วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 14:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5112

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้วคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งด้วยก็คือ เราจะเห็นได้ว่า การให้นั้น ไม่ได้อยู่ที่คนให้จะมีทรัพย์มากหรือน้อย แต่อยู่ที่คนให้นั้นมี "ใจ" ที่จะให้มากหรือน้อยต่างหาก

สิ่งสำคัญของการให้ ก็ืคือ ความรู้สึกเสียสละที่มีในหัวใจของคนคนนั้น ถึงแม้มีทรัพย์มากมายแค่ไหน ถ้าเป็นคนตระหนี่ ไม่ชื่นชอบในการให้ ไม่เชื่อผลของทาน ไม่เห็นประโยชน์ของการเสียสละจริงๆแล้วก็เสียสละไม่ได้อยู่ดี

และทรัพย์ที่อุตส่าห์เก็บไว้ก็ย่อมเสียเปล่า เพราะไม่เกิดประโยชน์แก่ตัวเองเลย เนื่องจากว่า เงินทองใช้ได้แค่ตอนมีชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ตายตามเราไปด้วย สิ่งที่เอาไปได้คือ บุญ บาป ตอนมีชีวิตก็ควรเปลี่ยนเงินทองที่เป็นของนอกกายให้กลายเป็นของติดตัวเราไปได้ คือ เอาไปทำบุญแจกทานเสียบ้างตามกำลัง

:b41: :b46:


.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 15:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
ศึกษาเรื่องการใช้ทรัพย์ที่หามาได้สิ พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้อย่างไร

ถามผมว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรก็ดีครับ ถ้างั้นผมเอาคำสอนของพระสังฆราช
มาโพสให้คุณดูซะหน่อย ว่าจะเอาพุทธพจน์มาก็กลัวคุณไม่รู้เรื่อง....

"บัณฑิตไม่มีความเพ่งโทษผู้อื่น
บัณฑิตจะเพ่งโทษตนเอง
การเพ่งโทษตนเองนั้น
เป็นการฝึกตนเองอย่างหนึ่ง
ที่จักเกิดผลจริง

การเพ่งโทษผู้อื่นเป็นวิสัยของผู้ไม่ใช่บัณฑิต
ผู้ที่เพ่งแต่โทษผู้อื่น ไม่เพ่งโทษตนเอง ย่อมไม่เห็นโทษของตนเอง
ย่อมไม่เห็นความบกพร่องที่จะต้องแก้ไขให้ดีขึ้น
ฯลฯ"

SOAMUSA เขียน:
แล้วถ้าคิดตามหลักเศรษฐศาสตร์ ถ้าทุกคนพากันออมหมด ใช้จ่ายแค่เล็กน้อยสุดๆ แล้วจะเป็นอย่างไร

แน่ะ! เดาะเศรษฐศาสตร์เลย นึกจะพูดก็พูด ทำมารู้ดีอีก
ถามหน่อยถ้าไม่มีคนออม แล้วธนาคารจะเอาเงินที่ไหนไปให้ชาวบ้านเขาลงทุน
เศรษรฐีเขาออมเงินนะดีแล้ว มันจะได้ช่วยให้คนสร้างงาน คนจะได้ไม่ตกงาน
SOAMUSA เขียน:
และในเรื่องการทำกุศล หากมีเงินทองเหลือล้น
และเข้าใจเรื่องกัมมัสสกตาญาณ
ก็จะไม่มัวแต่นั่งกอดทรัพย์แน่นอน มีเศรษฐีมากมายให้โดยไม่ต้องให้ใครมาขอ เจอใครเดือดร้อน
ก็ช่วยด้วยความจริงใจ เต็มใจ ทำบุญแบบไม่เอาหน้าด้วย เพราะเค้ามีเงินแล้วมีปัญญา

พูดธรรมอย่าพูดเองเออเองซิครับ ดูแล้วหาหลักการไม่ได้ .......

ตอนแรกตั้งกระทู้ถามว่าทำไมเศรษฐีบางคนขี้เหนียว พอถูกแทงทิ่มใจดำเข้าหน่อย
มาแก้ตัวว่า มีเศรษฐีมากมายให้โดยไม่ต้องขอ ผมว่าคุณตั้งสติให้ดีก่อนดีกว่าครับ
ตกลงคุณจะถามเรื่องของเศรษฐีหรือเรื่องของนิสสัยคนครับ
SOAMUSA เขียน:
ถ้าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจริงๆ ไม่ต้องห่วงว่าเงินทองจะวอดวาย ยิ่งให้ก็ยิ่งเพิ่ม แต่การให้ทำอย่างไร เรียกว่า ให้เป็นมีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์อยู่แล้ว

พูดเองเออเองอีกแล้ว ให้มากเก็บน้อยมีหรือไม่วอดวาย
แล้วตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่คุณเอามาอ้าง มันเป็นเศรษศาสตร์ดาวนพเคราะห์ดวงไหนครับ
ที่ยิ่งให้ ยิ่งเพิ่ม
SOAMUSA เขียน:
แล้วไม่ต้องห่วงลูกหลานหรอก มันเป็นเรื่องของอนาคต บางทีลูกหลานรับมรดกไปผลาญ
ก็เยอะแยะไป มานึกตรงปัจจุบันดีกว่า ทำเหตุไว้ให้ดีขณะปัจจุบันสิ่งดีๆ ก็จะเกิดตามมาเองค่ะ
คุณโฮควรหาธรรมะอ่านดูบ้าง ปีใหม่แล้ว

ก็ไอ้คิดแบบนี้ไง ด้วยเองมีกรรมแท้ๆ ดันไปว่าคนอื่นมีกรรม
พูดออกมาได้ไงว่าไม่ต้องห่วงลูกหลาน กลัวลูกหลานเอาเงินไปผลาญ
พูดแบบนี้แล้วยังมาบอกให้เราไปหาธรรมะอ่าน คุณใบโพธิ์เคยสำเหนียก
เรื่องมงคล๓๘ประการของพระพุทธเจ้ามั้ย
มีมงคลอยู่ข้อหนี่งที่ว่า......การสงเคราะห์บุตร

การที่เราเป็นพ่อ เป็นแม่ของบุตรนั้น มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูกของเราคือ

๑.ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว

๒.ปลูกฝัง สนับสนุนให้ทำความดี

๓.ให้การศึกษาหาความรู้

๔.ให้ได้คู่ครองที่ดี (ใช้ประสพการณ์ของเราให้คำปรึกษาแก่ลูก ช่วยดูให้)

๕.มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร (การทำพินัยกรรม ก็ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง) :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
ถ้าคนที่มีปัญญา เข้าใจธรรมะ ขณะทำกุศลทั้ง 3 กาล ขณะทำกุศลนั้น
เค้ารู้ว่าขณะนั้นเค้าทำกิจอะไรอยู่

ว่าไปนั้น คุณว่าคุณมีปัญญาหรือ รู้ตัวหรือ
ผมจะบอกให้ครับ การเข้ามาในบอร์ดธรรมะนั้น มันก็เหมือนกับ
การได้เข้ามาปฏิบัติธรรม การพูดธรรมมันต้องอยู่ที่กายใจตัวเอง
การพูดคุยมันจะต้องเป็นเรื่องเฉพาะแต่สมาชิกในบอร์ด จะพูดจาอะไร
รุนแรงกันบ้าง มันก็ต้องเข้าใจว่า เป็นการฝึกสติให้กันและกัน ต่างคนต่างดูกิเลส
ในใจตนเอง แต่คุณเอาเรื่องของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับบอร์ดมาพูดในทางไม่ดี

สรุปก็คือเรากำลังทำกุศลกันอยู่ แต่คุณใบโพธิ์เอาสิ่งที่เป็นอกุศลจิต
ของตนมาใช้ในขณะที่กำลังทำกุศล ขณะที่กำลังทำสิ่งที่เป็นกุศล แต่ใจไปคิดเรื่อง
ที่เป็นอกุศล มันเป็นวิบากกรรมที่เรียกว่า.......สุขคติอเหตุกบุคคล เกิดมาจะพิการ
บ้าใบ้ บอดหนวกครับ :b13:

SOAMUSA เขียน:
แต่ที่ยกมาเป็นเรื่องให้คิดกันนี้เป็นเรื่องปกติที่เราเห็นหลากหลายบนโลกใบนี้
ยกมาแสดงมาพูดมาคุย เพื่อประโยชน์ให้พิจารณา ศึกษา เพื่อให้เห็นประโยชน์
เห็นโทษได้ถูกต้องถ้ายกมาแสดงแล้วเป็นการนินทา แล้วนิทานชาดกเรื่องต่างๆ ล่ะ
ก็กล่าวถึงบุคคลทั้งนั้น

เป็นเรื่องปกติ แล้วจะยกเอามาว่าทำไมครับ แบบนี้ไม่ใช้พูดคุยครับ
คุณกำลังทำให้เพื่อนๆหลง ไปเพ่งโทษคนอื่นตามคุณครับ
แล้วอ้างเรื่องนิทานชาดก ไหนว่าคุณมีปัญญาไง ทำไมแยกไม่ออกระหว่างนิทาน
กับเรื่องที่คุณบอกว่าเห็นหลากหลาย แยกไม่ออกหรือ
SOAMUSA เขียน:
คุณโฮ คุณนี่อ่อนจริงๆ
ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองไปวันๆ.....ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับการเข้ามาในเวปธรรม
หากเข้ามาหาประโยชน์จริงๆ อาการของคุณจะไม่เป็นเช่นนี้ เพราะดูตามความเก่าแล้ว
คุณก็วนเวียนอยู่เวปนี้มานาน

ถ้าไม่ขวางคลอง ทำแบบคุณเกิดชาติหน้าต้องพิกลพิการจะให้โทษใคร
ผมวนเวียนอยู่ในเว็บนี้มานาน เปรียบก็เหมือนเทพมีที่สิงสถิตย์ครับ
แต่พวกไปๆมาๆนี่จะเรียกอะไรดี สัมมเวสีหรือวิญญาณไม่มีศาล พอได้มั้ยครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
SOAMUSA เขียน:
ศึกษาเรื่องการใช้ทรัพย์ที่หามาได้สิ พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้อย่างไร

ถามผมว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรก็ดีครับ ถ้างั้นผมเอาคำสอนของพระสังฆราช
มาโพสให้คุณดูซะหน่อย ว่าจะเอาพุทธพจน์มาก็กลัวคุณไม่รู้เรื่อง....

"บัณฑิตไม่มีความเพ่งโทษผู้อื่น
บัณฑิตจะเพ่งโทษตนเอง
การเพ่งโทษตนเองนั้น
เป็นการฝึกตนเองอย่างหนึ่ง
ที่จักเกิดผลจริง

การเพ่งโทษผู้อื่นเป็นวิสัยของผู้ไม่ใช่บัณฑิต
ผู้ที่เพ่งแต่โทษผู้อื่น ไม่เพ่งโทษตนเอง ย่อมไม่เห็นโทษของตนเอง
ย่อมไม่เห็นความบกพร่องที่จะต้องแก้ไขให้ดีขึ้น
ฯลฯ"

SOAMUSA เขียน:
แล้วถ้าคิดตามหลักเศรษฐศาสตร์ ถ้าทุกคนพากันออมหมด ใช้จ่ายแค่เล็กน้อยสุดๆ แล้วจะเป็นอย่างไร

แน่ะ! เดาะเศรษฐศาสตร์เลย นึกจะพูดก็พูด ทำมารู้ดีอีก
ถามหน่อยถ้าไม่มีคนออม แล้วธนาคารจะเอาเงินที่ไหนไปให้ชาวบ้านเขาลงทุน
เศรษรฐีเขาออมเงินนะดีแล้ว มันจะได้ช่วยให้คนสร้างงาน คนจะได้ไม่ตกงาน
SOAMUSA เขียน:
และในเรื่องการทำกุศล หากมีเงินทองเหลือล้น
และเข้าใจเรื่องกัมมัสสกตาญาณ
ก็จะไม่มัวแต่นั่งกอดทรัพย์แน่นอน มีเศรษฐีมากมายให้โดยไม่ต้องให้ใครมาขอ เจอใครเดือดร้อน
ก็ช่วยด้วยความจริงใจ เต็มใจ ทำบุญแบบไม่เอาหน้าด้วย เพราะเค้ามีเงินแล้วมีปัญญา

พูดธรรมอย่าพูดเองเออเองซิครับ ดูแล้วหาหลักการไม่ได้ .......

ตอนแรกตั้งกระทู้ถามว่าทำไมเศรษฐีบางคนขี้เหนียว พอถูกแทงทิ่มใจดำเข้าหน่อย
มาแก้ตัวว่า มีเศรษฐีมากมายให้โดยไม่ต้องขอ ผมว่าคุณตั้งสติให้ดีก่อนดีกว่าครับ
ตกลงคุณจะถามเรื่องของเศรษฐีหรือเรื่องของนิสสัยคนครับ
SOAMUSA เขียน:
ถ้าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจริงๆ ไม่ต้องห่วงว่าเงินทองจะวอดวาย ยิ่งให้ก็ยิ่งเพิ่ม แต่การให้ทำอย่างไร เรียกว่า ให้เป็นมีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์อยู่แล้ว

พูดเองเออเองอีกแล้ว ให้มากเก็บน้อยมีหรือไม่วอดวาย
แล้วตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่คุณเอามาอ้าง มันเป็นเศรษศาสตร์ดาวนพเคราะห์ดวงไหนครับ
ที่ยิ่งให้ ยิ่งเพิ่ม
SOAMUSA เขียน:
แล้วไม่ต้องห่วงลูกหลานหรอก มันเป็นเรื่องของอนาคต บางทีลูกหลานรับมรดกไปผลาญ
ก็เยอะแยะไป มานึกตรงปัจจุบันดีกว่า ทำเหตุไว้ให้ดีขณะปัจจุบันสิ่งดีๆ ก็จะเกิดตามมาเองค่ะ
คุณโฮควรหาธรรมะอ่านดูบ้าง ปีใหม่แล้ว

ก็ไอ้คิดแบบนี้ไง ด้วยเองมีกรรมแท้ๆ ดันไปว่าคนอื่นมีกรรม
พูดออกมาได้ไงว่าไม่ต้องห่วงลูกหลาน กลัวลูกหลานเอาเงินไปผลาญ
พูดแบบนี้แล้วยังมาบอกให้เราไปหาธรรมะอ่าน คุณใบโพธิ์เคยสำเหนียก
เรื่องมงคล๓๘ประการของพระพุทธเจ้ามั้ย
มีมงคลอยู่ข้อหนี่งที่ว่า......การสงเคราะห์บุตร

การที่เราเป็นพ่อ เป็นแม่ของบุตรนั้น มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูกของเราคือ

๑.ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว

๒.ปลูกฝัง สนับสนุนให้ทำความดี

๓.ให้การศึกษาหาความรู้

๔.ให้ได้คู่ครองที่ดี (ใช้ประสพการณ์ของเราให้คำปรึกษาแก่ลูก ช่วยดูให้)

๕.มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร (การทำพินัยกรรม ก็ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง) :b13:


......................................................

ไม่ได้รู้เรื่องเลยคุณโฮเอ้ย
พูดมากไปกับคุณ ก็เปล่าประโยชน์

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณโฮฮับเขียน


อ้างคำพูด:
ก็บอกเองไม่ใช่หรือว่า..............เขามีลูกพิการทางสมอง :b13:




ก็ลูกพิการทางสมองน่ะสิค่ะ ถ้ามีเงินต้องกล้าใช้เงินค่ะ :b1:
โอ้โห๋!คุณโฮฮับค่ะ เงินของบ้านเค้าเรามองว่าเงินเข้ามาทุกทิศค่ะ
เคยคิดค่ะว่ากรรมจากอะไรน่ะ เค้าถึงต้องเป็นอย่างนี้(ที่พูดนี่ไม่ใช่อิจฉาเค้าน่ะค่ะ)
เพราะควมอิจฉาผู้อื่นเป็นทุกข์ค่ะ :b12: :b41: :b55: :b49:

แล้วถ้าเขาตายไป ใครเขาจะเลี้ยงลูกเขาครับ
มันต้องเก็บเงินทอง เพื่อลูกครับ ลูกหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้

คุณ3bครับ ลองตั้งสติดีๆนะครับ ในขณะที่คุณกำลังคิดเรื่องของเขาอยู่
เขารู้มั้ยครับว่าคุณคิดอะไร ......สรุปใครมีกรรมใครเป็นทุกข์กันแน่ครับ

คุณ3b ว่าผลกรรมมีจริงมั้ยครับ อยากรู้ก็ถามคุณจขกทดูซิครับว่า
ตอนนี้รู้สึกอย่างไร กำลังสุขใจ หรือกำลังเดือดเลือดพร่าน :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bbby เขียน:
คุณโฮฮับเขียน


อ้างคำพูด:
ก็บอกเองไม่ใช่หรือว่า..............เขามีลูกพิการทางสมอง :b13:




ก็ลูกพิการทางสมองน่ะสิค่ะ ถ้ามีเงินต้องกล้าใช้เงินค่ะ :b1:
โอ้โห๋!คุณโฮฮับค่ะ เงินของบ้านเค้าเรามองว่าเงินเข้ามาทุกทิศค่ะ
เคยคิดค่ะว่ากรรมจากอะไรน่ะ เค้าถึงต้องเป็นอย่างนี้(ที่พูดนี่ไม่ใช่อิจฉาเค้าน่ะค่ะ)
เพราะควมอิจฉาผู้อื่นเป็นทุกข์ค่ะ :b12: :b41: :b55: :b49:

แล้วถ้าเขาตายไป ใครเขาจะเลี้ยงลูกเขาครับ
มันต้องเก็บเงินทอง เพื่อลูกครับ ลูกหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้

คุณ3bครับ ลองตั้งสติดีๆนะครับ ในขณะที่คุณกำลังคิดเรื่องของเขาอยู่
เขารู้มั้ยครับว่าคุณคิดอะไร ......สรุปใครมีกรรมใครเป็นทุกข์กันแน่ครับ

คุณ3b ว่าผลกรรมมีจริงมั้ยครับ อยากรู้ก็ถามคุณจขกทดูซิครับว่า
ตอนนี้รู้สึกอย่างไร กำลังสุขใจ หรือกำลังเดือดเลือดพร่าน :b32:



สำคัญตัวผิดไปแล้วค่ะคุณโฮ

คุณไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้นเลย

คนอย่างคุณ แบบชอบเกรียนไปทั่ว ชั้นได้แต่สงสารในความอ่อนของคุณ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณ3bครับ ลองตั้งสติดีๆนะครับ ในขณะที่คุณกำลังคิดเรื่องของเขาอยู่
เขารู้มั้ยครับว่าคุณคิดอะไร ......สรุปใครมีกรรมใครเป็นทุกข์กันแน่ครับ



ต้องขอโทษคุณโฮฮับจริงๆค่ะ เราเขียนไม่หมดทำให้คุณโฮฮับเข้าใจผิด
คือเศรษฐีคนที่เราพูดถึง เค้ามีสวนปามล์ถึง300กว่าไร่ อาคารพานิชย์ให้เช่าอีกหลายห้อง
รวมทั้งบ้านให้เช่าอีกเป็น10กว่าหลัง คุณโฮฮับคิดว่าใช้อย่างไรถึงจะหมดค่ะ
ที่นี่มีโรงเรียนสอนเด็กพิการทางสมองค่ะ เพียงแต่ต้องมีเงินเท่านั้นถึงจะเรียนได้
แล้วคุณโฮฮับคิดว่าเค้าให้ลูกเค้าเรียนได้มั๊ย!ค่ะ


อ้างคำพูด:
สรุปใครมีกรรมใครเป็นทุกข์กันแน่ครับ




เราไม่ได้ทุกข์เพราะเรื่องของเค้าหรอกค่ะ เพียงแตคิดว่าเค้าทำกรรมอะไรน่ะ
เค้าถึงไม่กล้าใช้เงิน

มันเป็นเรื่องธรรมดาค่ะสำหรับคนที่อยู่ในโลกที่ยังมีกิเลส พอเห็นอะไรความสงสัยมันต้องเกิด
พอความสงสัยมันเกิด ความอยากรู้มันต้องตามมา :b10:
หรือว่าคุณโฮฮับไม่เคยสงสัย ไม่เคยอยากรู้ :b32:

เท่าที่เราเคยอ่านเจอน่ะค่ะ ผู้ที่สำเร็จจนถึงขั้นโสดาบันแล้ว ท่านจะไม่มีความสงสัยหรืออยากรู้
เรื่องของผู้อื่น ถึงแม้ท่านจะรู้ ท่านจะเห็น ท่านก็ไม่พูดไม่บอกค่ะ
ท่านปล่อยวางให้เป็นไปตามกรรมของผู้นั้น คือท่านบรรลุขั้นโสดาบันแล้วค่ะ



ทีนี่อย่างเราๆท่านๆทั้งหลาย ปากยังต้องพูด ตายังต้องเห็น หูยังต้องฟัง
จะไม่สงสัยอะไรเลยหรือค่ะ แล้วความสงสัยของเราก็ไม่ได้ทำให้เค้าเดือดร้อนนี่ค่ะ :b12:

แล้วทีนี้ในฐานะที่คุณโฮฮับเป็นนักท่องเว็บธรรมะคนหนึ่ง
คุณโฮฮับพอจะทราบมั๊ย!ค่ะ ว่าคนที่มีเงินแต่ไม่กล้าใช้เงินนี่
เค้าทำกรรมอะไรไว้ค่ะ ใครๆจะได้ไม่สงสัยค่ะ
คุณโฮฮับห้ามเฉไฉไปทางอื่นที่ไม่ตรงกับคำถามน่ะค่ะ :b32: :b41: :b55: :b50:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2013, 01:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
ต้องขอโทษคุณโฮฮับจริงๆค่ะ เราเขียนไม่หมดทำให้คุณโฮฮับเข้าใจผิด

ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ มนุษย์ก็เป็นแบบนี้ เที่ยวได้เพ่งโทษคนอื่น
ไม่ยอมเพ่งโทษตนเอง ชอบนักชอบหนา นินทาชาวบ้าน พอเวลาคนอื่นไม่เห็นด้วย
ก็จะเปลี่ยนเป้าหมาย และที่สำคัญไม่ยอมรับว่าสิ่งตัวทำมันไม่ดี สร้างเรื่องใหม่
แก้ตัวไปเรื่อยๆ

คนประเภทแบบคุณแบบจขกท ในสังคมปัจจุบันมีเยอะครับ
ใช้วิธีการทำให้ตัวเองเป็นคนดี ด้วยการกล่าวหาคนอื่นเป็นคนไม่ดี
bbby เขียน:
คือเศรษฐีคนที่เราพูดถึง เค้ามีสวนปามล์ถึง300กว่าไร่ อาคารพานิชย์ให้เช่าอีกหลายห้อง
รวมทั้งบ้านให้เช่าอีกเป็น10กว่าหลัง

ก็ชอบมองคนแต่เปลือก ผมถามแล้วคุณแน่ใจได้ไงว่า เขาไม่มีหนี้สิน
พ่อค้านักธุรกิจส่วนใหญ่ เขากู้เงินธนาคารมาลงทุนกันทั้งนั้น มองอะไรหัดมองสองด้าน
กรณีของคุณยังดีน่ะที่โดนหาว่า ขี้เหนียว
มหาเศรษฐีในเมืองไทยบางคน โดนกล่าวหาว่า ...โกง
หาเรื่องไปยึดเงินเขามาหน้าตาเฉย เขาก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า เขาทำอาชีพสุจริต
เอาเรื่องผิดกฎหมายไม่ได้ ดันเอาเรื่องจริยธรรม ด้านจริงๆ :b32:
bbby เขียน:
ที่นี่มีโรงเรียนสอนเด็กพิการทางสมองค่ะ เพียงแต่ต้องมีเงินเท่านั้นถึงจะเรียนได้
แล้วคุณโฮฮับคิดว่าเค้าให้ลูกเค้าเรียนได้มั๊ย!ค่ะ

ผมอยากรู้จริงว่า เด็กพิการทางสมองของคุณมันเป็นอย่างไร ปะเดียวผมย้อนไปว่า
สมองพิการจะเรียนรู้เรื่องหรือ ความหมายคำว่า พิการของคุณก็จะเปลี่ยนไป :b32:

พ่อแม่ทุกคนรักลูกกันทั้งนั้น ยิ่งพ่อแม่ที่มีลูกพิการ เขายิ่งรักลูกมากกว่าคนอื่น
เป็นเพราะลูกของเขาช่วยตัวเองไม่ได้
และเรื่องเหตุผลที่เกี่ยวกับการดูแลเลี้ยงดู ต่างคนก็ต่างมีเหตุผลของตัวเอง
พ่อแม่บางคนตามใจลูก แล้วเที่ยวมาว่าพ่อแม่ที่ไม่ตามใจลูกว่า ไม่รักลูกไม่ได้ครับ

คุณ3b ลองไปถาม เจ้าสัว อาเสี่ยเศรษฐีในเมืองไทยดู ถามเขาว่า ตอนเด็กถูก
พ่อแม่เลี้ยงมาอย่างไร ได้เงินไปโรงเรียนวันล่ะเท่าไร วันหยุดหรือเลิกเรียนต้องช่วยพ่อแม่
ทำงานหรือเปล่า

เคยได้ยินมั้ยคร้บพ่อแม่บางคน ไม่ยอมให้ลูกไปเรียนโรงเรียนปกติ
ทั้งๆที่ลูกก็เหมือนกับเด็กปกติทั่วไป ก็เพราะกลัวว่า ลูกจะโดนคนอื่นรังแก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2013, 02:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
เราไม่ได้ทุกข์เพราะเรื่องของเค้าหรอกค่ะ เพียงแตคิดว่าเค้าทำกรรมอะไรน่ะ
เค้าถึงไม่กล้าใช้เงิน

ที่คุณบอกว่า "ไม่ทุกข์เพราะเรื่องของเขา" เป็นเพราะกำลังหลงกำลังมีโมหะไงครับ
คือมองไม่เห็นทุกข์ของตัวเอง มองไม่เห็นสัจจะธรรมของพระพุทธเจ้า

คนอื่นเขาจะกล้าใช้ไม่กล้าใช้ มันก็เป็นเรื่องของเขา เพราะเป็นเงินของเขา
แต่คุณเอาเรื่องของคนอื่นมาปรุงแต่งให้เกิดความสงสัย สร้างทุกข์ให้ตัวเอง
กรรมของคุณคือ ไปคิดเรื่องของคนอื่น ทุกข์ก็คือความสงสัย นี่คือทุกข์ทางใจ
ทุกข์ทางกาย วาจา ก็คือการสร้างบาปด้วยการกล่าวหาคนอื่นเขาครับ

คุณ3Bว่าเศรษฐีเขาสงสัยมั้ยที่เขาไม่ใช้เงิน ผมว่าเขาไม่สงสัยหรอกครับ
เพราะเขามีเหตุผลของเขาที่ไม่ใช้เงิน ถ้ามีใครไปสงสัยแทนเขา คนนั้นก็
รับบาปรับกรรมแทนเขาไป :b13:
bbby เขียน:
มันเป็นเรื่องธรรมดาค่ะสำหรับคนที่อยู่ในโลกที่ยังมีกิเลส พอเห็นอะไรความสงสัยมันต้องเกิด
พอความสงสัยมันเกิด ความอยากรู้มันต้องตามมา :b10:
หรือว่าคุณโฮฮับไม่เคยสงสัย ไม่เคยอยากรู้ :b32:

เคยครับ ไม่งั้นจะมาบอกคุณได้ไงว่ามันไม่ดี มันเป็นทุกข์
แต่ก็ว่าเถอะ ผลกรรมไม่ต้องรอชาติหน้า บอกธรรมให้รู้
กลับมาหาว่าเราเกรียน แบบนี้แหล่ะเขาเรียก อภัพบุคคล มองไม่เห็นธรรม
bbby เขียน:
เท่าที่เราเคยอ่านเจอน่ะค่ะ ผู้ที่สำเร็จจนถึงขั้นโสดาบันแล้ว ท่านจะไม่มีความสงสัยหรืออยากรู้
เรื่องของผู้อื่น ถึงแม้ท่านจะรู้ ท่านจะเห็น ท่านก็ไม่พูดไม่บอกค่ะ
ท่านปล่อยวางให้เป็นไปตามกรรมของผู้นั้น คือท่านบรรลุขั้นโสดาบันแล้วค่ะ

ทีนี่อย่างเราๆท่านๆทั้งหลาย ปากยังต้องพูด ตายังต้องเห็น หูยังต้องฟัง
จะไม่สงสัยอะไรเลยหรือค่ะ แล้วความสงสัยของเราก็ไม่ได้ทำให้เค้าเดือดร้อนนี่ค่ะ :b12:

ไม่ต้องพูดถึงโสดาบัน เอาแค่ปุถุชนคนธรรมดาเนี่ย พระพุทธองค์สอนให้
ทำแต่สิ่งที่เป็นกุศล(ความดี) ละอกุศล(ความชั่ว)

ใช่ครับเป็นปุถุชน มันก็ต้องมีความสงสัย แต่เมื่อสงสัยแล้ว
มันต้องปรุงแต่งให้เป็นกุศล ไม่ใช่ไปปรุงแต่งให้มันเป็นอกุศลแบบคุณ แบบจขกทครับ

เรื่องเดือดร้อน ก็บอกแล้วไงถ้าเขาไม่ได้ยินเขาก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้ามีใครที่เป็นเศรษฐี
มีสวนปาล์ม มีลูกสมองพิการ เขาเข้ามอ่านข้อความของคุณ เขาจะทุกข์มั้ย
ทุกข์ของเขากับของคุณต่างกันนะครับ ทุกข์ของคุณ คุณทำตัวคุณเอง
แต่ทุกข์ของเศรษฐีข้างบ้านคุณ ถูกคุณกระทำครับ คิดว่าบาปจะตกที่ใครครับ :b13:
bbby เขียน:
แล้วทีนี้ในฐานะที่คุณโฮฮับเป็นนักท่องเว็บธรรมะคนหนึ่ง
คุณโฮฮับพอจะทราบมั๊ย!ค่ะ ว่าคนที่มีเงินแต่ไม่กล้าใช้เงินนี่
เค้าทำกรรมอะไรไว้ค่ะ ใครๆจะได้ไม่สงสัยค่ะ
คุณโฮฮับห้ามเฉไฉไปทางอื่นที่ไม่ตรงกับคำถามน่ะค่ะ

ไอ้เรื่องเฉไฉมันเป็นคุณ คุณไปเฉไฉเหตุผลของคนอื่น เศรษฐีเขาจะใช้เงินหรือไม่
มันก็เป็นเหตุผลของเขา คุณดันไปเฉไฉเหตุผลของคนอื่นว่า เขากลัวไม่กล้าใช้เงิน
ผมถามครับ สวนปาล์มที่เขาปลูกและบ้านที่เขาสร้างให้คนเช่า เขาเนรมิตขึ้นมาหรือครับ
เขาไม่ต้องเอาเงินไปลงทุนซื้อ ลงทุนจ้างคนหรือครับ

แบบนี้ยังมีหน้าไปว่าเขาไม่กล้าใช้เงินเพราะกลัว
ผมว่าไอ้ที่กลัว เป็นคุณกับจขกทมากกว่า คือกลัวคนอื่นจะมาใช้เงินของคุณ
เลยต้องรีบใช้ให้หมด ไม่ต้องห่วงลุกห่วงหลาน กระทำแบบนี้ลูกหลานมันจะว่าได้น่ะว่า
"เห็นแก่ตัว"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2013, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่เข้ากระทู้นี้มาใหม่ๆละก็ จะเป็นเหยื่ออันโอชะของเจ้าโฮฮับ
เพราะคนเก่าๆเขาจะไม่สนใจกันแล้ว เพราะเขาถือกันว่า "อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา" ยังไงๆ
ก็เอาไว้ขวางๆ....เล่น
แท้จริงก็หาธรรมะอะไม่ได้เลย ถามอย่างตอบอย่างทำเป็นเหมือนรู้
นี่แหละเป็นพฤติกรรมของคนที่ชอบเอาความโง่มาอวด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2013, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ SOAMUSA- คุณลุงสมาน
ได้ไปสวดมนต์ข้ามปีหรือปล่าวค่ะ ถ้าไปเล่าให้ฟังบ้างสิค่ะ :b8: เป็นแบบไหน
นึกภาพไม่ออกค่ะ ไม่เคยเห็นค่ะ
เผื่อจะได้เป็นนิมิตตอนที่ลมหายใจจะหมดน่ะค่ะ :b1: :b41: :b55: :b50:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2013, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณ SOAMUSA- คุณลุงสมาน
ได้ไปสวดมนต์ข้ามปีหรือปล่าวค่ะ ถ้าไปเล่าให้ฟังบ้างสิค่ะ :b8: เป็นแบบไหน
นึกภาพไม่ออกค่ะ ไม่เคยเห็นค่ะ
เผื่อจะได้เป็นนิมิตตอนที่ลมหายใจจะหมดน่ะค่ะ :b1: :b41: :b55: :b50:


ไม่ได้ไปครับ...เล่าไม่ถูก...
ผมว่าน่าจะเรียกว่าไปสวดเค้าท์ดาวนะครับจะได้ทันสมัยหน่อยตามยุคตามสมัยนิยม
แต่ก็คิดได้ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยสอน เลยไม่อยากละเมิดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะพระธรรมเป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เราก็ไม่ต้องไปเติมไปแก้ไขใดๆอีก
ลูกที่ดีย่อมฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ สิ่งใดที่ไม่สอนก็ไม่ควรทำ

ข้ามปีน่ะผมก็ไม่รู้เวลาจะข้ามมันข้ามยังไง ผมไปก็รู้ว่ามันเหมือนๆเดิม
มันเป็นเรื่องสมมติกันทั้งนั้น แต่ก่อนเรียกส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กาลเปลี่ยนไปเลยกลายเค้าท์ดาว
แต่เรามองหาความจริงกันนะว่าปีใหม่กับปีเก่ามันต่างกันตรงไหน ผมก็ว่าเหมือนๆกันที่เห็นจะใหม่อยู่
อย่างหนึ่งคือได้เปลี่ยนปฏิทินใหม่เท่านั้นเอง ภรรยาก็คนเก่า รถก็คันเก่าๆ บ้านก็หลังเก่าๆ หนี้ก็เป็น
เหมือนเก่าไม่เห็นจะมีใครยกหนี้ให้เลย โง่ก็โง่เหมือนเดิม พระอาทิตย์พระจันทร์มันก็ขึ้นเหมือนเดิม กลางวันกลางคืนก็เหมือนเดิม ฯลฯ

การศึกษาธรรมะเราต้องเข้าใจนะว่าบุญเกิดที่ไหน บาปเกิดตรงไหน เรารับผลบุญผลของบาปตามกันตรงไหน ต้องรู้อดีตเหตุ มาเป็นผลของปัจจุบัน เหตุปัจจุบัน มันก็จะเป็นผลของอนาคต เรารู้เพียงเท่านี้เราก็จะไม่วิ่งไปหาบุญกันที่ไหนอีก...เล่าให้ฟังแล้วแต่ไม่รู้ว่าเล่ายาวไปหรือเปล่า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2013, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


ความตระหนี่

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลา
เหมือนชาวนาผู้ไม่ฉลาดไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนา เขาเก็บพันธุ์ข้าวเปลือกไว้
จนเน่าและเสียไม่สามารถจะปลูกได้อีก

ข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ด ย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด
ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้น ย่อมมีผลมากผลไพศาล การรวบรวมทรัพย์ไว้โดยมิได้ใช้สอย
ให้เป็นประโยชน์ ทรัพย์นั้นจะมีคุณแก่ตนได้อย่างไร เหมือนผู้มีเครื่องประดับอันวิจิตรตระการตา
แต่หาได้ประดับไม่ เครื่องประดับนั้นจะมีประโยชน์อะไร รังแต่จะก่อความหนักใจในการเก็บรักษา”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! นกชื่อ “มัยหกะ” ชอบเที่ยวไปตามซอกเขาและที่ต่าง ๆ
มาจับต้นเลียบที่มีผลสุก แล้วร้องว่า ของกู ของกู ในขณะที่มันร้องอยู่นั่นเอง
หมู่นกเหล่าอื่นที่บินมากินผลเลียบตามต้องการแล้วจากไป
นกมัยหกะก็ยังคงร้องว่า ของกู ของกู อยู่นั่นเอง ข้อนี้ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้น
รวบรวมสะสมทรัพย์ไว้มากมาย แต่ไม่สงเคราะห์ญาติตามที่ควร ทั้งมิได้ใช้สอยเองให้ผาสุก
มัวเฝ้ารักษาและภูมิใจว่าของเรามี ของเรามี ดังนี้ เมื่อเขาประพฤติอยู่เช่นนี้
ทรัพย์สมบัติย่อมเสียหายไป ทรุดโทรมไปด้วยเหตุต่าง ๆ มากหลาย
เขาก็ยังคงคร่ำครวญอยู่อย่างเดิมนั่นเอง และต้องเสียใจในของที่เสียไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ผู้ฉลาดหาทรัพย์ได้แล้ว พึงสงเคราะห์คนที่ควรสงเคราะห์ มีญาติ เป็นต้น”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! นักกายกรรมผู้มีกำลังมาก หรือนักมวยปล้ำผู้มีกำลังมหาศาลนั้น
ก่อนที่จะได้กำลังมาเขาก็ต้องออกกำลังกายไปก่อน การเสียสละนั้น คือ การได้มา
ซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไร ย่อมไม่ได้อะไร

จงดูเถิด! มนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคน แต่ต้นไม้ย่อมให้ผลที่ปลาย
เธอทั้งหลายจงพิจารณาดูความจริงตามธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งเถิด
คือ แม่น้ำสายใดเป็นแม่น้ำตาย ไม่ไหล ไม่ถ่ายเทไปสู่ที่อื่น หยุดนิ่งขังอยู่ที่เดียว
แม่น้ำสายนั้นย่อมพลันตื้นเขินและสกปรกเน่าเหม็น เพราะสิ่งสกปรกลงมามิได้ถ่ายเท
นอกจากนี้บริเวณที่ใกล้แม่น้ำสายนั้น จะหาพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สวยสดก็หายาก
แต่แม่น้ำสายใดไหลเอื่อยลงสู่ทะเล หรือแตกสาขาไหลออกเรื่อย ๆ ไม่รู้จักหมดสิ้น
คนทั้งหลายได้อาศัยอาบดื่ม และใช้สอยตามปรารถนา มันจะใสสะอาดอยู่เสมอ
ไม่มีวันเหม็นเน่า หรือสกปรกได้เลย พืชพันธุ์ธัญญาหาร ณ บริเวณใกล้เคียงก็เขียวสดสวยงาม”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! บุคคลผู้ตระหนี่เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็ เก็บ ตุนไว้ไม่ถ่ายเทให้ผู้อื่นบ้าง
ก็เหมือนแม่น้ำตายไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร ส่วนผู้ไม่ตระหนี่เป็นเหมือนแม่น้ำ
ที่ไหลเอื่อยอยู่เสมอฉะนั้น สาธุชนได้ทรัพย์แล้วพึงบำเพ็ญตนเสมือนแม่น้ำ
ซึ่งไหลใสสะอาดไม่พึงเป็นเช่นแม่น้ำตาย”

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2013, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณ SOAMUSA- คุณลุงสมาน
ได้ไปสวดมนต์ข้ามปีหรือปล่าวค่ะ ถ้าไปเล่าให้ฟังบ้างสิค่ะ :b8: เป็นแบบไหน
นึกภาพไม่ออกค่ะ ไม่เคยเห็นค่ะ
เผื่อจะได้เป็นนิมิตตอนที่ลมหายใจจะหมดน่ะค่ะ :b1: :b41: :b55: :b50:


ไม่ได้ไปค่ะ ทำตัวตามปกติค่ะ
เวลาก็ผ่านไปตามปกติ แต่ถ้าไปเจอสิ่งที่ไม่ตรงกับเหตุ จะติดลบเอาง่ายๆ ค่ะ

จริงๆ นะค่ะ อารมณ์ตอนขณะใกล้ตายนี่อันตรายมาก หากไปจับเอาสิ่งที่ทำไว้
แบบผิดๆ มาล่ะก็ เสร็จเลยค่ะ

cool

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2013, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอบคุณคุณลุงสมานค่ะที่นำข้อความดีๆมาให้อ่าน




คุณSOAMUSAเขียน


อ้างคำพูด:
จริงๆ นะค่ะ อารมณ์ตอนขณะใกล้ตายนี่อันตรายมาก หากไปจับเอาสิ่งที่ทำไว้
แบบผิดๆ มาล่ะก็ เสร็จเลยค่ะ





ใช่ค่ะเพราะอารมณ์ตอนตายนี่ จะเป็นสิ่งที่จะพาเราไปที่ไหนค่ะ
แต่จิตของเราตอนนี้ ทุกๆวันก้อจะจำสิ่งที่ใครสอนเรื่องทำสมาธิ
หรือเค้าคุยกันเรื่องธรรมะ ในสมองส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องแบบนี้ค่ะ
จำแม่นด้วยน่ะค่ะ ยังนึกเสียดายเลยค่ะ ว่าตอนเรียนทำไมจำไม่ค่อยจะได้ :b12: :b41: :b55: :b50:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร