วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 19:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 58 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 22 ธ.ค. 2012, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 12:27
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
เพราะว่า ... โลกเราเนี้ย มีแต่ทุกข์เกิด ทุกข์ดับ ... มั๊งงงง ... :b32: :b32:

เห็นด้วยคะว่า ความสุขในโลกจริงไม่มี มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิด ที่ดับไป :b20:
ผู้ที่ต้องการไปนิพพานคือ ผู้ที่ทุกข์จนหาทางออกไม่เจอ นิพพานอาจจะเป็นที่มีแต่สุข
ไม่มีทุกข์เจือปนเลยก็ได้นะเจ้าค่ะ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 22 ธ.ค. 2012, 20:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

นิพพานไม่ได้หาเจอได้ที่ "รู้"
อาจจะต้องพิจารณา การเข้าไปรู้
เมื่อพิจารณา การเข้าไปรู้
มันก็จะเห็นเคล้าร่างของ บางสิ่งก่อนที่จะมีการไปรู้ ...
:b8:


ถ้าเคล้าร่างที่เห็น มันตรงกับพระสูตรนี้

Quote Tipitaka:
อุทาน ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘
๑. นิพพานสูตรที่ ๑
[๑๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค
ทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วย
ธรรมมีกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยนิพพาน ก็ภิกษุเหล่านั้นกระทำให้มั่น มนสิการแล้ว
น้อมนึกธรรมีกถาด้วยจิตทั้งปวงแล้ว เงี่ยโสตลงฟังธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้-
*มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ
วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า
พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการ
จุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
จบสูตรที่ ๑

ก็น่าจะพอลุ้น :b12:
กับการลงสนามสอบ ออกจากวัฏฏะ

คือมันจะเหมือนกับ นิโรธสมาบัติ มั๊ย

อันนี้ไม่รู้ ขอเดา
เอกอนว่ามันอยู่ที่ เราต้องตัดอาลัยให้หมดสิ้น แล้วปล่อยให้เข้าสู่นิโรธ
ถ้านิโรธ โดยที่ยังมี อาลัย ก็มีโอกาสได้กลับคืนสู่ยุทธภพ

เนื้อคู่ ล่ะ ตัวดี... :b13:
ก็ไปนอนอยู่ใต้ต้นแอ๊ปเปิ้ล
ถ้าไม่หิวก็แล้วไป
แต่ถ้านอนหิวอยู่ ได้ยินเสียงแอ๊ปเปิ้ลกระทบพื้น ได้คว้ามาใส่ปากแน่ :b12:


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2012, 22:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
เราท่านจะไปนิพพานเพราะอะไรกัน :b30:

:b16:
เราจะไปนิพพานเพราะถูกความทุกข์ย่ำยีบีฑา (ทุกขสัจจะ)

เราจะไปถึงนิพพานได้เพราะ "เหตุทุกข์" (สมุทัย)ดับสนิท ....(สมุทัยสัจจะ)

นิพพาน คือ นิโรธะสัจจะ

ตัวทำงานที่จะพาเราไปให้ถึงความดั้บเหตุแห่งทุกข์คือ........มรรคสัจจะ
onion


โพสต์ เมื่อ: 25 ธ.ค. 2012, 15:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขณะจิต เขียน:
เราท่านจะไปนิพพานเพราะอะไรกัน :b30:

นิพพานคือการหลุดพ้น คือความว่าง แล้วคุณจขกท จะยึดทุกสิ่งทุกย่างบนโลกนี้ไว้เพื่ออะไรกัน ยึกความทุกข์ทั้งปวงไว้ทำไมกัน

.....................................................
รูปภาพ


โพสต์ เมื่อ: 12 ก.พ. 2013, 22:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 09:13
โพสต์: 73


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นส่วนตัว
ที่ต้องการไปพระนิพพาน เพราะที่ไหนๆก็ทุกข์ทั้งนั้น เบื่อการเดินทาง ทุกคนมีที่หมายคือพระนิพพานทั้งนั้น เพียงแต่จะช้าหรือเร็ว


โพสต์ เมื่อ: 13 ก.พ. 2013, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
อันนี้ไม่รู้ ขอเดา
เอกอนว่ามันอยู่ที่ เราต้องตัดอาลัยให้หมดสิ้น แล้วปล่อยให้เข้าสู่นิโรธ
ถ้านิโรธ โดยที่ยังมี อาลัย ก็มีโอกาสได้กลับคืนสู่ยุทธภพ

อ๊ะยะ มีกลับคืนสู่ยุทธภพอิก เอิ๊กๆๆ :b32:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นันทกเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษแห่งบ่วงมาร

เราติเตียนร่างกายอันเต็มไปด้วยของน่าเกลียด
มีกลิ่นเหม็น เป็นฝักฝ่ายแห่งมาร
ชุ่มไปด้วยกิเลส มีช่อง ๙ ช่อง
เป็นที่ไหลออกแห่งของ ไม่สะอาดเป็นนิตย์
ท่านอย่าคิดถึงเรื่องเก่า อย่ามาเล้าโลมอริยสาวก
ผู้บรรลุอริยสัจธรรมให้ยินดีด้วยอำนาจกิเลส เพราะ
อริยสาวกของพระตถาคตเหล่านั้น ย่อมไม่ยินดีในกามคุณแม้ในสวรรค์
จะป่วยกล่าวไปไยถึงกามคุณอันเป็นของมนุษย์เล่า
ก็ชนเหล่าใดแลเป็นคนพาล มีปัญญาทราม
มีความคิดชั่ว ถูกโมหะหุ้มห่อไว้แล้ว
ชนเหล่านั้น จึงจะกำหนัดยินดีในเครื่องผูกที่มารดักไว้
ชนเหล่าใดคลายราคะ โทสะ และอวิชชาได้แล้ว
ชนเหล่านั้นผู้คงที่ เป็นผู้ตัดเส้นด้าย คือตัณหา
เครื่องนำไปสู่ภพขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูกพัน
ย่อมไม่กำหนัดยินดีในบ่วงมารนั้น.


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 21:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
eragon_joe เขียน:
อันนี้ไม่รู้ ขอเดา
เอกอนว่ามันอยู่ที่ เราต้องตัดอาลัยให้หมดสิ้น แล้วปล่อยให้เข้าสู่นิโรธ
ถ้านิโรธ โดยที่ยังมี อาลัย ก็มีโอกาสได้กลับคืนสู่ยุทธภพ

อ๊ะยะ มีกลับคืนสู่ยุทธภพอิก เอิ๊กๆๆ :b32:


:b32: :b13: :b13: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2013, 20:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน
วันที่: วันจันทร์ 08 ตุลาคม 2007 @ 13:50:04
หัวข้อ: บทความคำสอนปกิณกะ



หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน

“วันหนึ่งสมเด็จท่านพามาที่วิมาน นิพพานที่มันกว้างลิ่ว และบ้านนี่นะนานๆ จะได้ไปสักที ส่วนมากก็ไปนั่งป๋ออยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว เวลาเราตายมันจะไปไหน อาตมาเป็นคนเกาะพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าวันนั้นตายดีกว่า มันจะเป็นยังไงก็ตาม ยิ่งป่วยยิ่งไข้ยิ่งหนัก ป่วยนิดเดียวจิตจะไม่ยอมคลาดพระพุทธเจ้า เราถือว่าถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะตายลงนรกก็ยอม ท่านคงไม่ยอมให้ลง แล้วท่านก็พาไปดูที่วิมาน ชี้ให้ดูบอกว่า

“คณะของคุณมันมาก เพราะคุณใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง 16 อสงไขยกับแสนกัป และฝ่ายวิริยาธิกะ”

เป็นอันว่าคณะของเราที่ตามกันมาเป็นระยะ ไอ้ที่เขาหนีไปนิพพานแล้วนับไม่ถ้วน พวกนั้นขี้ขลาดสู้เราไม่ได้ ไอ้เราต้องมาตกระกำลำบาก ช่วยกันวิ่งโน่นวิ่งนี่ ไอ้ที่จะกินก็ยังไม่มี แต่ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่น ใช่ไหม...

สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า...ทุกคนที่เอาจริง ที่ตามแกมาตั้ง 16 อสงไขยกับแสนกัปมันมีวิมานที่นิพพานอยู่กันหมดแล้ว คำว่าถอยหลังไม่มี ประการที่สองให้เตือนไว้ว่า

ในระหว่างชีวิตที่ยังไม่ตาย ใครจะปฏิบัติดีบ้างปฏิบัติชั่วบ้าง ขณะใดที่เราสร้างความดีเพราะจิตมันดี แต่บางครั้งจิตมันจะเศร้าหมองลงไปให้มีแต่ความวุ่นวาย นั่นต้องถือว่าเป็นเรื่องของกรรมที่เป็นอกุศลชองชาติก่อนเข้ามาบันดาล แต่เรื่องนี้เราจะแพ้มันระยะต้น เวลาตายนะไม่มีหรอก มันจะทำร้ายได้ชั่วคราวเท่านั้น เราจะให้มันในขณะที่มีชีวิตทรงอยู่เท่านั้น ถ้าใกล้ตายจริงๆ ไม่สามารถจะสังหารจิตเราได้ เมื่อใกล้จะถึงความตาย พอจิตเข้าถึงจุดนั้น ไอ้กิเลสไม่สามารถเข้ามายุ่งได้เลย เพราะว่ากรรมที่เป็นกุศลใหญ่ที่บำเพ็ญมาแล้วจะเข้าไปกีดกันหมด กรรมที่เป็นอกุศลเข้าไม่ถึง อาตมารับรองผลว่าทุกคนไม่ไร้สติ และไม่ไร้ความดีที่ปฏิบัติ เพราะอะไรเพราะไปตรวจบ้านมาแล้วสบายใจ หมดเรื่องหมดราวเสียที ตามธรรมดาเราจะตำหนิกัน บางคนเราก็เห็นว่ามานั่งกรรมฐานกัน มาศึกษากัน กลับไปก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เอะอะโวยวาย ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้ชำระสินกันไป ถือว่าช่างมันไว้ ท่านบอกว่าเป็นการชำระหนี้ ชำระสินค้ากันไป ถือว่าช่างมันไว้ ท่านบอกว่าไปบอกเขานะ เพื่อความมั่นใจ

เป็นอันว่าทุกคนที่มีวิมานอยู่ที่นิพพานละก็ควรจะภูมิใจว่าเราเข้าถึงกิจสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว ขึ้นชื่อว่าการถอยหลังกลับไปสู่อบายภูมิย่อมไม่มี ถึงแม้ว่าในชาตินี้เราจะประมาทพลาดพลั้งในด้านอกุศลกรรมเป็นธรรมดา ก็แต่ว่าจิตเราก็ต้องหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ถือว่า ขันธ์ 5 ไม่มีความหมายสำหรับเรา ว่าช่างมันๆ เอาไว้อารมณ์ดีก็ช่างมัน เวลาก็ช่างเผือก หมดเรื่องหมดราว อย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน จิตมันชินอยู่อย่างนั้น จิตมันก็ตั้งอยู่ในอารมณ์พระนิพพานโดยเฉพาะ จิตก็เข้าถึงพระโสดาบัน เรื่องสกิทาคา อนาคา อรหันต์ เป็นของไม่ยาก ยากอยู่ที่พระโสดาบันเท่านั้น

สมเด็จท่านก็ถามว่า “คุณทำไมไม่หมั่นขึ้นมา”
ก็บอกว่า “เหนื่อยเต็มที่ ร่างกายเพลียมากก็ต้องชำระตัว เกรงว่าจะประมาท”
สมเด็จท่านถามว่า “คนอย่างแกยังมีคำว่าประมาทหรือ...”
เลยบอกท่านว่า “มี” ก็เลยบอกว่า “ยังไม่รู้ตัวว่าดี”
สมเด็จท่านบอกว่า “เออ ใช้ได้”
คือว่าถ้ารู้ว่าดีเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น รู้ตัวว่าเราวิเศษแล้ว เราประเสริฐแล้ว เราสำเร็จแล้ว ทุกข์มันก็เกิด แต่ว่าอารมณ์จิตถึงระดับนี้แล้ว มันก็คิดยังงั้นไม่ได้แล้วนะ เรื่องตัวนี่ชำระกันอยู่ตลอดวันเป็นปกติ คำว่าชำระก็หมายความว่า พิจารณาเห็นร่างกายไม่มีความหมาย โลกนี้ไม่มีความหมาย คำว่าไม่มีความหมายมันติดอารมณ์

สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า...งานสาธารณประโยชน์ มันเป็นปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด ทำให้เร่งรัดพวกเราให้เร็วที่สุด ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรงให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการบั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่างๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตา กฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่”

ขอขอบพระคุณและโมทนาบุญสำหรับข้อมูลจาก :
• หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 3 โดย พระสุธรรมยานเถร วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี. หน้า 49-54

อ้างคำพูด:
เมืองแก้วพระมหาอมตะนฤพาน

...นี่ฉันต้องการให้ลูกหลานไปเห็นบ้านฉัน บ้านของฉันที่จะไปอยู่ใหม่มันสวยจริง ๆ ฉันจะพูดให้ฟังนะ มันสวยจริง ๆ มีกำแพงรอบ ๆ ๔ ด้าน เป็นแก้วผสมกับทองแพรวพรายประกอบ มีพื้นสีทองประดับแก้วทั้งหมด แล้วมีซุ้มประตู พื้นที่เดินเข้าไปก็เป็นทองผสมแก้ว อาคาร ๓ หลัง เป็นแก้วแพรวพรายสวยบอกไม่ถูก ข้างในมีแท่น ข้างหน้ามีหอระฆัง พูดถึงความสวยแล้วลูกหลานเอ๋ยบอกไม่ถูก ด้านทิศตะวันออกมีสระโบกขรณี มีแท่นแก้ว มีต้นไม้แก้ว น้ำก็แลดูแพรวพรายคล้ายกับน้ำเพชร มันสวยจริง ๆ

ในสถานที่นั้นมีความสุขบอกไม่ถูก พอขึ้นไปแล้วมีแต่ความเยือกเย็น มีแต่ความโปร่ง นี่บ้านของฉันนะ ที่นั่นมีความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง ๆ เกิดขึ้นตามความปรารถนาของใจ และบางครั้งความปรารถนาของใจยัง ไม่ปรากฏ แต่สิ่งนั้นจำจะต้องมี ก็มีขึ้นมาก่อนทันที

ไม่เหมือนเมืองเทวดา เมืองเทวดาหรือเมืองพรหมนี่ เวลาจะต้องการ เขาต้องคิดเสียก่อน ที่เรียกว่า เนรมิต คิดว่าสิ่งนั้นจงมี สิ่งนี้จงมี แต่ก็เป็นไปตามวาสนาบารมี นี่หมายความว่า วาสนาบารมีมีแค่ไหนคิดเอาได้แค่นั้น แค่ทุนนั่นเอง ถ้าทุนมากก็หาได้มาก ทุนน้อยก็หาได้น้อย

ทีนี้บ้านฉันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ไม่ต้องคิดหรอก บางครั้งพอฉันเดินไป พอคิดว่าจะนั่งตรงนี้ แท่นมันก็มารองตูดทันที ไม่ทันจะคิดหาแท่น บางทีเดิน ๆ ไปกลางบริเวณคิดว่าตรงนั้นมันเย็นดี ฉันคิดว่าฉันอยากนอนตรงนี้ ก็พอดีที่นอนมันมารองรับทันที ที่นั้นมันมีความสุขความสบายทุกอย่างลูกหลาน

(คัดบางตอนจากหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ในเรื่อง "พบพระอภิญญาในป่าลึก")



:b12: :b12: :b12:

ถกประเด็นเมืองนิพพาน....

:b12: :b12: :b12:

มีใครในที่นี้เคยเห็นเมืองนิพพาน...บ้าง

:b3: :b3: ไม่ต้องอายที่จะแสดงความเห็น...นะจ๊ะ
ไม่ต้องกลัวว่าจะมีกระแสอีกด้านที่ว่า นิพพานไม่ใช่เมือง ออกมาโต้

เพราะ ... การตอบโต้ มันต้องมีเหตุมีผล
เช่นว่าผู้ที่จะตอบโต้ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
น่าจะเป็นผู้ที่เคยผ่านการได้เห็นเมืองนี้แล้ว
และได้วิปัสสนาเมืองนี้จนผ่านเมืองนี้ไปได้แล้ว ...

....

เอกอนเพิ่งได้เห็นเมืองนิพพานเมื่อวาน...จะเห็นได้ด้วยเหตุผลกลใด
ก็...ช่างมันเถอะ...ไม่ได้คิดว่าจะเห็น...อยู่ ๆ มันจะเห็นมันก็เห็น... :b9:

...

ที่คิดว่าเมืองที่เห็น เป็นเมืองแก้วนิพพาน เพราะสัญลักษณ์แห่งความเป็นพุทธภูมิ
เป็นเมืองที่เกิดใหม่ แต่ก็ดำเนินการสร้างมาแล้วเป็นเวลานาน
ตอนที่เห็น ไม่ได้รู้สึกแปลกใจว่ามีเมืองอยู่ ...
เพราะเหมือนเป็นเรื่องปกติของที่นั่น
หรือเหมือนเป็นเรื่องปกติของ จิตของผู้ปฏิบัติธรรม ก็ว่าได้
การที่เมืองเช่นนี้ปรากฎบ่งบอกว่ามีผู้ปฏิบัติที่ทำสำเร็จ คือเข้าถึงภูมิธรรมอันเป็นอริยะ
มันเป็นเรื่องน่ายินดี
สภาพความเป็นไปในแดนแห่งนี้ จึงมีแต่ความรู้สึกที่เป็นสุข สงบ สดใส น่ายินดี

อย่างเช่น เมืองสวรรค์ เมืองเทวดา เมืองพรหม
ที่คนที่ทำบุญ ทำทาน รักษาศีล ก็จะมีการไปสร้างสวรรค์ของตนไว้ในชั้นต่าง ๆ
ที่ว่าเมื่อตายไป ก็จะไปอยู่ตามเรือนของตนที่สร้างไว้ (บุญที่ได้ทำไว้เมือตอนเป็นมนุษย์)

แต่เมืองนิพพาน จะเป็นการไปสร้างเมืองของ จิตอริยะ
คือ ทันทีที่ถึงโสดาบัน เมืองในลักษณะเมืองแก้วก็จะปรากฎ
ความสว่างสดใสของเมือง แสดงถึง ภูมิธรรม บารมีธรรม

ซึ่ง เมืองนิพพาน กับ สภาวะนิพพาน ต้องแยกกันออกก่อน
เพราะเอกอนมีแนวโนม้ที่ชักจะมองเห็นว่า
ความเข้าใจในทั้งสองนัยนี้ เราต่างยังไม่เข้าใจความเป็นไปในสิ่งเหล่านั้นดีพอ

พูดถึงเมืองนิพพาน ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่ต้องอาศัยแสงอาทิตย์ แสงจันทร์
เพราะเป็นเมืองที่ แสงมันสุกสว่างขาวนวลอยู่เช่นนั้นตลอด

คือเท่าที่เห็นและเข้าใจตามที่เห็น
ตราบเท่าที่ระหว่างยังเป็นอริยะ และ ยังระหว่างไต่บันไดพุทธภูมิอยู่
เมืองนี้...ถูกนิรมิต...รองรับบุคคลกลุ่มนี้ ...
เป็นแดนที่สะท้อนความบริสุทธิ์ ... รองรับ จิตอันบริสุทธิ์
แม้จะอยากมีหรือไม่อยากมี อยากเห็นหรือไม่อยากเห็น อยากไปหรือไม่อยากไปก็ตาม
คือ ถ้าคุณเป็น โสดาบัน ผู้มีจิตบริสุทธิ์แล้วระดับหนึ่ง มีโลกุตระเป็นทางไป
ถ้าเป็นจิตที่ตรงต่อนิพพานแล้ว คุณจะไปอบาย ไปนั่น ไปนี่ มันไปไม่ได้
จิต มันได้ไปสร้างแดนที่เป็นทางไปของมันแล้ว
ซึ่ง จิตก็จะขัดเกลา ชำระให้บริสุทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนที่สุด ...

ซึ่งจะที่สุดยังไง แดนนั้น ๆ จะเป็นยังไง ....
ยังไม่รู้ เพราะยังไม่เห็น ... :b32: :b32: :b9: :b9:

มันไม่ง่าย ที่จะเห็นแสงแห่งเมืองเหล่านี้ดับลง
เพราะหน่อเนื้อพุทธภูมิทั้งเก่า และใหม่ ... เยอะ ....
เราจะไม่สังเกตเห็นแสงเหล่านี้มอดดับลง
จะมีแต่ เหล่าพุทธภูมิ อริยะชั้นสูง ๆ ด้วยกันเท่านั้นที่จะสังเกตรู้

คือ ... เอกอนก็ไม่รู้ว่าเอกอนเห็นจริงรึเปล่า
แต่ ... จากการที่เห็น มันทำให้มุมมองที่มีต่อคำสอนของหลวงพ่อฤาษีเปลี่ยนไปน่ะ

คือ ... ถ้าเข้าใจสิ่งที่ท่านสื่อ นะ

การน้อม นิพพานเข้ามาสู่ใจ หรือ การนึกถึงเมืองนิพพานไว้ในใจ
อย่างที่ท่านสร้าง อุโบสถที่เป็นเป็นโถงแก้วทั้งหลัง ให้ลูกศิษย์ท่านเห็นภาพเสมือนเมืองแก้ว
...แต่ก่อนเอกอนไม่เข้าใจความหมาย...มองว่าท่านทำไร้สาระสิ้นเปลือง...
ท่านเป็นพระที่มีชื่อ...ทำไมท่านไม่สอนธรรมที่เป็นธรรมมากกว่านี้...
...แต่นั่นล่ะ...ธรรม...
...ธรรมที่เป็นอจินไตย...
...ธรรมที่ส่งผลตรงกับจิต...

บางทีทำไมเอกอนถึงได้เห็น เป็นไปได้ว่าเอกอนรู้จักคุณป้าคนหนึ่ง
และก็มีคุณยายคนหนึ่ง(เป็นญาติ) ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษี
และท่านก็ถูกสอนว่าให้ระลึกถึงเมืองแก้ว(เมืองนิพพาน)
ท่านแก่มากแล้ว ... บางทีอาจจะมีอะไรดลใจให้เอกอนต้องได้บอกสิ่งนี้กับพวกท่านก็ได้

ก็รอคนที่มีประสบการณ์ตรงที่ดี ๆ และมีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนกว่านี้
มานำเสนอ


อ๊บซ์ อ๊บซ์ .... นี่เป็นการเรียกครั้งที่สอง

:b6: :b6:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2013, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
อ๊บซ์ อ๊บซ์ .... นี่เป็นการเรียกครั้งที่สอง

:b6: :b6:

:b6: :b6: เขียดน้อยมาแทนได้เปล่า .. :b32:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2013, 20:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
eragon_joe เขียน:
อ๊บซ์ อ๊บซ์ .... นี่เป็นการเรียกครั้งที่สอง

:b6: :b6:

:b6: :b6: เขียดน้อยมาแทนได้เปล่า .. :b32:


:b17: :b17: :b17:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2013, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คุนน้องยังไม่เคยเห็นเมืองแก้วเลยค่ะ :b20: แต่คุนน้องเคยไปเหมือนกันแต่เป็นสวรรค์ขั้นดุสิต(ทั้งที่ตอนนั้นไม่เคยได้ศึกษาเรื่องสวรรค์)แต่ตอนนั้นรู้แค่ว่า ดินแดนนี้เป็นเขตเฉพาะในจิตเรารู้เช่นนั้น แต่ภาพต่างๆเลือนลางมองอะไรไม่ค่อยชัด มันเหมือนเป็นความจำที่เลือนลาง แต่ตอนนั้นคุนน้องรู้ว่าตนเองเป็นใคร และก็รู้ว่าที่นั้นคือที่ไหนและเราทำไมได้อยู่ที่นี่ และก็รู้ถึงจิตผู้อื่นที่เค้าอยู่ดินแดนแห่งนี้ แต่ยังไม่เคยเห็นเมืองพระนิพพานเลยค่ะ
แต่คุนน้องเชื่อว่า โลกนี้เรามีที่มาโลกหน้าเรามีที่ไป ตายแล้วมีสภาพไม่สูญ(คือจิตไม่ได้สูญสลายไป) :b1:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2013, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตาหนอกายใจ ใคร่เล่าใคร ไปสวรรค์ :b20:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2013, 23:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

ก็รอคนที่มีประสบการณ์ตรงที่ดี ๆ และมีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนกว่านี้
มานำเสนอ[/color]

อ๊บซ์ อ๊บซ์ .... นี่เป็นการเรียกครั้งที่สอง

:b6: :b6:


รอการเรียกครั้งที่หนึ่งอยู่... :b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2013, 23:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คิดว่านะ...จิต...แม้จะทิ้งสมมุติ....สู่วิมุตติ....ก็ไม่มีทางลืมสมมุติ...ได้หรอก...ไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์นี้นา..

จิตวิมุตติ...จึงมีสมมุติเป็นเครื่องอยู่

:b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 58 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร