วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 04:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2012, 03:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2012, 01:58
โพสต์: 7


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวเราขณะนี้กับตัวเราเมื่อวินาทีก่อน เป็นคนละคนกัน เนื่องจากจิตเกิดดับตลอดเวลา

ไม่ทราบหลักการนี้ เป็นพุทธศาสนาจริงๆรึเปล่าคะ

ถ้าเป็นจริงเราจะสงสัยมากว่า ทำไมเราต้องห่วงว่าชาติหน้าจะตกนรกหรือลำบาก ก็มันไม่ใช่ตัวเราแล้ว แถมไม่มีความทรงจำของเราอีกต่างหาก แค่มีข้อมูลร่วมกันเฉยๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2012, 04:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติหน้าไม่ต้องห่วงมากมายหรอก ห่วงชาตินี้ให้เยอะๆดีกว่า

ตายแล้วจะไปนรกหรือสวรรค์ก็ยังไม่ต้องห่วงมากมายหรอก ห่วงความทุกข์ความสุขในปัจจุบันนี้ก่อนดีกว่า

เราแก่ลงทุกวัน ทุกข์ใจไหม ความหนุ่มความสาวกำลังวังชาถอยลงไปๆ ทุกข์ใจไหม ของต่างๆที่เรารักวันดีคืนดีเราอาจจะเสียไป ทุกข์ใจไหม โดนคนนินทาเสียดสี ทุกข์ใจไหม เจอเรื่องน่าหงุดหงิดขัดใจ ทุกข์ใจไหม

เรื่องข้างหน้าจะเจอหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เรื่องพวกนี้เราเจอทุกวันไม่ใช่หรือ เราจะมัวคิดถึงเรื่องไกลๆโดยไม่ทำอะไรกับเรื่องใกล้ตัวเลยหรือ

เราเตรียมใจกับเรื่องพวกนี้ไปถึงไหนแล้ว

หากปัจจุบันเรายังทุกข์ใจเพราะเรื่องบางเรื่อง พรุ่งนี้หากเจอเรื่องนั้นอีกก็จะทุกข์อีก อนาคตต่อๆไปหากเจอเรื่องเดียวกันนี้ก็จะทุกข์เหมือนกัน หากชาติหน้ามีจริงเจอเรื่องนี้ก็ต้องทุกข์ด้วยอีกเหมือนกันไม่ต้องสงสัย

เมื่อเรื่องพวกนั้นมาถึงเราโดยเราไม่ได้เตรียมใจเลย ก็จะเห็นนรกเมื่อนั้นละ

เราหาทางทำชีวิตตอนนี้ให้ทุกข์น้อยๆลง จะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2012, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


conan123 เขียน:
ตัวเราขณะนี้กับตัวเราเมื่อวินาทีก่อน เป็นคนละคนกัน เนื่องจากจิตเกิดดับตลอดเวลา

ไม่ทราบหลักการนี้ เป็นพุทธศาสนาจริงๆรึเปล่าคะ

ถ้าเป็นจริงเราจะสงสัยมากว่า ทำไมเราต้องห่วงว่าชาติหน้าจะตกนรกหรือลำบาก ก็มันไม่ใช่ตัวเราแล้ว แถมไม่มีความทรงจำของเราอีกต่างหาก แค่มีข้อมูลร่วมกันเฉยๆ


โอ้นี่แหละสัจจธรรม อนิจจังที่แท้ ไกล้แล้ว เป็นอนัตตา

ลองศึกษาให้กระจ่างจนจิตจางคลายความยึดถือจริงๆสิครับ แต่ถ้าเข้าใจแล้วแต่ยังทุกข์อยู่

แสดงว่ายังเข้าใจไม่สุดรอบ ยังเป็นความเข้าใจแค่เปลือก ลองศึกษาที่ท่านพุทธทาสกล่าวสิ


http://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j& ... W25CP8y-AA


ท่านกล่าวไว้หลายที่ :b35:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2012, 14:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ห่วง ไม่ใช่ จิต
แต่เป็น ปัจจัย ที่ประกอบกับ จิต


:b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2012, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ค้นหาคำว่าจิตว่างดู ว่ามันเกิดมันดับหรือไม่
จิตว่าง ถ้าสูญแล้วทำไมไม่เรียกว่า ว่างจิต
แล้วอย่างนั้นจิตว่าง ว่างเพราะอะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2012, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อุปมาด้วยผลมะม่วง
“ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่งไปขโมยผลมะม่วงของเขามา แต่เจ้าของมะม่วงนั้นจับได้ จึงนำไปถวายพระราชา กราบทูลว่า บุรุษผู้นี้ขโมยมะม่วงของข้าพระองค์ บุรุษนั้นจะต้องกราบทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์มิได้ขโมยมะม่วงของบุรุษนี้ มะม่วงที่บุรุษนี้ปลูกไว้เป็นมะม่วงอื่น ส่วนมะม่วงที่ข้าพระองค์นำไปนั้น เป็นมะม่วงอื่นอีกต่างหาก ข้าพระองค์ไม่ควรได้รับโทษ ดังนี้ อาตมภาพจึงขอถามมหาบพิตรว่า บุรุษผู้นั้นควรจะได้รับโทษหรืออย่างไร ? ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุรุษนั้นควรได้รับโทษ ”
“ เพราะอะไรล่ะ มหาบพิตร ? ”
“ เพราะว่า บุรุษนั้นรับว่าไปเอาผลมะม่วงมาแล้ว แต่บอกว่าเอาผลมะม่วงลูกก่อนไปถึงกระนั้นก็ควรได้รับโทษด้วยผลมะม่วงลูกหลัง ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วอันใดไว้ ด้วยนามรูปนี้แล้ว นามรูปอื่นก็ถือกำเนิดสืบต่อกันด้วยกรรมนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นไปจากบาปกรรมขอถวายพระพร ”
“ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป ”

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2012, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อุปมาด้วยประทีป
“ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าบุรุษคนหนึ่ง ถือเอาประทีปเข้าไปที่เรือนโรงแล้วกินข้าว ประทีปก็ลุกลามไปไหม้หญ้า หญ้าก็ลุกลามไปไหม้เรือน เรือนก็ลุกลามไปไหม้หมู่บ้าน ชาวบ้านจึงพากันจับบุรุษนั้น แล้วถามว่า เหตุไฉนเจ้าจึงเผาบ้าน บุรุษนั้นจึงตอบว่า เรานั่งกินข้าวอยู่ด้วยประทีปอื่นต่างหาก ส่วนไฟที่ไหม้บ้านเป็นไฟอื่นอีกต่างหาก เมื่อโต้เถียงกันอย่างนี้ เขาพากันมาเฝ้ามหาบพิตร กราบทูลว่า มหาราชเจ้าจะรักษาประโยชน์ของใครไว้ พระเจ้าข้า มหาบพิตรจะตรัสตอบว่าอย่างไร ? ”
“ โยมจะตอบว่า จะรักษาประโยชน์ของชาวบ้านไว้ ”
“ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
“ เพราะว่า ถึงบุรุษนั้นจะกล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ว่าไฟนั้นเกิดมาจากประทีปดวงก่อนนั้นเอง ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือถึงนามรูปอันมีในที่สุดแห่งความตายเป็นนามรูปอื่น ส่วนนามรูปที่ถือกำเนิดเป็นนามรูปอื่นก็ตาม แต่ว่านามรูปนั้นเกิดจากนามรูปเดิม เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ”
“ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2012, 02:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


conan123 เขียน:
ตัวเราขณะนี้กับตัวเราเมื่อวินาทีก่อน เป็นคนละคนกัน เนื่องจากจิตเกิดดับตลอดเวลา

ไม่ทราบหลักการนี้ เป็นพุทธศาสนาจริงๆรึเปล่าคะ

ถ้าเป็นจริงเราจะสงสัยมากว่า ทำไมเราต้องห่วงว่าชาติหน้าจะตกนรกหรือลำบาก ก็มันไม่ใช่ตัวเราแล้ว แถมไม่มีความทรงจำของเราอีกต่างหาก แค่มีข้อมูลร่วมกันเฉยๆ


ในความเห็นของผม คุณกำลังกล่าวถึง 2 ลักษณะครับผม อย่างแรกคือ การเกิดดับของนามรูปเนื่องจากการประชุมกันของขันธ์ 5

ขันธ์ 5 จึงเป็นการกล่าวที่เกี่ยวกับการเกิดดับของนามรูปครับ ไม่ใช่เรียก "ตัวเรา" เพราะคำว่าตัวเราคือ การใช้สมมุติบัญญัติ อ้างการประชุมกันของขันธ์5 หากจะเรียกตัวเราตามสมมุติบัญญัติ ตัวเราเป็นคนๆเดียวกันครับ แต่ หากอ้าง ขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง ขันธ์5 เกิดดับตลอดเวลาครับผม

อย่างที่2 คือ คุณกำลังยกเรื่องปฏิจจสมุปบาทขึ้นมาพูด (การกล่าวถึงชาติต่อไป) นั่นคือ ต้องเอาปัญญามาประกอบครับ เนื่องจากธรรมทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ถ้าไม่มีเหตุ ผลไม่มีครับ ดังนั้นการสืบเนื่องของเหตุและผล คือ การดำเนินไปภายใต้กฏ ปฏิจจสมุปบาทอันมีเชื้อคือ อวิชชาครับ

ดังนั้นจึงมีการเวียนว่ายตายเกิดเพราะอวิชชาไม่โดนถอนทำลายลงครับ

ดังนั้น การใช้สมมุติบัญญัติ โดยไม่ผ่าน วิปัสสนาญาณ (การเห็นตามความจริง) จึงเป็นความสงสัยที่คิดคำตอบเอาเองได้แค่ความคิดครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2012, 03:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2012, 01:58
โพสต์: 7


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ

คุณขณะจิต--อ่านเวบที่ส่งมาให้แล้วค่ะ เราสงสัยเพิ่มอีกว่า
1.ในของจริงแท้ดั้งเดิมจากพระไตรปิฎก ความเป็นอนัตตานี้คือ เราไม่มีตัวตนจริงๆ(แบบ ทฤษฎีของศาสตร์จารย์อะไรซักอย่างของ Oxford ที่บอกว่าเราอาจจะอยู่ใน computer simulation) หรือให้เราคิดว่า ไม่มีตัวตน(คือมีตัวตนชั่วคราวเฉยๆเลยให้คิดว่าไม่มีตัวตนไปเลย) เพื่อจะได้พ้นทุกข์คะ

2.การที่คิดได้ว่า เราไม่มีตัวตน ในอีกแง่หนึ่ง มันไม่ทำให้เราเพี้ยนหรอคะ ถ้าเราคิดว่าไม่มีตัวตน เราจะไม่อยากอะไรซักอย่าง ถ้าไม่ได้ไปบวช คนในสังคมก็ดูถูกว่าเราไม่มีความพยายาม(ที่จะรวย จะได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น)

คุณ din คะ จิตว่างนี่ ทำตอนนั่งสมาธิอย่างเดียวรึเปล่าคะ หรือให้ทำตลอดเวลา ตามความเข้าใจของเรา เราทำจิตว่างตลอดเวลาไม่ได้ เพราะถ้าเราไม่คิดปรุงแต่งเลย เราจะทำงานไม่ได้ เช่น จะคุยกับลูกค้าก็ต้องดูท่าทีว่าเค้าคิดอย่างไร จะต่อรองราคา อะไรประมาณนี้ค่ะ อย่างนี้ถูกต้องไหมคะ

คุณ govit2552 ขอบคุณสำหรับนิทานนะคะ คือกรรมที่จะได้รับในชาตินี้ เราเข้าใจค่ะ แต่ในชาติต่อไป ที่ไม่มีความทรงจำของเราอยู่ ตัวเราในชาติหน้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกลงโทษหรือรับกรรมเพราะเหตุใด ประมาณนี้น่ะค่ะ แต่ตรงนี้เข้าใจแล้วว่าคิดไปก็ไม่มีประโชน์ค่ะ

คุณ student วิปัสสนาแล้วหรอคะ เราพึ่งรู้ว่าวิปัสสนาแปลว่าเห็นความจริง หมายความว่าไม่ต้องศึกษาอะไรทั้งนั้น นั่งวิปัสสนาก็จะได้พบคำตอบของความเป็นจริงทุกอย่างเลยหรอคะ ไม่ทราบคุณ student มีประสบการณ์ที่พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2012, 05:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


คุณ govit2552 ขอบคุณสำหรับนิทานนะคะ

นิทานเรื่องมิลินทปัญหา

นิทานเรื่องพระพุทธเจ้า

นิทานเรื่องพระโมคคัลลานะ

นิทานเรื่องพระเวสสันดร

:b13:

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2012, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


conan123 เขียน:
ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ

คุณขณะจิต--อ่านเวบที่ส่งมาให้แล้วค่ะ เราสงสัยเพิ่มอีกว่า
1.ในของจริงแท้ดั้งเดิมจากพระไตรปิฎก ความเป็นอนัตตานี้คือ เราไม่มีตัวตนจริงๆ(แบบ ทฤษฎีของศาสตร์จารย์อะไรซักอย่างของ Oxford ที่บอกว่าเราอาจจะอยู่ใน computer simulation) หรือให้เราคิดว่า ไม่มีตัวตน(คือมีตัวตนชั่วคราวเฉยๆเลยให้คิดว่าไม่มีตัวตนไปเลย) เพื่อจะได้พ้นทุกข์คะ


อ่านแล้วพึ่งทราบว่า คุณconan123 ยังไม่ค่อยมีพื้นฐานในการศึกษาธรรม ถ้าคำตอบข้อใดที่ยังไม่เข้าใจ

ควรศึกษาเพิ่มเติมด้วย ค่อยๆหาข้อมูลประกอบ แต่การคิดคำตอบไม่ควรบังคับเอา ควรค่อยๆคิด
คิดไม่ออกก็วางความสงสัยไว้ เหมือนไขกุญแจถ้าถูกดอกมันย่อมออกง่าย
ผมไม่ค่อยพูดอะไรยาวๆแต่เพื่อประโยชน์ผมขอตอบตามความรู้ความเข้าใจเท่าที่มีดังนี้


พระไตรปิฎกนั้นถูกถ่ายทอดมาหลายพันปีหลายภาษาอาจมีความคลาดเคลื่อนจากความดั้งเดิมบ้าง
การรับข้อมูลต้องผ่านการทดลองปฏิบัติ เทียบเคียงกับจิตใจก่อนจึงค่อยน้อมเอามาปฏิบัติ
เพราะธรรมมะใช้มาแก้ทุกข์ที่ใจนี้ จึงต้องพิจารณาด้วยจิตด้วยใจจริงๆ


คำถามที่ว่า ความเป็นอนัตตานี้คือ เราไม่มีตัวตนจริงๆ
(แบบ ทฤษฎีของศาสตร์จารย์อะไรซักอย่างของ Oxford ที่บอกว่าเราอาจจะอยู่ใน computer simulation) อันนี้ผมไม่เคยศึกษา แต่คงคล้ายกับภาพยนต์เรื่อง เมททริกซ์
ที่มีตัวตนอยู่ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่ก็มีตัวตนจริงๆอีกชั้นอยู่ในโลกความเป็นจริง

อันนี้ไม่ใช่อนัตตาในแบบพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาปฏิเสธเรื่องตัวตน
แต่ไม่ใช่ขาดสูญไม่มีอะไรเลย เพราะสภาวะตัวตน เป็นความหลงผิดเป็นทุกข์
พุทธศาสนายอมรับความมีอยู่ของธรรมชาติการปรุงแต่ง (สังขาร) ว่าเป็นทุกข์ กายใจ ขันธ์ห้าอยู่ในนี้
และธรรมชาติของการไม่ปรุงแต่ง(วิสังขาร) นิพพาน ซึ่งพ้นจากการปรุงแต่ง ไม่มีทุกข์


การไม่มีตัวตนคือ การเพิกถอนความหลงผิด ทำให้ติดผูกพันในการเวียนว่ายตายเกิด ต้องเป็นทุกข์
สู่ภาวะการหมดสิ้นทุกข์ ภาวะนี้ต้องลองปฏิบัติวิปัสสนาอย่างถูกวิธี แล้วจะเ้ข้าใจด้วยตนเอง

http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/anata139.html

http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/nippan_now93.html



conan123 เขียน:
หรือให้เราคิดว่า ไม่มีตัวตน(คือมีตัวตนชั่วคราวเฉยๆเลยให้คิดว่าไม่มีตัวตนไปเลย) เพื่อจะได้พ้นทุกข์คะ


อันนี้ไม่ใช่การคิดเอาแต่เป็นการเข้าไปศึกษาดูที่กาย-ใจนี้ว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่ตัวตนจริงๆ

conan123 เขียน:

2.การที่คิดได้ว่า เราไม่มีตัวตน ในอีกแง่หนึ่ง มันไม่ทำให้เราเพี้ยนหรอคะ ถ้าเราคิดว่าไม่มีตัวตน เราจะไม่อยากอะไรซักอย่าง ถ้าไม่ได้ไปบวช คนในสังคมก็ดูถูกว่าเราไม่มีความพยายาม(ที่จะรวย จะได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น)



ที่คุณพูดถึงการคิดว่าไม่มีตัวตนนั้น เป็นชั้นความคิดเป็นการคิดเอา ถ้าอย่างนั้นคงเพี้ยนอย่างว่า

แต่การเห็นว่าไม่มีตัวตนนั้นคือการศึกษาจนเห็นจริงๆว่าสิ่งที่มีนั้นมันไม่ใช่ตัวตน

มันไม่ใช่ความคิดแต่เป็นการเห็นประจักษ์จริงๆด้วยความรู้ เหมือนคนต่างจังหวัดเราอยากเห็นกรุงเทพฯ

ถ้าคิดเอาเองก็เป็นความคิดที่งุนงง งมงาย ไม่เด็ดขาด เพ้อฝัน แต่เมื่อเดินทางมาดูด้วยตาแล้ว จิตย่อม

เข้าใจ ไม่ต้องคิดเอาเอง ไม่ต้องเชื่อใคร จิตมันละวางความสงสัยเอง มันไม่เป็นบ้าหรอก

มันก็ใช้ชีวิตตามปกติ แต่มันจะหมดปัญหาเรื่องนั้น มันจะหมดปัญหาเรื่องความยึดมั่นผิดๆ

หมดปัญหาเรื่องตัวตน เรื่อง เกิดตาย คิดดูสิปัญหาแทบทั้งหมดในชีวิตนี้ ล้วนเพราะเรื่อง

ตัวเรา-ตัวเขา ของเรา-ของเขา มี-ไม่มี เิกิด-ตาย เหล่านี้ทั้งนั้น เมื่อเข้าใจความจริงสูงสุดแล้ว

ชีวิตนี้ก็หมดปัญหา มีชีวิตอยู่อย่าง สงบเย็นจนตาย วึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนต้องเจอ :b39:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


แก้ไขล่าสุดโดย ขณะจิต เมื่อ 23 ธ.ค. 2012, 19:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2012, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


conan123 เขียน:
คุณ din คะ จิตว่างนี่ ทำตอนนั่งสมาธิอย่างเดียวรึเปล่าคะ หรือให้ทำตลอดเวลา ตามความเข้าใจของเรา เราทำจิตว่างตลอดเวลาไม่ได้ เพราะถ้าเราไม่คิดปรุงแต่งเลย เราจะทำงานไม่ได้ เช่น จะคุยกับลูกค้าก็ต้องดูท่าทีว่าเค้าคิดอย่างไร จะต่อรองราคา อะไรประมาณนี้ค่ะ อย่างนี้ถูกต้องไหมคะ

จิตว่างก็ดูพระอรหันต์สิ จิตท่านว่างแล้ว ท่านทำอะไรบ้าง ท่านพูดจาหรือไม่ ท่านฉันหรือไม่ ท่านเทศน์หรือไม่ ท่านเดินหรือไม่ หรือว่าท่านนั่งสมาธิอยู่เฉยๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2012, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามของ จขกท.
เหมือนเป็นคำถามของอเจลกัสสปะทูลถามพระพุทธองค์ใช่ไหม?

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2012, 22:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
คำถามของ จขกท.
เหมือนเป็นคำถามของอเจลกัสสปะทูลถามพระพุทธองค์ใช่ไหม?

:b1:
น่าจะไม่ใช่นะครับลุงหมาน น้องเขามีความสงสัยในข้อธรรมอันสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับ อภิธรรมโดยตรง

ชีวิตนี้ตายแล้วเกิดใหม่ทุกวินาฑี..........นี่คือสัจจธรรมแต่วิบากหรือผลของการกระทำ(กรรม)เป็นแรงหรือเหตุปัจจัยให้เกิดการสืบต่อจึงดูเหมือนชีวิตนี้มีอายุยาวนาน
:b37:
เพราะ "สันตติ บังอนิจจัง"........ความสืบต่อที่ถี่ยิบละเอียดมาก ไม่มีสิ่งใดสามารถทนตั้งอยู่ได้
(ทุกขัง).....
:b48: :b48:
สติ ปัญญาที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่เคยเจริญสมาธิ วิปัสสนา ย่อมไม่อาจรู้ทัน ธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งนี้ได้
:b45:
ผู้ใดรู้ชัดในความจริงที่ว่าชีวิตนี้ตายแล้วเกิดใหม่ทุกวินาฑี ชีวิตจริงๆมีอยู่แค่ชั่วพริบตาเดียวคือที่ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์เท่านั้น นอกนั้นเป็นอดีตหรืออนาคต อันแก้ไข ทำอะไรให้เป็นไปดั่งใจไม่ได้(อนัตตา)
เขาย่อมจะคลายความเห็นผิด ยึดผิด ลงได้ จนหมดสิ้น ความเห็นผิด ยึดผิด (อัตตทิฏฐิ + มานะทิฏฐิ)ได้โดยสมบูรณ์ในที่สุด
:b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2012, 03:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ชีวิตนี้ตายแล้วเกิดใหม่ทุกวินาฑี..........นี่คือสัจจธรรมแต่วิบากหรือผลของการกระทำ(กรรม)เป็นแรงหรือเหตุปัจจัยให้เกิดการสืบต่อจึงดูเหมือนชีวิตนี้มีอายุยาวนาน
:b37:
เพราะ "สันตติ บังอนิจจัง"........ความสืบต่อที่ถี่ยิบละเอียดมาก ไม่มีสิ่งใดสามารถทนตั้งอยู่ได้
(ทุกขัง).....
:b48: :b48:
สติ ปัญญาที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่เคยเจริญสมาธิ วิปัสสนา ย่อมไม่อาจรู้ทัน ธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งนี้ได้
:b45:
ผู้ใดรู้ชัดในความจริงที่ว่าชีวิตนี้ตายแล้วเกิดใหม่ทุกวินาฑี ชีวิตจริงๆมีอยู่แค่ชั่วพริบตาเดียวคือที่ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์เท่านั้น นอกนั้นเป็นอดีตหรืออนาคต อันแก้ไข ทำอะไรให้เป็นไปดั่งใจไม่ได้(อนัตตา)
เขาย่อมจะคลายความเห็นผิด ยึดผิด ลงได้ จนหมดสิ้น ความเห็นผิด ยึดผิด (อัตตทิฏฐิ + มานะทิฏฐิ)ได้โดยสมบูรณ์ในที่สุด
:b4:

คุณโสกะเละตั้งแต่อ้าปากแล้วล่ะครับ มันมีเยี่ยงอย่างที่ไหน ดันบอกว่าชีวิตตายแล้ว
เกิดใหม่ทุกวินาที เลอเทอะครับ ความจริงมันคือ....สังขารหรือนามกายครับ ที่เกิดดับ

ผมว่านะครับ น้องจขกทยังใกล้พระธรรมมากกว่าหลายๆคนในนี้ครับ
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในความเป็นปุถุชน น้องจขกทถึงจะยังไม่มี
สัมมาทิฐิแต่น้องเข้าก็ไม่นอกลู่ลงเหว เหมือนกับหลายๆคนกำลังเป็นอยู่
ประเภทไม่รู้แต่อวดอุตริเป็นผู้รู้

คุณโสกะและอิตาลุงหมานครับ เรื่องของน้องเขา พระพุทธองค์ทรง
สอนไว้ใน อัสสุตวตาสูตร ดังนี้.......
"มหาวรรคที่ ๗
๑. อัสสุตวตาสูตรที่ ๑
[๒๓๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง
คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ข้อ
นั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตาย
ก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับ
จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียก
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้
เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือ
ไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
ดังนี้ ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลาย
กำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ
[๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอา
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะ
เข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปี
บ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปี
บ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็น
ที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ"

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php ... 519&Z=2566

สรุปก็คือน้องเข้ายังมีบารมีธรรมมากกว่าหลายๆคนครับ
คือน้องเข้ารู้ธรรมแต่ยังขาดความเข้าใจ อย่างน้องจขกท
หมั่นปฏิบัติจะเข้าถึงสัมมาทิฐิได้ง่ายกว่าใครในนี้ครับ :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร