วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 22:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2012, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าใครยังไม่คิดถึงตรงนี่นะ(กูไม่เอากัยมึงแล้ว) ยังไม่เห็นทุกข์จริงสติยังไม่เกิดจริง เพราะอริสัจข้อ1ทุกข์ที่ควรกำหนดรู้นั้น เพื่อจะให้รู้ทุกข์เพื่อต้องการหาหนทางออกจากวัฎฎะนั้น แล้วจะไปกำจัดตันเหตุอย่างจริงจังได้อย่างไร ก็เพียงแต่โม้ไปวันๆนะครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2012, 21:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ดีแล้วครับ ดีแล้วที่ "กูไม่เอากับมึงแล้ว" วลีท่านพุทธทาส มันชัดเจนเสมอ เขาว่ากันว่าให้เห็นจิตตน จนเห็นว่ามันไม่ใช่ตนเราดีกว่า ทิฏฐิ ทั้งหลายจะลดลงตามลำดับ


ช่ายม่ายหว่าท่าน s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2012, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ดีแล้วครับ ดีแล้วที่ "กูไม่เอากับมึงแล้ว" วลีท่านพุทธทาส มันชัดเจนเสมอ เขาว่ากันว่าให้เห็นจิตตน จนเห็นว่ามันไม่ใช่ตนเราดีกว่า ทิฏฐิ ทั้งหลายจะลดลงตามลำดับ


ช่ายม่ายหว่าท่าน s006
มันข้ามขั้นตอนครับ ช้าอย่ารีบไปไวเดี๋ยวหลงทาง ไปกำหนดทุกข์ให้รู้ก่อนว่า มันไม่หน้าอยู่จริงมั้ย และถ้าตอบตัวเองได้เมื่อไหร่ว่ากูไม่เอากับมึงแล้ว ค่อยๆไปที่ดูที่ต้นเหตุ สมุทัยเอาตรงนี้ก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่าข้ามขั้นตอนนะหวังดีนะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2012, 22:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ดีแล้วครับ ดีแล้วที่ "กูไม่เอากับมึงแล้ว" วลีท่านพุทธทาส มันชัดเจนเสมอ เขาว่ากันว่าให้เห็นจิตตน จนเห็นว่ามันไม่ใช่ตนเราดีกว่า ทิฏฐิ ทั้งหลายจะลดลงตามลำดับ


ช่ายม่ายหว่าท่าน s006
มันข้ามขั้นตอนครับ ช้าอย่ารีบไปไวเดี๋ยวหลงทาง ไปกำหนดทุกข์ให้รู้ก่อนว่า มันไม่หน้าอยู่จริงมั้ย และถ้าตอบตัวเองได้เมื่อไหร่ว่ากูไม่เอากับมึงแล้ว ค่อยๆไปที่ดูที่ต้นเหตุ สมุทัยเอาตรงนี้ก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่าข้ามขั้นตอนนะหวังดีนะ



มันไม่อาจข้ามขั้นตอนได้ครับ เพราะ เห็นมันเอาทุกข์มาให้อยู่เสมอ แล้วจะเห็นว่าก่อนจะทุกข์นั้น มันเป็นเช่นไรด้วยนะครับ

ถูกบ้างมั้นไม่รู้ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2012, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ดีแล้วครับ ดีแล้วที่ "กูไม่เอากับมึงแล้ว" วลีท่านพุทธทาส มันชัดเจนเสมอ เขาว่ากันว่าให้เห็นจิตตน จนเห็นว่ามันไม่ใช่ตนเราดีกว่า ทิฏฐิ ทั้งหลายจะลดลงตามลำดับ


ช่ายม่ายหว่าท่าน s006
มันข้ามขั้นตอนครับ ช้าอย่ารีบไปไวเดี๋ยวหลงทาง ไปกำหนดทุกข์ให้รู้ก่อนว่า มันไม่หน้าอยู่จริงมั้ย และถ้าตอบตัวเองได้เมื่อไหร่ว่ากูไม่เอากับมึงแล้ว ค่อยๆไปที่ดูที่ต้นเหตุ สมุทัยเอาตรงนี้ก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่าข้ามขั้นตอนนะหวังดีนะ



มันไม่อาจข้ามขั้นตอนได้ครับ เพราะ เห็นมันเอาทุกข์มาให้อยู่เสมอ แล้วจะเห็นว่าก่อนจะทุกข์นั้น มันเป็นเช่นไรด้วยนะครับ

ถูกบ้างมั้นไม่รู้ :b8:
การข้ามไปข้ามมานั้นมันไม่ดีสำหรับตัวเราเองไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ความหมายผมว่า จะให้มั่นคงชัดเจนอย่างไรคุณจะต้องเข้าไปกำหนดรู้ทุกข์ก่อนเพราะเป็นเพราะพระปรีชาของพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงว่าหน้าที่ในทุกข์นั้นต้องกำหนดรู้ก่อนอื่นใดเลย เมื่อรู้ชัดโดยการโยนิโสแล้ว มีอาการอย่างไร เบื่อมั้ยถ้ายังก็ต้องดูต่อเรื่อยๆพิจารณาเรื่อยๆ จิตก็จะน้อมที่ละนิด แล้วค่อยมาดูที่สมุทัยสิ่งที่ควรล่ะมีอะไรก็เอามาละ พร้อมกับเดินตามมรรควิธีเพราะสิ่งที่กำหนดรู้ทุกข์นั้น และสิ่งที่ควรละนั้นคือมรรคสองข้อแรก มรรคที่เหลือก็ปฎิบัติไปตามนั้น สำคัญสุดสคิปัฎฐาน4 อันนี้เดี๋ยวค่อยว่ากันมันยาวเอาสั้นก่อน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2012, 22:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ดีแล้วครับ ดีแล้วที่ "กูไม่เอากับมึงแล้ว" วลีท่านพุทธทาส มันชัดเจนเสมอ เขาว่ากันว่าให้เห็นจิตตน จนเห็นว่ามันไม่ใช่ตนเราดีกว่า ทิฏฐิ ทั้งหลายจะลดลงตามลำดับ


ช่ายม่ายหว่าท่าน s006
มันข้ามขั้นตอนครับ ช้าอย่ารีบไปไวเดี๋ยวหลงทาง ไปกำหนดทุกข์ให้รู้ก่อนว่า มันไม่หน้าอยู่จริงมั้ย และถ้าตอบตัวเองได้เมื่อไหร่ว่ากูไม่เอากับมึงแล้ว ค่อยๆไปที่ดูที่ต้นเหตุ สมุทัยเอาตรงนี้ก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่าข้ามขั้นตอนนะหวังดีนะ



มันไม่อาจข้ามขั้นตอนได้ครับ เพราะ เห็นมันเอาทุกข์มาให้อยู่เสมอ แล้วจะเห็นว่าก่อนจะทุกข์นั้น มันเป็นเช่นไรด้วยนะครับ

ถูกบ้างมั้นไม่รู้ :b8:
การข้ามไปข้ามมานั้นมันไม่ดีสำหรับตัวเราเองไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ความหมายผมว่า จะให้มั่นคงชัดเจนอย่างไรคุณจะต้องเข้าไปกำหนดรู้ทุกข์ก่อนเพราะเป็นเพราะพระปรีชาของพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงว่าหน้าที่ในทุกข์นั้นต้องกำหนดรู้ก่อนอื่นใดเลย เมื่อรู้ชัดโดยการโยนิโสแล้ว มีอาการอย่างไร เบื่อมั้ยถ้ายังก็ต้องดูต่อเรื่อยๆพิจารณาเรื่อยๆ จิตก็จะน้อมที่ละนิด แล้วค่อยมาดูที่สมุทัยสิ่งที่ควรล่ะมีอะไรก็เอามาละ พร้อมกับเดินตามมรรควิธีเพราะสิ่งที่กำหนดรู้ทุกข์นั้น และสิ่งที่ควรละนั้นคือมรรคสองข้อแรก มรรคที่เหลือก็ปฎิบัติไปตามนั้น สำคัญสุดสคิปัฎฐาน4 อันนี้เดี๋ยวค่อยว่ากันมันยาวเอาสั้นก่อน



ออ ครับ ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 03:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ถ้าใครยังไม่คิดถึงตรงนี่นะ(กูไม่เอากัยมึงแล้ว) ยังไม่เห็นทุกข์จริงสติยังไม่เกิดจริง เพราะอริสัจข้อ1ทุกข์ที่ควรกำหนดรู้นั้น เพื่อจะให้รู้ทุกข์เพื่อต้องการหาหนทางออกจากวัฎฎะนั้น แล้วจะไปกำจัดตันเหตุอย่างจริงจังได้อย่างไร ก็เพียงแต่โม้ไปวันๆนะครับ

เห็นบิกทู่พูดประโยคนี้แล้วตลกดีครับ"กูไม่เอากับมึงแล้ว" จะตะโกนทำไม ให้หนวกหู
ดูๆแล้วมันก็เหมือนบิกทู่ ตะโกนใส่เมียว่า..."กูไม่เอากับมึงแล้ว"
เคยเห็นตลกเชิญยิ้มมันเล่นกันมั้ยครับ เมียใช้ไปซักผ้า ตัวเองทำเป็นโกรธไม่พอใจ
พับแขนเสื้อตะคอกกลับเมียไปว่า..."ผงซักฟอกอยู่ไหน" เอ้า..ฮากันเข้าไป :b9:

"กูไม่เอามึงแล้ว" แต่อยู่บ้านเดียวกับเมีย "
"กูไม่เอามึงแล้ว" แต่ต้องคอยทำกับข้าวให้เมีย
"กูไม่เอามึงแล้ว" แต่เมียยังสาวยังสวย
"กูไม่เอามึงแล้ว" แต่ทำไมกลิ่นกับข้าวหอมยั่วยวนจัง
"กูไม่เอามึงแล้ว" กูถึงไปดูเว็บโป๊แทนไง......ตลก :b32:

ไม่รู้ทุกข์ จะไปรู้เหตุแห่งทุกข์ได้ไง
ยังไม่รู้หรือว่าที่ต้องมาตะโกน"กูไม่เอามีงแล้ว"
เพราะอะไร ตัวทุกข์มันอยู่ตรงไหน
และเหตุแห่งทุกข์ที่แท้มันเป็นอย่างไร

ตัวทุกข์ก็คือ ....กูไม่เอามึงแล้ว
เหตุแห่งทุกข์ก็คือ..คำพูดที่ตามหลัง "กูไม่เอามึงแล้ว" :b13:



บิกทู่ว่าใครครับโม้ไปวันๆ :b32:

ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้
ปฏิญาณตนว่าเป็นพรหมจารีโดยชอบ ไม่ร่วมความเป็นคู่ๆ กับมาตุคาม ไม่กระซิก
กระซี้ เล่นหัว สัพยอกกับมาตุคาม ไม่เพ่งดู จ้องดูจักษุมาตุคามด้วยจักษุของตน
เอง ไม่ได้ฟังเสียงแห่งมาตุคามหัวเราะอยู่ก็ดี พูดอยู่ก็ดี ขับร้องอยู่ก็ดี ร้องไห้อยู่
ก็ดี ข้างนอกฝาก็ดี ข้างนอกกำแพงก็ดี ไม่ได้ตามนึกถึงการหัวเราะ การพูด การ
เล่นหัวกับมาตุคามในกาลก่อน และไม่ได้เห็นคฤหบดีก็ดี บุตรแห่งคฤหบดีก็ดี
ผู้เอิบอิ่มพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรอตนอยู่ แต่ประพฤติพรหมจรรย์ ตั้ง
ปรารถนาเพื่อเป็นเทพเจ้าหรือเทพองค์ใดองค์หนึ่งว่า เราจักได้เป็นเทพเจ้าหรือ
เทพองค์ใดองค์หนึ่ง ด้วยศีล พรต ตบะ หรือพรหมจรรย์นี้ พอใจ ชอบใจ
ถึงความปลื้มใจ ด้วยความปรารถนานั้น แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่าขาด ทะลุ ด่าง พร้อย
แห่งพรหมจรรย์ ดูกรพราหมณ์ ผู้นี้เรากล่าวว่า ประพฤติพรหมจรรย์ไม่บริสุทธิ์
ประกอบด้วยเมถุนสังโยค ไม่พ้นไปจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส เรากล่าวว่า ไม่หลุดพ้นไปจากกองทุกข์ได้ ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 221&Z=1297


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 03:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


สติปัฎฐาน4คือการตั้งสติไว้บนฐานทั้ง4คือกาย เวทนา จิต ธรรม ตรงนี้สายผมต้องเริ่มจากกายก่อนเพราะกายกับจิตเขื่อมโยงกันกันตลอดเวลาอยู่แล้วแยกกันไม่ได้ ฉะนั้นพิจารณากาย พิจารณาเวทนาบนร่างกายเราหรือเรียกอีกอย่างว่าความรู้สึกทั่วร่างกาย เกิดความรู้สึกอะไรบนกายจิตก็จะรับรู้ไปด้วยเพราะเชื่อมโยงถึงกันอยู่แล้ว เรียกว่าพิจารณากายก็ครบทั้ง4เลยที่เดียว เพราะธรรมะที่เิกิดในใจขณะนั้นก็เป็นการพิจารณธรรมะไปในตัว ไม่ว่าจิตเราเป็นกุศลหรือว่าอกุศล หรือจิตหลุดพ้นไม่หลุดพ้นจะเป็นหัวข้อธรรมต่างมันครับตรงนี้เลย ส่วนในอริยบทอื่นก็ให้อธิฐานการงานเอา ทำอะไรก็ให้รู้ทุกอริยบทตรงนี้เป็นการฝึกสติให้เกิดต่อเนื่องกันเพื่อเป็นการสนับสนุนให้สติมีความว่องไว ทันถ่วงที แต่ไม่มีกำลังอะไร การฝึกสติให้มีกำลังนั้นจำเป็นที่ต้องเน้นการนั่งที่สุดสลับกับการดินให้มาก แต่เริ่จากการนั่งให้มากๆก่อน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 13 ก.ย. 2012, 04:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 04:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


เริ่มต้นอานาปานสติํ๊ ธรรมชาติได้ให้ลมหายใจลมหายใจที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ทำงานได้ทั้งสองระบบคือ ถ้าเราสั่งให้มันเร็วมันก็จะทำตามที่เราสั่ง ถ้าเราไม่สั่งมันมันก็จะทำตามธรรมชาติของมันตามจังหวะชีวิต สั้นบ้างยาวบ้าง แต่เราไม่รู้ตัวเลย ขนาดลมหายใจออกที่ร้อนนั้น บางครั้งเราแถบจะไม่เคยรับความรู้สึก แล้เราจะรู้ความจริงของรูปกับนาม หรือกายกับจิตใจที่แท้จริงได้อย่างไร

ขนาดความจริงที่หยาบๆอย่างลมหายใจออกอุ่นๆนั้นสติยังไม่สามารถเกิดได้เลย และสิ่งที่เิกิดขึ้นภายในตัวเรา มีมากมายเราไม่เคยรู้เลย แล้วเราจะรู้ความจริงขั้นที่ละเอียดที่สุดของเราได้อย่างไร ที่จริงแล้วสภาพปรมัตถ์ที่เกิดขึ้นบนร่างกายเราทั้งทางกายทางใจมีอยู่ตลอดเวลา เรามักกระโดดข้ามไปข้ามมารับรู้แต่อารมณ์ที่หยายๆอยู่ตลอดเวลา ซึ้งไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร

เพราะใจเรายังขาดการฝึกให้รับรู้สิ่งที่ละเอียดกว่านั้นมีอยู่มากทั่วร่างกาย ยกตัวอย่างผู้ที่ฝึกสติได้ไวและแหลมคมแล้วจะรับความรู้สึกทั่วร่างกายได้ทุกขณะตลอดเวลาทั้งวัน และคิดถึงจุดไหนไม่ว่าเล็กขนาดไหนก็ยิ่งรู้ชัดขึ้นทันที สมมุติว่าคิดถึงติ่งหูจะรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ทันที่ในทันที่ที่คิดถึงตรงนั้นและทุกส่วนของทำร่างกายได้จริงๆ เรียกว่าสัมปชัญญะที่แท้จริง สติก็ไประลึกการเกิดดับที่เป็นสภาวะเกิดดับจริงๆ นี่คือวิปัสนา

ทำไมเราต้องฝึกให้รับรู้สิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุด ก็เพราะว่ากิเลสที่ละเอียดอ่อนที่สุดเรามักจะไม่รู้เช่นการติดใจอะไรเล็กๆน้อยอย่างเช่นติดใจในรสชาติอาหารอาหารที่ตรงหน้าเราเราไม่ตัก กับไปเอื้อมมือไปตักอาหารที่วางอยู่ตั้งไกลมากินเป็นเพราะอะไร ไม่ใช่เป็นเพราะความอยากกินสิ่งนั้นเหรอนี่แหล่ะครับกิเลสมันมีมากจริงๆฉะนั้นแล้วเราจึงจำเป็นที่จะต้องฝึกสติให้รับรู้สิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุด

สติปัฎฐานชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของสติ สติจะมีกำลังว่องไวก็ตรงนี้แหละครับส่วนความต่อเนื่องก็เปลี่ยนเป็นอธิฐานการงานในทุกอริยบทที่เราทำกิจกรรมอะไรทุกอย่างเพื่อเป็นการต่อเนื่องเมื่อเกิดปัญหาสติที่แหลมคมมีกำลังจะได้นำมาใช้ทันสติกับปัญาเกิดขึ้นร่วมกันตลอด

และนี่ก็เป็นแนวทางปฎิบัติวิธีหนึ่งซึ่งมาจากประเทศพม่า ประเทศพม่านั้นทั่วโลกยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีการศึกษาพระพุทธศาสนาจริงจังที่สุดในโลกเลย เพราะที่นั้นมีพระสงฆ์ที่ทรงพระไตรปิฎกทั้งสามปิฎกได้ถึง13รูปในปัจจุบัน และทรงปิฎกเดียวได้หลายสิบคน แสดงให้เห็นว่าการปฎิบัตินี้ก็น่าจะมีประโยชน์และถูกต้องไม่น้อย กระผมมิได้ว่ากล่าวพระบ้านเรานะครับความจริงก็คือความจริง ขนาดวิชากรรมฐานที่เป็นหลักตามแนววิชาการเรายังต้องส่งไปตรวจทานทานที่พม่าเลย ไม่เกี่ยวกับหลักของหลวงพ่อแต่ละองค์นะครับ ที่เป็นหลักสูตรนะครับ 10กว่าปีที่ผมปฎิบัติมาบวกแนวความคิดของอาจารย์หลายๆ่ท่านที่ผมเคารพนับถือคิดว่าหลายๆท่านก็คงรู้จักกันทั้งนั้น มันได้ผลจริงอะไรคือผลจริง อะไรจะพิสูจน์สิ่งนี้ได้ดีกว่่าการลดละเลิกได้ล่ะครับ เป็นตัวอย่างและประสบการณืที่เล่ามาหวังว่าจะมีประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายนะครับด้วยความปรารถนาดีจาก Bigtoo

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 13 ก.ย. 2012, 06:31, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 04:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
สติปัฎฐาน4คือการตั้งสติไว้บนฐานทั้ง4คือกาย เวทนา จิต ธรรม ตรงนี้สายผมต้องเริ่มจากกายก่อนเพราะกายกับจิตเขื่อมโยงกันกันตลอดเวลาอยู่แล้วแยกกันไม่ได้ ฉะนั้นพิจารณากาย พิจารณาเวทนาบนร่างกายเราหรือเรียกอีกอย่างว่าความรู้สึกทั่วร่างกาย เกิดความรู้สึกอะไรบนกายจิตก็จะรับรู้ไปด้วยเพราะเชื่อมโยงถึงกันอยู่แล้ว เรียกว่าพิจารณากายก็ครบทั้ง4เลยที่เดียว เพราะธรรมะที่เิกิดในใจขณะนั้นก็เป็นการพิจารณธรรมะไปในตัว ไม่ว่าจิตเราเป็นกุศลหรือว่าอกุศล หรือจิตหลุดพ้นไม่หลุดพ้นจะเป็นหัวข้อธรรมต่างมันครับตรงนี้เลย ส่วนในอริบทอื่นก็ให้อธิฐานการงานเอา ทำอะไรก็ให้รู้ทุกอริบทตรงนี้เป็นการฝึกสติให้เกิดต่อเนื่องกันเพื่อเป็นการสนับสนุนให้สติมีความว่องไว ทันถ่วงที แต่ไม่มีกำลังอะไร การฝึกสติให้มีกำลังนั้นจำเป็นที่ต้องเน้นการนั่งที่สุดสลับกับการดินให้มาก แต่เริ่จากการนั่งให้มากๆก่อน

การใช้สติในฐานกายหรือที่เรียกว่า กายานุปัสสนา ท่านกำหนดให้ทำเพื่อละกิเลส
กิเลสที่ว่าก็คือการยึดมั่นถือมั่นในกาย นั้นก็คือ สังโยชน์สักกายทิฐิ

อธิบายได้ดังนี้ การใช้สติบนฐานกายก็คือ การเอาสติไประลึกรู้สัมมาทิฐิ
เอาสัมมาทิฐิมาพิจารณากาย ดูกายไปตามความเป็นจริงว่ากายเป็นเพียงสิ่งที่
จิตหลงไปยึดเป็นตัวเป็นตน
ยกตัวอย่างให้ดูธรรมหนึ่งจากหลายธรรมในเรื่องกาย เช่น
การพิจารณา ธาตุมนสิการ นั้นก็คือการใช่สติ พิจารณากายไปตามความเป็นจริงว่า
กายที่หลงยึดอยู่นั้น แท้จริงเป็นเพียงธาตุดิน น้ำ ลมไฟ มาประชุมกันด้วยเหตุปัจจัยเพียงชั่วขณะ
เหตุปัจจัยที่ว่าก็คือสังขาร สังขารมันเป็นเที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา มันไม่คงทน
เมื่อนมสิการได้ดังนี้ จิตก็จะคลายจางความยึดมั่นหรือคลายกำหนัดในกาย
ละสังโยชน์สักกายทิฐิ

เปรียบความเห็นจขกทเป็นกับข้าว ก็คือจับฉ่าย
เปรียบเป็นตัวลครในวรรณคดี ก็คือม้านิลมังกร (หัวมังกุท้ายมังกร)
เปรียบเทียบกับคนก็เหมือน พวกจิตไม่ปกติพวกชอบหอบฟางครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 04:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเราปฎิบัติไปญาณต่างๆก็จะปรากฎขึ้นตามมาเป็นลำดับไปดูที่ญาณ16

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 05:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เริ่มต้นอานาปานสติํ๊ ธรรมชาติได้ให้ลมหายใจลมหายใจที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ทำงานได้ทั้งสองระบบคือ ถ้าเราสั่งให้มันเร็วมันก็จะทำตามที่เราสั่ง ถ้าเราไม่สั่งมันมันก็จะทำตามธรรมชาติของมันตามจังหวะชีวิต สั้นบ้างยาวบ้าง แต่เราไม่รู้ตัวเลย ขนาดลมหายใจออกที่ร้อนนั้น บางครั้งเราแถบจะไม่เคยรับความรู้สึก แล้เราจะรู้ความจริงของรูปกับนาม หรือกายกับจิตใจที่แท้จริงได้อย่างไร

ขนาดความจริงที่หยาบๆอย่างลมหายใจออกอุ่นๆนั้นสติยังไม่สามารถเกิดได้เลย และสิ่งที่เิกิดขึ้นภายในตัวเรา มีมากมายเราไม่เคยรู้เลย แล้วเราจะรู้ความจริงขั้นที่ละเอียดที่สุดของเราได้อย่างไร ที่จริงแล้วสภาพปรมัตถ์ที่เกิดขึ้นบนร่างกายเราทั้งทางกายทางใจมีอยู่ตลอดเวลา เรามักกระโดดข้ามไปข้ามมารับรู้แต่อารมณ์ที่หยายๆอยู่ตลอดเวลา ซึ้งไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร

เพราะใจเรายังขาดการฝึกให้รับรู้สิ่งที่ละเอียดกว่านั้นมีอยู่มากทั่วร่างกาย ยกตัวอย่างผู้ที่ฝึกสติได้ไวและแหลมคมแล้วจะรับความรู้สึกทั่วร่างกายได้ทุกขณะตลอดเวลาทั้งวัน และคิดถึงจุดไหนไม่ว่าเล็กขนาดไหนก็ยิ่งรู้ชัดขึ้นทันที สมมุติว่าคิดถึงติ่งหูจะรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ทันที่ในทันที่ที่คิดถึงตรงนั้นและทุกส่วนของทำร่างกายได้จริงๆ เรียกว่าสัมปชัญญะที่แท้จริง สติก็ไประลึกการเกิดดับที่เป็นสภาวะเกิดดับจริงๆ นี่คือวิปัสนา

ทำไมเราต้องฝึกให้รับรู้สิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุด ก็เพราะว่ากิเลสที่ละเอียดอ่อนที่สุดเรามักจะไม่รู้เช่นการติดใจอะไรเล็กๆน้อยอย่างเช่นติดใจในรสชาติอาหารอาหารที่ตรงหน้าเราเราไม่ตัก กับไปเอื้อมมือไปตักอาหารที่วางอยู่ตั้งไกลมากินเป็นเพราะอะไร ไม่ใช่เป็นเพราะความอยากกินสิ่งนั้นเหรอนี่แหล่ะครับกิเลสมันมีมากจริงๆฉะนั้นแล้วเราจึงจำเป็นที่จะต้องฝึกสติให้รับรู้สิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุด

สาธยายเรื่องอะไรกันครับ ไม่รู้ไปไหนต่อไหนแล้ว เดี๋ยวกลับบ้านไม่ถูกหรอก
ยังไงก็พกบัตรประชาชนด้วย พื่ร่วม เฮียปอจะได้พากลับบ้านได้ :b32:

กายานุปัสสนาในบรรพของอานาปานสติ ท่านมีจุดประสงค์ให้รู้ถึง"กายสังขาร"
กายสังขาร ก็คือการที่จิตไปปรุงแต่งให้กายมีการกระทำไปในลักษณะต่างๆนั้นเอง

ท่านให้รู้ว่าลมหายใจอันเกิดที่กาย ยาวบ้าง สั้นบ้าง มีความแตกต่างกัน
อันความแตกต่างนี้ มันเกิดขึ้นเพราะ จิตสังขารหรือสังขารไปปรุงแต่งกาย
ให้เกิดอาการเหล่านั้น สรุปก็คืออาการเหล่านั้นเกิดได้เพราะ สังขาร
และด้วยเหตุที่ว่า สังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั้น
เมื่อกายสังขาร(ลมหายใจ) เกิดเพราะสังขาร เมื่อไม่ยึดมั่นสังขาร มันก็จะทำให้ไม่
ยึดมั่นถือมั้นกายไปด้วย การไม่ยึดมั่นกาย ก็จะเป็นการละสักกายทิฐิ
bigtoo เขียน:
สติปัฎฐานชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของสติ สติจะมีกำลังว่องไวก็ตรงนี้แหละครับส่วนความต่อเนื่องก็เปลี่ยนเป็นอธิฐานการงานในทุกอริยบทที่เราทำกิจกรรมอะไรทุกอย่างเพื่อเป็นการต่อเนื่องเมื่อเกิดปัญหาสติที่แหลมคมมีกำลังจะได้นำมาใช้ทันสติกับปัญาเกิดขึ้นร่วมกันตลอด

ใครบอกคุณว่าสติปัฏฐาน ทำให้สติว่องไว การทำให้สติว่องไวมันเป็นการเจริญสติ
ไม่ใช่การทำสติปัฏฐานเพื่อสติว่องไว มันเลยผ่านจุดนั้นมาไกลแล้ว

สติที่ใช้ทำสติปัฏฐาน ต้องเป็นอินทรีย์ที่มีพละ หรือเรียกว่า..สติที่มีกำลัง
ที่สำคัญต้องมีความเพียรมาคอยช่วยเกื้อหนุน เกื้อหนุนอะไร ก็คือ...
สติที่มีกำลังดีแล้ว อาศัยความเพียรให้ไประลึกรู้ให้สัมมาทิฐิให้เกิดอยู่เนื่องๆ
:b13:
bigtoo เขียน:
และนี่ก็เป็นแนวทางปฎิบัติวิธีหนึ่งซึ้งมาจากประเทศพม่า ประเทศพม่านั้นทั่วโลกยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีการศึกษาพระพุทธศาสนาจริงจังที่สุดในโลกเลย เพราะที่นั้นมีพระสงฆ์ที่ทรงพระไตรปิฎกทั้งสามปิฎกได้ถึง13รูปในปัจจุบัน และทรงปิฎกเดียวได้หลายสิบคน แสดงให้เห็นว่าการปฎิบัตินี้ก็น่าจะมีประโยชน์และถูกต้องไม่น้อย กระผมมิได้ว่ากล่าวพระบ้านเรานะครับความจริงก็คือความจริง ขนาดวิชากรรมฐานที่เป็นหลักตามแนววิชาการเรายังต้องส่งไปตรวจทานทานที่พม่าเลย ไม่เกี่ยวกับหลักของหลวงพ่อแต่ละองค์นะครับ ที่เป็นหลักสูตรนะครับ 10กว่าปีที่ผมปฎิบัติมาบวกแนวความคิดของอาจารย์หลายๆ่ท่านที่ผมเคารพนับถือคิดว่าหลายๆท่านก็คงรู้จักกันทั้งนั้น มันได้ผลจริงอะไรคือผลจริง อะไรจะพิสูจน์สิ่งนี้ได้ดีกว่่าการลดละเลิกได้ล่ะครับ เป็นตัวอย่างและประสบการณืที่เล่ามาหวังว่าจะมีประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายนะครับด้วยความปรารถนาดีจาก Bigtoo


เห็นไปกระแหนะกระแหน่ชาวบ้านเป็นพระใบลานเปล่า ถามจริงรู้ความหมายกันหริอเปล่าครับ
ดูแล้วน่าสมเพชนะครับ ถามหน่อยที่กำลังยกยอเขาอยู่นะ บุคคลที่ยกยอ เขาต่างจากบุคคล
ที่คุณไปกระแน่ะกระแหน่ว่า เขาเป็นพระใบลานเปล่าตรงไหนครับ

เอาไม่เป็นไรครับเดี๋ยวจะหาว่าเราตั้งหน้าตั้งตาจับผิดให้โทษ อย่างนี้เอาธรรมไปครับ
ความหมายของพระใบลานเปล่า ก็คือคนที่มีความรู้ในทางปริยัติอย่างแตกฉาน
แต่ไม่ได้เอาความรู้นั้นไปปฏิบัติ แบบนี้เขาเรียกพระใบลานเปล่า

แล้วการที่คุณมายกยอพระพม่าว่า ทรงพระไตรปิกได้ทั้งสามปิฎก
ถามหน่อยกลืนน้ำลายตัวเองหรือเปล่าครับ หรืออาจจะเป็นเพราะคุณเป็นคนที่มี
จิตใจที่เป็นกุศลสุดจะบรรยายก็ได้ เลยไม่เข้าใจแม้กระทั้งวจีทุจริตที่สาดใส่ชาวบ้านเขา :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


แม้แต่พระในประเทศไทยเองก็ยอมรับว่า พม่าเป็นดินแดนมหัศจรรย์ในเรื่อพระพุทธศาสนา โลกนี้กว้าใหญ่ไพศาล ถ้าเราเปิดใจเรียนรู้ภายนอกเร้าก็จะเห็นความแตกต่าง ถ้าเรายังแต่ใส่แว่นที่เราใส่มาต้ังแต่เกิดเราก็จะเห็นสีเดียวไปจนตาย การที่เราเปิดโอกาสให้ตัวเราได้เรียนรู้โลภายนอก นั้นก้ไม่ได้หมายความว่าเราจะลืมโลกภายในที่เราอาศัยอยู่หรอกนะครับ

แต่เพียงเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาผสมผสานกันให้ชีวิต ให้มันมีการบูรณาการใหม่ๆ ให้ชีวิตได้พบความหลากหลายในชีวิต เมื่อเราได้พิสูจน์ความจริงหลายๆด้าน และสิ่งที่เราได้ตัดสินใจเลือกแล้ว นั้นคงปฎิเสธไม่ได้ว่าทางที่เราเลือกเิดินนั้นเป็นทางที่ดีที่สุด แม้มันอาจจะไม่ใช่ เราก็จะไม่เสียใจ เพราะเราเป็นคนเลือกทางเดินนั้นเอง

แต่ถ้าเราไม่เปิดโอกาสที่จะเรียนรู้เราอาจจะสูญเสียโอกาสดีๆที่เราแสวงหามาตลอดชีวิตเราเลยก็ว่าได้ เพราะโอกาสมันเป็นจุดเล็กๆที่มองไม่ค่อยเห็น แต่เมื่อมีคนมาชี้ให้เห็นจุดแล้ว ถ้าเราไม่เลือกที่จะเปิดโอกาสให้ตัวเรา ก็ไม่เป็นอะไรเพียงโอกาสมันก็ผ่านไปก็เท่านั้น

ผมเองโชคดีพบทางสายนี้โดยบังเอิญ หมายความว่าเส้นทางธรรมะนะครับ สถานที่ปฎิบัติเป็นเพียงส่วนประกอบ ให้ผมเริ่มเดินบนทางสายนี้เท่านั้น ผมเองมิได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ผมเองศึกษาเพิ่มเติมจากสถานที่อื่นอีกมากมาย แม้แต่ในปัจจุบันก้ยังไม่หยุดที่จะฟังธรรมตลอด ทุกสำนักผมเองเลือกเอาในส่วนดีๆของเขา ส่วนไหนผมยังไม่เข้าใจก็วางไว้ ไม่ใช่ว่าอะไรไม่ตรงกับเราแล้วมันจะไม่สนใจฟังต่อ

คนเรามีส่วนดีที่ไม่เหมือนกัน สถานที่ทุกสถานที่ก็มีส่วนดีที่ไม่เหมือนกัน ผมเองคงจะทำได้เพียงแนะนำเท่านั้น เพราะหลายๆท่านก็อาจแสวงหามามากพอแล้วก็ได้ แต่ถ้าท่านใดพึ่งเรียนรู้บนเส้นทางธรรมะศึกษาเยอะครับ ในแนวทางปฎิบัติ ทางปริยัติแล้วไม่แตกต่างกัน มันต่างกันเพียงการปฎิบัติและตัวความหมายที่ตีความครับ :b36:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"กูไม่เอากับมึงแล้ว" คิดพูดประโยคนี้ ระวังจะเป็นสักกายทิฐิ คือ คิดเห็นเป็นเราเป็นเขา มีเรามีเขานะ

ปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วมันวางเองหลุดเองพ้นเอง พอรู้ก็หลุด = วิชชา วิมุตติ ไม่รู้จึงติด = อวิชชา ตัณหา

ถ้ายังท่องเอาตามนี้ ยังไม่ใช่ยังติดอยู่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ปุถุชนผู้มิได้เรียนสดับนั้น ย่อมมนสิการโดยไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) อย่างนี้ว่า ในอดีตกาลอันยาวนาน เราได้มีแล้วหรือหนอ ...หรือว่าเรามิได้มี...เราได้เป็นอะไรหนอ...เราได้เป็นอย่างไรหนอ...เราเป็นอะไรแล้วจึงได้เป็นอะไรหนอ...ในอนาคตกาลอันยาวนาน เราจักมีหรือหนอ...หรือว่าเราจักไม่มี...เราจักเป็นอะไรหนอ...เราจักเป็นอย่างไรหนอ...เราจักเป็นอะไรแล้วจึงจะเป็นอะไรหนอ หรือ
ปรารภปัจจุบันในบัดนี้ มีความสงสัยขึ้นภายในว่า เรามีอยู่หรือ หรือว่าเราไม่มี เราเป็นอะไรหนอ เราเป็นอย่างไรหนอ สัตว์นี้มาจากไหนหนอ สัตว์นั้นจักไป ณ ที่ใดหนอ?


“เมื่อปุถุชนนั้น มนสิการโดยไม่แยบคายอย่างนี้ ทิฐิอย่างใดอย่างหนึ่งในทิฐิ 6 อย่าง ย่อมเกิดขึ้น คือ เขาย่อมเกิดทิฐิ (ยึดถือ) เอาเป็นจริงเป็นแท้ว่า เรามีอัตตา ...เราไม่มีอัตตา ...เรากำหนดรู้อัตตาด้วยอัตตา ...เรากำหนดรู้สภาวะที่มิใช่อัตตาด้วยอัตตา ...เรากำหนดรู้อัตตาด้วยสภาวะที่มิใช่อัตตา หรือ
มิฉะนั้นก็จะมีทิฐิดังนี้ว่า อัตตาของเรานี้แหละ ที่เป็นตัวบงการ เป็นผู้เสวย ประสบวิบากแห่งกรรมที่ดีและชั่ว ณ ที่นั้นๆ เป็นสภาวะที่เที่ยงแท้ ยั่งยืน คงอยู่ตลอดไป มีความไม่ผันแปรเป็นธรรมดา จักคงอยู่อย่างนั้นเสมอตลอดไป

ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทิฐิ รกชัฏแห่งทิฐิ กันดารแห่งทิฐิ เสี้ยนหนามแห่งทิฐิ ความดิ้นรนแห่งทิฐิ ทิฐิเครื่องผูกมัดสัตว์ ปุถุชนผู้มิได้เรียนสดับ ซึ่งถูกทิฐิเครื่องผูกมัดรัดตัวไว้ ย่อมไม่พ้นจาก ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เรากล่าวว่า ย่อมไม่พ้นจากทุกข์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร