วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 23:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


นักฟิสิกส์ที่วิจัยทางวิทยาศาสตร์นั้นเขาก็เห็นทุกอย่างว่าสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นอนุภาคปรมาณูเล็ก ไม่มีกลุ่มก้อน เป็นเพียงสะสารเกิดดับสืบเนื่องทำไมเขาถึงลดละกิเลสไม่ได้ เพราะเขาเข้าไม่ถึงสภาวะจริงๆด้วยความรู้สึกทางกายที่เชื่อมโยงถึงจิตใจที่แท้จริง เพียงเห็นทางตาและเข้าใจนั้นยังไม่เพียงพอ เหมือนที่เรามองเห็นอะไรๆหรือพิจารณาเกิดดับอยู่ทุกขณะเช่นเดียวกัน เมื่อเราเข้าถึงสภาวะนั้นคือสภาวะสั่นสะเทือนมีแต่ความว่างเปล่า จิตจะเป็นอุเบกขาอย่างแท้จริง ความสงบอย่างแท้จริง สันติสุขอย่างแท้จริง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบท่านบิ๊กหน่อย

ผมว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเห็นอนุภาคและปรมณูทั้งหลายก็จริง

เขาเห็นแค่นั้นแต่เขายังไม่เห็นอนัตตาของสิ่งเหล่านั้น

เขายังเชื่อในความมีตัวตนและสันตติความสืบต่อของสภาวะว่าเป็นตน

ลองดูซิว่าเขาสามารถเห็นว่าร่างกายประกอบด้วยธาตุต่างๆอย่างไร

แต่ใครเล่าสามารถค้นคว้าลงลึกเรื่องจิตใจได้สิ้นเชิงเท่าพระพุทธองค์ :b8:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
ขอตอบท่านบิ๊กหน่อย

ผมว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเห็นอนุภาคและปรมณูทั้งหลายก็จริง

เขาเห็นแค่นั้นแต่เขายังไม่เห็นอนัตตาของสิ่งเหล่านั้น

เขายังเชื่อในความมีตัวตนและสันตติความสืบต่อของสภาวะว่าเป็นตน

ลองดูซิว่าเขาสามารถเห็นว่าร่างกายประกอบด้วยธาตุต่างๆอย่างไร

แต่ใครเล่าสามารถค้นคว้าลงลึกเรื่องจิตใจได้สิ้นเชิงเท่าพระพุทธองค์ :b8:
นั้นแหล่ะ :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 03:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
นักฟิสิกส์ที่วิจัยทางวิทยาศาสตร์นั้นเขาก็เห็นทุกอย่างว่าสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นอนุภาคปรมาณูเล็ก ไม่มีกลุ่มก้อน เป็นเพียงสะสารเกิดดับสืบเนื่องทำไมเขาถึงลดละกิเลสไม่ได้ เพราะเขาเข้าไม่ถึงสภาวะจริงๆด้วยความรู้สึกทางกายที่เชื่อมโยงถึงจิตใจที่แท้จริง เพียงเห็นทางตาและเข้าใจนั้นยังไม่เพียงพอ เหมือนที่เรามองเห็นอะไรๆหรือพิจารณาเกิดดับอยู่ทุกขณะเช่นเดียวกัน เมื่อเราเข้าถึงสภาวะนั้นคือสภาวะสั่นสะเทือนมีแต่ความว่างเปล่า จิตจะเป็นอุเบกขาอย่างแท้จริง ความสงบอย่างแท้จริง สันติสุขอย่างแท้จริง

ขณะจิต เขียน:
ขอตอบท่านบิ๊กหน่อย
ผมว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเห็นอนุภาคและปรมณูทั้งหลายก็จริง
เขาเห็นแค่นั้นแต่เขายังไม่เห็นอนัตตาของสิ่งเหล่านั้น
เขายังเชื่อในความมีตัวตนและสันตติความสืบต่อของสภาวะว่าเป็นตน
ลองดูซิว่าเขาสามารถเห็นว่าร่างกายประกอบด้วยธาตุต่างๆอย่างไร
แต่ใครเล่าสามารถค้นคว้าลงลึกเรื่องจิตใจได้สิ้นเชิงเท่าพระพุทธองค์ :b8:

พอกันเลย เห็นธรรมบทนี้นิดก็หยิบมาหน่อย เห็นธรรมบทนั้นหน่อยก็หยิบมานิด
แล้วก็เอาปะให้เป็นเรื่องเดียวกันผลก็เลย เป็น พระธรรมพันธุ์ทาง
เป็นบัญญัติที่ไม่มีจุดหมาย หาจุดลงตัวไม่ได้

มันก็แค่เขาไม่ศรัทธาในพุทธศาสนา พวกนักวิทยาสตร์เหล่านี้
เปรียบก็เหมือน พราหมณ์ในสมัยพุทธกาล ก่อนที่จะเข้ามาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
เขาเหล่านั้นก็มีสติมีสมาธิเป็นอย่างดี มีบางคนที่ไม่เข้ามาเป็นสาวกก็เพราะ
ไม่ศรัทธาในตัวพระพุทธเจ้า แต่ก็มีบางคนที่เข้ามาเป็นสาวกเมื่อได้รับฟังคำสอนจนเกิดศรัทธา

ที่เข้าเกิดศรัทธาก็เพราะ ตัวเหล่าพราหมณ์นั้นมีสติและสมาธิที่ดี พอได้ฟังคำสอน
ของพระพุทธเจ้าก็เกิดปัญญาสัมมาทิฐิ ไอ้ตัวปัญญานี่แหล่ะทำให้เกิดศรัทธาในคำสอน
จืงยอมมาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า


ที่ยังไม่เกิดศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเพราะยังไม่เกิดวิปัสสนาที่กายใจตัวเอง
ที่นักวิทยาสตร์มองเห็นมันเป็นการเกิดดับของสิ่งภายนอก มันไม่ใช่ปัญญาของพุทธศาสนา
ถ้านักวิทยาสตร์เห็นการเกิดดับขึ้นที่จิตตนเองนั้นแหล่ะ ถึงจะเรียกว่าปัญญา
เมื่อมีปัญญาความศรัทธาก็จะตามมาเอง

พวกนักวิทยาสตร์พวกนี้ ถ้าเขาได้รับการฝึกกรรมฐาน
ที่ถูกวิธี เขาจะบรรลุธรรมเร็วกว่า พวกที่หลงศีลหลงธรรมอีกครับ


ดังนั้นสิ่งแรกที่จะกระทำก็คือให้เขาเกิดความศรัทธาเสียก่อน
นั้นก็คือแนะนำให้เขาทำกรรมฐาน ให้เกิดปัญญาสัมมาทิฐิเสียก่อน
ความศรัทธาในพระธรรมก็จะเกิด

สรุปก็คือความศรัทธา หมายถึงผู้มีปัญญาเข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้า
พวกที่ชอบอ้างศีลอ้างธรรม ยังไม่ได้ชื่อว่าศรัทธา เพราะยังขาดปัญญาสัมมาทิฐิ
ยังหลงไปว่าศีลจะช่วยให้ตัวเองบรรลุธรรม มันเป็นการเข้าใจผิด
ศีลในศาสนาอื่นก็มี มันเลยทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสัมมาศีล(พุทธศาสนา)
กับศีลทั่วไป(หลายศาสนา) ความหมายก็คือเอามาผสมปนเปกัน การปฏิบัติเลยนอกลู่
นอกทางในเรื่องสัมมาศีล(พุทธศาสนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 04:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


นักวิทยาศาสตร์ท่านนี้แหล่ะครับที่ผลิตเครื่องที่เขาเรียกว่าอะไรสักอย่าง แต่ผมจำชื่อไม่ได้เขาเป็นนักฟิสิกส์ชาวอมเริกัน ท่านได้เข้าฝึกอบรมวิปัสนากรรมฐานหลักสูตร10วันที่ประเทศพม่าโดยท่านอาจารย์อูบาขิ่น ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านอาจารย์โกเอ็นก้าอีกที ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าตอนนั้นเป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอนบอกว่านักวิทยาศาสตร์ท่านนี้นั้นมีอาการรุนแรงมากออกมาทางกายเมื่อปฎิบัติวิปัสนาา

เพราะเหตุว่าท่านได้สะสมสังขารไว้เยอะมาก เพราะท่านเป็นส่วนหนึ่งที่ผลิตระเบิดปรมญูที่ทรงอานุภาพมากมีการทำลายล้างสูงมาก นี่แหล่ะครัยวิปัสนานั้นเมื่อปฎิบัติไปเจาะลึกลงไปในความละเอียดอ่อนที่สุดคือลึกจนถึงจิตใต้สำนึกเราก็จะไปกระตุ้นหรือไปเขย่ากิเลสชั้นลึกๆที่นอนเนื่องอยู่ในอนุสัยกิเลสให้มันกระจายขึ้นมา เมื่อกิเลสที่มันผลุดขึ้นมานั้น ออกมาทางความรู้สึกทางกายไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่รุนแรงหรือเบาสบายสักเพียงใด ถ้าเราทำใจให้เป็นอุเบกขามีสติรับรู้ว่าเป็นอนิจจังทุกสิ่งไม่เทียงเกิดขึ้นและดับไปกิเลสชั้นแล้วชั้นเล่าก็จะหมดสิ้นไปทีละน้อย เมื่อกิเลสค่อยๆหลุดไปจิตใจเราจะค่อยๆถูกพัฒนาขึ้นมา

ความรักความเมตตาปราณีที่บริสุทธิก็จะเกิดขึ้นกับตัวเรา เมื่อจิตใจที่บริสุทธิเกิดขึ้นกับตัวเราเราจะเป็นคนที่มีการทำทานรักษาศิลได้บริสุทธิ์และบริบูรณ์ขึ้น ผู้ที่มีจิตใจเมตตานั้นอดที่จะผ่านเลยไปไม่ได้เมื่อเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก นอกเสียจากผู้นั้นจิตใจยังไม่ได้ถูกพัฒนามาถึงตรงนี้ แต่หลายคนได้สะสมมาในอดีตชาติกันก็มีมากมายไม่ใช่ว่าคนไหนไม่วิปัสนาแล้วจะไม่มีจิตใจเมตตาหรอกครับ จะเห็นว่ามีมากมายที่ผู้คนเหล่านั้นได้ช่วยแม้กระทั้งหมาและแมวข้างถนนกันมากมาย

และเราผู้ที่ได้ชื่อว่าผู้ปฎิบัติธรรมจะเอาแต่ตัวรอด มันเหมาะกันแล้วหรือท่านใดกระทำอยู่แล้วหรือมีเมตตาต่อสังคมอยู่แล้วขออนุโมทนาด้วย แสดงว่าจิตใจท่านเข้าถึงธรรมที่แท้จริง แต่ถ้าท่านใดยังไม่เกิดก็สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นมาในจิตใจได้โดยสำเนียกในใจว่าการให้นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้ที่แสดงออกมาเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการให้วัตถุทาน อภัยทาน ธรรมทาน การให้เป็นสิ่งที่โลกต้องการมากที่สุด

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 05:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:

นักฟิสิกส์ที่วิจัยทางวิทยาศาสตร์นั้นเขาก็เห็นทุกอย่างว่าสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นอนุภาคปรมาณูเล็ก ไม่มีกลุ่มก้อน เป็นเพียงสะสารเกิดดับสืบเนื่องทำไมเขาถึงลดละกิเลสไม่ได้ เพราะเขาเข้าไม่ถึงสภาวะจริงๆด้วยความรู้สึกทางกายที่เชื่อมโยงถึงจิตใจที่แท้จริง เพียงเห็นทางตาและเข้าใจนั้นยังไม่เพียงพอ เหมือนที่เรามองเห็นอะไรๆหรือพิจารณาเกิดดับอยู่ทุกขณะเช่นเดียวกัน

เมื่อเราเข้าถึงสภาวะนั้นคือสภาวะสั่นสะเทือนมีแต่ความว่างเปล่า จิตจะเป็นอุเบกขาอย่างแท้จริง ความสงบอย่างแท้จริง สันติสุขอย่างแท้จริง


น้อง big พูดถึงสภาวะสั่นเทือน พลันนึกสำนักหนึ่งทางภูเก็ต สอนแบบสั่นเสทือนเหมือนกัน บอกลองเอามื่อแตะอกดิมันจะเสทือนตุ๊บๆๆ

ปัดโธ่ ก็อวัยวะของร่างกายมันทำงานของมันมันก็สั่นก็เสทือน ถูกไหมน้อง gig

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 06:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
นักฟิสิกส์ที่วิจัยทางวิทยาศาสตร์นั้นเขาก็เห็นทุกอย่างว่าสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นอนุภาคปรมาณูเล็ก ไม่มีกลุ่มก้อน เป็นเพียงสะสารเกิดดับสืบเนื่องทำไมเขาถึงลดละกิเลสไม่ได้ เพราะเขาเข้าไม่ถึงสภาวะจริงๆด้วยความรู้สึกทางกายที่เชื่อมโยงถึงจิตใจที่แท้จริง เพียงเห็นทางตาและเข้าใจนั้นยังไม่เพียงพอ เหมือนที่เรามองเห็นอะไรๆหรือพิจารณาเกิดดับอยู่ทุกขณะเช่นเดียวกัน


นักฟิสิกส์ เหล่านี้ เห็น แค่ รูป

ในพระพุทธศาสนา ยังมีอย่างอื่นอีก คือ จิต เจตสิก(เวทนา สัญญา สังขาร) และ นิพพาน

อ้างคำพูด:
ปัญหาที่ ๑๘ ถามถึงเรื่องสิ่งที่ทำได้ยากของพระพุทธเจ้า

“ ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งที่ทำได้ยากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำนั้น ได้แก่อะไร ? ”
“ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ทำได้ยาก ได้แก่การทรงแสดงซึ่งธรรมอันไม่มีรูปร่าง อันมีอยู่ในจิต เจตสิดอันเป็นไปในอารมณ์อันเดียวเหล่านี้ได้ว่า อันนี้เป็นผัสสะ อันนี้เป็นเวทนา อันนี้เป็นสัญญา อันนี้เป็นเจตนา อันนี้เป็นจิต
“ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
“ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษคนหนึ่งลงเรือไปที่มหาสมุทร วักน้ำขึ้นมาวางไว้ที่ลิ้น ก็รู้ว่านี้เป็นน้ำคงคา นี้เป็นน้ำยมนา นี้เป็นน้ำสรภู นี้เป็นน้ำอจิรวดี นี้เป็นน้ำมหิ ดังนี้ได้ เป็นของง่ายหรือยากล่ะ ?”
“ เป็นของยาก พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร การที่พระพุทธเจ้าทรงบอกสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ที่มีในจิตใจ ที่เป็นอารมณ์อันเดียวกันว่า นี้เป็นผัสสะ นี้เป็นเวทนา นี้เป็นสัญญา นี้เป็นเจตนา นี้เป็นจิต ดังนี้ยิ่งยากกว่านั้น ”
“ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
นักฟิสิกส์ที่วิจัยทางวิทยาศาสตร์นั้นเขาก็เห็นทุกอย่างว่าสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นอนุภาคปรมาณูเล็ก ไม่มีกลุ่มก้อน เป็นเพียงสะสารเกิดดับสืบเนื่องทำไมเขาถึงลดละกิเลสไม่ได้ เพราะเขาเข้าไม่ถึงสภาวะจริงๆด้วยความรู้สึกทางกายที่เชื่อมโยงถึงจิตใจที่แท้จริง เพียงเห็นทางตาและเข้าใจนั้นยังไม่เพียงพอ เหมือนที่เรามองเห็นอะไรๆหรือพิจารณาเกิดดับอยู่ทุกขณะเช่นเดียวกัน


นักฟิสิกส์ เหล่านี้ เห็น แค่ รูป

ในพระพุทธศาสนา ยังมีอย่างอื่นอีก คือ จิต เจตสิก(เวทนา สัญญา สังขาร) และ นิพพาน

อ้างคำพูด:
ปัญหาที่ ๑๘ ถามถึงเรื่องสิ่งที่ทำได้ยากของพระพุทธเจ้า

“ ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งที่ทำได้ยากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำนั้น ได้แก่อะไร ? ”
“ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ทำได้ยาก ได้แก่การทรงแสดงซึ่งธรรมอันไม่มีรูปร่าง อันมีอยู่ในจิต เจตสิดอันเป็นไปในอารมณ์อันเดียวเหล่านี้ได้ว่า อันนี้เป็นผัสสะ อันนี้เป็นเวทนา อันนี้เป็นสัญญา อันนี้เป็นเจตนา อันนี้เป็นจิต
“ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
“ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษคนหนึ่งลงเรือไปที่มหาสมุทร วักน้ำขึ้นมาวางไว้ที่ลิ้น ก็รู้ว่านี้เป็นน้ำคงคา นี้เป็นน้ำยมนา นี้เป็นน้ำสรภู นี้เป็นน้ำอจิรวดี นี้เป็นน้ำมหิ ดังนี้ได้ เป็นของง่ายหรือยากล่ะ ?”
“ เป็นของยาก พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร การที่พระพุทธเจ้าทรงบอกสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ที่มีในจิตใจ ที่เป็นอารมณ์อันเดียวกันว่า นี้เป็นผัสสะ นี้เป็นเวทนา นี้เป็นสัญญา นี้เป็นเจตนา นี้เป็นจิต ดังนี้ยิ่งยากกว่านั้น ”
“ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”
เขาไม่ได้เห็นแค่รูปหรอกครับ เมื่อเขาเห็นเท่ากับจิตเขารู้แล้วว่ามันเกิดดับ แต่จิตที่รู้แต่ลักษณะภายนอกยังไม่เป็นสภาวะเกิดดับจริง ต้องความรู้สึกจริงๆทางกายจนไปเป็นความรู้สึกทางใจด้วย และต้องประจักษ์พร้อมกันทางมโนทวารด้วย อย่างเช่นเรารู้สึกว่าเป็นตัวอนัตตาคือไม่มีตัวตน ในมโนทวารก็ต้องปรากฎภาพไม่มีตัวตนด้วยครับ อย่างนี้เรียกว่าพบศภาวะะรรมะที่แท้จริง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 10:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เขาไม่ได้เห็นแค่รูปหรอกครับ เมื่อเขาเห็นเท่ากับจิตเขารู้แล้วว่ามันเกิดดับ แต่จิตที่รู้แต่ลักษณะภายนอกยังไม่เป็นสภาวะเกิดดับจริง ต้องความรู้สึกจริงๆทางกายจนไปเป็นความรู้สึกทางใจด้วย และต้องประจักษ์พร้อมกันทางมโนทวารด้วย อย่างเช่นเรารู้สึกว่าเป็นตัวอนัตตาคือไม่มีตัวตน ในมโนทวารก็ต้องปรากฎภาพไม่มีตัวตนด้วยครับ อย่างนี้เรียกว่าพบศภาวะะรรมะที่แท้จริง


เกี่ยวกับอินทรีย์ 5 มั๊ยนะ

อ้างคำพูด:
อินทรีย์ 5

อินทรีย์ 5 เป็นองค์ธรรม 5 อย่าง ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องทำให้มีกำลังมากพอ จึงจะสามารถเอาชนะกิเลสถึงขั้นบรรลุมรรคผลได้ ในการปฏิบัติธรรมช่วงแรก ๆ นักปฏิบัติบางท่านใช้วิปัสสนาญาณ 16 ในการตรวจสอบความก้าวหน้า ปรากฏว่าแทนที่จะช่วยให้ได้ผลเร็วขึ้น กลับเป็นอุปสรรคเสียอีก เพราะมัวแต่สำรวจตนเองอยู่เสมอว่าเราถึงญาณขั้นไหนแล้ว มีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ก็มัวตรวจสอบครั้งหนึ่ง เสียเวลาไปนาน เมื่อปฏิบัติธรรมต่อ มีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก็มาเสียเวลาตรวจสอบอีก ทำให้การปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร มีกัลญาณมิตรแนะนำให้ใช้อินทรีย์ 5 ในการตรวจสอบ ปรากฏว่าได้ผลก้าวหน้าเร็วขึ้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการสำรวจตนเองด้วยอินทรีย์ 5 จะทำให้เรารู้จุดอ่อน จุดบกพร่องต่าง ๆ ของตัวเรา เมื่อรู้ข้อบกพร่องแล้ว เราก็สามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ถูกต้อง อุปสรรคในการปฏิบัติธรรมก็หมดไป องค์ธรรมทั้ง 5 ในอินทรีย์ 5 ก็ได้แก่

ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความเลื่อมใส
วิริยะ คือ ความเพียร
สติ คือ การระลึกได้
สมาธิ คือ ความตั้งมั่นของจิต
ปัญญา คือ การรู้ตามความเป็นจริง

การที่บุคคลบรรลุมรรคผลได้ จะต้องมีอินทรีย์ 5 ที่แก่กล้าหรือมีกำลังมากพอ ถ้าหย่อนในอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะยังไม่สามารถบรรลุมรรคผล หน้าที่ของผู้ปฏิบัติก็คือตรวจสอบดูว่า องค์ธรรมข้อใดบกพร่องหรืออ่อนกำลัง เมื่อทราบแล้วก็พยายามหาวิธีทำให้องค์ธรรมข้อนั้นมีกำลังมากขึ้น ถ้าองค์ธรรมทั้ง 5 มีกำลังสมบูรณ์ การปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยปรกติองค์ธรรมทั้ง 5 จะเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เช่น ถ้าศรัทธามีกำลังมาก ก็จะเป็นเหตุให้ความเพียรมีกำลังมากขึ้นด้วย ถ้าปัญญามีกำลังมากก็จะทำให้ศรัทธามีกำลังมากขึ้นด้วย ต่อไปจะกล่าวถึงรายละเอียดขององค์ธรรมทั้ง 5 ข้อ ดังนี้

1). ศรัทธา
ศรัทธา หมายถึง ความเชื่อ คือเชื่อว่ามรรคผลนิพพานมีจริง ปฏิบัติให้บรรลุได้จริง เชื่อว่าการปฏิบัติธรรมเป็นของดี มีประโยชน์ ศรัทธาในขั้นต้นก่อนลงมือปฏิบัติธรรมมักจะเกิดจากการได้ฟังธรรมจากผู้รู้ธรรม อาจจะเป็นการไปนั่งฟังธรรมที่บรรยายตามสำนักต่าง ๆ การดูรายการธรรมะทางโทรทัศน์ หรือการอ่านหนังสือธรรมะทั่วไป ถ้าผู้บรรยายธรรมพูดเก่ง พูดดีมีเหตุผล เราก็จะมีศรัทธามาก แต่ศรัทธาในขั้นต้นนี้ก็ยังอ่อนกำลัง เพราะเป็นการเชื่อจากการฟังไม่ได้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง ต่อเมื่อปฏิบัติธรรมได้ผล ได้รู้สภาวธรรมตามความเป็นจริงด้วยตนเองแล้ว ศรัทธาจึงจะแก่กล้าหรือมีกำลังมากขึ้น
ลักษณะที่ศรัทธาอ่อนกำลังในขณะปฏิบัติธรรมก็คือ เราจะรู้สึกว่าไม่อยากปฏิบัติธรรม เพราะเห็นว่าไปทำกิจอย่างอื่นดีกว่า เห็นว่าการปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ผลดีอะไรขึ้นมา สาเหตุที่ศรัทธาอ่อนกำลังอาจจะเกิดจากการปฏิบัติที่ผิดวิธีทำให้ไม่ได้ผล เมื่อตั้งใจทำแล้วไม่ได้ผลก็เกิดความท้อใจเกิดความเบื่อหน่าย วิธีแก้ไขให้ศรัทธามีกำลังมากขึ้นมาก็คือ ต้องศึกษาหาวิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง หมั่นสนทนาธรรมกับผู้รู้ธรรม หรือผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้ผลแล้ว เพื่อให้ตนเองมีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น เมื่อปฏิบัติธรรมได้ผลแล้ว ศรัทธาก็จะมีกำลังเพิ่มมากขึ้น ไม่มีใครในโลกนี้ที่เชื่อคนอื่นมากกว่าตนเอง เมื่อเราปฏิบัติจนได้เห็นธรรมด้วยตนเอง ย่อมไม่มีความลังเลสงสัย ย่อมมีความเชื่ออย่างสนิทใจได้ชื่อว่ามีศรัทธาอย่างแท้จริง

2). วิริยะ
วิริยะ หมายถึง ความเพียร ซึ่งก็คือความตั้งใจในการปฏิบัติธรรมนั่นเอง ลักษณะที่วิริยะหรือความเพียรอ่อนกำลังก็คือ การไม่ตั้งใจปฏิบัติ ให้เวลากับการปฏิบัติธรรมน้อยลง ความเพียรย่อมเกิดจากศรัทธา ถ้าศรัทธามีกำลัง ความเพียรก็ย่อมมีกำลังด้วย ถ้าศรัทธาย่อหย่อน ความเพียรก็ย่อหย่อนด้วย เช่น เมื่อเห็นว่าปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้อะไรดีขึ้นมา ความตั้งใจ ความเอาใจใส่ในการปฏิบัติก็ย่อมลดลง
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมก็มีผลให้ความเพียรย่อหย่อนได้ เช่น อากาศร้อนเกินไป มีเสียงดังหนวกหู กินอาหารอิ่มเกินไป ง่วงนอน ก็จะทำให้ความเพียรย่อหย่อนได้ มีกิจการงานมากความเพียรก็ย่อหย่อนได้ ถ้าสติและสมาธิอ่อนกำลัง ความเพียรก็ย่อหย่อนได้ ในการแก้ปัญหา เราจะต้องหาสาเหตุที่ถูกต้องแล้วแก้ไข เช่น ถ้าอากาศร้อนเกินไป ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ก็อาจจะเปลี่ยนสถานที่ไปหาที่เย็นสบายกว่า หรือไปอาบน้ำล้างหน้าให้สบายใจเสียก่อน แล้วจึงมาปฏิบัติธรรมต่อ ถ้าวิริยะหรือความเพียรมีกำลัง เราจะรู้สึกว่ามีความขยัน มีความเอาใจใส่ มีความตั้งใจในการปฏิบัติธรรม

3). สติ
สติ หมายถึง การระลึกได้ สตินับว่ามีความสำคัญมากในการปฏิบัติธรรม เพราะเป็นตัวที่ฝึกได้ง่าย สามารถกั้นกิเลสไม่ให้ครอบงำจิตได้ สามารถทำจิตที่หดหู่เศร้าหมองให้กลับเป็นจิตที่สดชื่นเบิกบานได้โดยรวดเร็ว เราจึงควรฝึกฝนสติให้มาก ลักษณะที่สติอ่อนกำลังก็คือ ความรู้สึกในการรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ไม่ชัดเจนแจ่มใส รู้สึกซึมเซา ไม่กระปรี้กระเปร่า วิธีแก้ไขทำได้โดยการฝึกสมาธิให้มาก ๆ เพราะการฝึกสมาธิจะทำให้ทั้งสติและสมาธิมีกำลัง เวลาทำอะไรก็พยายามตั้งใจทำให้มาก ๆ เช่น เวลามองก็ตั้งใจมองให้มาก ๆ ให้รู้ชัดเจนว่ามองอะไร เวลาฟังเสียก็ตั้งใจฟังให้มาก ๆ เวลาพูดก็ให้ตั้งใจพูด เวลาคิดก็ให้ตั้งใจคิดให้เป็นเรื่องเป็นราว ให้รู้ชัดในเรื่องราวนั้น ๆ การฝึกเช่นนี้จะทำให้สติมีกำลังมากขึ้น ถ้าสติมีกำลังเราจะรู้ชัดในอารมณ์ต่าง ๆ เช่น เวลามองก็จะเห็นภาพชัดเจน จิตใจรู้สึกปลอดโปร่งแจ่มใส มีความกระปรี้กระเปร่า รู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

4). สมาธิ
สมาธิ หมายถึง ลักษณะที่จิตสงบ ตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน ปรกติแล้วสติกับสมาธิเกื้อหนุนกันอยู่เสมอ คือ ถ้าสติมีกำลังก็จะฝึกสมาธิได้ง่าย ถ้าสมาธิมีกำลังก็จะฝึกสติได้ง่าย ลักษณะที่สมาธิอ่อนกำลังก็คือ มีความคิดฟุ้งซ่าน เผลอง่าย ใจรวนเร สับสน หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย วิธีแก้ไขก็คือ ต้องฝึกสมาธิให้มาก ๆ ซึ่งวิธีฝึกก็ได้กล่าวไว้แล้วในบทที่ผ่าน ๆ มา การหัดทำอะไรที่จำเจเหมือนเดิมเป็นเวลานาน ๆ เช่น การเคาะจังหวะ การตีกลอง การเดาะลูกตะกร้อหรือลูกบอล การนับลูกประคำ ก็เป็นการฝึกสมาธิที่ดีวิธีหนึ่ง เราอาจจะฝึกสมาธิด้วยการหัดทำอะไรอย่างเดียวตลอดเวลานาน ๆ ก็ได้ เช่น เอาแก้วน้ำมาวางไว้ข้างหน้า แล้วตั้งใจมอง มองให้นาน ๆ ให้ใจอยู่ที่แก้วน้ำนั้นตลอด ไม่ให้ไปรับรู้อารมณ์อื่นเลย ถ้าเผลอไปแล้วนึกขึ้นมาได้ ก็ให้ตั้งใจดูที่แก้วน้ำใหม่ ให้ใจอยู่แต่ที่แก้วน้ำเท่านั้น พยายามทำให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ถ้าสมาธิของเรามีกำลัง เราก็จะรู้สึกว่าจิตสงบตั้งมั่นอยู่กับเรื่องราวที่สนใจ ไม่ฟุ้งซ่าน จิตใจสบาย มีความสุข จะนึกอะไรคิดอะไร ก็เป็นเรื่องเป็นราวไม่สับสน

5). ปัญญา
ปัญญา หมายถึง การรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งก็คือการมีสติอยู่กับปรมัตถธรรมนั่นเอง ลักษณะที่ปัญญาอ่อนกำลังก็คือ การบังคับให้สติอยู่กับปรมัตถ์ ทำได้ยาก สติคอยแต่จะอยู่กับสมมุติร่ำไป สาเหตุที่ปัญญาอ่อนกำลังก็เพราะมีตัณหามาก มีใจเพลิดเพลินอยู่กับเรื่องราวต่าง ๆ ในสมมุติ ติดอยู่ในสมมุติ ไม่อาจจะละความรู้สึกที่เป็นสมมุติต่าง ๆ ได้ วิธีแก้ไขก็ต้องพิจารณาธรรมให้มาก ๆ เช่น พิจารณาถึงความแก่ ความตาย เพื่อให้จิตคลายกำหนัดจากเรื่องราวต่าง ๆ ในสมมุติ เมื่อไม่ติดใจในสมมุติแล้ว ก็สามารถที่จะเอาสติไปอยู่กับปรมัตถ์ได้ง่าย เรียกว่าปัญญามีกำลังมากขึ้น
ส่วนการที่เรามีสติอยู่กับสมมุติ แต่ไม่ยินดียินร้ายในสมมุติ ก็ได้ชื่อว่ามีปัญญาเช่นกัน เพราะเรารู้สมมุติตามความเป็นจริง ไม่ติดในสมมุติเหมือนกัน
อินทรีย์ 5 นี้ เมื่อทำให้แก่กล้า คือ มีกำลังมากขึ้นแล้ว เรียกชื่อใหม่ว่า พละ 5 ในการปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติจะต้องคอยตรวจสอบอยู่เสมอว่า ตนย่อหย่อนในข้อใด แล้วหาทางแก้ไขให้ถูกดต้อง ถ้าเรานำอินทรีย์ 5 มาใช้ในการตรวจสอบหาข้อบกพร่องของการปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ ก็จะทำให้เราสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้

http://larndham.org/index.php?/topic/34 ... %E0%B8%A5/


และเพราะเขายังต้องเดินไปในส่วนนี้ด้วย

อ้างคำพูด:
๖. ญาณ ๓ ในอริยสัจ ๔ มีอาการ ๑๒



๑. ทุกขอริยสัจ มีญาณ ๓ คือ สัจจญาณ – กิจจญาณ – กตญาณ

๒. สมุทัยอริยสัจ มีญาณ ๓ คือ สัจจญาณ – กิจจญาณ – กตญาณ

๓. นิโรธอริยสัจ มีญาณ ๓ คือ สัจจญาณ – กิจจญาณ – กตญาณ

๔. มรรคอริยสัจ มีญาณ ๓ คือ สัจจญาณ – กิจจญาณ – กตญาณ



๖.๑ สัจจญาณในอริยสัจ ๔ ที่เกิดขึ้นแก่พระโสดาปัตติมรรคว่า
- ทุกข์นี้เป็นความจริงของพระอริยะ
- นี้เป็นเหตุตั้งขึ้นพร้อมแห่งทุกข์
- นี้เป็นธรรมที่ดับสนิทแห่งทุกข์
- นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ จัดไว้ในภูมิของพระเสขะ



๖.๒ กิจจญาณในอริยสัจ ๔ ที่เกิดขึ้นแก่พระอริยมรรคเบื้องสูง ๓ ว่า
ทุกข์ควรกำหนดรู้ เป็นต้น จัดไว้ในภูมิของ พระเสขะเหมือนกัน



๖.๓ กตญาณในอริยสัจ ๔ คือ ปัญญาที่กลับพิจารณาว่า ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว
เป็นต้น จัดไว้ในภูมิของพระอเสขะ (ปัจจเวกขณญาณ)

http://www.abhidhamonline.org/boss_file ... iyas.htm#6

:b12:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 14 ก.ย. 2012, 11:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นักวิทยาศาสตร์อย่างที่เรารู้จักกันนี่ ก็ไม่ได้ทำการพิเศษอะไร วิทยาศาสตร์ก็ค้นพบธรรมดานี่แหละ คือค้นพบความจริงตามธรรมดาของธรรมชาติ พูดสั้นๆว่า ค้นพบธรรม และเป็นธรรมเพียงด้านเดียวคือวุ่นอยู่แค่รูปธรรม แต่ก็เพียรพยายามทำกันมาเป็นกิจการใหญ่โต ลงทุนลงแรงไปไม่รู้เท่าไร เพื่อจะหาความจริงตามธรรมดานี่แหละ แล้วก็ค้นพอกันมาทีละน้อยๆ

ไปๆมาๆวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบความจริงทาด้านวัตถุด้านเดียวและก็ยังไม่ทั่วตลอด ไม่ถึงที่สุด
แม้แต่ความจริงเพียงด้านวัตถุอย่างเดียว ก็ยังใช้เวลาและแรงงานกันไม่รู้ว่าเท่าไร และบัดนี้ก็ยังหาได้ถึงความจริงนั้นไม่
สิ่งที่ค้นพบในทางวิทยาศาสตร์สมัยหนึ่งว่าอย่างนี้ๆ นึกว่าค้นพบความจริงแท้แล้ว แต่เวลาผ่านไปอีก 20 ปี 50 ปี 100 ปี นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังที่มีเครื่องมือทันสมัยยิ่งขึ้น และมีประสบการณ์จากคนรุ่นก่อนทำไว้ให้มากกว่า ก็ค้นพบว่าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนค้นพบไว้นั้นไม่จริงแท้เสียแล้ว เพราะว่ามองความจริงไม่ทั่วถึง มองเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์โยงกันไม่รอบด้าน ก็กลายเป็นว่า สิ่งที่ค้นพบเก่านั้น เป็นเท็จไป
เมื่อค้นพบความจริงใหม่ ก็ประกาศว่า อันนี้ถึงจะจริง ต่อไปก็ค้นพบอีกว่า อันนั้นก็อาจะไม่จริงอีก ก็เป็นอย่างนี้กันเรื่อยมา

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรม ตรัสรู้ความจริงแห่งกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมทั้งเรื่องนามธรรม และรูปธรรม เพราฉะนั้น จึงเป็นความจริงที่มีความสมบูรณ์ในตัว ไม่ใช่เป็นความจริงเฉพาะด้าน

เวลานี้ การค้นคว้าทางวิชาการต่างๆ ที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามามาก แต่ไปเน้นเพียงด้านวัตถุ ก็จึงจำกัดตัวเองให้ค้นพบความจริงไม่ทั่วถึง ยังจะต้องพิสูจน์ค้นคว้ากันต่อๆไป

จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์เริ่มหันมาสนใจเรื่องจิตใจ เปลี่ยนจากแต่ก่อนนี้ที่ถือว่าจิตใจเป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจน เป็นเรื่องที่ขึ้นต่อความรู้สึก ไม่เกี่ยวกับความจริงในธรรมชาติ แล้วยังแถมแยกคนออกเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากธรรมชาติอีกด้วย เป็นกันมาตลอดประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวันตก จนกระทั่งเวลานี้จึงกลับมาสนใจเรื่องนามธรรมและถามเอาจริงเอาจังขึ้นมาว่า จิตใจคืออะไร



(คห.ก่อนบอก จ.ภูเก็ต ที่จริงเป็น จ. พังงา)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นักวิทยาศาสตร์อย่างที่เรารู้จักกันนี่ ก็ไม่ได้ทำการพิเศษอะไร วิทยาศาสตร์ก็ค้นพบธรรมดานี่แหละ คือค้นพบความจริงตามธรรมดาของธรรมชาติ พูดสั้นๆว่า ค้นพบธรรม และเป็นธรรมเพียงด้านเดียวคือวุ่นอยู่แค่รูปธรรม แต่ก็เพียรพยายามทำกันมาเป็นกิจการใหญ่โต ลงทุนลงแรงไปไม่รู้เท่าไร เพื่อจะหาความจริงตามธรรมดานี่แหละ แล้วก็ค้นพอกันมาทีละน้อยๆ

ไปๆมาๆวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบความจริงทาด้านวัตถุด้านเดียวและก็ยังไม่ทั่วตลอด ไม่ถึงที่สุด
แม้แต่ความจริงเพียงด้านวัตถุอย่างเดียว ก็ยังใช้เวลาและแรงงานกันไม่รู้ว่าเท่าไร และบัดนี้ก็ยังหาได้ถึงความจริงนั้นไม่
สิ่งที่ค้นพบในทางวิทยาศาสตร์สมัยหนึ่งว่าอย่างนี้ๆ นึกว่าค้นพบความจริงแท้แล้ว แต่เวลาผ่านไปอีก 20 ปี 50 ปี 100 ปี นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังที่มีเครื่องมือทันสมัยยิ่งขึ้น และมีประสบการณ์จากคนรุ่นก่อนทำไว้ให้มากกว่า ก็ค้นพบว่าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนค้นพบไว้นั้นไม่จริงแท้เสียแล้ว เพราะว่ามองความจริงไม่ทั่วถึง มองเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์โยงกันไม่รอบด้าน ก็กลายเป็นว่า สิ่งที่ค้นพบเก่านั้น เป็นเท็จไป
เมื่อค้นพบความจริงใหม่ ก็ประกาศว่า อันนี้ถึงจะจริง ต่อไปก็ค้นพบอีกว่า อันนั้นก็อาจะไม่จริงอีก ก็เป็นอย่างนี้กันเรื่อยมา

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรม ตรัสรู้ความจริงแห่งกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมทั้งเรื่องนามธรรม และรูปธรรม เพราฉะนั้น จึงเป็นความจริงที่มีความสมบูรณ์ในตัว ไม่ใช่เป็นความจริงเฉพาะด้าน

เวลานี้ การค้นคว้าทางวิชาการต่างๆ ที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามามาก แต่ไปเน้นเพียงด้านวัตถุ ก็จึงจำกัดตัวเองให้ค้นพบความจริงไม่ทั่วถึง ยังจะต้องพิสูจน์ค้นคว้ากันต่อๆไป

จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์เริ่มหันมาสนใจเรื่องจิตใจ เปลี่ยนจากแต่ก่อนนี้ที่ถือว่าจิตใจเป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจน เป็นเรื่องที่ขึ้นต่อความรู้สึก ไม่เกี่ยวกับความจริงในธรรมชาติ แล้วยังแถมแยกคนออกเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากธรรมชาติอีกด้วย เป็นกันมาตลอดประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวันตก จนกระทั่งเวลานี้จึงกลับมาสนใจเรื่องนามธรรมและถามเอาจริงเอาจังขึ้นมาว่า จิตใจคืออะไร



(คห.ก่อนบอก จ.ภูเก็ต ที่จริงเป็น จ. พังงา)
นักวิทยาศาสตร์เขาไม่ได้กำหนดรู้ทุกข์ในอริยสัจแต่เมื่เข้าเป็นนักวิทยาศาสตร์เขาไม่เชื่อโดยการฟังอย่างเดียว เขาเข้ามาลองปฎิบัติแบบจริงจังในหลักสูตร30วันเมือ่เขาได้ฟังธรรมบรรยายเกี่ยวกับอริยสัจและปฎิบัติไปพร้อมๆกันเขาถึงเข้าใจว่า การกำจัดกิเลสก็เป็นวิทยาศาสตร์เหมือนกัน

เพราะเขาเข้าใจในเรื่องการกำจัดสิ่งไม่บริสุทธิ์ในธาตุอื่นๆด้วยว่าจะต้องทำอย่างไรให้ธาตุแต่ละธาตุนั้นบริสุทธิ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เขียนจดหมายมาหาอาจารย์หลายฉบับอย่างไม่ขาดเป็นระยะๆเ่ล่าว่าชีวิตของเขาดีขึ้นกลมเกรียว มีความสุขเขาเลิกเหล้าบุหรี่ได้จากที่เขาไม่เคยคิดที่จะเลิกมันเลย เขาจึงปฎิบัติตามวิธีนี้ตลอดหลายปีมาแล้ว และยังแนะนำเพื่อนๆให้รู้จักวิธีนี้ได้มากมาย

ส่วนที่ว่าสำนักปฎิบัตินั้นน่าจะชื่อบ้านวังเมืองใช่มั้ยครับ ที่นั้นผมก็เคยอ่านประวัติเหมือนกันท่านเป็นพระบวชมาแล้วไม่ยอมสึก ท่านคงเจออะไรพอสมควร ลูกศิษย์ลูกหาก็เยอะนะน่าจะเป็นที่นี่นะhttp://www.thammatipo.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=424764

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 14 ก.ย. 2012, 12:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ญาณสามจะเกิดขึ้นตั้งแต่โสดบันเป็นตนไปเมื่อเราสดับรับฟัง พิจารณา กำจัดต้นเหตุ เดินตามมรรค จนศิลสมาธิ ปัญญาสมบูรณตามลำดับขั้น จักขุ ญาณ ปัญญษ วิชา แสงสว่างจะต้องเกิดขึ้นกับพระอริยบุคคลอย่างน้อยโสดาบันขึ้นไป

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ญาณสามจะเกิดขึ้นตั้งแต่โสดบันเป็นตนไปเมื่อเราสดับรับฟัง พิจารณา กำจัดต้นเหตุ เดินตามมรรค จนศิลสมาธิ ปัญญาสมบูรณตามลำดับขั้น จักขุ ญาณ ปัญญษ วิชา แสงสว่างจะต้องเกิดขึ้นกับพระอริยบุคคลอย่างน้อยโสดาบันขึ้นไป



มันต้องเริ่มด้วยการปฏิบัติ ลงมือทำ ต้องสร้างเหตุก่อนแล้วผลจะเกิดตามเหตุนั้น สร้างเหตุถูกต้องผลก็ถูกต้อง เป็นสัมมาปฏิปทา สร้างเหตุผิดปฏิบัติผลก็ผิดก็เพี้ยน เป็นมิจฉาปฏิปทา
เหตุกับผลตรงกันเสมอ สร้างเหตุผลผิดแม้จะยกศัพท์มาเรียงๆวางๆพอหลอกตาคน เหมือนไฟวิ่งพลางตาคน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 15:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
ญาณสามจะเกิดขึ้นตั้งแต่โสดบันเป็นตนไปเมื่อเราสดับรับฟัง พิจารณา กำจัดต้นเหตุ เดินตามมรรค จนศิลสมาธิ ปัญญาสมบูรณตามลำดับขั้น จักขุ ญาณ ปัญญษ วิชา แสงสว่างจะต้องเกิดขึ้นกับพระอริยบุคคลอย่างน้อยโสดาบันขึ้นไป



มันต้องเริ่มด้วยการปฏิบัติ ลงมือทำ ต้องสร้างเหตุก่อนแล้วผลจะเกิดตามเหตุนั้น สร้างเหตุถูกต้องผลก็ถูกต้อง เป็นสัมมาปฏิปทา สร้างเหตุผิดปฏิบัติผลก็ผิดก็เพี้ยน เป็นมิจฉาปฏิปทา
เหตุกับผลตรงกันเสมอ สร้างเหตุผลผิดแม้จะยกศัพท์มาเรียงๆวางๆพอหลอกตาคน เหมือนไฟวิ่งพลางตาคน :b1:
แม็นแล็ว!พี่กาย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


จิต มีอาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
จิต เจตสิกเป็นเครื่องประกอบอยู่ทุกเมื่อ ....................เหล่านี้นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้

เพราะนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น เรียนเรื่องจิตจาก ซิกมันฟรอยด์

แต่นักวิทยาศาสตร์คนไหน เรียนเรื่องจิตจากพระอภิธรรม ............ ก็ย่อมรู้เช่นเดียวกัน
กับเราๆ ท่านๆ ในลานธรรมแห่งนี้

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร