วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 05:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




q228a34.gif
q228a34.gif [ 10.08 KiB | เปิดดู 3733 ครั้ง ]
นี่ก็แยกไม่ออกระหว่างความอยากที่เป็นฉันทะ กับ ตัณหา ทำไปทำมาเป็นอัตตกิลมถานุโยคไปอีก

แค่เรื่องกินก็ทำสะยุ่งยากไปหมด มีกินก็กินไปดิ กินเรื่องเล็กไม่มีกินสิเรื่องใหญ่ กินแต่พอดีกับความต้องการของร่างกาย กายต้องกินอาหารจึงดำรงอยู่ได้ ไม่กินตายแหง๋แก๋ :b12:

ถึงว่าไงทำไปทำมาจะคิดเหมือนนิครนถ์ชาวพุทธที่รักเอ๋ย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 06:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ถามท่านอริยะทุกท่านครับ ดับตัณหาจากรสอาหาร นอกจากวิธี อาหารเรปฏิกูลสัญญา ยังมีวิธีอื่นมั้ยครับ


ขอบคุณครับ :b8:
กินมื้อเดียวโอกาสเกิดตัณหาได้ครั้งเดียว กินสองมื้อโอกาสเกิดตัณหาได้สองครั้ง กินสามมื้อโอกาสเกิดตัณหาได้สามครั้ง การทำลาบสะพานก็เป็นอีกวิธีหนึ่งครับ


ที่พยายามทำอยู่
สำรวม ตา จมูก ใจ พิจารณากินเพื่อธาตุขันธ์ อดกลั่นต่อความอยาก หลีก-เว้นเลือกอาหาร อาศัยความยินดีน้อมไปเพื่อสละลง แต่ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง

แต่การเห็นโทษเห็นทุกข์ของอาหาร จนมันไม่ติดในรสชาตินี้ซิครับ มันทำยากโครต จึงอยากทราบวิธีที่ท่านทั้งหลายทำอยู่ได้ผลอย่างไรบ้าง

ยังเลือกกินของที่ชอบ เลือกอาหารที่ดูน่ากิน ปรุงรสอาหารกันอยู่มั้ย


ขอบคุณครับ :b8:
นี่แหล่ะครับที่ว่าถ้าเป็นพระก็หมดทางที่จะเลือกแล้วแต่ตามมีตามได้ เป็นฆราวาสก็ต้องเลือกกินมันตาใจตัวเอง เอาอย่างนี้ซิครับ ถ้าไม่ยุ่งยากเกินไปถ้าต้องการทำถึงขนาดนั้นก็ทำเป็นตารางขึ้นมาเลยวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะกินอะไรก็กินวันละอย่างเป้นการกำหนดรสชาติดีมั้ยอิๆ
การที่เรากำหนดอะไรๆเพื่อขีดเส้นตีกรอบนั้นมีส่วนดีต่อการกำจัดกิเลสอย่างยิ่งเพราะ เราไม่รู้ตัวหรอกว่ากิเลสมันเล่นงานเราตอนไหนเปรียบเป็นการงานชอบเหมือนกัน มันดีทั้งนั้น แต่ไม่ได้หมายความยึดในสิ่งปฎิบัติว่ามันเป็นสิ่งที่เราทำถูกกว่าผู้อื่น แต่สามารถโต้งแย้งพูดถึงหตุผลได้ครับ ศิลในปาติโมกข์นั้นแหล่ะครับนำมาน้อมนำใช้ไม่ผิดหวังหรอกครับ พระศาสดาเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการประพฤติพรหมจรรย์ แต่ถ้าใครไม่มีข้อวัตรเลยก็ถือว่าอยู่ห่างพระพุทธองค์ครับ เรื่องอาหารนี่เรื่องใหญ่สุด ต้องละเอียดแค่พิจารณาอาหารนี้บรรลุถึงอนาคามีได้เลยนะครับ ผมถึงขีดเส้นตีกรอบให้ตัวเองเพื่อไม่ให้กิเลสมันทำกิจเสร็จ สุดท้ายเราไม่ให้อาหารมันจิตมันก็ต้องมีอาหาร มันออกมาหาอาหารเราไม่ให้มันกินมันก็หมดแรงตายเอง ตอนนี้ของผมกิเลสมันเดินเซแล้วผอมหยองกอดเลยอดมาหลายเดือน เจอเราเบาเบาๆมันก็เอียงแล้ว เชื่อผมอย่าหลงไปเชื่อใครhttp://www.youtube.com/watch?v=MSDSgTIrhAQรับประกันไม่ผิดหวังอิๆๆ :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 16 ก.ย. 2012, 17:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 06:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุใดเป็นผู้ติดรสอาหาร ภิกษุนั้นชื่อว่าเป็นผู้ขวนขวายเพื่อยังปัจจัยให้เกิด และชื่อว่าละทิ้งประโยชน์อัน
จะนำความสุขมาให้

ภิกษุพึงยินดีด้วยของๆ ตน แม้จะเป็นของเศร้าหมอง ไม่พึงปรารถนารสอาหารอย่างอื่นมาก เพราะใจของบุคคลผู้ติดในรสอาหาร ย่อมไม่ยินดีในฌาน

โส อุสฺสุกฺโก รสานุคิทฺโธ อตฺถํ ริญฺจติ โย สุขาธิวาโห ความว่า ภิกษุใดเป็นผู้ติดรสอาหาร คือติดรสอาหารด้วยอำนาจตัณหา เป็นผู้ขวนขวายเพื่อให้ปัจจัยเกิดขึ้น ภิกษุนั้น
ย่อมเป็นผู้ขวนขวายเพื่อสงเคราะห์สกุล เมื่อสกุลมีความสุข ตนเองก็พลอย
มีความสุข เมื่อสกุลประสบความทุกข์ ตนเองก็พลอยมีความทุกข์ไปด้วย
เมื่อกิจการงานของสกุลเกิดขึ้น ก็เอาตนเข้าไปพัวพัน ย่อมละเว้น ประโยชน์
มีศีลเป็นต้น อันจะนำความสุขมาให้ คืออันจะนำความสุขที่เกิดจากสมถะ
วิปัสสนา มรรคผล และนิพพานมาให้ คือแตกตนออกจากประโยชน์นั้น
โดยส่วนเดียว.

:b8: :b8: :b8:

รสอาหาร เป็น กามฉันทะ นำมาสู่การ รสวิตก และ รสวิจารณ์ สู่ รสตัณหา
ฉันทะ ฝ่ายกุศล ปฏิบัติไประดับนึง ก็ต้องทิ้ง


ของน้ำหนัก 30 กิโล บางคนยกได้สบาย บางคนยกไม่ไหว มันขึ้นอยู่กับอินทรีย์ของแต่ละคน ส่วนสุดทั้ง2ข้าง ล้วนพิจารณาได้ ตามอินทรีย์ตน

ระวังทิฏฐิ อกุศล อันเบาบาง เพราะไม่รู้จักวาง ความรู้ตน

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 06:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


และการขีีดเส้นตีกรอบนั้นเราจะเห็นใจเราเลยว่าเอ๊ะ สิ่งนี้ทำไมทำให้เรามีความรู้สึกเกิดขึ้นมาชัดเจนสุด อย่างเช่น ทำสิ่งนี้ทำไมเราถึงชอบทำสิ่งนี้ทำไมเราถึงไม่ชอบ ทั้งๆที่มันไม่ได้มีอะไรเลยเราปรุ่งแต่งเองแท้

กินไอ้นี่ทำไมเราไม่ชอบ กินไอ้นี่ทำไมเราชอบ ก็กเลสทั้งนั้น พระท่านถึงรับอาหารตามที่ได้ชอบก็ต้องกิน ไม่ชอบก็ต้องกิน เลือกไม่ได้ จะได้จิตไม่แสวงหายังไง นี่แหละเหตุผลที่พระองให้ขอเขากิน มีไม้มีมือทำกันเองก็ได้ ถ้าทำกินเองก็จบกันมันจะเป็นการส่งเสริมกิเลสซิ

เพราะเราก็คงจะทำแต่สิ่งที่เราชอบกินนั้นนะซิ ขนาดอาหารที่หามาได้ยังต้องพิจารณาเลย ควรยึดติดอีกมั้ยยังต้องมานั่งปัจจเวกพิจารณากันอีกเลย เรื่องอาหารนี่มันละเอียดสุดเกินกว่าใครจะคิดได้ ขนาดเอื้มมือไปตักอาหารที่ไกลขนาดนั้นยังเอื้มมือไปเลย เพราะอะไรไม่ใช่เพราะความอยากเหรอของใกล้ๆตรงหน้าเราแท้ๆยังไม่อยากกินอิๆๆมนุษย์หนอมนุษย์ กิเลสแท้ๆ พระท่านถึงเอาอาหารเทรวมกันนั้นแหละมันง่ายดี

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 06:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ถามท่านอริยะทุกท่านครับ ดับตัณหาจากรสอาหาร นอกจากวิธี อาหารเรปฏิกูลสัญญา ยังมีวิธีอื่นมั้ยครับ


ขอบคุณครับ :b8:
กินมื้อเดียวโอกาสเกิดตัณหาได้ครั้งเดียว กินสองมื้อโอกาสเกิดตัณหาได้สองครั้ง กินสามมื้อโอกาสเกิดตัณหาได้สามครั้ง การทำลาบสะพานก็เป็นอีกวิธีหนึ่งครับ


ที่พยายามทำอยู่
สำรวม ตา จมูก ใจ พิจารณากินเพื่อธาตุขันธ์ อดกลั่นต่อความอยาก หลีก-เว้นเลือกอาหาร อาศัยความยินดีน้อมไปเพื่อสละลง แต่ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง

แต่การเห็นโทษเห็นทุกข์ของอาหาร จนมันไม่ติดในรสชาตินี้ซิครับ มันทำยากโครต จึงอยากทราบวิธีที่ท่านทั้งหลายทำอยู่ได้ผลอย่างไรบ้าง

ยังเลือกกินของที่ชอบ เลือกอาหารที่ดูน่ากิน ปรุงรสอาหารกันอยู่มั้ย


ขอบคุณครับ :b8:
นี่แหล่ะครับที่ว่าถ้าเป็นพระก็หมดทางที่จะเลือกแล้วแต่ตามมีตามได้ เป็นฆราวาสก็ต้องเลือกกินมันตาใจตัวเอง เอาอย่างนี้ซิครับ ถ้าไม่ยุ่งยากเกินไปถ้าต้องการทำถึงขนาดนั้นก็ทำเป็นตารางขึ้นมาเลยวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะกินอะไรก็กินวันละอย่างเป้นการกำหนดรสชาติดีมั้ยอิๆ
การที่เรากำหนดอะไรๆเพื่อขีดเส้นตีกรอบนั้นมีส่วนดีต่อการกำจัดกิเลสอย่างยิ่งเพราะ เราไม่รู้ตัวหรอกว่ากิเลสมันเล่นงานเราตอนไหนเปรียบเป็นการงานชอบเหมือนกัน มันดีทั้งนั้น แต่ไม่ได้หมายความยึดในสิ่งปฎิบัติว่ามันเป็นสิ่งที่เราทำถูกกว่าผู้อื่น แต่สามารถโต้งแย้งพูดถึงหตุผลได้ครับ ศิลในปาติโมกข์นั้นแหล่ะครับนำมาน้อมนำใช้ไม่ผิดหวังหรอกครับ พระศาสดาเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการประพฤติพรหมจรรย์ แต่ถ้าใครไม่มีข้อวัตรเลยก็ถือว่าอยู่ห่างพระพุทธองค์ครับ เรื่องอาหารนี่เรื่องใหญ่สุด ต้องละเอียดแค่พิจารณาอาหารนี้บรรลุถึงอนาคามีได้เลยนะครับ ผมถึงขีดเส้นตีกรอบให้ตัวเองเพื่อไม่ให้กิเลสมันทำกิจเสร็จ สุดท้ายเราไม่ให้อาหารมันจิตมันก็ต้องมีอาหาร มันออกมาหาอาหารเราไม่ให้มันกินมันก็หมดแรงตายเอง ตอนนี้ของผมกิเลสมันเดินเซแล้วผอมหยองกอดเลยอดมาหลายเดือน เจอเราเบาเบาๆมันก็เอียงแล้ว เชื่อผมอย่าหลงไปเชื่อใคร[url]http://www.youtube.com/watch?v=MSDSgTIrhAQ[/urlรับประกันไม่ผิดหวังอิๆๆ :b12:


การอดอาหารได้ไม่ได้วัดเรื่อง ลดตัณหาจาก รสอาหาร ได้ แต่ช่วยส่งเสริม การลดกำลังกิเลสจากรสอาหารได้

ตอนทานอาหารท่าน บิก ยังเติมน้ำปลา น้ำตาล อยู่มั้ยละครับ อันนี้ก็ไม่สำคัญเท่า ตอนกินเจอของที่รสชาติชอบ ไม่ชอบ แล้วยัง รู้สึก วิตก วิจารย์ อยู่มั้ยละครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
bigtoo เขียน:
bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ถามท่านอริยะทุกท่านครับ ดับตัณหาจากรสอาหาร นอกจากวิธี อาหารเรปฏิกูลสัญญา ยังมีวิธีอื่นมั้ยครับ


ขอบคุณครับ :b8:
กินมื้อเดียวโอกาสเกิดตัณหาได้ครั้งเดียว กินสองมื้อโอกาสเกิดตัณหาได้สองครั้ง กินสามมื้อโอกาสเกิดตัณหาได้สามครั้ง การทำลาบสะพานก็เป็นอีกวิธีหนึ่งครับ


ที่พยายามทำอยู่
สำรวม ตา จมูก ใจ พิจารณากินเพื่อธาตุขันธ์ อดกลั่นต่อความอยาก หลีก-เว้นเลือกอาหาร อาศัยความยินดีน้อมไปเพื่อสละลง แต่ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง

แต่การเห็นโทษเห็นทุกข์ของอาหาร จนมันไม่ติดในรสชาตินี้ซิครับ มันทำยากโครต จึงอยากทราบวิธีที่ท่านทั้งหลายทำอยู่ได้ผลอย่างไรบ้าง

ยังเลือกกินของที่ชอบ เลือกอาหารที่ดูน่ากิน ปรุงรสอาหารกันอยู่มั้ย


ขอบคุณครับ :b8:
นี่แหล่ะครับที่ว่าถ้าเป็นพระก็หมดทางที่จะเลือกแล้วแต่ตามมีตามได้ เป็นฆราวาสก็ต้องเลือกกินมันตาใจตัวเอง เอาอย่างนี้ซิครับ ถ้าไม่ยุ่งยากเกินไปถ้าต้องการทำถึงขนาดนั้นก็ทำเป็นตารางขึ้นมาเลยวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะกินอะไรก็กินวันละอย่างเป้นการกำหนดรสชาติดีมั้ยอิๆ
การที่เรากำหนดอะไรๆเพื่อขีดเส้นตีกรอบนั้นมีส่วนดีต่อการกำจัดกิเลสอย่างยิ่งเพราะ เราไม่รู้ตัวหรอกว่ากิเลสมันเล่นงานเราตอนไหนเปรียบเป็นการงานชอบเหมือนกัน มันดีทั้งนั้น แต่ไม่ได้หมายความยึดในสิ่งปฎิบัติว่ามันเป็นสิ่งที่เราทำถูกกว่าผู้อื่น แต่สามารถโต้งแย้งพูดถึงหตุผลได้ครับ ศิลในปาติโมกข์นั้นแหล่ะครับนำมาน้อมนำใช้ไม่ผิดหวังหรอกครับ พระศาสดาเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการประพฤติพรหมจรรย์ แต่ถ้าใครไม่มีข้อวัตรเลยก็ถือว่าอยู่ห่างพระพุทธองค์ครับ เรื่องอาหารนี่เรื่องใหญ่สุด ต้องละเอียดแค่พิจารณาอาหารนี้บรรลุถึงอนาคามีได้เลยนะครับ ผมถึงขีดเส้นตีกรอบให้ตัวเองเพื่อไม่ให้กิเลสมันทำกิจเสร็จ สุดท้ายเราไม่ให้อาหารมันจิตมันก็ต้องมีอาหาร มันออกมาหาอาหารเราไม่ให้มันกินมันก็หมดแรงตายเอง ตอนนี้ของผมกิเลสมันเดินเซแล้วผอมหยองกอดเลยอดมาหลายเดือน เจอเราเบาเบาๆมันก็เอียงแล้ว เชื่อผมอย่าหลงไปเชื่อใคร[url]http://www.youtube.com/watch?v=MSDSgTIrhAQ[/urlรับประกันไม่ผิดหวังอิๆๆ :b12:


การอดอาหารได้ไม่ได้วัดเรื่อง ลดตัณหาจาก รสอาหาร ได้ แต่ช่วยส่งเสริม การลดกำลังกิเลสจากรสอาหารได้

ตอนทานอาหารท่าน บิก ยังเติมน้ำปลา น้ำตาล อยู่มั้ยละครับ อันนี้ก็ไม่สำคัญเท่า ตอนกินเจอของที่รสชาติชอบ ไม่ชอบ แล้วยัง รู้สึก วิตก วิจารย์ อยู่มั้ยละครับ

:b8:
อย่าเรียกว่าอดอาหารซิครับดูเหมือนประท้วงหน้าทำเนีบยยังไงไม่รู้ :b13: การที่เรารับอาหารมื้อเดียวเพราะเราเห็นโทษการบริโภคอาหารและยังทำให้ได้ประโยชน์มากจากการใช้ชีวิต หนึ่งประหยัด สองไม่วุ่นวาย สามฝึกความอดทน สี่ป้องกันการกระทบผัสสะที่มากระทบ และการแสวงหาหรือการปรุงอาหารวุ่นวายสร้างกิเลสด้านอื่นมากมาย แต่จะมีคนสงสัยว่าแล้วพี่bigทำไมทำอาหารให้ภรรยากินอยู่ อันนี้แหละผมเห็นเป็นปัญหาสำหรับผมมากแต่ผมทำให้ไม่เป็นปัญหาได้ด้วยสติปัญญาที่อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้สบายๆ และได้เอาวิกฤษให้เป็นโอกาสฝึกความอดทนทั้งอาตายนะภายนอกภายในได้เป็นอย่างดียิ่งและให้ผลได้อย่างเยี่ยมยอดจริงๆ เพราะความจริงอะไรบางอย่างเกิดตรงนี้มากจริงๆถ้าเราไม่มีสติปัญญาเพียงพอไม่มีทางรอดมือมันได้แน่นอนครับ

และการเติมน้ำปลา น้ำตาลอะไรนั้นก็เป็นผลจากกิเลสทั้งนั้นแหละครับ และรสชาติชอบไม่ชอบนั้นก็เป็นกิเลสอีกนั้นแหละครับ แล้วใครห้ามได้จริงๆเล่าถ้าไม่ได้เป็นอริยะขั้นสูง เราคงต้องปล่อยไปตามเหตุปัจจัยก่อน แต่เราทำได้เพียงสำรวมควบคุมระวังอย่างที่ทำๆกันอยู่ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วแต่สติจะเกิด ทั้งละ ทั้งลด ทั้งเลิกนี่แหละครับสิ่งที่เราควรทำ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปอ่านปัจจเวกขณะ (ปฏิสังขาโย ฯลฯ) นั่นแหละความมุ่งหมายของการใช้สอยปัจจัย 4 แนวพุทธ :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไปอ่านปัจจเวกขณะ (ปฏิสังขาโย ฯลฯ) นั่นแหละความมุ่งหมายของการใช้สอยปัจจัย 4 แนวพุทธ :b14:
พี่กายดูว่าทำไมผมถึงให้เจาะลึกลงไปในจิตใจเราพี่ดูทางกายภาพนี้ก่อน พี่เลื่อนไปดูที่ 1ชั่วโมง26นาทีเลย ดูที่คลิบนี้เลยhttp://media.watnapahpong.org/video/4XBHABMOMNK1/

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 15 ก.ย. 2012, 09:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 08:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไปอ่านปัจจเวกขณะ (ปฏิสังขาโย ฯลฯ) นั่นแหละความมุ่งหมายของการใช้สอยปัจจัย 4 แนวพุทธ :b14:


อันนี้ใช่มั้ยครับ

บิณฑบาต อาหารที่ได้มา พิจารณาโดยอุบายอันแยบคายแล้วจึงฉันบิณฑบาต

ไม่ฉันเพื่อเล่น ไม่ฉันเพื่อเมา ไม่ฉันเพื่อประดับ ไม่ฉันเพื่อตกแต่ง ฉันเพื่อความ

ดำรงกายนี้เพื่อให้กายนี้เป็นไป เพื่อเว้นความลำบากแห่งกายนี้ เพื่ออนุเคราะห์แก่

พรหมจรรย์ ด้วยมนสิการว่า เราจะบำบัดเวทนาเก่า จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น

ความเป็นไปสะดวก ความไม่มีโทษ ความผาสุกจักมีแก่เรา

ดังนั้นเมื่อได้อาหารก็พิจารณาด้วยปัญญาอย่างนี้ เช่น ฉันอาหารเพื่อดำรงชีวิตเท่า

นั้น เพื่อที่จะได้เมื่อหิวก็แค่หายหิว(บัดบำเวทนาเก่า ไม่ให้เวทนาใหม่กำเริบ) รวมทั้ง

ร่างกายก็ต้องการอาหาร จึงบริโภคด้วยการพิจารณาด้วยปัญญาว่าแค่ดำรงชีวิตให้เป็น

ไปเพื่อที่จะได้อนุเคราะห์พรหมจรรย์ คือ ได้มีโอกาสอบรมปัญญาต่อไป เพราะการมี

ชีวิตอยู่ ก็ต้องอาศัยการบริโภคอาหาร เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาอย่างนี้กิเลสก็ไม่เกิดขึ้น

เพราะอาศัยอาหาร เพราะโดยมากก็ทานกัน อิ่มแล้วก็ไม่พอ ยังอร่อยอยู่ กิเลสก็กำเริบ

เพราะอาศัยอาหาร เป็นต้น


แถม อาหารเรปฏิกูลสัญญากรรมฐาน

พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาอาหารที่คนเราติดในรสอร่อยของอาหารทำให้อยากเกิดมากินอาหารอร่อย ๆ ถูกใจจิตก็ยึดติดในรูปรสกลิ่นเสียง ทำให้ตกอยู่ในทะเลทุกข์เป็นคนสัตว์เวียนไปเวียนมา เพราะติดใจในรสอาหาร พระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณาอาหาร ก่อนฉันก่อนกินว่ามาจากซากศพสัตว์สกปรก ซากพืชก็เน่าเหม็นสกปรก ร่างกายอยู่ได้ด้วยของสกปรกร่างกายก็ยิ่งสกปรกมากเป็นกรรมฐานเหมาะสำหรับผู้ฉลาดเป็นพุทธจริต ชอบคิด ชอบรู้ พระองค์ท่านก็ให้รู้ของจริง คือ อาหารไม่น่าติดใจหลงใหล เพราะเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ ไม่ถึงพระนิพพาน เพียงแต่กินระงับความหิว รู้ว่าอร่อยแต่ไม่ถือว่าเป็นของที่ทำให้จิตเป็นสุข ถ้าติดในรสจิตก็ติดในโลกไม่มีทางพ้นทุกข์ได้ การกินอาหารเจไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ แต่ต้องกินแบบไม่ติดในรสอาหาร ให้พิจารณาเป็นของสกปรกบำรุงร่างกายสกปรก จิตจึงจะสลัดละความหลงติดในรสอาหารได้ ถ้าไม่หลงกาย ก็ไม่หลงในรสอาหาร อร่อยกินเพื่อระงับความหิว


ลอกเขามา :b12:


ที่เหลือก็คงอยู่ที่ความเพียร แล้วกระมัง

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงนี้ไปหาเองนะ

การบริโภคปัจจัย 4 เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค นี่เรียกว่าปัจจัย 4

ขึ้นต้น ปฏิสังขาโย นิโสจีวรัง ฯลฯ

ปฏิสังขาโย นิโสปิณฑปาตัง ฯลฯ

ปฏิสังขาโย นิโสเสนาสนัง ฯลฯ

ปฏิสังขาโย นิโสคิลานปัจจยเภสัช ฯลฯ


ดูคำแปลด้วยจะได้เข้าใจความมุ่งหมายในการปริโภคใช้สอยปัจจัย 4 ซึ่งเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของชีวิต

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 09:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ขณะจิต เขียน:
s002 เอาใจช่วย ผมเชื่อมั่นว่า พุทธสภาวะเป็นของจริง ถ้าคุณบิ๊กตัดได้ก็อนาคาสิ ยินดียินดี smiley
ไม่เสพนะบอกตรงๆนะครับสบายใจได้เลยมั่นใจครับแต่ มันยังแสดงตัวเป้นชายนี้แหละยังระงับไม่ได้มันมาเองตอนเช้าๆ แต่เรื่องที่จะเสพนี่หมดห่วงครับมั่นใจเกินร้อยครับ


มันมาเองตอนเช้า ๆ ...นี้....ผมอยากจะบอกว่า....มันยังมีอยู่

เชื่อหรือเปล่า?...

อาการนี้เคยหายไปเป็น..ปี...ปี....มีความสุขมาก...ทำวัตรทุกเช้า..ทุกเย็น...ฟังเทศน์จนหลับ...ทำงานก็เปิดเสียงฟังเอา...

เรียกว่า...ทั้งวัน..ไม่มีเว้นจากเสียงธรรม....แล้วอาการนั้น..มันก็ไม่มีเอง...อย่าแาอาการเลยครับ..

แม้แต่อวัยวะยังแฟ้บแห้งเหี่ยวหดหาย...เป็นหนอนตัวน้อยนิดไร้พิษสง...ผมถึงเข้าใจว่า..ใจเป็นต้นเหตุของฮอร์โมน...และ..ฮอร์โมนเป็นต้นเหตุของการทำงานของร่างกาย...

ตอนเช้า..มันยังมาอยู่....อวัยวะคนต้องเบ่งพอง...ไม่งั้นมันมาไม่ได้หรอก...จริงมั้ย?......

ผมเป็นหนอนน้อยทั้งปี...โอ้ว...อนาคามี....555...พอถึงวันที่มันขยับนิด ๆ...ถึงรู้ว่าตูมัน...คามีบ้า..นี้หว้า

แต่..บิกทู..อาจไม่เป็น..คามีบ้า..อย่างผมก็ได้...

:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ขณะจิต เขียน:
s002 เอาใจช่วย ผมเชื่อมั่นว่า พุทธสภาวะเป็นของจริง ถ้าคุณบิ๊กตัดได้ก็อนาคาสิ ยินดียินดี smiley
ไม่เสพนะบอกตรงๆนะครับสบายใจได้เลยมั่นใจครับแต่ มันยังแสดงตัวเป้นชายนี้แหละยังระงับไม่ได้มันมาเองตอนเช้าๆ แต่เรื่องที่จะเสพนี่หมดห่วงครับมั่นใจเกินร้อยครับ


มันมาเองตอนเช้า ๆ ...นี้....ผมอยากจะบอกว่า....มันยังมีอยู่

เชื่อหรือเปล่า?...

อาการนี้เคยหายไปเป็น..ปี...ปี....มีความสุขมาก...ทำวัตรทุกเช้า..ทุกเย็น...ฟังเทศน์จนหลับ...ทำงานก็เปิดเสียงฟังเอา...

เรียกว่า...ทั้งวัน..ไม่มีเว้นจากเสียงธรรม....แล้วอาการนั้น..มันก็ไม่มีเอง...อย่าแาอาการเลยครับ..

แม้แต่อวัยวะยังแฟ้บแห้งเหี่ยวหดหาย...เป็นหนอนตัวน้อยนิดไร้พิษสง...ผมถึงเข้าใจว่า..ใจเป็นต้นเหตุของฮอร์โมน...และ..ฮอร์โมนเป็นต้นเหตุของการทำงานของร่างกาย...

ตอนเช้า..มันยังมาอยู่....อวัยวะคนต้องเบ่งพอง...ไม่งั้นมันมาไม่ได้หรอก...จริงมั้ย?......

ผมเป็นหนอนน้อยทั้งปี...โอ้ว...อนาคามี....555...พอถึงวันที่มันขยับนิด ๆ...ถึงรู้ว่าตูมัน...คามีบ้า..นี้หว้า

แต่..บิกทู..อาจไม่เป็น..คามีบ้า..อย่างผมก็ได้...

:b17: :b17: :b17:
มีหรือไม่มีมันตามเหตุปัจจัยนะครับ เพียงแต่เราโน้มที่จะออกจากกามนั้นแหล่ะครับหน้าที่เรา ถึงมันมามันก็มาเพราะมันต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของมัน แต่เรามีสติมันก็หมดสิทธิปล่อยๆปฎิเสธมันปล่อยๆ เหมือนเรานะครับ เราไปบ้านเขา เขาไม่ต้อนรับเรา เราจะไม่อายจะมาหาเขาอีกมั้ย บ่อยๆเข้าเราก็ไม่ไปจริงมั้ยพี่อิๆ :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 15:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b5: :b5: :b5:

โหย วัดกับหนอนกันขนาดนี้เชียว

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 20:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จิต...ไม่มีเพศ... :b12:

ที่มีเพศ...เพราะจิตประหวัดไปหา....บางอย่าง...ด้วยบางอย่าง

เมื่อจิต..กลับมาที่จิต...ไม่ประหวัดไปหาบางอย่าง....เพศก็ไม่มี(ฮอร์โมนลด...อวัยวะก็ฟ่อ)

อะไรนะ....นามรูปเป็นปัจจัย....สฬยาตนะถึงมี....

สฬยาตนะไม่มี..เพราะ..นามรูปไม่มี...ใช่มั้ย?

:b10: :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 23:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ที่พยายามทำอยู่
สำรวม ตา จมูก ใจ พิจารณากินเพื่อธาตุขันธ์ อดกลั่นต่อความอยาก หลีก-เว้นเลือกอาหาร อาศัยความยินดีน้อมไปเพื่อสละลง แต่ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง

แต่การเห็นโทษเห็นทุกข์ของอาหาร จนมันไม่ติดในรสชาตินี้ซิครับ มันทำยากโครต จึงอยากทราบวิธีที่ท่านทั้งหลายทำอยู่ได้ผลอย่างไรบ้าง

ยังเลือกกินของที่ชอบ เลือกอาหารที่ดูน่ากิน ปรุงรสอาหารกันอยู่มั้ย


ขอบคุณครับ :b8:


ผมยังเลือกกินอยู่นะ เลือกตามที่มีและมีประโยชน์ แต่กินให้น้อย ประมาณว่าหามัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง

ความพอประมาณในการบริโภค ผมใช้วิธีกินอย่างมีสติเมื่อเวทนาในการผัสสะระหว่างอาหารกับลิ้นเกิด

ก็ปล่อยเพราะเป็นธรรมดาของลิ้นเมื่อมีผัสสะย่อมมีเวทนา เปรี้ยว หวาน มันเค็ม อร่อย ไม่อร่อย

ก็ดูมันเกิดดับที่ลิ้นนั่นแหละ แต่อย่าไปปรุงเป็นชอบ ไม่ชอบ เพราะไม่เช่นนั้นความคิดดิ้นรนจะตามมาเชียว

มองให้เห็นว่ารสชาติต่างๆที่เกิด มันเป็นธรรมชาติของลิ้นกับอาหารเมื่อมันมาเจอกัน เลี่ยงไม่ได้

แต่เวลาป่วยลิ้นมันก็เพี้ยนไปอีกอย่างแปลกดี และเวลากินตั้งใจกินเพื่ออยู่นะ

ถ้ากินเพื่ออร่อยละ สังเกตดูเวทนาเกิดมาก พลุ่งพล่าน คุมยาก :b12:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร