอีกก็เรียกได้เรียกไป มันเป็นปรมัตถ์อยู่แล้วๆๆๆๆๆ ปรมัตถธรรมก็จิต เจตสิก รูป...รวมกันเป็นชีวิตหนึ่งๆ มันเป็นปรมัตถ์ไม่ใช่หรอ :b1: หรือเห็นเป็นนายกรัชกาย นาย big นายโฮฮับ ฯลฯ :b32:

ก็เพราะอวิชชาครอบงำอยู่จึงไม่เห็นความ ก็จึงต้องปฏิบัติเพื่อให้รู้ธรรมชาติคือกายใจนี้ เห็นแล้วมันจบ ถ้าคิดนึกเอาว่าเป็นปรมัตถ์ เตลิดขอรับ

เจริญธรรม :b1:
พระองค์แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดนั้นไม่ควรไปยึดติด แล้วยึดติดอะไร ก็กลับมาที่บัญญัติ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ อะไรทั้งหลายเหล่านี้แม้กระทั้งตัวตน แต่การลดตัวตนดูที่ไหน ก็ดูที่การลดละ รูป เสียง กลิ่น รสฯ อะไรนี่แหล่าครับ สังวรธรรมถึงต้องมียังไงครับ และรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียง จิต เจตสิก รูป นิพาน รู้เข้าใจแล้วหมดกิเลสได้ทันที่มั้ยล่ะครับ ก็เลิกไม่ได้ทันที่ เพราะเป็นเพียงการเข้าใจในการศึกษาหลักธรรมชาติเท่านั้น ยังไม่เข้าถึงถ้าเข้าถึงด้วยสภาวะขาดสูญจริงๆของรูปและนาม

เมือปัญญาเข้าไปรู้จริง(ประจักษย์ความไม่มีตัวตนจริงๆทางมโนทวาร)จะค่อยคลายความยึดมั่นถือมั่นลงเอง ผมยกตัวอย่างเราฟังธรรมเหมือนจะเข้าใจทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่เทียงตัวเราก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่เที่ยง พอเดินออกจากวัดหรือสถานที่ใดสักแห่งพอมองไม่เห้นรองเท้าเรา เอ๊รองเท้าฉันหายไปไหน ใครเอารองเท้าของฉันไป ฉันเอามันวางไว้ตรงนี้นี่หน่า ฉันพึ่งซื้อมันมาราคาก็แพงใครมาเอาของฉันไป นี่ไงการที่เรารู้การที่เราเข้าใจมันทำได้แค่นี้แหล่ะครับ พูดคุยเล่นกันบันเทิงปัญญาก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง

ยกตัวอย่างอีกเรื่องเหมือนเราจะมีเมตตาคนใกล้ตัวเราอย่างเพื่อนบ้าน เรามีเมตตาเรารักเพือนบ้าน จริงๆแล้วอาจจะคิดในใจด้วยว่าเมื่อไหร่แก่จะไปตายที่ไหนสักทีก็ได้ เมื่อเขาทำอะไรให้เราไม่พอใจสักอย่าง และการละตัวตนที่แท้จริงๆมีเครื่องพิสูจน์ได้ด้วยการทำทานนี้แหละวัดตัวตนได้ดีมากๆโกหกกันไม่ได้ มีใครกล้าที่จะบริจาคทานมากๆมั้ย ยอมรับว่ามี และมีน้อยมากเพราะอะไรก็เพราะเรายังมีอัตตาอยู่เยอะยังไง ฉันการฝึกลดอัตตาจึงต้องบริจาคทานอยู่เสมอๆ พร้อมกับการปฎิบัติไปด้วย ตรงนี้พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร