วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 05:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 06:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
โถ ! เห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ ตกท่อตายไปซะแล้ว

ที่มา>> http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%9A ... 82228.html


ลุงครับ..ลิงค์มันไม่ทำงาน.. s002


http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%9A ... 82228.html
ขอบคุณครับ แก้ไขเรียบร้อยแล้วครับ ลิ้งค์นี้เหมาะสำหรับ นักศึกษามหาเอก

คนที่ไม่เคยได้ศึกษาก็เถียงว่า พระพุทธเจ้าแสดงผลก่อนเหตุ ซึ่งมันคนละเรื่องกันเลย

ซึ่งมันอ่อนๆน่ะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
โถ ! เห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ ตกท่อตายไปซะแล้ว

ที่มา>> http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%9A ... 82228.html


ลุงครับ..ลิงค์มันไม่ทำงาน.. s002


http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%9A ... 82228.html
ขอบคุณครับ แก้ไขเรียบร้อยแล้วครับ ลิ้งค์นี้เหมาะสำหรับ นักศึกษามหาเอก

คนที่ไม่เคยได้ศึกษาก็เถียงว่า พระพุทธเจ้าแสดงผลก่อนเหตุ ซึ่งมันคนละเรื่องกันเลย

ซึ่งมันอ่อนๆน่ะ

ไปได้ข้างๆคูๆ แล้วไหนล่ะที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เหตุก่อนผล
อ่านธรรมสเปะสปะไปเรี่อย แล้วยังมีหน้ามาบอกเป็นเรื่องของมหาเอก
อยากรู้ครับมหาเอกกับโสดาบันอย่างไหนที่เรียกว่าผู้มีปัญญา ผมเห็นพวกมหา
แต่งนักสือขายเยอะแยะไป พวกมหาดีแต่สร้างวาทกรรมก็ไม่น้อย
พวกมหาทำให้พระธรรมของพระพุทธเจ้าผิดไปจากแก่นธรรมก็ตั้งมาก
แล้วก็อย่ามาตีหน้ามึนครับว่า สิ่งที่ลุงเอามาโพสมันเป็นพุทธพจน์ :b13:


โพสต์ เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
choochu เขียน:
ภาษา ธรรมะ งง จังเลย s002

ครับ....ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
ธรรมะนั้นเป็นของยากเป็นธรรมดา กว่าพระพุทธเจ้าจะทรงค้นพบนำมาบอก
นั้นยากยิ่งกว่า สิ่งใดที่มันง่ายๆนั้นไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่ธรรมที่จะนำออกจากทุกข์ได้ เพราะมัน
เป็นธรรมที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะ ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้
ดังที่พระองค์ทรงสอน จึงจะพอเห็นทางพ้นทุกข์ได้จริง

ผู้ถางทางให้คนเดิน กับผู้ที่เดิน ใครง่ายกว่ากัน แค่เราเป็นเพียงผู้เดินก็ยังคิดว่ายากแล้ว

ใครบอกลุงกันครับว่าพระธรรมเป็นของยาก พระธรรมที่เป็นธรรมแท้ๆของพระพุทธเจ้า
เป็นของง่ายครับ ขออย่างเดียวให้มองสภาพธรรมไปตามความเป็นจริง

ธรรมมันไม่แท้มันเลยยาก สภาพธรรม สภาพธรรมชาติเป็นของง่ายมันอยู่ในกายใจของทุกคน
แต่มันมีใครก็ไม่รู้เอาอัตตาตัวเองมาทำให้พระธรรมวุ่นวาย

แทนที่จะมองธรรมชาติก็รู้ธรรมได้เอง แต่อะไรกันทำไมต้องมานั่งเดาใจ
คนแต่งหนังสือ

พ่อแม่ครูบาอาจารย์พร่ำสอนให้หมั่นปฎิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา นี่อะไรมาบอกให้ชาวบ้าน
ทำตัวเหมือนเณรที่ต้องไปนั่งเรียนหนังสือ :b13:


โพสต์ เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากแนะนำจขกทครับ อยากเรียนพระอภิธรรมน่ะเรียนได้ครับ แต่มันต้องหลังจากที่
มีปัญญามองเห็นสภาวะธรรมตามความจริงเสียก่อน ต้องรู้ก่อนว่า ปรมัตถ์ธรรมเป็นอย่างไร
มันถึงจะเข้าใจ เพราะพระอภิธรรมเป็นแบบเรียนที่ยึดหลักสภาวะธรรมหรือปรมัตถ์ธรรม

เรียนแบบจขกทเขาเรียกว่า นกแก้ว นกเอี้ยงถูกสอนให้พูดภาษาคน
ก็อปปี้พระอภิธรรมมาลงได้ แต่อธิบายให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ เพราะตัวเองก็ไม่เข้าใจ :b32:


โพสต์ เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 14:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
choochu เขียน:
ภาษา ธรรมะ งง จังเลย s002

ครับ....ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
ธรรมะนั้นเป็นของยากเป็นธรรมดา กว่าพระพุทธเจ้าจะทรงค้นพบนำมาบอก
นั้นยากยิ่งกว่า สิ่งใดที่มันง่ายๆนั้นไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่ธรรมที่จะนำออกจากทุกข์ได้ เพราะมัน
เป็นธรรมที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะ ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้
ดังที่พระองค์ทรงสอน จึงจะพอเห็นทางพ้นทุกข์ได้จริง

ผู้ถางทางให้คนเดิน กับผู้ที่เดิน ใครง่ายกว่ากัน แค่เราเป็นเพียงผู้เดินก็ยังคิดว่ายากแล้ว



ผมว่าภาษา นั้นยาก เหมือนเราเรียนธรรมมะ จากภาษา ญี่ปุ่น เกาหลี ถ้าเราไม่เข้าใจความหมายของภาษาเราก็จะงง งวยมาก

หากแต่ตัวธรรมมะ แท้ๆ นั้นไม่ยากเลยจริงๆ onion


โพสต์ เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัสรู้นี้ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต

ส่วนเรื่องภาษานั้นเป็นธรรมดา ภาษาของเราเองที่คุ้นเคยก็ย่อมเข้าใจง่ายกว่าภาษาอื่นอยู่แล้ว
อย่างคำว่าธรรมะเนี่ย ก็ไม่ใช่ภาษาไทยแท้ บางคนยังไม่รู้เลยว่าธรรมะหมายความว่าอะไร แต่ก็พูดคำว่าธรรมะ ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร


โพสต์ เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 15:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นผมว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเหมาะกับคนทุกชั้นครับ หากเรียนรู้ก็รู้ตามได้ครับ ธรรมชั้นสูงอย่างอริยสัจ4 หรือ พระไตรลักษณ์ หรือ พระนิพพาน อาจจะไม่รู้ในทันทีทันใด ต้องอาศัยขั้นตอนในการศึกษา หากตั้งใจจริงก็เรียนรู้ธรรมขั้นต้นได้เลยครับ ไม่ต้องอ่านออกเขียนได้ก็เรียนได้ ศึกษาได้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
choochu เขียน:
ภาษา ธรรมะ งง จังเลย s002

ครับ....ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
ธรรมะนั้นเป็นของยากเป็นธรรมดา กว่าพระพุทธเจ้าจะทรงค้นพบนำมาบอก
นั้นยากยิ่งกว่า สิ่งใดที่มันง่ายๆนั้นไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่ธรรมที่จะนำออกจากทุกข์ได้ เพราะมัน
เป็นธรรมที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะ ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้
ดังที่พระองค์ทรงสอน จึงจะพอเห็นทางพ้นทุกข์ได้จริง

ผู้ถางทางให้คนเดิน กับผู้ที่เดิน ใครง่ายกว่ากัน แค่เราเป็นเพียงผู้เดินก็ยังคิดว่ายากแล้ว

ใครบอกลุงกันครับว่าพระธรรมเป็นของยาก พระธรรมที่เป็นธรรมแท้ๆของพระพุทธเจ้า
เป็นของง่ายครับ ขออย่างเดียวให้มองสภาพธรรมไปตามความเป็นจริง

ธรรมมันไม่แท้มันเลยยาก สภาพธรรม สภาพธรรมชาติเป็นของง่ายมันอยู่ในกายใจของทุกคน
แต่มันมีใครก็ไม่รู้เอาอัตตาตัวเองมาทำให้พระธรรมวุ่นวาย

แทนที่จะมองธรรมชาติก็รู้ธรรมได้เอง แต่อะไรกันทำไมต้องมานั่งเดาใจ
คนแต่งหนังสือ

พ่อแม่ครูบาอาจารย์พร่ำสอนให้หมั่นปฎิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา นี่อะไรมาบอกให้ชาวบ้าน
ทำตัวเหมือนเณรที่ต้องไปนั่งเรียนหนังสือ :b13:

คือจริงๆคุนน้องมีความคิดเห็นเหมือนพี่โฮฮับเช่นกันนะค่ะ ธรรมมะไม่ได้เป็นของยาก สิ่งที่มันเป็นของยากจริงๆสำหรับเราก็คือขันธ์5 เพราะเรามีขันธ์5ไงค่ะเราถึงวนเวียนในวัฏฏะ ถ้าจะบอกว่าต้องไปศึกษาหาความรู้ไปเรียนอภิธรรมก็เพื่อให้เข้าใจความละเอียดละออลึกซึ้งในธรรมนั้น แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะหลุดพ้นในวัฏฏะสงสารได้ถ้าไปเรียนอภิธรรมแต่ไม่เข้าใจสภาวะปรมัตถ์ แม้คนไม่มีความรู้แต่ถ้าเข้าใจธรรมของพระพุทธองค์ได้ ก็สามารถเข้าถึงธรรมพระพุทธองค์ได้ ดั่งเช่นในสมัยพุทธกาล ขนาดขอทานขี้เรือนยังเป็นโสดาบัณได้ แล้วขอทานขี้เรียนก็ไม่ได้เรียนหนังสือหนังหาทำไมท่านถึงเป็นโสดาบัณได้ สรุปคนที่จะหลุดพ้นวัฏฏะสงสารได้ต้องศึกษาอภิธรรมชั้นสูง แปลภาษาบาลีถึงจะเข้าใจธรรมมะของพระพุทธองค์อย่างงั้นหรือค่ะ คุนน้องกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า คนที่เห็นธรรม คือคนที่เห็น ขันห้า(กายใจตน)เห็นปฏิจสมุปปบาท เห็นอริยสัจสี่ เห็นธรรมทั้งสามอย่างนี้(คือสิ่งที่พระพุทธองค์ชี้หนทางให้เรา)เค้าผู้นั้นย่อมหาหนทางออกจากวัฏฏะสงสารได้ ถ้าเขาผู้นั้นมีความเพียรพอ ซึ่งสามาเรียนรู้ได้เองด้วย กายใจตน แต่ไม่ใช่มาท่องคำศัพรึท่องตำราแน่นอน
ปล.และคุนน้องก็ศรัธราว่าพระพุทธองค์ต้องเห็นด้วยกับคุนน้อง แต่ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของลุงที่บอกธรรมของพระพุทธองค์เป็นของยาก สิ่งใดที่มันง่ายๆนั้นไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า คุนน้องขอค้าน Onion_L


โพสต์ เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 04:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คือจริงๆคุนน้องมีความคิดเห็นเหมือนพี่โฮฮับเช่นกันนะค่ะ ธรรมมะไม่ได้เป็นของยาก สิ่งที่มันเป็นของยากจริงๆสำหรับเราก็คือขันธ์5 เพราะเรามีขันธ์5ไงค่ะเราถึงวนเวียนในวัฏฏะ ถ้าจะบอกว่าต้องไปศึกษาหาความรู้ไปเรียนอภิธรรมก็เพื่อให้เข้าใจความละเอียดละออลึกซึ้งในธรรมนั้น แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะหลุดพ้นในวัฏฏะสงสารได้ถ้าไปเรียนอภิธรรมแต่ไม่เข้าใจสภาวะปรมัตถ์ แม้คนไม่มีความรู้แต่ถ้าเข้าใจธรรมของพระพุทธองค์ได้ ก็สามารถเข้าถึงธรรมพระพุทธองค์ได้ ดั่งเช่นในสมัยพุทธกาล ขนาดขอทานขี้เรือนยังเป็นโสดาบัณได้ แล้วขอทานขี้เรียนก็ไม่ได้เรียนหนังสือหนังหาทำไมท่านถึงเป็นโสดาบัณได้ สรุปคนที่จะหลุดพ้นวัฏฏะสงสารได้ต้องศึกษาอภิธรรมชั้นสูง แปลภาษาบาลีถึงจะเข้าใจธรรมมะของพระพุทธองค์อย่างงั้นหรือค่ะ คุนน้องกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า คนที่เห็นธรรม คือคนที่เห็น ขันห้า(กายใจตน)เห็นปฏิจสมุปปบาท เห็นอริยสัจสี่ เห็นธรรมทั้งสามอย่างนี้(คือสิ่งที่พระพุทธองค์ชี้หนทางให้เรา)เค้าผู้นั้นย่อมหาหนทางออกจากวัฏฏะสงสารได้ ถ้าเขาผู้นั้นมีความเพียรพอ ซึ่งสามาเรียนรู้ได้เองด้วย กายใจตน แต่ไม่ใช่มาท่องคำศัพรึท่องตำราแน่นอน
ปล.และคุนน้องก็ศรัธราว่าพระพุทธองค์ต้องเห็นด้วยกับคุนน้อง แต่ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของลุงที่บอกธรรมของพระพุทธองค์เป็นของยาก สิ่งใดที่มันง่ายๆนั้นไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า คุนน้องขอค้าน Onion_L

จาก มหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร ...

ดูกรอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ
:b30:
ลิงค์นี้อาจจะยาวซักหน่อย แต่ก็พยายามอ่านเถอะเพื่อประโยชน์กับตนเอง
จาก ปัจจัยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 455&Z=1887

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงหมาน เมื่อ 17 ม.ค. 2013, 05:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 05:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ปล.และคุนน้องก็ศรัธราว่าพระพุทธองค์ต้องเห็นด้วยกับคุนน้อง แต่ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของลุงที่บอกธรรมของพระพุทธองค์เป็นของยาก สิ่งใดที่มันง่ายๆนั้นไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า คุนน้องขอค้าน Onion_L[/color]

พระอภิธรรม ซึ่งจะสามารถปรากฎขึ้นได้ในโลกนี้ ก็ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ
ตามธรรมดาสภาวธรรมทั้งทั้งหลาย คือรูปกับนามทั้ง ๒ อย่างนี้มีอยู่แล้วในโลกนี้
หากแต่ว่าไม่มีใครสามารถจะแสดงขึ้นมาให้ปรากฎได้เท่านั้น นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์เดียว แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไม่สามารถทำให้ปรากฎขึ้นได้
อุปมาเหมือนแสงไฟฟ้า เครื่องส่งเครื่องรับวิทยุ เครื่องส่งเครื่องรับโทรทัศน์ โทรศัพท์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องบิน คอมพิวเตอร์ เป็นต้นเหล่านี้ ในระหว่างที่ยังไม่มีผู้คิดขึ้น ทำขึ้น ก็ย่อมมีอยู่แล้วในโลก ต่อมาเมื่อมีผู้สามารถค้นคว้าประดิษฐ์ขึ้นมาให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลายได้แล้วนั้น สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ก็ปรากฎขึ้นในโลกตลอดจนถึงปัจจุบันนี้
ข้อนี้ฉันใด พระอภิธรรมก็เช่นเดียวกัน สภาวะมีอยู่แล้วแต่ผู้ที่สามารถทำให้ปรากฎขึ้นไม่มี สภาวะนั้นก็ย่อมไม่ปรากฏต่อเมื่อมีผู้ค้นพบและนำมาแสดงให้ปรากฎได้ ซึ่งได้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สภาวะเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นทันที
ฉะนั้น พระอภิธรรม อันเป็นธรรมที่เกี่ยวกับสภาวะที่สามารถปรากฏขึ้นได้นั้น ก็ต้องอาศัยญาณอันสูงสุด ซึ่งได้แก่พระสัพพัญญุตญานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่พระองค์ทรงค้นพบ และนำออกมาแสดงให้ปรากฎในโลก กับทรงสอนให้บุคคลชั้นหลังๆไข้ใจได้ด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่อุบัติขึ้นในโลกนี้ พระอภิธรรม หรือสภาวธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ก็จะไม่สามารถรู้ได้เลย
อนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย แม้ว่าจะเป็นผู้ตรัสรู้สภาวธรรมเองก็ตาม แต่ความรู้ของพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ จะเทียบเท่ากับความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหาได้ไม่ ฉะนั้นการรู้สภาวธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจึงรู้เพียง ๑ ในร้อยส่วนของพระอภิธรรมเท่านั้น และส่วนหนึ่งที่รู้นั้น ก็รู้เพียงอรรถรส ไม่ใช่ธรรมรส คือไม่สามารถแสดงได้ให้สัตว์ทังหลายรู้ตามได้ ซึ่งจะเปรียบเทียบกับความรู้แห่งสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังดีกว่า เพราะรู้ในธรรมรส ฉะนั้นพระอภิธรรม ไม่ใช่วิสัยของผู้อื่นที่จะนำมาแสดงให้ปรากฎขึ้นได้ ก็เป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น และการแสดงพระอภิธรรมที่ปรากฎขึ้นได้ ก็โดยอำนาจแห่งพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 05:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ปล.และคุนน้องก็ศรัธราว่าพระพุทธองค์ต้องเห็นด้วยกับคุนน้อง แต่ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของลุงที่บอกธรรมของพระพุทธองค์เป็นของยาก สิ่งใดที่มันง่ายๆนั้นไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า คุนน้องขอค้าน Onion_L[/color]


viewtopic.php?f=1&t=44287

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระคาถานี้ว่า
“บุคคลใด เป็นคนโง่ ย่อมสำคัญว่าตนเองเป็น
คนโง่, บุคคลนั้น จะเป็นบัณฑิตเพราะเหตุนั้นได้บ้าง;
ส่วนบุคคลใด เป็นคนโง่ มีความสำคัญว่าตนเองเป็น
บัณฑิต บุคคลนั้นแล เราเรียกว่า คนโง่”


ในอรรถกถาแก้ไว้ว่า

ก็เขารู้อยู่ว่า "เราเป็นคนโง่" แล้วเข้าไปหา เข้าไปนั่งใกล้คนอื่นซึ่งเป็นบัณฑิต อันบัณฑิตนั้นกล่าว
สอนอยู่ พร่ำสอนอยู่ เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นบัณฑิต (เขา)เรียนเอาโอวาทนั้นแล้ว ย่อมเป็นบัณฑิต หรือ เป็นบัณฑิตก็ว่าได้.
สองบทว่า ส เว พาโล ความว่า ส่วนบุคคลใดเป็นคนโง่อยู่ เป็นผู้มีความสำคัญว่าตนเป็นบัณฑิตถ่าย
เดียวอย่างนี้ว่า "คนอื่นใครเล่า? จะเป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก ทรงวินัย มีวาทะกล่าวคุณเครื่องขจัดกิเลส
เช่นกับด้วยเรา มีอยู่" บุคคลนั้นไม่เข้าไปหา ไม่เข้าไปนั่งใกล้บุคคลอื่นซึ่งเป็นบัณฑิต ย่อมไม่เรียนปริยัติเลย, ย่อมไม่บำเพ็ญข้อปฏิบัติ, ย่อมถึงความเป็นคนโง่โดยส่วนเดียวแท้.

(จาก ... พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท)

เป็นความจริงที่ว่า การที่เรารู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี มีสิ่งที่ไม่ดีมากมายในชีวิตประจำวัน เต็มไปด้วยอกุศล
ประการต่าง ๆ มีความไม่รู้(อวิชชา) มาก เมื่อมีความเข้าใจอย่างนี้ กล่าวได้ว่ามีความเข้าใจถูกระดับ
หนึ่ง เมื่อรู้อย่างนี้แล้วจึงควรเห็นประโยชน์ว่า เมื่อเป็นคนไม่ดีแล้ว สิ่งที่จะทำให้ดีขึ้นนั้น คืออะไร นั่นก็
คือการได้เข้าใจถูกในพระธรรมในแนวทางถูกต้อง ด้วยการเข้าไปหา เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตผู้ที่มีปัญญา
เสพคุ้นกับความเห็นที่ถูกต้อง ย่อมจะเป็นเหตุปัจจัยทำให้ปัญญาเจริญขึ้น มีความเห็นถูกเพิ่มขึ้น เมื่อปัญญาเจริญขึ้น กุศลธรรมประการต่าง ๆ ก็จะเจริญขึ้นตามระดับของปัญญา ด้วยเช่นเดียวกัน
แต่โดยนัยตรงกันข้าม ปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น มีอกุศลมากมายอยู่แล้ว ทั้งโลภะ โทสะ โมหะเป็น
ต้น ยิ่งถ้าหากเสพคุ้นกับความเห็นผิด หรือในแนวทางที่ไม่ถูกต้อง ก็ย่อมเป็นเหตุทำให้พอกพูนสิ่งที่ไม่ดี
(อกุศล)เพิ่มขึ้น สิ่งที่ไม่ดี ก็จะมีมากขึ้น สะสมความไม่รู้มากขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย
ดังนั้น จึงควรพิจาณาด้วยปัญญาว่าเมื่อเป็นคนไม่ดี มีความไม่รู้ เป็นอย่างมาก แล้ว ควรทำอย่างไร
ดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะถูกต้องดีงาม นั่นก็คือ ต้องอาศัยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญ
ปัญญาในชีวิตประจำวัน และเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ นั่นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ปัญหาที่ ๑๘ ถามถึงเรื่องสิ่งที่ทำได้ยากของพระพุทธเจ้า

“ ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งที่ทำได้ยากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำนั้น ได้แก่อะไร ? ”
“ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ทำได้ยาก ได้แก่การทรงแสดงซึ่งธรรมอันไม่มีรูปร่าง อันมีอยู่ในจิต เจตสิดอันเป็นไปในอารมณ์อันเดียวเหล่านี้ได้ว่า อันนี้เป็นผัสสะ อันนี้เป็นเวทนา อันนี้เป็นสัญญา อันนี้เป็นเจตนา อันนี้เป็นจิต
“ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
“ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษคนหนึ่งลงเรือไปที่มหาสมุทร วักน้ำขึ้นมาวางไว้ที่ลิ้น ก็รู้ว่านี้เป็นน้ำคงคา นี้เป็นน้ำยมนา นี้เป็นน้ำสรภู นี้เป็นน้ำอจิรวดี นี้เป็นน้ำมหิ ดังนี้ได้ เป็นของง่ายหรือยากล่ะ ?”
“ เป็นของยาก พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร การที่พระพุทธเจ้าทรงบอกสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ที่มีในจิตใจ ที่เป็นอารมณ์อันเดียวกันว่า นี้เป็นผัสสะ นี้เป็นเวทนา นี้เป็นสัญญา นี้เป็นเจตนา นี้เป็นจิต ดังนี้ยิ่งยากกว่านั้น
“ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสต์ เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 09:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไม...ทางตรง...โล่ง...เดินสะดวก....ทำไมไม่เดิน

เพราะ...เราไม่ชอบ..งั้ย

ความชอบ...ไม่ชอบ...นี้มันบังคับกันไม่ได้....ก็แต่ละคนสะสมกันมาเอง

นักธรณีวิทยา...ผ่านไปทางไหน...ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าภูเขาสองข้างทางเป็นหินอะไร
นักพฤษาศาสตร์....ผ่านไปทางไหน...ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า..พื้ชพันธุ์สองข้างทางเป็นพวกไหน
นักสังคมศาสตร์...ผ่านไปทางไหน...ก็อดคิดไม่ได้ว่า...ผู้คนสองข้างทางเขาอยู่กันยังงัย

คิดว่า..พระอภิธรรม...ก็เช่นกัน


โพสต์ เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
[รื่รจาก มหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร ...

ดูกรอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ
:b30:
ลิงค์นี้อาจจะยาวซักหน่อย แต่ก็พยายามอ่านเถอะเพื่อประโยชน์กับตนเอง
จาก ปัจจัยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 455&Z=1887

ความลึกซึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าว กับการจำบัญญัติในพระอภิธรม
ถามคุณลุงจขกทหน่อยว่ามันเหมือนกันหรือครับ
อวิชาในปฏิจจสมุบาท มันเหมือนกับการไม่รู้ตัวหนังสือในพระอภิธรรมหรือครับ

แม้แต่เรื่องตื้นๆลุงยังงงเลย จะอ่านพระสูตรมันต้องมีสมาธิครับ
พระสูตรใช้หลักท่องจำไม่ได้นะครับ ถามหน่อยเถอะสมัยพุทธกาล
มันมีหนังสือพระอภิธรรมให้อ่านหรือเปล่า

พระสารีบุตรได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิไม่กี่ประโยค ก็เกิดดวงตาเห็นธรรม
พระอานนท์จำพุทธพจน์ได้หมดทำไม สำเร็จอรหันต์ช้ากว่าใคร
ฟังแล้วเอาไปคิดน่ะลุงจขกท :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร