วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 02:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2013, 04:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อิอิ ตอบมาก
เด๋วล่องหน หรือไม่ก็จับใส่กุญแจ :b17: :b17:

มาแล้วก็ยังเรื่องมาก เรื่องมากผมว่าลุงหมานแกไม่กลัว
แต่เรื่องมากปัญญาน้อยนี่ซิน่ากลัว(รำคาญ :b32: )

ตอบไปเลยครับมีความเห็นอย่างไร ไม่เห็นด้วยตรงไหน
แต่อย่าไปดูถูกพระธรรมที่เขามาแสดง (แต่ถ้าจะดูถูกลุงหมานไม่ห้าม :b32: )
เพราะธรรมทุกอย่างบนโลกนี่ล้วนเป็นพุทธพจน์
ที่คุณชอบอ้างในสิ่งที่ไม่รู้ว่า "ไม่ใช่พุทธพจน์ฉันไม่สนใจ"มันเป็นเพราะปัญญาไปไม่ถึง
พุทธพจน์เอง

ธรรมทุกอย่างในโลกล้วนเป็นพุทธพจน์ มาจากพุทธพจน์ที่ว่า.......

"สัพเพ ธัมมา อนัตตา" :b13:

ส่วนเรื่องที่จขกทเขาถาม ผมตอบแทนให้สั้นๆครับว่า......
ดันเอากิเลสมาถามหาความพ้นทุกข์ ก็ไอ้ที่พูดมาไม่รู้หรือว่ามันเป็นสังโยชน์...เข้าใจ๋ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2013, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ใน ๓๑ ภูมิเราเกิดกันมาหมดแล้ว ยกเว้นสุทธาวาสภูมิ ๕
ฌานชั้นสูงเราก็เคยปฏิบัติกันได้หมดแล้ว
บางภูมินั้นบางที่ก็ไปเกิดด้วยอำนาจของฌาน
สุดท้ายเราก็ยังไม่พ้นทุกข์ได้เลย เพราะอะไรจึงพ้นทุกข์ไม่ได้


เพราะอะไรจึงพ้นทุกข์ไม่ได้นั้น
ก็เพราะเมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น เราไม่กำหนดรู้ทุกข์ สมุทัยจึงไม่ได้ละ เมื่อสมุทัยไม่ได้ถูกละ
จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร

เราทำกุศลกันทุกวันนี้ เราทำกันแค่ ทาน ศีล ซึ่งเป็นแค่กุศลที่เป็นแค่บาทฐานเท่านั้น
เราต้องทำกุศลที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ต้องทำกุศลในขั้นที่ออกจากสังสารวัฏฏ์ได้นั้นคือโลกุตตรกุศล
คือ มรรค8 ให้เจริญนั่นเอง คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนบรรลุมรรค ผล นิพพาน

ทุกวันนี้เราทำแค่กุศลในขั้นทาน ศีล เพื่อหนีอบาย แต่ไม่ได้ละอกุศลไปพร้อมๆ กับการทำกุศล
จึงหนีเท่าไหร่ก็หนีทุกข์ไม่พ้นค่ะ หากเราสามารถละอกุศลได้มากระดับพระอนาคามี และที่สำคัญ
อีกอย่างหนึ่งก็คือจะต้องมีอิินทรีย์5 อย่างใดอย่างหนึ่งแก่กล้าแล้ว เราก็สามารถไปเกิดได้
ในชั้นสุทธาวาสภูมิ5 ค่ะ

และลุงเคยสอนหนูว่า

ที่เราออกจากวัฏฏะไม่ได้เพราะเรามัวแต่หลงทำสมถะ
ไม่รู้จักวิปัสสนา
วิปัสสนานี่มีในศาสนาพุทธเท่านั้น
แม้คนที่พบพระพุทธศาสนาก็ยังหลงทำสมาธิกัน
อยากได้ฌาน อภิญญา

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2013, 11:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
ใน ๓๑ ภูมิเราเกิดกันมาหมดแล้ว ยกเว้นสุทธาวาสภูมิ ๕
ฌานชั้นสูงเราก็เคยปฏิบัติกันได้หมดแล้ว
บางภูมินั้นบางที่ก็ไปเกิดด้วยอำนาจของฌาน
สุดท้ายเราก็ยังไม่พ้นทุกข์ได้เลย เพราะอะไรจึงพ้นทุกข์ไม่ได้


เพราะอะไรจึงพ้นทุกข์ไม่ได้นั้น
ก็เพราะเมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น เราไม่กำหนดรู้ทุกข์ สมุทัยจึงไม่ได้ละ เมื่อสมุทัยไม่ได้ถูกละ
จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร

พูดง่ายๆแบบนี้เด็กเล็กมันก็พูดได้ครับ ใครเขาก็รู้ว่า ต้องกำหนดรู้ทุกข์
มันสำคัญอยู่ที่ว่า ทุกข์มันเป็นอย่างไรในสภาวสะจิตใจ ไม่ใช่มาพูดปล่าวๆว่าทุกข์ครับ
ทุกข์มันอยู่ในใจ ไม่ใช่ตัวหนังสือ จะรู้ทุกข์ในใจมันต้องเห็นธรรมใจตามความเป็นจริง
จนเกิดเป็นปัญญาขึ้นก่อน เคยได้ยินมั้ยที่ครูบาอาจารย์บอก.."ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์น่ะ"
ที่เอาคำครูบาอาจารย์มาบอก .......
ไม่ใช่ให้จำน่ะ แต่ให้รู้ แล้วก็รู้แจ้งด้วยน่ะ
เคยปะชดชาวบ้านไว้จำได้มั้ย :b13:

SOAMUSA เขียน:
เราทำกุศลกันทุกวันนี้ เราทำกันแค่ ทาน ศีล ซึ่งเป็นแค่กุศลที่เป็นแค่บาทฐานเท่านั้น
เราต้องทำกุศลที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ต้องทำกุศลในขั้นที่ออกจากสังสารวัฏฏ์ได้นั้นคือโลกุตตรกุศล
คือ มรรค8 ให้เจริญนั่นเอง คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนบรรลุมรรค ผล นิพพาน

ทุกวันนี้หรือทุกวันไหน ใครเขาจะทำแค่ทานศีล มันก็เป็นเรื่องของเขา
ปุถุชนยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม เขาทำได้แบบนี้ก็เป็นกุศลแล้ว
แล้วแบบนี้มันก็ไม่เห็นผิดหลักตรงไหน มันก็ต้องเริ่มแบบนี้ เริ่มด้วยความเชื่อ
ที่เป็นสัมมาทิฐิ พระพุทธองค์ก็ทรงสอนแบบนี้

ไอ้เรื่องการภาวนานั้น มันก็แล้วแต่คนครับ เขาถือศีล ทำบุญทำทาน
แล้วทำงานอย่างมีสติ แบบนี้ก็เป็นการภาวนา
มันไม่ต้องถึงกับต้องไปเรียนเหมือนเด็กหรอกครับ
ผมว่าถ้าจะไปเรียน บวชเป็นแม่ชีไปเลยดีกว่า
บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ค่ารถก็ไม่ต้องเสีย :b13:
SOAMUSA เขียน:
ทุกวันนี้เราทำแค่กุศลในขั้นทาน ศีล เพื่อหนีอบาย แต่ไม่ได้ละอกุศลไปพร้อมๆ กับการทำกุศล
จึงหนีเท่าไหร่ก็หนีทุกข์ไม่พ้นค่ะ หากเราสามารถละอกุศลได้มากระดับพระอนาคามี และที่สำคัญ
อีกอย่างหนึ่งก็คือจะต้องมีอิินทรีย์5 อย่างใดอย่างหนึ่งแก่กล้าแล้ว เราก็สามารถไปเกิดได้
ในชั้นสุทธาวาสภูมิ5 ค่ะ

สงสัยสับสนคำพูดตัวเองมั้งครับ สรุปคุณจะให้เขาไปนิพาน
หรือจะให้เขา ไปสุทธาวาสครับ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไปสุทธาวาสนะครับ
ผมไม่ได้ปรามาสนะครับ เรื่องบ้างเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดมากก็ได้ครับ
ปะเดี๋ยว มีคนเขามาว่า เป็นอภิธรรมฟุ้งซ่าน เป็นนิ้วก้อย จะหาเหตุผลอธิบายไม่ได้
ก็จะแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด :b13:

SOAMUSA เขียน:
ที่เราออกจากวัฏฏะไม่ได้เพราะเรามัวแต่หลงทำสมถะ
ไม่รู้จักวิปัสสนา
วิปัสสนานี่มีในศาสนาพุทธเท่านั้น
แม้คนที่พบพระพุทธศาสนาก็ยังหลงทำสมาธิกัน
อยากได้ฌาน อภิญญา

ไปว่าเขาแบบนั้น อคติทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มีแบบเขา
เขาอยากได้ฌาณอยากได้อภิญญา มันก็เป็นเรื่องของเขาครับ

คุณจะว่าเขามันต้องดูเหตุผลของเขาก่อน ไม่ใช่ซี่ซั่วว่าเขาครับ
ถ้าเขาบอกว่า เขาได้ฌาณได้อภิญญาแล้ว เขาเป็นอรหันต์แล้ว
แบบนี้ค่อยไปว่าเขาครับ คุณซัวมุซ่าครับ มีสตังอย่างเดียวเรียนธรรมไม่ได้
มันต้องมีสติด้วยครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2013, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อิอิ ตอบมาก
เด๋วล่องหน หรือไม่ก็จับใส่กุญแจ :b17: :b17:

มาแล้วก็ยังเรื่องมาก เรื่องมากผมว่าลุงหมานแกไม่กลัว
แต่เรื่องมากปัญญาน้อยนี่ซิน่ากลัว(รำคาญ :b32: )

ตอบไปเลยครับมีความเห็นอย่างไร ไม่เห็นด้วยตรงไหน
แต่อย่าไปดูถูกพระธรรมที่เขามาแสดง (แต่ถ้าจะดูถูกลุงหมานไม่ห้าม :b32: )
เพราะธรรมทุกอย่างบนโลกนี่ล้วนเป็นพุทธพจน์
ที่คุณชอบอ้างในสิ่งที่ไม่รู้ว่า "ไม่ใช่พุทธพจน์ฉันไม่สนใจ"มันเป็นเพราะปัญญาไปไม่ถึง
พุทธพจน์เอง

ธรรมทุกอย่างในโลกล้วนเป็นพุทธพจน์ มาจากพุทธพจน์ที่ว่า.......

"สัพเพ ธัมมา อนัตตา" :b13:

ส่วนเรื่องที่จขกทเขาถาม ผมตอบแทนให้สั้นๆครับว่า......
ดันเอากิเลสมาถามหาความพ้นทุกข์ ก็ไอ้ที่พูดมาไม่รู้หรือว่ามันเป็นสังโยชน์...เข้าใจ๋ :b32:

โฮฮับ...
สิ่งที่เช่นนั้น ไม่สนใจ คือ สิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้สอน และสิ่งที่อ้างว่าพระพุทธองค์สอน
และสิ่งที่ยกเมฆนั่งเทียนเขียนออกมาแล้วบอกว่า พระพุทธองค์สอนตามที่ผู้ยกเมฆนั่งเทียน เข้าใจ

เช่นนั้น ไม่ดูถูกพระธรรมที่ใครนำมาแสดง แต่ไม่เห็นด้วยต่อ การอ้างว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์สอน
เช่น สัมมาทิฏฐิคือ การเห็นไตรลักษณ์ เป็นต้น.......ซึ่งโฮฮับหลับหูหลับตายกเมฆนั่งเทียนเขียนเอาเองมาตลอด
ส่วนหลักธรรมที่ ลุงหมานยกมา หากลุงหมานแสดงว่า นี่เป็นหลักธรรมที่เป็นมติโดยความเห็นของอรรถาจารย์เอง ก็ไม่มีปัญหาแม้แต่อย่างไร แต่หากแสดงว่าเป็นหลักธรรมที่พระพุทธองค์แสดงแล้วพึงต้องมีการทักท้วงเพื่อความเข้าใจอันถูกต้องต่อพุทธบริษัท

โฮฮับ ไม่ศึกษาพุทธพจน์ ไม่คิดไม่ใส่ใจ ไม่หาความถูกต้อง ก็คงเป็นเช่นนั้นเอง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2013, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
SOAMUSA เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
ใน ๓๑ ภูมิเราเกิดกันมาหมดแล้ว ยกเว้นสุทธาวาสภูมิ ๕
ฌานชั้นสูงเราก็เคยปฏิบัติกันได้หมดแล้ว
บางภูมินั้นบางที่ก็ไปเกิดด้วยอำนาจของฌาน
สุดท้ายเราก็ยังไม่พ้นทุกข์ได้เลย เพราะอะไรจึงพ้นทุกข์ไม่ได้


เพราะอะไรจึงพ้นทุกข์ไม่ได้นั้น
ก็เพราะเมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น เราไม่กำหนดรู้ทุกข์ สมุทัยจึงไม่ได้ละ เมื่อสมุทัยไม่ได้ถูกละ
จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร

พูดง่ายๆแบบนี้เด็กเล็กมันก็พูดได้ครับ ใครเขาก็รู้ว่า ต้องกำหนดรู้ทุกข์
มันสำคัญอยู่ที่ว่า ทุกข์มันเป็นอย่างไรในสภาวสะจิตใจ ไม่ใช่มาพูดปล่าวๆว่าทุกข์ครับ
ทุกข์มันอยู่ในใจ ไม่ใช่ตัวหนังสือ จะรู้ทุกข์ในใจมันต้องเห็นธรรมใจตามความเป็นจริง
จนเกิดเป็นปัญญาขึ้นก่อน เคยได้ยินมั้ยที่ครูบาอาจารย์บอก.."ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์น่ะ"
ที่เอาคำครูบาอาจารย์มาบอก .......
ไม่ใช่ให้จำน่ะ แต่ให้รู้ แล้วก็รู้แจ้งด้วยน่ะ
เคยปะชดชาวบ้านไว้จำได้มั้ย :b13:

SOAMUSA เขียน:
เราทำกุศลกันทุกวันนี้ เราทำกันแค่ ทาน ศีล ซึ่งเป็นแค่กุศลที่เป็นแค่บาทฐานเท่านั้น
เราต้องทำกุศลที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ต้องทำกุศลในขั้นที่ออกจากสังสารวัฏฏ์ได้นั้นคือโลกุตตรกุศล
คือ มรรค8 ให้เจริญนั่นเอง คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนบรรลุมรรค ผล นิพพาน

ทุกวันนี้หรือทุกวันไหน ใครเขาจะทำแค่ทานศีล มันก็เป็นเรื่องของเขา
ปุถุชนยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม เขาทำได้แบบนี้ก็เป็นกุศลแล้ว
แล้วแบบนี้มันก็ไม่เห็นผิดหลักตรงไหน มันก็ต้องเริ่มแบบนี้ เริ่มด้วยความเชื่อ
ที่เป็นสัมมาทิฐิ พระพุทธองค์ก็ทรงสอนแบบนี้

ไอ้เรื่องการภาวนานั้น มันก็แล้วแต่คนครับ เขาถือศีล ทำบุญทำทาน
แล้วทำงานอย่างมีสติ แบบนี้ก็เป็นการภาวนา
มันไม่ต้องถึงกับต้องไปเรียนเหมือนเด็กหรอกครับ
ผมว่าถ้าจะไปเรียน บวชเป็นแม่ชีไปเลยดีกว่า
บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ค่ารถก็ไม่ต้องเสีย :b13:
SOAMUSA เขียน:
ทุกวันนี้เราทำแค่กุศลในขั้นทาน ศีล เพื่อหนีอบาย แต่ไม่ได้ละอกุศลไปพร้อมๆ กับการทำกุศล
จึงหนีเท่าไหร่ก็หนีทุกข์ไม่พ้นค่ะ หากเราสามารถละอกุศลได้มากระดับพระอนาคามี และที่สำคัญ
อีกอย่างหนึ่งก็คือจะต้องมีอิินทรีย์5 อย่างใดอย่างหนึ่งแก่กล้าแล้ว เราก็สามารถไปเกิดได้
ในชั้นสุทธาวาสภูมิ5 ค่ะ

สงสัยสับสนคำพูดตัวเองมั้งครับ สรุปคุณจะให้เขาไปนิพาน
หรือจะให้เขา ไปสุทธาวาสครับ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไปสุทธาวาสนะครับ
ผมไม่ได้ปรามาสนะครับ เรื่องบ้างเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดมากก็ได้ครับ
ปะเดี๋ยว มีคนเขามาว่า เป็นอภิธรรมฟุ้งซ่าน เป็นนิ้วก้อย จะหาเหตุผลอธิบายไม่ได้
ก็จะแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด :b13:

SOAMUSA เขียน:
ที่เราออกจากวัฏฏะไม่ได้เพราะเรามัวแต่หลงทำสมถะ
ไม่รู้จักวิปัสสนา
วิปัสสนานี่มีในศาสนาพุทธเท่านั้น
แม้คนที่พบพระพุทธศาสนาก็ยังหลงทำสมาธิกัน
อยากได้ฌาน อภิญญา

ไปว่าเขาแบบนั้น อคติทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มีแบบเขา
เขาอยากได้ฌาณอยากได้อภิญญา มันก็เป็นเรื่องของเขาครับ

คุณจะว่าเขามันต้องดูเหตุผลของเขาก่อน ไม่ใช่ซี่ซั่วว่าเขาครับ
ถ้าเขาบอกว่า เขาได้ฌาณได้อภิญญาแล้ว เขาเป็นอรหันต์แล้ว
แบบนี้ค่อยไปว่าเขาครับ คุณซัวมุซ่าครับ มีสตังอย่างเดียวเรียนธรรมไม่ได้
มันต้องมีสติด้วยครับ :b32:


โฮฮับไม่รู้เรื่องรู้ราว มีนิ้วก็คีย์ข้อความไปแบบเมามัน

วันๆ หนึ่งมีสติให้เยอะๆ ทำบ้างหรือยังล่ะ
ถ้าเจริญสติปัฏฐานจริง ก็คงไม่ฟุ้งไม่คุยเลอะเทอะขนาดนี้นะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2013, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ใน ๓๑ ภูมิเราเกิดกันมาหมดแล้ว ยกเว้นสุทธาวาสภูมิ ๕
ฌานชั้นสูงเราก็เคยปฏิบัติกันได้หมดแล้ว
บางภูมินั้นบางที่ก็ไปเกิดด้วยอำนาจของฌาน
สุดท้ายเราก็ยังไม่พ้นทุกข์ได้เลย เพราะอะไรจึงพ้นทุกข์ไม่ได้

เพราะ :
1. ยังไม่อาจกำหนดทุกข์ ได้
หรือ
2. เพราะอินทรีย์ ยังไม่ถึงพร้อม

ผู้ที่น่าเป็นห่วงมากกว่า คือ ประเภทแรก
ยังไม่อาจกำหนดทุกข์ได้
อาจจะเป็นเพราะ ไม่มีโอกาสได้สดับ ศึกษา พระธรรม หรือ ไม่มีโอกาสพบสัตบุรุษ์ผู้สามารถแนะนำธรรมที่ถูกต้องได้
V
ส่วนประเภทที่ 2
อยู่ในระยะการบ่มอินทรีย์ หากเหตุปัจจัยพร้อม ก็พ้นทุกข์ได้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2013, 16:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิ....คือความตั้งใจมั่น....หากทำอะไรแบบไม่ตั้งใจจริงจัง...ทำงานการอะไรก็ไม่สำเร็จหรอก...

ความตั้งใจมั่น..นี้...พวกที่จิตใจวอกแวกนี้...มี..แต่...พักเดียวก็เปลี่ยน....งานก็ไม่เสร็จ

ความตั้งใจมั่น...จึงต้องฝึก...สะสม...ทำให้ยิ่ง...ใครมีความตั้งมั่นได้นาน...งานยาก ๆ ก็สำเร็จได้

การสะสม...เพิ่มพูน...ความตั้งใจมั่น...ก็ด้วยการฝึกให้จิตมีอารมณ์เดียว....เรียกว่า..ฝึกความสงบ

ความสงบ...ไม่ใช่..สมาธิ...

เมื่อออกจากการทำความสงบของใจ....ความตั้งใจมั่นที่เป็นคุณสมบัติของใจก็มีเพิ่มขึ้น

ใจที่มีความหนักแน่นมั่นคง...จะทำอะไรย่อมฝ่าฟันอุปสรรค์...ไปได้เสมอ

นี้คือสมาธิในพระพุทธศาสนา..เป็นสมาธิเพื่อการใช้งาน...เป็นฐานการใช้ปัญญา

คนที่ทำอะไรยังไม่เสร็จก็เปลี่ยนใจไปทำอย่างอื่นแล้ว....ทางโลกเขายังรู้เลยว่า...พวกนี้สมาธิสั้น

ทำไม่ถึงพ้นทุกข์ไม่ได้นะหรอ....หนึ่งในนั้นก็คือ...คนที่ไม่มีสมาธินี้แหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2013, 03:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ...
สิ่งที่เช่นนั้น ไม่สนใจ คือ สิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้สอน และสิ่งที่อ้างว่าพระพุทธองค์สอน
และสิ่งที่ยกเมฆนั่งเทียนเขียนออกมาแล้วบอกว่า พระพุทธองค์สอนตามที่ผู้ยกเมฆนั่งเทียน เข้าใจ

ก็ไปสนใจแต่สิ่งที่ตัวอยากสนใจไง ไอ้สิ่งที่ไม่สนใจเลยไม่รู้ พอไม่รู้ก็บอกพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
มันก็พอๆกับพวกที่ทำอะไรไม่ได้ก็บอกพระพุทธเจ้าไม่ได้สั่ง

ตัวเองเล่นท่องจำบัญญัติผลมันออกมาได้แค่นี้ ก็บอกแล้วว่า พุทธพจน์เกี่ยวข้องกับ
สิ่งที่เป็นธรรมชาติทุกอย่างบนโลกใบนี้ เช่นนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่พุธองค์ตรัส อีกทั้งกลัว
คนอื่นหาว่าไม่ฉลาด ก็เลยอาศัยอ้างเอาสิ่งที่เขาเคารพนับถือมาเป็นของตน
นิสัยแบบนี้มีให้เห็นกันในสมัยนี้เยอะแยะ......น่าอาย
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ...
เช่นนั้น ไม่ดูถูกพระธรรมที่ใครนำมาแสดง แต่ไม่เห็นด้วยต่อ การอ้างว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์สอน
เช่น สัมมาทิฏฐิคือ การเห็นไตรลักษณ์ เป็นต้น.......ซึ่งโฮฮับหลับหูหลับตายกเมฆนั่งเทียนเขียนเอาเองมาตลอด

ไม่เห็นด้วยใครเขาจะไปว่าอะไร แต่ไอ้การอ้างชนิดที่โมเมว่า พระพุทธเจ้าเป็นของตนแบบนี้
มันเหมาะแล้วหรือ
เหตุผลที่จะเอามาแย้ง คำพูดของเช่นนั้น ที่ว่าของฉันพุทธพจน์ ของแกไม่ใช่
มันมีร้อยแปดที่จะเอามาแย้ง แต่เป็นเพราะกลัวจะไปกระทบครูบาอาจารย์รุ่นก่อนๆ
เลยละเอาไว้ไม่อยากแตะต้องกับคำพูดที่น่ารังเกียจของเช่นนั้น


เช่นนั้นถ้าอยากได้ชื่อว่าเป็นบุคคลและเป็นคนไทย เช่นนั้นต้องหัดทำความเข้าใจ
กับภาษาที่เขาใช้กันตามยุคตามสมัยด้วย

"ไตรลักษณ์" เป็นคำไทยที่สร้างขึ้นใหม่ โดยมีรากศัพท์หรือยืมคำมาจากภาษาบาลี
ผมนั่งเทียนบอกเช่นนั้นหรือว่า มันเป็นภาษาที่ชาวมคธใช้กัน
เช่นนั้นเล่นจำแต่คำว่า พุทธพจน์คือบาลีสยามรัฐ พอมีใครให้เหตุผลที่เช่นนั้นไม่รู้
เช่นนั้นก็มักง่าย โดยการเอาบัญญัติที่เป็นภาษาไทยไปเทียบกับบาลี แล้วก็โวยวายว่า
ไม่ใช่พุทธพจน์ แบบนี้มันน่าสงสารมั้ยครับ มันคนละภาษาจะให้บัญญัติมันเหมือนกันได้ไง

ครูบาอาจารย์ท่านบัญญัติคำว่า"ไตรลักษณ์"ขึ้นมา ท่านก็เอามาจาก
บาลีที่พระพุทธองค์ทรงสอนในเรื่อง ธรรมนิยาม แล้วก็อธิบายเป็นภาษาไทยที่เราใช้กัน
มันไปนั่งเทียนตรงไหน

เป็นเช่นนั้นเองที่น่าตำหนิ ประเภทเกลียดตัวกินไข่ อ้างพุทธพจน์
แต่ทำไมแสดงความเห็นเป็นภาษาไทย แถมยังเอาบัญญัติที่ครูบาอาจารย์บัญญัติ
มาใช้อีกแน่ะ น่าไม่อาย วันหลังจะอ้างอะไรเพื่อประนามใคร ต้องเอาของแท้ๆในสิ่งที่อ้าง
มาแสดงด้วย มันงั้นเขาจะหาว่า ไอ้นี่อ้างมั่วไปหมด

เช่นนั้น เขียน:
ส่วนหลักธรรมที่ ลุงหมานยกมา หากลุงหมานแสดงว่า นี่เป็นหลักธรรมที่เป็นมติโดยความเห็นของอรรถาจารย์เอง ก็ไม่มีปัญหาแม้แต่อย่างไร แต่หากแสดงว่าเป็นหลักธรรมที่พระพุทธองค์แสดงแล้วพึงต้องมีการทักท้วงเพื่อความเข้าใจอันถูกต้องต่อพุทธบริษัท

ประเภทอ้างอะไรไร้เหตุผล มันก็จะส่งผลให้หลงลืม แสดงความเห็นกลับไปกลับมา
ทำไมตอนแรกบอกผมว่า "ไม่สนใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน"
ตอนนี้กลับบอกว่า "ไม่มีปัญหา" แหม่! พอโดนจี้ใจดำหน่อย กลับคำแทบไม่ทัน
นี่เป็นกรณีของลุงหมาน

แต่กรณีผม ผมไม่ได้บอกเลยว่าเป็นพุทธพจน์ บอกแค่ว่าเป็นความเข้าใจของผมเอง
ซึ่งผมศึกษาตามหลักธรรมไม่ใช่พุทธพจน์
เช่นนั้นก็ตบแต่งคำพูดมาว่าผม หาว่าผมนั่งเทียนยกเมฆ
คนเราเป็นซะแบบนี้

เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ ไม่ศึกษาพุทธพจน์ ไม่คิดไม่ใส่ใจ ไม่หาความถูกต้อง ก็คงเป็นเช่นนั้นเอง

พุทธพจน์ไม่ใช่แบบเรียน ผมจะไปศึกษาทำไม
ผมใช้พุทธพจน์ไว้เปรียบเทียบ กับการปฏิบัติ
ผลการปฏิบัติของผมเป็นอย่างไร ก็เอาไปเปรียบกับพุทธพจน์ว่า
มันตรงกันไหม หลักการมันมีแค่นี้

ผมไม่ใช่เณรที่จะต้องศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อเปรียญเก้านี่ครับ
ถึงจะต้องจำพุทธพจน์ทุกถ้อยคำ ศึกษามากๆแทนที่จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
กลับทำให้พอกพูนตัณหา สมัยนี่มีให้เห็นเยอะแยะไป ไม่สังเกตุบ้างหรือครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2013, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
ใน ๓๑ ภูมิเราเกิดกันมาหมดแล้ว ยกเว้นสุทธาวาสภูมิ ๕
ฌานชั้นสูงเราก็เคยปฏิบัติกันได้หมดแล้ว
บางภูมินั้นบางที่ก็ไปเกิดด้วยอำนาจของฌาน
สุดท้ายเราก็ยังไม่พ้นทุกข์ได้เลย เพราะอะไรจึงพ้นทุกข์ไม่ได้

เพราะ :
1. ยังไม่อาจกำหนดทุกข์ ได้
หรือ
2. เพราะอินทรีย์ ยังไม่ถึงพร้อม

พูดธรรมแบบนี้ผมว่าไม่ต้องพูดดีกว่า ถ้าเพื่อนในนี้ไม่อายที่จะพูดเขาต้องบอกว่า
ฟังไม่รู้เรื่อง "พูดไม่มีจุดหมาย" แบบบ้านๆก็ต้องว่า พูดเรื่อยเปื่อยขอไปที

เช่นนั้น เขียน:
ผู้ที่น่าเป็นห่วงมากกว่า คือ ประเภทแรก
ยังไม่อาจกำหนดทุกข์ได้
อาจจะเป็นเพราะ ไม่มีโอกาสได้สดับ ศึกษา พระธรรม หรือ ไม่มีโอกาสพบสัตบุรุษ์ผู้สามารถแนะนำธรรมที่ถูกต้องได้

มันเกี่ยวด้วยหรือ ทุกข์มันเกิดที่ใจของเขา ทำไมต้องให้สัตบุรุษมาแนะนำ
แนะนำแล้วยังไง ถ้าเขาไม่ยอมรับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่เป็นทุกข์ล่ะ
ใครๆก็รู้ว่า วัฏสงสารเป็นทุกข์ เกิดเป็นทุกข์ แก่ เจ็บ ตายเป็นทุกข์
เราต้องไม่เกิดเป็นสัตว์โลก เป็นเทวดาเป็นพรหมอีก มันถึงจะพ้นทุกข์
คุณเช่นนั้นว่า ในใจจริงคนจะกลัวมั้ย เพราะมันกลัวกัน ใจมันเลยไม่ยอมรับสิ่งที่
จะทำให้พ้นทุกข์ เมื่อไม่รับแล้วมันจะไปกำหนดทุกข์ได้อย่างไร
บางคนปากก็บอกว่ายอมรับ แต่ใจลีกๆดันคิดให้กำลังใจตัวเองว่า นิพานต้องเป็นบรมสุขแน่ๆ
แบบนี้เขาเรียกยอมรับหรือครับ
ดังนั้นปัญญาแห่งการรู้ทุกข์ไม่ได้เกี่ยวกับใคร เรื่องวัฏสงสารเป็นทุกข์
ไม่ต้องให้สัตบุรุษมาสอน จำความได้พ่อแม่ก็สอนแล้ว พอเข้าชั้นประถม
ครูชั้นประถมก็สอนอีก
ดังนั้นความหมายของสัตตบุรุษ ไม่ได้หมายถึงการได้รับฟังคำสอนจากสัตตบุรุษ
แต่หมายถึงการปฏิบัติตนเองให้ได้เป็นสัตตบุรุษ


ประโยคที่เช่นนั้นเอามาพูด มันเป็นเพียงอัตตาของเจ้าสำนัก หรือคนที่สอนธรรม
เพียงเพื่อเอามายกตนสนับสนุน สำนักของตนหรือคำสอนของตน
กล่าวง่ายๆก็คือ "ให้เชื่อตัวเองเพราะตัวเองเป็นสัตตบุรุษ"
เช่นนั้น เขียน:
ส่วนประเภทที่ 2
อยู่ในระยะการบ่มอินทรีย์ หากเหตุปัจจัยพร้อม ก็พ้นทุกข์ได้

พุทธพจน์แท้ๆมีคำว่า "บ่มอินทรีย์"ด้วยหรีอครับ
แล้วบอกว่าเหตุปัจจัยพร้อมก็พ้นทุกข์ ก็พูดครอบจักรวาลแบบนี้ไง
แบบนี้จะพูดทำไม คนฟังเสียเวลาฟังหรือเปล่า เหตุปัจจัยที่ว่ามันอะไรล่ะครับ
แล้วที่พูดถึงเหตุปัจจัยพร้อมนี่น่ะ
ถามหน่อยครับ คุณเช่นนั้น เข้าใจ ปฏิจจสมุบาท กฎอิทัปปัจยตาหรือเปล่าครับ
ขันธ์ห้าเกิดมาเพราะเหตุปัจจัย อุปาทานก็เกิดมาเพราะเหตุปัจจัย

ถามหน่อยครับ พุทธพจน์บอกว่า เหตุปัจจัยพร้อมก็หมดทุกข์หรือครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2013, 04:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

ผมไม่ใช่เณรที่จะต้องศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อเปรียญเก้านี่ครับ
ถึงจะต้องจำพุทธพจน์ทุกถ้อยคำ ศึกษามากๆแทนที่จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
กลับทำให้พอกพูนตัณหา สมัยนี่มีให้เห็นเยอะแยะไป ไม่สังเกตุบ้างหรือครับ :b13:


ผมไม่ใช่เณรที่จะต้องศึกษาพระธรรมวินัย


นี่ก็หลงตัวเอง คิดว่าเรียนว่าศึกษาธรรมวินัย เพื่อเปรียญดิ่งๆๆๆเท่านั้น

ไม่เรียนพระธรรมแล้วจะรู้ธรรมะหรอ พูดไปเรื่อยเปื่อยหรอ นำศัพท์นำชื่อที่ใช้สื่อความหมายทางธรรมมาพูดโยงกันไปโยงกันมา แต่ไม่รู้ความหมายอะไรเลยนี่นะหรอผู้รู้ธรรม ยังงั้นหรอพี่โฮเด้ง :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2013, 07:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


คนทรามปัญญา มีความเห็นผิด ติเตียนคำสอน
ของเหล่าพระอริยะผู้อรหันต์ ผู้มีชีวิตอยู่โดยธรรม
เขาย่อมเกิดมาเพื่อฆ่าตัวเขาเอง
เหมือนขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ฉะนั้น
เพราะเกิดมามืดแล้วก็ไปมืด
ไม่พบแสงสว่างจึงเดินไม่ตรงทาง
เหมือนผู้บอดมาแต่กำเหนิด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2013, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สนทนาตามกาล

การสนทนา ไม่ใช่ยึดเฉพาะทิฏฐิของตนเอง

ไม่ใช่พอหาเหตุ-ผล มาชี้แจงอีกฝ่ายไม่ได้ ก็ถึงกับกล่าวคำสาปแช่งกัน บ่งบอกถึง กาารผูกใจเจ็บอีกฝ่าย เป็นการจองเวร ที่เกิดจากโทสะ เป็นเหตุปัจจัย แบบนี้เท่ากับสร้างภพชาติใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง และเป็นเหตุของการเวียนว่ายในวัฏฏสงสาร

หมายถึง ไม่ว่าใครจะแสดงความคิดเห็นอย่างไร ผลย่อมกลับไปหาผู้นั้นอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวโทษอีกฝ่าย

เพราะ ยิ่งกล่าวโทษผู้อื่นมากเท่าไหร่ ผลย่อมย้อนกลับมาหาตัวเองมากเท่านั้น

นี่แหละเหตุของ "ทำไมจึงพ้นทุกข์ไม่ได้"

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2013, 08:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b17:
หนับหนุนคับ....

ญาณ 16 ยังต้องผ่านทั้งหมด...

ช่วงเป้นหลุมเป็นบ่อ...มันก็ต้องมีกันทุกคน
คิดถึงตัวเองแต่ก่อน...อิอิ...

เดียวมันก็ผ่าน...

:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2013, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๗. อาณิสูตร
[๖๗๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่า
ทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมา
โครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก
มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟัง
จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา
แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มี
อักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จัก
ปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ
ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ
[๖๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้ว
อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธาน
ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขา
กล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบ
ด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่ง
จิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ
จบสูตรที่ ๗

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 30 ม.ค. 2013, 13:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2013, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
พุทธพจน์ไม่ใช่แบบเรียน ผมจะไปศึกษาทำไม
ผมใช้พุทธพจน์ไว้เปรียบเทียบ กับการปฏิบัติ
ผลการปฏิบัติของผมเป็นอย่างไร ก็เอาไปเปรียบกับพุทธพจน์ว่า
มันตรงกันไหม หลักการมันมีแค่นี้

ผมไม่ใช่เณรที่จะต้องศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อเปรียญเก้านี่ครับ
ถึงจะต้องจำพุทธพจน์ทุกถ้อยคำ ศึกษามากๆแทนที่จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
กลับทำให้พอกพูนตัณหา สมัยนี่มีให้เห็นเยอะแยะไป ไม่สังเกตุบ้างหรือครับ :b13:


"พุทธพจน์ไม่ใช่แบบเรียน ผมจะไปศึกษาทำไม".........
คงไม่ต้องสนทนากับคุณโฮฮับอีกต่อไปล่ะครับ
คุณจบแล้ว ........

ตามสบายนะโฮฮับ สวัสดี

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร