วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 23:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2012, 13:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rotala เขียน:
วัฏสงสาร คิดว่า
เหมือนทะเลสาปน้ำจืดโยนก้อนหินลงน้ำกระเพื่อมอากาศกระเพื่อม ปลากระเพื่อม สิ่งต่างๆกระเพื่อม
เม็ดฝนหนึ่งเม็ดฝนน้ำกระเพื่อม สองเม็ด สามเม็ด หลายเม็ดกระเพื่อมกันใหญ่

ดวงจิตกระเพื่อมกระแส หลายดวงกระเพื่อมกันออกมา

อ่านมาว่าสิ่งต่างๆจิตรวมกันสร้างกันขึ้นมา
ทำบุญสร้างศาลา ไปเป็นวิมาร ทำไม่ดีบาปมากขึ้น ไปสร้างสิ่งหนักๆไว้ข้างล่าง หลายดวงรวมกันสร้าง เกิดเป็นสภาพของภพภูมิ

ลองนับดวงจิตในวัฏสงสาร

(ถ้าวัฏสงสารไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีการกระทบกันของสิ่งต่างๆ )


smiley smiley smiley

ขยายก็ดีท่าน เอกอนพอจะมองเห็นภาพที่ท่านพยายามจะบอก
แต่ยังไม่ค่อยชั๊ดดดด เท่าไร

ดูจะเป็นแง่ อีกมุมมองหนึ่งที่ดีทีเดียว

smiley smiley smiley

:b6: ว่าแต่ ทำไมต้องเป็นทะเลสาบน้ำจืดด้วยล่ะท่าน...

ทะเลสาบน้ำเค็ม น้ำกร่อย ไม่ได้หร๋ออออ :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2012, 13:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อน ๆ เคยมั๊ย ที่เห็นนิมิตอะไร แล้วเอามาโยงเป็น วัฏสงสาร น่ะ

คือ มันเป็น วัฏสงสาร จริง ๆ
หรือ มันเป็นเพียง นิมิตวัฏสังสาร


:b16: :b16: :b16:

คือ บางทีมันก็เป็นแง่ที่เราอดที่จะนำมาพิจารณาไม่ได้ว่า
การออกจากวัฏสงสาร มันคือ
การออกจากความคิด
หรือ
การออกจาก...อะไร กันแน่ :b10:
ในเมื่อ ปัจจุบัน เมื่อเราเป็นคน เราไม่ได้เป็นพรหม
การออกจากการเป็นพรหม มันออกมานานแล้ว
นั่นคือเราไม่ต้องไปปวดหัวกับการออกจากความเป็นในอดีตแล้ว
ถ้าเราจะออกจากความเป็นอะไร เราก็คือ เราต้องออกจากความเป็นไปในปัจจุบัน

ถ้าเราจะต้องปวดหัว ก็น่าจะเป็นการปวดหัวกับการออกจากความเป็นคน


:b14: :b14: :b14:

อ๊ะป่าว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2012, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เพื่อน ๆ เคยมั๊ย ที่เห็นนิมิตอะไร แล้วเอามาโยงเป็น วัฏสงสาร น่ะ

คือ มันเป็น วัฏสงสาร จริง ๆ
หรือ มันเป็นเพียง นิมิตวัฏสังสาร


:b16: :b16: :b16:



ผมก็เหมือนท่านเอกอน กลัวการเห็นนิมิตที่น่ากลัวต่างๆ

เลยหลีกเลี่ยงการทำสมาธิประเภทเห็นนู่นนี่นั่นแปลกๆ


จึงศึกษาแนววิปัสสนา ดูปัจจุบันเป็นหลัก ค้นคว้าคำสอนครูบาอาจารย์ที่ไม่ใช่แนวโลดโผน

จนจิตกระโจนเห็นนู่นนี่นั่น พิเศษพิศดาร


จึงมาศึกษาแนวหลวงพ่อพุทธทาส หลวงพ่อชา หลวงพ่อเทียน เซน เว่ยหลาง

อาศัยการคิดคำนวน ตามเหตุผล และค้นคว้าปฏิบัติตามแนวทางของแต่ละท่านจนเห็นผลในระดับหนึ่ง

จนพอรู้เรื่อง ธาตุ ขันธ์ กาย เวทนา จิตธรรม

จึงมารู้ว่าที่เรากลัวนิมิตเพราะจิตมันปรุงแต่งไปเองเป็นความกลัว และนิมิตต่างๆไม่เที่ยง จึงเลิกสนใจ

หากมีการเกิดมาในความคิดบ้าง ความฝันบ้างก็ปล่อยให้มันผ่านไป

eragon_joe เขียน:
คือ บางทีมันก็เป็นแง่ที่เราอดที่จะนำมาพิจารณาไม่ได้ว่า
การออกจากวัฏสงสาร มันคือ
การออกจากความคิด
หรือ
การออกจาก...อะไร กันแน่ :b10:
ในเมื่อ ปัจจุบัน เมื่อเราเป็นคน เราไม่ได้เป็นพรหม
การออกจากการเป็นพรหม มันออกมานานแล้ว
นั่นคืเราไม่ต้องไปปวดหัวกับการออกจากความเป็นในอดีตแล้ว
ถ้าเราจะออกจากความเป็นอะไร เราก็คือ เราต้องออกจากความเป็นไปในปัจจุบัน
ถ้าเราจะต้องปวดหัว ก็น่าจะเป็นการปวดหัวกับการออกจากความเป็นคน


:b14: :b14: :b14:

อ๊ะป่าว


ส่วนความคิด ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของวัฏฏะสงสารเป็นแน่

เพราะทุกการกระทำ ทุกคำพูดล้วนเริ่มต้นจากการคิด

เราถูกสอนให้คิด หรือไม่ถูกสอนก็คิดเป็นเพื่อดำรงค์ชีวิตเพื่อเอาตัวรอด

และเมื่อคิดแล้วเรามักเชื่อในความคิดนั้นและทำตาม จะเรียกว่าอุดมการณ์หรือค่านิยมก็แล้วแต่

ย่อมผูกพันเป็นวัฎฎะยากที่จะปลดเปลื้อง ทั้งสัญญา สัจจะ คำพูด แม้บางทีรู้ว่าไม่มีเหตุผลก็ต้องทำ



ดังนั้นการออกจากวัฎฎะจึงต้องออกจากความคิด ออกจากความยึดถือในความคิด

ออกจากความเป็นในความคิด เห็นตัวจริงของมัน

ว่าไม่เที่ยง มีความเป็นไป บังคับได้ยาก เป็นทุกข์ เห็นต้นตอแห่งความคิด คือจิต คือธรรม

ปลดเปลื้องพันธะ ออกจากธรรมชาติที่ปรุงแต่ง วัฎฎะ(สังขาร)

สู่ธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง อิสระ(วิสังขาร) ตลอดไป :b30:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


แก้ไขล่าสุดโดย ขณะจิต เมื่อ 18 ธ.ค. 2012, 21:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2012, 19:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2012, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


วัฏฏะภายนอก การเวียนว่ายตายเกิด ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า เพราะไม่รู้ไม่เคยเห็น

แต่ตามหลักเหตุผล สิ่งใดไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ไม่ได้แปลว่าสิ่งนั้นไม่มีจริง

คือมีความเป็นไปได้ 2 กรณี คือ 1. สิ่งนั้นอาจจะไม่มีจริงๆ หรือ 2. สิ่งนั้นอาจจะมีจริง แต่เรายังไม่เคยเจอ

แต่วัฏฏะภายใน วัฏฏะของใจ วงจรของการเกิดของความทุกข์ใจทั้งหลาย และเงื่อนปมของความคิดที่เป็นต้นกำเนิดของความทุกข์เหล่านั้น รวมถึงอาการ การตอบสนองของจิตใจต่อสิ่งที่มากระทบ บ่อยครั้งนำไปสู่ความเคยชิน ระยะยาวนำไปสู่นิสัยที่ฝังลงลึกในใจ และความถนัดของใจ ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านพูดถึง อันนี้มั่นใจแล้วว่ามีจริง และให้ผลกับใจเราแน่นอนตลอดเวลา

ตามความเข้าใจของผม วัฏฏะภายในทั้งหมดคือกระแสของความคิด

ความคิดที่เป็นขันธ์ก็มี ความคิดที่เป็นกิเลสก็มี ความคิดที่เสริมกิเลสก็มี ความคิดที่สวนกระแสของกิเลสก็มี

เพราะขณะนี้เข้าใจว่าความคิดมีหลายแบบอย่างนี้ สิ่งที่เราควรทำต่อความคิดแบบต่างๆก็ต่างกันไป ความคิดที่เป็นขันธ์เราควรรู้ตัวเมื่อเขาเกิดขึ้น อย่าพยายามเอาเขาออกเพราะทำไม่ได้ ความคิดอันนี้ก็เหมือนขันธ์อื่นๆคือเขาจะอยู่กับเราไปจนกว่าเราจะตาย ความคิดที่เป็นกิเลสควรหาให้พบและเอาออกเสีย ความคิดที่เสริมกิเลสควรระวังอย่าให้เกิด หรือเมื่อเกิดมาแล้วก็กดไว้ อย่าให้อยู่นาน ความคิดที่สวนกระแสของกิเลสควรยกขึ้นมาพิจารณาบ่อยๆ

ประเด็นที่ผมยังคิดไม่ตกคือ นิสัย หรือความเคยชินความถนัดของใจนี่ เราเริ่มสร้างขึ้นแค่เมื่อเราเกิด หรือสิ่งเหล่านี้มีมาอยู่กับใจแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านั้น

ถ้ากรณีหลังเป็นจริง ก็สนับสนุนการมีอยู่ของวัฏฏะภายนอก หรือการเวียนว่ายตายเกิด แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก สรุปไม่ได้

ดังนั้นในความเห็นผม วัฏฏะที่น่าศึกษาตอนนี้คือ วัฏฏะของใจ ซึ่งในมุมมองของผมต่อหัวข้อกระทู้ วัฏฏะอันนี้เป็นทั้งความจริงและความคิด

น่าศึกษาเพราะหากใครเข้าใจการทำงานของมันแล้ว คนๆนั้นก็จะได้ใจของตัวเองคืนจากการไหลตามกระแสไปตามยถากรรม ก็จะมีโอกาสเลือกทางเดินของตัวเองได้

ขอ quote ดัมเบิลดอร์อีกที

Of Course It’s Happening in Your Head, But Why on Earth Should That Mean It’s Not Real?

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


แก้ไขล่าสุดโดย คนธรรมดาๆ เมื่อ 18 ธ.ค. 2012, 23:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2012, 23:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
น่าศึกษาเพราะหากใครเข้าใจการทำงานของมันแล้ว คนๆนั้นก็จะได้ใจของตัวเองคืนจากการไหลตามกระแสไปตามยถากรรม เมื่อชำนาญแล้วก็จะเลือกทางเดินของตัวเองได้

ขอ quote ดัมเบิลดอร์อีกที

Of Course It’s Happening in Your Head, But Why on Earth Should That Mean It’s Not Real?


smiley smiley smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2012, 23:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแต่ละคำตอบ
ฉายความมีชีวิตชีวา ของ จิตใจ

แต่ละคำตอบ อ่านแล้ว เบิกบาน ดีจัง

:b16: :b27: :b27: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2012, 23:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ภูมิปัญญาของมนุษย์ในทุกวันนี้
สะท้อนถึงภูมิปัญญาที่จะเป็นไปของมนุษย์ในภายภาคหน้า

สักวันหนึ่ง วันหนึ่งข้างหน้า
คนเราทุกคนจะได้รับการปลูกฝัง
และปูพื้นฐานทางสัจจะธรรมตั้งแต่เกิด

ในอีก 2500 ปีข้างหน้า
ความเข้าใจในเรื่อง วัฏสงสาร และอีกหลายเรื่อง
จะเป็นเรื่องที่ผู้คนต่างก็รู้ โดยไม่ต้องคิด

มันถึงจะเหมาะสม ที่จะเป็นยุคสุดท้ายของกัลป์...

:b1:

มั๊ย

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2012, 03:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b14: :b14: :b14:
วัฏสงสาร เป็นความจริง หรือ เป็นความคิด

:b14: :b14: :b14:
ใครคิดเช่นไร ช่วยตอบหน่อย... :b4:
:b12: :b12: :b12:

ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า วัฏสงสารหมายถึงอะไร มันหมายถึงการ เกิด..แก่..เจ็บ..ตาย
พระพุทธองค์บอกว่า....สิ่งที่กล่าวมามันเป็นทุกข์

ดังนั้นวัฏสงสารจึงเป็นทุกข์

พระพุทธองค์พูดถึงทุกข์ไว้ในอริยสัจจ์สี่ว่า............
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่
ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์"


ในเมื่อเมื่อว้ฏสงสารก็คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย
การเกิดแก่เจ็บตายเป็น.....ทุกข์
ว้ฎสงสารจึงเป็น............ทุกข์ในอริยสัจจ์สี่


อริยสัจจ์สี่แปลว่า.....
ความจริงอันประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ

พระพุทธเจ้าและพระอริยะมองวัฏสงสารเป็น.....ความจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2012, 08:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
eragon_joe เขียน:
:b14: :b14: :b14:
วัฏสงสาร เป็นความจริง หรือ เป็นความคิด

:b14: :b14: :b14:
ใครคิดเช่นไร ช่วยตอบหน่อย... :b4:
:b12: :b12: :b12:

ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า วัฏสงสารหมายถึงอะไร มันหมายถึงการ เกิด..แก่..เจ็บ..ตาย
พระพุทธองค์บอกว่า....สิ่งที่กล่าวมามันเป็นทุกข์

ดังนั้นวัฏสงสารจึงเป็นทุกข์

พระพุทธองค์พูดถึงทุกข์ไว้ในอริยสัจจ์สี่ว่า............
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่
ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์"


ในเมื่อเมื่อว้ฏสงสารก็คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย
การเกิดแก่เจ็บตายเป็น.....ทุกข์
ว้ฎสงสารจึงเป็น............ทุกข์ในอริยสัจจ์สี่


อริยสัจจ์สี่แปลว่า.....
ความจริงอันประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ

พระพุทธเจ้าและพระอริยะมองวัฏสงสารเป็น.....ความจริง


smiley smiley smiley

เป็นแง่มุมที่ตรงไปตรงมา

และก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วย

ดังนั้น วัฏสงสาร เป็น อนัตตา :b6: :b10:

เอ้อ... เป็น อนัตตา .... :b17: :b17: :b17:

จู่ ๆ ท่านโฮก็ออกความเห็นจนพาเข้าคำตอบที่เป็น อนัตตา จนได้

smiley smiley smiley

ไม่ได้คิดมาก่อนเรย ว่าจะมาลงอีหรอบนี้ได้ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2012, 20:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


วัฏสงสาร ปรากฎต่อเราผ่าน ขันธ์ อายตนะ
การทำให้แจ้งในเรื่อง ขันธ์ อายตนะ
จะทำให้เราชำระความเห็นในหลาย ๆ สิ่ง ไปเรื่อย ๆ หรือ ทั้งหมดรวดเดียว
(แล้วแต่กำลังในการพิจารณา)

การหยุดคิดเรื่อง วัฏสงสาร
หรือ การไม่เชื่อในเรื่อง วัฏสงสาร
ไม่ได้หมายความว่า นั่นจะทำให้เราพ้นไปจากอุปทานในขันธ์ และ มายาแห่งอายตนะ
และเมื่อนั่นยังไม่พ้นไป นั่นจะทำให้เราพ้นไปจาก วัฏสงสาร ได้อย่างไร

ดันนั้น ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ วัฏสงสาร เป็นอยู่เช่นไร
มันอยู่ที่ การเข้าไปรู้ในสิ่งที่ปรากฎต่าง ๆ

ประหนึ่งว่า ถ้าเรายึดมั่นในการมีตัวตนที่เข้าไปรู้ในสิ่งต่าง ๆ ของเรา
ถ้าเรายังเห็นว่าตัวตนเรามีอยู่จริง วัฏสงสาร ก็เป็นจริงตามตัวตนที่เป็นอยู่

พระพุทธองค์จึงไม่ได้สอนให้ออกจากวัฏสงสาร
โดยการใช้ การหยุดคิด ต่อกรกับ การคิด
ไม่ใด้ใช้ ความเชื่อในทางตรงกันข้าม เข้ามาต่อกรกับ ความเชื่อที่มีอยู่

แต่พระองค์ชี้ให้ไปดูที่การเกิด-ดับ ของ ขันธ์
ความเป็นไปของ ธาตุ อายตนะ

ซึ่งถ้าเราพ้นไปจากอุปทานในขันธ์ และ มายาแห่งอายตนะ ได้
เราก็น่าจะได้เห็นแง่ความสิ้นไปแห่งวัฏสงสาร

:b1:

มั๊ง


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 19 ธ.ค. 2012, 20:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2012, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ต้องมั้งหรอกครับ ถ้าละอุปาทานขันธ์ ล่ะใช่เลย :b4:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2012, 21:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
ไม่ต้องมั้งหรอกครับ ถ้าละอุปาทานขันธ์ ล่ะใช่เลย :b4:


:b6:

ธ่อ...ท่านหน่ะจิต ที่ "มั๊ง" น่ะ
เพราะเอกอนกะหยอดมุขเพื่อเรียกเหล่าจอมยุทธทั้งหลาย
เพื่อให้จอมยุทธที่มีทัศนะ มีวาทะ ละเอียดละออ กว้างขวาง เจ๋งเป้ง กว่าเอกอน
ได้คันไม้คันมือออกมาวาดลวดลายขยายความสมทบ จะได้มีแง่มุมที่ชัดเจนขึ้น น่ะ...


:b3: :b3: :b3:

:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2012, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: :b12: :b32:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2012, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... 3&gblog=14

หนังสือแนะนำ สภาวะสังขารธรรม
อาจาริยกถา :
ปณามากถา :
ปฐมกถา : จิตติญญาณกาย
ทุติยกถา : ความต่างกันของเรือนกายและภูมิ
ตติยกถา : ความเป็นต่างของจิตและวิญญาณ
จตุตถกถา : จิตวิญญาณของพระอริยบุคคลชั้นที่ ๑ และ ชั้นที่ ๒
ปัญจกถา : จิตวิญญาณของพระอริยบุคคลชั้นที่ ๓
ฉกถา : สภาวะจิตวิญญาณของพระอริยบุคคลผู้ขีณาสพ
สัตตกถา : สภาวะสังขารธรรมของฌานลาภีบุคคล และ ความต่างแห่งองค์ฌาน
อัฏฐกถา : เอกเทศปัจจยาการแห่งวิญญาณ และ อนุมานเปรียบเทียบกับจิตฯ
นวกถา : หมื่นโลกธาตุและอนันตจักรวาล
ปกิณณกกถา :


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร