วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 05:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2012, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ครั้งหนึ่ง ท่านอเจลกัสสปะทูลถามพระพุทธองค์ว่า
ท่านพระโคดม ! ทุกข์ (ชีวิต) นี้ ตัวเองสร้างขึ้นมาหรือ?
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย.
ถ้าเช่นนั้น ทุกข์นั้นคนอื่นสร้างมาหรือ?
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย.
ถ้าเช่นนั้น ทุกข์นั้น ทั้งตัวเองและคนอื่นสร้ามาหรือ?
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย.
เมื่อตัวเองไม่ได้สร้าง คนอื่นก็ไม่ได้สร้าง ทุกข์ก็เกิดขึ้นมาลอยๆอย่างนั้นหรือ?
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย.
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสตอบอย่างนี้ ท่านอเจลกัสสปะก็ยังไม่เข้าใจ จึงทูลซักถามต่อไปว่า
ท่านสมณโคดม ถ้าอย่างนั้นความทุกข์ก็ไม่ใครสร้างล่ะซิ
กัสสปะ! ทุกข์จะไม่มีก็หามิได้ ทุกข์นั้นมีอยู่.
ท่านสมณโคดม! ถ้าทุกข์มีอยู่ พระองค์ก็ไม่รู้จักทุกข์ ไม่ทรงเห็นทุกข์ล่ะซี?
กัสสปะ! เรารู้จักทุกข์ด้วย และเห็นทุกข์ด้วย.
เมื่อท่านอเจลกัสสปะได้ฟังพระพุทธเจ้าก็ยิ่งไม่เข้าใจ จึงทูลถามต่อไปว่า ท่านสมณโคดม! ขอได้โปรดบอกข้าพระองค์ แสดงให้ข้าพระองค์ทราบด้วยว่า ทุกข์(ชีวิต)นั้นเป็นอย่างไร?
พระพุทธองค์จึงทรงชี้แจงแก่ท่านอเจลกัสสปะ ว่า
กัสสปะ! เมื่อเราตั้งแต่แรกผู้สร้างกับผู้เสวย(ทุกข์)เป็นคนเดียวกัน จึงมีลัทธิที่ถือว่า ทุกข์นั้นตนเองสร้างขึ้น เมื่อถืออย่างนี้ก็เป็นสัสสตทิฎฐิ(คือเห็นว่าตนและโลกเที่ยง)
เมื่อยึดถือตั้งแต่แรกว่าผู้สร้างกับผู้เสวยเป็นคนละคนกัน จึงมีลัทธิที่ถือว่าทุกข์นั้นคนอื่นสร้างขึ้น เมือเป็นอย่างนี้ก็เป็นอุจเฉททิฏฐิ(คือเห็นว่าตนและโลกสูญ)
กัสสปะ! เราตถาคตแสดงธรรมเป็นกลางๆไม่ข้องแวะลัทธิสุดโต่งทั้งสองนั้ คือเราตถาคตแสดงว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ......
กองทุกข์ (ชีวิต) ทั้งมวลนี้ย่อมเกิดขึ้นโดยการอาศัยกันและกันดังกล่าวนี้ จากพุทธพจน์นี้ จึงเห็นได้ว่า ชีวิตนี้คือกองทุกข์ซึ่งเกิดขึ้น เป็นอยู่ และเป็นไปตามกฏแห่งเหตุผล หรือตามหลักปฏิจจสมุปบาท

คนที่โง่เกินกว่านี้มีอีกไหม ?
พยายามจะลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า
และพยายามจะยัดเยียดคำสอใหม่

โฮฮับ เขียน:
ความหมายของชีวิต ถ้าเราไม่มีปัญญา ยังไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งได้
เราก็ต้องเอาปริยัติหรือทฤษฎีมาช่วยตีความ พูดง่ายๆก็คือใช้สมองธรรมดา
ช่วยคิดตีความ
อย่างเรื่องนี้เป็นต้น ชีวิตคืออะไร ดันไปยกเอาสิ่งที่เป็นปรมัตถ์มาพูดซะเป็น
ตุเป็นตะเป็นตัวตนขึ้นมา

ชีวิตคืออะไร มันต้องคำนึงถึงธรรมชาติที่เป็นธรรมะและวิทยาสตร์
วิทยาสตร์บอกให้รู้ว่า ชีวิตคืออะไร พระธรรมหรือธรรมะสอนให้หลุดพ้นจาก
ความเป็นชีวิตในแง่เดิมๆ


ถ้ามีใครเขาถามว่าชีวิตคืออะไร มันต้องเอาเรื่อง.....พืชนิยามในนิยามห้ามาตอบ
และถ้าใครอ่านพืขนิยามแล้ว ยังบอกว่าชีวิตคือกองทุกข์ ผมว่าคนๆนั้นน่าสงสารมาก

ในความเป็นจริง ขันธ์ห้าคือกองทุกข์ ไม่ใช่ชีวิตคือกองทุกข์
ชีวิตไหนรู้เรื่องไตรลักษณ์ รู้ธรรมนิยาม นั้นก็คือรู้ว่าขันธ์ห้าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
เมื่อขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวตน อัตตาก็ไม่เกิด ความทุกข์ก็ไม่มี

ที่ใครบอกว่า......ชึวิตคือขันธ์ห้า นั้นเป็นบุคคลที่พระพุทธเจ้าหมายถึงคนที่ยังมี อวิชา
พระพุทธองค์ทรงสอนให้ ชีวิตเป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่สอนให้ชึวิตเป็นขันธ์ห้า เข้าใจมั้ย :b13:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2012, 11:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ครั้งหนึ่ง ท่านอเจลกัสสปะทูลถามพระพุทธองค์ว่า
ท่านพระโคดม ! ทุกข์ (ชีวิต) นี้ ตัวเองสร้างขึ้นมาหรือ?
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย.
ถ้าเช่นนั้น ทุกข์นั้นคนอื่นสร้างมาหรือ?
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย.
ถ้าเช่นนั้น ทุกข์นั้น ทั้งตัวเองและคนอื่นสร้ามาหรือ?
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย.
เมื่อตัวเองไม่ได้สร้าง คนอื่นก็ไม่ได้สร้าง ทุกข์ก็เกิดขึ้นมาลอยๆอย่างนั้นหรือ?
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย.
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสตอบอย่างนี้ ท่านอเจลกัสสปะก็ยังไม่เข้าใจ จึงทูลซักถามต่อไปว่า
ท่านสมณโคดม ถ้าอย่างนั้นความทุกข์ก็ไม่ใครสร้างล่ะซิ
กัสสปะ! ทุกข์จะไม่มีก็หามิได้ ทุกข์นั้นมีอยู่.
ท่านสมณโคดม! ถ้าทุกข์มีอยู่ พระองค์ก็ไม่รู้จักทุกข์ ไม่ทรงเห็นทุกข์ล่ะซี?
กัสสปะ! เรารู้จักทุกข์ด้วย และเห็นทุกข์ด้วย.
เมื่อท่านอเจลกัสสปะได้ฟังพระพุทธเจ้าก็ยิ่งไม่เข้าใจ จึงทูลถามต่อไปว่า ท่านสมณโคดม! ขอได้โปรดบอกข้าพระองค์ แสดงให้ข้าพระองค์ทราบด้วยว่า ทุกข์(ชีวิต)นั้นเป็นอย่างไร?
พระพุทธองค์จึงทรงชี้แจงแก่ท่านอเจลกัสสปะ ว่า
กัสสปะ! เมื่อเราตั้งแต่แรกผู้สร้างกับผู้เสวย(ทุกข์)เป็นคนเดียวกัน จึงมีลัทธิที่ถือว่า ทุกข์นั้นตนเองสร้างขึ้น เมื่อถืออย่างนี้ก็เป็นสัสสตทิฎฐิ(คือเห็นว่าตนและโลกเที่ยง)
เมื่อยึดถือตั้งแต่แรกว่าผู้สร้างกับผู้เสวยเป็นคนละคนกัน จึงมีลัทธิที่ถือว่าทุกข์นั้นคนอื่นสร้างขึ้น เมือเป็นอย่างนี้ก็เป็นอุจเฉททิฏฐิ(คือเห็นว่าตนและโลกสูญ)
กัสสปะ! เราตถาคตแสดงธรรมเป็นกลางๆไม่ข้องแวะลัทธิสุดโต่งทั้งสองนั้ คือเราตถาคตแสดงว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ......
กองทุกข์ (ชีวิต) ทั้งมวลนี้ย่อมเกิดขึ้นโดยการอาศัยกันและกันดังกล่าวนี้ จากพุทธพจน์นี้ จึงเห็นได้ว่า ชีวิตนี้คือกองทุกข์ซึ่งเกิดขึ้น เป็นอยู่ และเป็นไปตามกฏแห่งเหตุผล หรือตามหลักปฏิจจสมุปบาท

ลุงหมานเอ๋ย ลุงหมาน เอาแค่ศีล เอาแค่ความซื่อสัตย์ต่อพระธรรม ลุงหมานยังไม่มี
ไม่มีไม่ว่า อาจจะอโหสิถือซะว่า มันเป็นกิเลสตัณหาเป็นเรื่องธรรมดา ของปุถุชนที่ขาดปัญญา
แต่ที่ไม่น่าให้อภัยก็คือ ตัวเองหนาด้วยกิเลสเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตที่เป็นอกุศล
แล้วใช้จิตที่เป็นอกุศลศลไปกล่าวหาคนอื่น แบบนี้ผู้ดีอย่างผมเรียกว่า....นิสสัย :b32:


ถามหน่อยเฮ่อะ เอาพระไตรปิฏกมาโพส พระไตรปิฎกเดิมๆเป็นแบบนี้หรือ
ลุงนี่เป็นเอามากน่ะ เล่นต่อเติมเสริมแต่งเนื้อหาในพระไตรปิฎกแบบนี้

ระวังจะตกนรก จะโดนยมบาลเอาน้ำกะทะทองแดงกรอกปาก
โทษฐานสร้างพระไตรปิฎกเท็จ

ตามไปดูพระไตรปิฎกแท้มันเป็นแบบนี้...http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0

ถามหน่อยเอาวงเล็บว่า (ชีวิต) มาจากไหนเล่นมั่วแบบนี้
ระวังโดนชาวพุทธประชาทันฑ์นะครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2012, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะสูงๆไม่ไหวก็เอาขั้นต้นๆไปก่อน อย่างที่เคยบอก เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างหอระฆัง สร้างห้องน้ำ ปล่อยกุ้งหอย ปู ปลาลงแม่น้ำ ไหว้พระสวดมนต์ ปิดทองพระประจำวัน ...นี่ก็เข้าหน้าหนาวแล้ว จะทำบุญโดยนำเครื่องกันหนาวแจกเด็กๆในถิ่นทุรกันดารกก็ได้ ... จะสิ้นปีแล้วจะร่วมสวดมนต์ข้ามปีก็เอา มีข่าวว่าบริเวณสนามหลวงก็จัดสวดไปร่วมได้ หรือไปวัดใกล้ๆบ้านก็ได้ เอาเรื่องง่ายๆไปก่อน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2012, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ธรรมะสูงๆไม่ไหวก็เอาขั้นต้นๆไปก่อน อย่างที่เคยบอก เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างหอระฆัง สร้างห้องน้ำ ปล่อยกุ้งหอย ปู ปลาลงแม่น้ำ ไหว้พระสวดมนต์ ปิดทองพระประจำวัน ...นี่ก็เข้าหน้าหนาวแล้ว จะทำบุญโดยนำเครื่องกันหนาวแจกเด็กๆในถิ่นทุรกันดารกก็ได้ ... จะสิ้นปีแล้วจะร่วมสวดมนต์ข้ามปีก็เอา มีข่าวว่าบริเวณสนามหลวงก็จัดสวดไปร่วมได้ หรือไปวัดใกล้ๆบ้านก็ได้ เอาเรื่องง่ายๆไปก่อน :b1:

อย่างกรัชกายกับลุงหมาน เขาเรียก.......

เพื่อนร่วมขันธ์ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2012, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




charl-2012-11-03-1351941215-1964042831263925211.gif
charl-2012-11-03-1351941215-1964042831263925211.gif [ 18.27 KiB | เปิดดู 4195 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ธรรมะสูงๆไม่ไหวก็เอาขั้นต้นๆไปก่อน อย่างที่เคยบอก เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างหอระฆัง สร้างห้องน้ำ ปล่อยกุ้งหอย ปู ปลาลงแม่น้ำ ไหว้พระสวดมนต์ ปิดทองพระประจำวัน ...นี่ก็เข้าหน้าหนาวแล้ว จะทำบุญโดยนำเครื่องกันหนาวแจกเด็กๆในถิ่นทุรกันดารกก็ได้ ... จะสิ้นปีแล้วจะร่วมสวดมนต์ข้ามปีก็เอา มีข่าวว่าบริเวณสนามหลวงก็จัดสวดไปร่วมได้ หรือไปวัดใกล้ๆบ้านก็ได้ เอาเรื่องง่ายๆไปก่อน :b1:


อย่างกรัชกายกับลุงหมาน เขาเรียก.......

เพื่อนร่วมขันธ์


อ้าว...ทำไมมีขันธ์เดียวล่ะ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2012, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ธรรมะสูงๆไม่ไหวก็เอาขั้นต้นๆไปก่อน อย่างที่เคยบอก เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างหอระฆัง สร้างห้องน้ำ ปล่อยกุ้งหอย ปู ปลาลงแม่น้ำ ไหว้พระสวดมนต์ ปิดทองพระประจำวัน ...นี่ก็เข้าหน้าหนาวแล้ว จะทำบุญโดยนำเครื่องกันหนาวแจกเด็กๆในถิ่นทุรกันดารกก็ได้ ... จะสิ้นปีแล้วจะร่วมสวดมนต์ข้ามปีก็เอา มีข่าวว่าบริเวณสนามหลวงก็จัดสวดไปร่วมได้ หรือไปวัดใกล้ๆบ้านก็ได้ เอาเรื่องง่ายๆไปก่อน :b1:


อย่างกรัชกายกับลุงหมาน เขาเรียก.......

เพื่อนร่วมขันธ์


อ้าว...ทำไมมีขันธ์เดียวล่ะ :b10:

บอกห้าขันธ์ไม่ได้ เพราะมันเป็นมหาห้าขัน(มหาเทียม)
นั้นมันไม่ใช่เพี่อน มันเป็นศัตรูของกรัชกาย หรือว่าไม่จริง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2012, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ธรรมะสูงๆไม่ไหวก็เอาขั้นต้นๆไปก่อน อย่างที่เคยบอก เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างหอระฆัง สร้างห้องน้ำ ปล่อยกุ้งหอย ปู ปลาลงแม่น้ำ ไหว้พระสวดมนต์ ปิดทองพระประจำวัน ...นี่ก็เข้าหน้าหนาวแล้ว จะทำบุญโดยนำเครื่องกันหนาวแจกเด็กๆในถิ่นทุรกันดารกก็ได้ ... จะสิ้นปีแล้วจะร่วมสวดมนต์ข้ามปีก็เอา มีข่าวว่าบริเวณสนามหลวงก็จัดสวดไปร่วมได้ หรือไปวัดใกล้ๆบ้านก็ได้ เอาเรื่องง่ายๆไปก่อน :b1:


อย่างกรัชกายกับลุงหมาน เขาเรียก.......

เพื่อนร่วมขันธ์


อ้าว...ทำไมมีขันธ์เดียวล่ะ :b10:


บอกห้าขันธ์ไม่ได้ เพราะมันเป็นมหาห้าขัน(มหาเทียม)
นั้นมันไม่ใช่เพี่อน มันเป็นศัตรูของกรัชกาย หรือว่าไม่จริง :b32:


(มหาเทียม) ใคร งง พีโฮเด้งพูดให้ตีความอยู่เรื่อย :b10:

ศัตรูของกรัชกายคือตัวเอง :b32: คือขันธ์ ๕ นี่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2012, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณลุงหมานครับ สำหรับคำตอบ
ผมแนบลิงค์ พจนานุกรมของ พระธรรมปิฎกแล้วก็จากธรรมสังคณีปกรณ์

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.ph ... &detail=on
http://www.etipitaka.com/compare?lang1= ... &volume=35

สรุปได้ว่าชีวิตินทรีย์ก็คือ อายุ ความดำรงอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่จะของรูปธรรม หรือ นามธรรมก็ตาม ก็เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง เป็นสภาวะที่แตกทำลายและไม่ใช่ตัวตน

สุดท้ายก็ขอสวัสดีปีใหม่ขอให้ทุกท่านมีความสุขทั้งกายและใจ
เจริญในธรรมกันถ้วนหน้า จนถึงฝั่งในที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2012, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ขอบคุณลุงหมานครับ สำหรับคำตอบ
ผมแนบลิงค์ พจนานุกรมของ พระธรรมปิฎกแล้วก็จากธรรมสังคณีปกรณ์ไว้ด้วย

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.ph ... &detail=on
http://www.etipitaka.com/compare?lang1= ... &volume=35

สรุปได้ว่าชีวิตินทรีย์ก็คือ อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่จะของรูปธรรม หรือ นามธรรมก็ตาม ก็เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง เป็นสภาวะที่แตกทำลายและไม่ใช่ตัวตน

สุดท้ายก็ขอสวัสดีปีใหม่ขอให้ทุกท่านมีความสุขทั้งกายและใจ
เจริญในธรรมกันถ้วนหน้า จนถึงฝั่งในที่สุด


http://84000.org/tipitaka/read/byitem.p ... &preline=0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2012, 06:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
FLAME เขียน:
ขอบคุณลุงหมานครับ สำหรับคำตอบ
ผมแนบลิงค์ พจนานุกรมของ พระธรรมปิฎกแล้วก็จากธรรมสังคณีปกรณ์ไว้ด้วย

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.ph ... &detail=on
http://www.etipitaka.com/compare?lang1= ... &volume=35

สรุปได้ว่าชีวิตินทรีย์ก็คือ อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่จะของรูปธรรม หรือ นามธรรมก็ตาม ก็เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง เป็นสภาวะที่แตกทำลายและไม่ใช่ตัวตน

สุดท้ายก็ขอสวัสดีปีใหม่ขอให้ทุกท่านมีความสุขทั้งกายและใจ
เจริญในธรรมกันถ้วนหน้า จนถึงฝั่งในที่สุด


http://84000.org/tipitaka/read/byitem.p ... &preline=0

ขอบคุณครับ FLAME ผู้ใฝ่รู้ ขอสวัสดีปีใหม่ด้วยครับ
Quote Tipitaka:
ชีวิตินทรีย์ อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการตามรักษาสหชาตธรรม (ธรรมที่เกิดร่วมด้วย) ดุจน้ำหล่อเลี้ยงดอกบัว เป็นต้น มี ๒ ฝ่ายคือ
๑. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นชีวิตรูป เป็นอุปาทายรูปอย่างหนึ่ง (ข้อที่ ๑๓) เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงเหล่ากรรมชรูป (รูปที่เกิดแต่กรรม) บางทีเรียก รูปชีวิตินทรีย์
๒. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นเจตสิกเป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง) อย่างหนึ่ง (ข้อที่ ๖) เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงนามธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งหลาย บางทีเรียก อรูปชีวิตินทรีย์ หรือ นามชีวิตินทรีย์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2012, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว




imagesCA282X3X.jpg
imagesCA282X3X.jpg [ 8.53 KiB | เปิดดู 4144 ครั้ง ]
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สอนให้รู้จักชีวิต คือกองทุกข์ และสอนให้ปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์นี้ ที่ว่าสอนให้รู้จักชีวิตนั้น คือสอนให้รู้ว่า ชีวิตเป็นมา เป็นอยู่ และเป็นไปตามกฎเหตุผล หรือตามหลักปฏิจจสมุปบาท คือภาวะที่อาศัยกัเกิดขึ้น ซึ่งหมายถึงระบบการกำเหนิดของชีวิต คือกองทุกข์หรือชีวิตนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป โดยเป็นเหตุเป็นผลสืบเนื่องกันเป็นลูกโซ่ คือเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯ เมื่อถึงมรณะถ้าตัดอวิชชาไม่ขาด อวิชชาก็จะมาเป็นปัจจัยให้สังขารต่อไปอีกจะหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สอนให้รู้จักชีวิต คือกองทุกข์ และสอนให้ปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์นี้ ที่ว่าสอนให้รู้จักชีวิตนั้น คือสอนให้รู้ว่า ชีวิตเป็นมา เป็นอยู่ และเป็นไปตามกฎเหตุผล หรือตามหลักปฏิจจสมุปบาท คือภาวะที่อาศัยกัเกิดขึ้น ซึ่งหมายถึงระบบการกำเหนิดของชีวิต คือกองทุกข์หรือชีวิตนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป โดยเป็นเหตุเป็นผลสืบเนื่องกันเป็นลูกโซ่ คือเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯ เมื่อถึงมรณะถ้าตัดอวิชชาไม่ขาด อวิชชาก็จะมาเป็นปัจจัยให้สังขารต่อไปอีกจะหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดไป


:b8: :b8: :b8:
ลุงอธิบายต่อไปเรื่อยนะคะ :b1:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สอนให้รู้จักชีวิต คือกองทุกข์ และสอนให้ปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์นี้ ที่ว่าสอนให้รู้จักชีวิตนั้น คือสอนให้รู้ว่า ชีวิตเป็นมา เป็นอยู่ และเป็นไปตามกฎเหตุผล หรือตามหลักปฏิจจสมุปบาท คือภาวะที่อาศัยกัเกิดขึ้น ซึ่งหมายถึงระบบการกำเหนิดของชีวิต คือกองทุกข์หรือชีวิตนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป โดยเป็นเหตุเป็นผลสืบเนื่องกันเป็นลูกโซ่ คือเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯ เมื่อถึงมรณะถ้าตัดอวิชชาไม่ขาด อวิชชาก็จะมาเป็นปัจจัยให้สังขารต่อไปอีกจะหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดไป


:b8: :b8: :b8:
ลุงอธิบายต่อไปเรื่อยนะคะ :b1:

อธิบายต่อไปมันคงจะหนีไม่พ้น วงล้อแห่งชีวิต คือ ปฏิจจสมุปบาท ภวจักร สังสารจักร

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 07:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตทุกชีวิตมีส่วนที่เป็นเหตุเป็นผลอาศัยกันเกิดขึ้น
เนื่องกันอยู่ไม่ขาดสายเมื่อสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
ก็เป็นเหตุให้อีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นสืบต่อกันเป็นลูกโซ่ ไม่รู้จักจบสิ้น ไม่จักเบื้องต้นและเบื้องปลาย
ดังที่พระองค์ตรัสสอนภิกษุสงฆ์ว่า ภิกษุทั้งหลาย สงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิดแห่งชีวิตนี้
ไม่รู้จักเบื้องต้นและเบื้องปลาย ว่าตามหลักปฏิจจสมุปบาท
องค์ประกอบแห่งชีวิตซึ่งเรียกว่าองค์แห่งภวจักร หรือองค์ปฏิจจสมุปบาทท่านแบ่งไว้ ๑๒ องค์ คือ อวิชชา/สังขาร/วิญญาณ/นามรูป/สฬายตน/ผัสส/เวทนา/ตัณหา/อุปาทาน/ภพ/ชาติ/ชรามรณะ/
ทั้ง ๑๒ องค์นี้เป็นส่วนของชีวิต และทุกๆองค์อาศัยกันเกิดขึ้ เช่น เพราะ อวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสัขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีมรณะ.....
นี้เป็นปฏิจจสมุปบาท ๑ รอบ ถ้ายังตัดอวิชชาและตัณหายังไม่ขาด
ชีวิตก็จะยังดำเนินต่อไป และเมื่อชีวิตดำเนินต่อไปถึงจุดมรณะหรือจุติ แล้วก็ต้องปฏิสนธิต่อไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


การที่จะเข้าใจเรื่อง "ชีวิต"
ได้ดีมันจะต้องอาศัยการยกเหตุผลมาอ้างอิงหลายอย่าง
จึงจะเห็นและเข้าใจได้ง่ายขึ้น การเกิดก็เป็นเรื่องของชีวิต ถ้าเป็นทางธรรมจะเรียกว่าปฏิสนธิ
ฉะนั้นการปฏิสนธินั้นมันเป็นเรื่องระหว่างจุติกับปฏิสนธิ หรือตายกับเกิด
หรือเป็นเรื่องต่อกันระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และปัจจุบันกับอนาคต
ชีวิตในปัจจุบันเป็นผลเนื่องมาจากเหตุในอดีต กล่าวคือ "อวิชชา สังขาร"
อันเป็นเหตุอดีต ก่อให้เกิดผลในปัจจุบัน คือ "วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา"
ผลในปัจจุบันก็ก่อให้กิดเหตุในปัจจุบัน คือ "ตัณหา อุปาทาน ภพ"
และปัจจุบันเหตุนี้ ก็ก่อให้เกิดผลในอนาคต คือ "ชาติ ชรามรณะ"

แต่ในอนาคตนั้นเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง และก็จักไม่มาถึง
เพราะเมื่อจุดที่เราสมมติว่าอนาคตนั้นมาถึงเมื่อไหร่ มันก็จะกลายเป็นปัจจุบันทันที
เช่น วันนี้เป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นปัจจุบัน
พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ เป็นอนาคต
พอวันที่ ๑ ในอนาคตมาถึง วันที่ ๑ ก็กลายเป็นปัจจุบันไปเสียแล้วทันที
อนาคตก็ต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ ๒ ต่อไปอีก จึงพูดได้ว่าอนาคตเป็นสิ่งที่มาไม่ถึง
อนาคตเป็นกาลที่ไม่รู้จักมาถึง ชีวิตเราก็ดำเนินไปไม่ถึงก็เป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron