วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 04:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 19:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ...ดูงัย..จิต..เจตสิก...ในชีวิตจริง

เจตสิก...เห็นได้จริงรึ?....รึเพราะตำราเขาว่าอย่างนั้น...

ผับผ่าเถอะ...ผมมีปัญหากะเรื่องนี้จริง ๆ ...
:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อิอิ...ดูงัย..จิต..เจตสิก...ในชีวิตจริง

เจตสิก...เห็นได้จริงรึ?....รึเพราะตำราเขาว่าอย่างนั้น...

ผับผ่าเถอะ...ผมมีปัญหากะเรื่องนี้จริง ๆ ...
:b12: :b12: :b12:



เอาเป็นว่า อยากจะว่าอะไรก็ว่าได้ค่ะ
ไม่เป็นไรค่ะ ตามสบายค่ะ
ลบโพสท์ที่มีปัญหาทิ้งไปแล้วนะคะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 20:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อิอิ...ดูงัย..จิต..เจตสิก...ในชีวิตจริง

เจตสิก...เห็นได้จริงรึ?....รึเพราะตำราเขาว่าอย่างนั้น...

ผับผ่าเถอะ...ผมมีปัญหากะเรื่องนี้จริง ๆ ...
:b12: :b12: :b12:


ไม่ได้ว่าใคร...นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2013, 06:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อิอิ...ดูงัย..จิต..เจตสิก...ในชีวิตจริง

เจตสิก...เห็นได้จริงรึ?....รึเพราะตำราเขาว่าอย่างนั้น...

ผับผ่าเถอะ...ผมมีปัญหากะเรื่องนี้จริง ๆ ...
:b12: :b12: :b12:


ไม่ได้ว่าใคร...นะครับ


ก็เราเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า...ถ้าไม่เชื่อหรือไม่ศรัทธาคำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็เป็นเรื่องที่จะเข้าใจได้ยาก เพราะประตูศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าจะถูกปิดสนิท
การที่ดูจิตได้หรือไม่ได้ เห็นจริงหรือจะไม่เห็นจริง

พระพุทธองค์กล่าวไว้ในสติปัฏฐาน ๔ มี จิตตานุปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น
การเห็นจิตมันเป็นเรื่องของผู้รู้เห็นจริงจึงนำมากล่าวไว้ อันมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น
แต่การเห็นอย่างไรนั้นคงไม่ต้องขอกล่าวในที่นี้ เพราะมีผู้กล่าวไว้เยอะแล้ว

สำหรับผู้ไม่รู้ไม่เห็นไม่เคยเข้าถึงย่อมมีความสงสัยเป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นเช่นนั้นเอง
ก็ขอให้ท่านจงเปิดประตูศรัทธาเถิด ก่อนที่ธรรมะทั้งหลายถูกปิดสนิท

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2013, 07:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อิอิ...ดูงัย..จิต..เจตสิก...ในชีวิตจริง

เจตสิก...เห็นได้จริงรึ?....รึเพราะตำราเขาว่าอย่างนั้น...

ผับผ่าเถอะ...ผมมีปัญหากะเรื่องนี้จริง ๆ ...
:b12: :b12: :b12:


ไม่ได้ว่าใคร...นะครับ


ก็เราเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า...ถ้าไม่เชื่อหรือไม่ศรัทธาคำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็เป็นเรื่องที่จะเข้าใจได้ยาก เพราะประตูศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าจะถูกปิดสนิท
การที่ดูจิตได้หรือไม่ได้ เห็นจริงหรือจะไม่เห็นจริง

พระพุทธองค์กล่าวไว้ในสติปัฏฐาน ๔ มี จิตตานุปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น
การเห็นจิตมันเป็นเรื่องของผู้รู้เห็นจริงจึงนำมากล่าวไว้ อันมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น
แต่การเห็นอย่างไรนั้นคงไม่ต้องขอกล่าวในที่นี้ เพราะมีผู้กล่าวไว้เยอะแล้ว

สำหรับผู้ไม่รู้ไม่เห็นไม่เคยเข้าถึงย่อมมีความสงสัยเป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นเช่นนั้นเอง
ก็ขอให้ท่านจงเปิดประตูศรัทธาเถิด ก่อนที่ธรรมะทั้งหลายถูกปิดสนิท


:b8: :b8: :b8:
สาธุค่ะลุง

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2013, 20:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:

ก็เราเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า...ถ้าไม่เชื่อหรือไม่ศรัทธาคำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็เป็นเรื่องที่จะเข้าใจได้ยาก เพราะประตูศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าจะถูกปิดสนิท
การที่ดูจิตได้หรือไม่ได้ เห็นจริงหรือจะไม่เห็นจริง

พระพุทธองค์กล่าวไว้ในสติปัฏฐาน ๔ มี จิตตานุปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น
การเห็นจิตมันเป็นเรื่องของผู้รู้เห็นจริงจึงนำมากล่าวไว้ อันมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น
แต่การเห็นอย่างไรนั้นคงไม่ต้องขอกล่าวในที่นี้ เพราะมีผู้กล่าวไว้เยอะแล้ว

สำหรับผู้ไม่รู้ไม่เห็นไม่เคยเข้าถึงย่อมมีความสงสัยเป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นเช่นนั้นเอง
ก็ขอให้ท่านจงเปิดประตูศรัทธาเถิด ก่อนที่ธรรมะทั้งหลายถูกปิดสนิท


เชื่อ...ก็ส่วนเชื่อครับ...

หากพูดว่า...เห็น...นี้...

แล้ว...โกรธ...เคือง...ขัดใจ...ยังลอยเพ่นพ่าน..จนระงับดับไม่ได้เลยต้องพิมพ์ออกมา..นี้

เรียกว่า...เห็นประเภทไหน???..

อิอิ...

ลองดูดีดี....อย่ามั่วแต่เคืองว่า..เขาขัดเรา...
ปัญหาไม่มา...ปัญญาไม่เกิด... :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2013, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 10:41
โพสต์: 114

แนวปฏิบัติ: ลัทธินิยมความจริง
สิ่งที่ชื่นชอบ: เฒ่าทะเล
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจตนามันชัด
จะแก้ตัวทำไม
จะลุยก็ลุยไปเลยคนดูชอบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2013, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เชื่อ...ก็ส่วนเชื่อครับ...

หากพูดว่า...เห็น...นี้...

แล้ว...โกรธ...เคือง...ขัดใจ...ยังลอยเพ่นพ่าน..จนระงับดับไม่ได้เลยต้องพิมพ์ออกมา..นี้

เรียกว่า...เห็นประเภทไหน???..

อิอิ...

ลองดูดีดี....อย่ามั่วแต่เคืองว่า..เขาขัดเรา...
ปัญหาไม่มา...ปัญญาไม่เกิด... :b12: :b12:

ขอยกนิทานมาเล่า มีเต่ากับปลาอาศัยอยู่ที่บึงใหญ่แห่งหนึ่ง
คบหากันเป็นเพื่อนสนิทและนัดพบกันที่ริมกอขอบบึงทุกวัน มาคราวหนึ่งเต่าไม่มาตามนัด
ปลาจึงมารอเก้อพร้อมกับสงสัยว่าเต่าหายไปไหน เจ็บไข้ตายไปหรืออย่างไร
ผ่านไป ๒-๓ วันเต่าจึงปรากฏตัว ปลาจึงถามขึ้นว่า
“เพื่อนไปไหนมา หายไปตั้งหลายวัน”
“เราไปเที่ยวบนบกมาเพื่อน” เต่าตอบ
เนื่องจากปลาเป็นสัตว์น้ำไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นบก ส่วนเต่าเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
คืออยู่ในน้ำก็ได้อยู่บนบกก็ได้ ปลาจึงถามเต่าด้วยความสงสัย
“บกมันเป็นอย่างไรหรือเพื่อนเหมือนกอแฝกนี่ไหม”
“ไม่ใช่หรอกเพื่อน บกไม่เหมือนกอแฝก” เต่าตอบ
“เหมือนโคลนไหม”
“ไม่ใช่หรอก”
“เหมือนจอกเหมือนแหนไหม”
“ไม่ใช่หรอก”
ปลาพยายามเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตนได้เห็นในบึงว่าเป็นเหมือนบกไหม เต่าก็ตอบว่าไม่ใช่ๆทุกอย่างไป ทำให้ปลางุนงงสงสัยหนักขึ้นเพราะเกิดมาไม่เคยสัมผัสกับบก ส่วนเต่าเล่าก็ไม่รู้จะอธิบายสภาพของบกให้ปลาฟังอย่างไร ยิ่งอธิบายบนบกนั้นมีสัตว์มากมาย มีช้าง มีม้า มีควาย มีภูเขา มีต้นไม้ใหญ่ มีคน มีบ้านเรือน ปลาก็ยิ่งซักถามหนักขึ้นว่าเหมือนอันนั้นอันนี้ในบึงใช่ไหม เต่าก็ตอบอยู่อย่างเดียวว่าไม่ไม่เหมือนตลอด
เต่าไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เรียกว่าบกให้ปลาเข้าใจได้ และปลาก็ไม่อาจเข้าใจบกตามที่เต่าเล่าให้ฟังได้ ทำไปทำมาปลาเลยสรุปว่า
“ถ้าอย่างนั้นบกก็ไม่มีจริง เพราะไม่สามารถบอกสภาพให้เราเห็นได้”
“บกมีจริงๆเราไปเที่ยวมาประจำ กว้างใหญ่ไพศาลมากนะเพื่อน” เต่ารับรอง
“แต่ปลาไม่เชื่อเสียแล้ว ทำไปทำมาเต่ากับปลาก็เริ่มเถียงกันดังลั่น เริ่มมีอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ จนกระทั่งอ่อนแรงไปด้วยกัน จึงต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป
และหลังจากนั้นมิตรภาพของทั้งสองก็แตกสลายไม่ได้มาพบปะกันอีกเลย.
เรื่องนี้สื่อความได้ว่า :…
การอธิบายสภาวะที่สัมผัสได้ยาก
ให้คนที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นฟังนั้น เป็นเรื่องยากเย็นแท้
เพราะจะอธิบายอย่างไร เปรียบเทียบอย่างไร
เพื่อให้มองเห็นภาพนั้นตามเป็นจริง
อีกฝ่ายซึ่งไม่เคยสัมผัสไม่เคยได้เห็นมาก่อน ย่อมจะไม่เข้าใจอยู่ดี
ยิ่งคนที่ไม่เคยได้สัมผัสมาด้วยตัวเอง เป็นแต่ได้ฟังมาจากคนอื่น หรือจำมาจากตำรา แล้วอธิบายให้คนที่ไม่เคยสัมผัสเหมือนกันฟัง ก็ยิ่งพากันหลงทางมากขึ้น ต่างก็จะเข้าใจไปคนละทางสองทาง ขืนอธิบายไปก็จะมีแต่เถียงทะเลาะกัน เหมือนเต่าซึ่งสัมผัสได้ทั้งน้ำและบกย่อมรู้เรื่องทั้งเรื่องน้ำเรื่องบก แต่ไม่อาจอธิบายให้ปลาซึ่งเป็นสัตว์น้ำเข้าใจได้ และปลาก็จะไม่มีวันเข้าใจบกได้ดีเท่าเต่า เพราะได้สัมผัสแต่น้ำ มีประสบการณ์เฉพาะเรื่องน้ำและสิ่งที่อยู่ในน้ำเท่านั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถเข้าใจได้แน่นอน ก็หยุดอธิบาย หยุดพูดคุยกันถึงเรื่องนั้นดีกว่า หรือหาเรื่องอื่นมาคุยกันดีกว่า ขืนดันทุรังจะให้อีกฝ่ายรู้และเข้าใจตามที่ตนต้องการให้ได้ ก็จะได้แต่การเถียงกันทะเลาะกันเท่านั้น เผลอๆอาจถึงแตกคอกันก็ได้.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2013, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ใช่เลยครับ....จะพูดให้คนที่ไม่เคยเห็นเข้าใจ...มันพูดยากมาก..จนบางครั้งก็อาจจะพูดไม่ได้เลย

อิอิ....

แต่จำไว้อย่าง..นะครับ

เห็น...แล้ว...ต้องวางได้

ถ้าเห็น...แล้ววางไม่ได้....ไม่ใช่การเห็นในอริยะสัจ

จุดมุ่งหมายเราทำเพื่อการพ้นทุกข์กันไม่ใช่หรอ....หรือไม่ใช่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2013, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b33: เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อิอิ...ดูงัย..จิต..เจตสิก...ในชีวิตจริง

เจตสิก...เห็นได้จริงรึ?....รึเพราะตำราเขาว่าอย่างนั้น...

ผับผ่าเถอะ...ผมมีปัญหากะเรื่องนี้จริง ๆ ...
:b12: :b12: :b12:


ไม่ได้ว่าใคร...นะครับ


ก็เราเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า...ถ้าไม่เชื่อหรือไม่ศรัทธาคำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็เป็นเรื่องที่จะเข้าใจได้ยาก เพราะประตูศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าจะถูกปิดสนิท
การที่ดูจิตได้หรือไม่ได้ เห็นจริงหรือจะไม่เห็นจริง

พูดสาปะสาอะไรครับ แค่เขาขอความกระจ่างในบัญญัติ ไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร
ก็อย่ามักง่าย กล่าวหาว่าเขาไม่เชื่อไม่ศรัทธาพระพุทธเจ้า ก็เห็นอยู่ว่า ทีคุณกะลา
เขาพูดเขาหมายถึงคนที่เขาอ้างอิง

ไอ้คำศัพท์จิต เจตสิกนี่น่ะ พระพุทธเจ้าเป็นคนบัญญัติหรือ
พุทโธ่! เห็นก็อปปี้พระอภิธรรมมาลงบ่อยๆ นี่แสดงว่าไม่ได้เข้าใจ
ในสิ่งที่ตัวเอามาอวดชาวบ้านเลยหรือ

พระอภิธรรมเขามีไว้ทำไมไม่รู้หรอกรึ เขามีไว้เพื่ออธิบายคำศัพท์และบัญญัติต่างๆ
ถ้ารู้อภิธรรมจริงๆมันต้องอธิบายความเป็นปรมัตถ์หรือสภาวะธรรมได้
ไม่ใช่ยกเอาพระพุทธเจ้ามาข่มชาวบ้านแบบนี้

ถ้าลองบอกคุณกะลาแแกไปว่าดูจิตเป็นอย่างไร มีหรือเขาจะไม่รู้
ที่เขาแสดงความเห็นแบบนั้น ก็แค่จะลองภูมิว่ารู้จริงหรือเปล่า เข้าใจมั้ย
:b33: เขียน:
พระพุทธองค์กล่าวไว้ในสติปัฏฐาน ๔ มี จิตตานุปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น
การเห็นจิตมันเป็นเรื่องของผู้รู้เห็นจริงจึงนำมากล่าวไว้ อันมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น
แต่การเห็นอย่างไรนั้นคงไม่ต้องขอกล่าวในที่นี้ เพราะมีผู้กล่าวไว้เยอะแล้ว

ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คนกล่าวไว้เยอะแล้ว แต่มันอยู่ที่ลุงรู้เห็นจริงหรือเปล่า
ลุงรู้เห็นอะไรก็อธิบายไป ไม่ใช่มาอ้างโน้นอ้างนี่ อ้างแม้กระทั้งสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่
ก็ยังเอามาอ้าง ดันไปอ้างว่าคนกล่าวไว้เยอะ ก็เพราะปัญหาของคุณกะลามันมาจาก
ที่คนกล่าวไว้เยอะนั้นแหล่ะ ถ้ายังไม่เก็ท ก็ไอ้ตัวจิตและเจตสิกที่คนโน้นก็กล่าว
คนนี้ก็อ้างไง
:b33: เขียน:
สำหรับผู้ไม่รู้ไม่เห็นไม่เคยเข้าถึงย่อมมีความสงสัยเป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นเช่นนั้นเอง
ก็ขอให้ท่านจงเปิดประตูศรัทธาเถิด ก่อนที่ธรรมะทั้งหลายถูกปิดสนิท

มันอยู่ที่เขาสมควรจะสงสัยมั้ย คนที่มาพูดโดยขาดหลักการ พูดแบบขอไปที
พูดแบบไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวพูด พูดเป็นนกแก้ว นกเอี้ยงแบบนี้ คนฟังย่อมต้องสงสัย
และที่เขาสงสัยไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า แต่สงสัยในปัญญาของคนพูดครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2013, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b33: เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เชื่อ...ก็ส่วนเชื่อครับ...

หากพูดว่า...เห็น...นี้...

แล้ว...โกรธ...เคือง...ขัดใจ...ยังลอยเพ่นพ่าน..จนระงับดับไม่ได้เลยต้องพิมพ์ออกมา..นี้

เรียกว่า...เห็นประเภทไหน???..

อิอิ...

ลองดูดีดี....อย่ามั่วแต่เคืองว่า..เขาขัดเรา...
ปัญหาไม่มา...ปัญญาไม่เกิด... :b12: :b12:

ขอยกนิทานมาเล่า มีเต่ากับปลาอาศัยอยู่ที่บึงใหญ่แห่งหนึ่ง
คบหากันเป็นเพื่อนสนิทและนัดพบกันที่ริมกอขอบบึงทุกวัน มาคราวหนึ่งเต่าไม่มาตามนัด
ปลาจึงมารอเก้อพร้อมกับสงสัยว่าเต่าหายไปไหน เจ็บไข้ตายไปหรืออย่างไร
ผ่านไป ๒-๓ วันเต่าจึงปรากฏตัว ปลาจึงถามขึ้นว่า
“เพื่อนไปไหนมา หายไปตั้งหลายวัน”
“เราไปเที่ยวบนบกมาเพื่อน” เต่าตอบ
เนื่องจากปลาเป็นสัตว์น้ำไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นบก ส่วนเต่าเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
คืออยู่ในน้ำก็ได้อยู่บนบกก็ได้ ปลาจึงถามเต่าด้วยความสงสัย
“บกมันเป็นอย่างไรหรือเพื่อนเหมือนกอแฝกนี่ไหม”
“ไม่ใช่หรอกเพื่อน บกไม่เหมือนกอแฝก” เต่าตอบ
“เหมือนโคลนไหม”
“ไม่ใช่หรอก”
“เหมือนจอกเหมือนแหนไหม”
“ไม่ใช่หรอก”
ปลาพยายามเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตนได้เห็นในบึงว่าเป็นเหมือนบกไหม เต่าก็ตอบว่าไม่ใช่ๆทุกอย่างไป ทำให้ปลางุนงงสงสัยหนักขึ้นเพราะเกิดมาไม่เคยสัมผัสกับบก ส่วนเต่าเล่าก็ไม่รู้จะอธิบายสภาพของบกให้ปลาฟังอย่างไร ยิ่งอธิบายบนบกนั้นมีสัตว์มากมาย มีช้าง มีม้า มีควาย มีภูเขา มีต้นไม้ใหญ่ มีคน มีบ้านเรือน ปลาก็ยิ่งซักถามหนักขึ้นว่าเหมือนอันนั้นอันนี้ในบึงใช่ไหม เต่าก็ตอบอยู่อย่างเดียวว่าไม่ไม่เหมือนตลอด
เต่าไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เรียกว่าบกให้ปลาเข้าใจได้ และปลาก็ไม่อาจเข้าใจบกตามที่เต่าเล่าให้ฟังได้ ทำไปทำมาปลาเลยสรุปว่า
“ถ้าอย่างนั้นบกก็ไม่มีจริง เพราะไม่สามารถบอกสภาพให้เราเห็นได้”
“บกมีจริงๆเราไปเที่ยวมาประจำ กว้างใหญ่ไพศาลมากนะเพื่อน” เต่ารับรอง
“แต่ปลาไม่เชื่อเสียแล้ว ทำไปทำมาเต่ากับปลาก็เริ่มเถียงกันดังลั่น เริ่มมีอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ จนกระทั่งอ่อนแรงไปด้วยกัน จึงต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป
และหลังจากนั้นมิตรภาพของทั้งสองก็แตกสลายไม่ได้มาพบปะกันอีกเลย.
เรื่องนี้สื่อความได้ว่า :…
การอธิบายสภาวะที่สัมผัสได้ยาก
ให้คนที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นฟังนั้น เป็นเรื่องยากเย็นแท้
เพราะจะอธิบายอย่างไร เปรียบเทียบอย่างไร
เพื่อให้มองเห็นภาพนั้นตามเป็นจริง
อีกฝ่ายซึ่งไม่เคยสัมผัสไม่เคยได้เห็นมาก่อน ย่อมจะไม่เข้าใจอยู่ดี
ยิ่งคนที่ไม่เคยได้สัมผัสมาด้วยตัวเอง เป็นแต่ได้ฟังมาจากคนอื่น หรือจำมาจากตำรา แล้วอธิบายให้คนที่ไม่เคยสัมผัสเหมือนกันฟัง ก็ยิ่งพากันหลงทางมากขึ้น ต่างก็จะเข้าใจไปคนละทางสองทาง ขืนอธิบายไปก็จะมีแต่เถียงทะเลาะกัน เหมือนเต่าซึ่งสัมผัสได้ทั้งน้ำและบกย่อมรู้เรื่องทั้งเรื่องน้ำเรื่องบก แต่ไม่อาจอธิบายให้ปลาซึ่งเป็นสัตว์น้ำเข้าใจได้ และปลาก็จะไม่มีวันเข้าใจบกได้ดีเท่าเต่า เพราะได้สัมผัสแต่น้ำ มีประสบการณ์เฉพาะเรื่องน้ำและสิ่งที่อยู่ในน้ำเท่านั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถเข้าใจได้แน่นอน ก็หยุดอธิบาย หยุดพูดคุยกันถึงเรื่องนั้นดีกว่า หรือหาเรื่องอื่นมาคุยกันดีกว่า ขืนดันทุรังจะให้อีกฝ่ายรู้และเข้าใจตามที่ตนต้องการให้ได้ ก็จะได้แต่การเถียงกันทะเลาะกันเท่านั้น เผลอๆอาจถึงแตกคอกันก็ได้.

ก่อนจะอ้างนิทาน มันต้องอธิบายให้เขาฟังก่อน นี่ยังไม่ได้ทันทำอะไรเลย
ก็อ้างนิทานซะแล้ว แบบนี้ดูๆแล้วเหมือนโดนคุณกะลาแกลองภูมิ ตัวเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ก็เลยหาเรื่องว่าเขาไม่มีปัญญา แต่ผมดูแล้วผมว่าคนที่ไม่มีปัญญา ไม่ใช่คุณกะลาหรอกครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2013, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนจะโพสท์อะไรออกมา
ขอให้จิตเป็นกุศลก่อนก็จะดีกว่านะคะ มีสติ
แล้วค่อยโพสท์กันนะคะ

กุศล เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อกุศล ได้ค่ะระวังด้วยค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แก้ไขล่าสุดโดย SOAMUSA เมื่อ 10 ม.ค. 2013, 18:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2013, 18:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในนี้ มีใคร บาดหมางใจอะไร กับใครรึเปล่าครับ s006

ดูๆแล้วเหมือนจะมี แต่แท้จริงไม่มี wink


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2013, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




1198-6.gif
1198-6.gif [ 14.06 KiB | เปิดดู 4130 ครั้ง ]
choochu เขียน:
ในนี้ มีใคร บาดหมางใจอะไร กับใครรึเปล่าครับ s006

ดูๆแล้วเหมือนจะมี แต่แท้จริงไม่มี wink


ไม่มีอะไรมันเป็นเพียงเทวดาคอยสอดส่องทิพเนตรดูเหตุการณ์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2013, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมภเวสี > สัตว์ที่แสวงหาภพ
ภูต > สัตว์ที่ตั้งในภพ
ภพ ภวะ ทีตั้งของสัตว์
ที่ตั้งของสัตว์ มี 3 รูปแบบ
กามภพ
รูปภพ
อรูปภพ

อีกนัยหนึ่ง
ใช้สำหรับ ขณะที่กำลังถอนจากอารมณ์หนึ่งเพื่อไปตั้งยึดที่อารมณ์หนึ่ง
ขณะนั้น เป็นสัมภเวสี
แต่ในอรหัตผลจิต ขณะการถอนจากอารมณ์หนึ่งไปตั้งอีกอารมณ์หนึ่งกลับไม่เรียกว่าสัมภเวสี
เพราะ ละความยึดมั่นถือมั่นได้เด็ดขาดแล้ว จึงไม่ตั้งยึดในอารมณ์ใดๆ

อีกนัยหนึ่ง เป็นคำอุปมาโดยทั่วไป ใช้สำหรับผู้ที่ล่องลอย หาสาระไรๆ มิได้

สัมภเวสี...... ก็เป็นเพียงการเรียกขาน สุดแล้วแต่ว่า จะถูกบัญญัติไว้ในสภาวะใด
พูดออกมาจากพระโอษฐ์ หรือ
พูดออกมาจากพราหมณ์นอกพระศาสนา
หรือ พูดออกมาจากชาวบ้านที่มีแก่นสาระ
หรือ พูดออกมาจากคนล่องลอยไร้แก่นสาร

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร