วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 06:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2013, 10:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


สัตว์ทั้งหลายแม้จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่นับภพนับชาติไม่ถ้วนก็ตาม แต่สัตว์เหล่านั้นก็หาได้มีความเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย ยังมีความยินดีในภพชาติของตนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น อย่าว่าเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหมเลย แม้แต่ได้เกิดเป็นพวกสัตว์เดรัจฉาน จนกระทั้งหนอนที่เกิดอยู่ในอุจจาระก็ตาม ก็ยังยินดีในสภาพของตนเช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสัตว์ทั้งหลายมีตัณหาเป็นเพื่อนสนิทคอยบำรุงบำเรออยู่นั่นเอง จึงทำให้สัตว์ทั้งหลายไม่เบื่อหน่ายในการเกิดในภพต่างๆ ซึ่งเป็นมูลรากแห่งกองทุกข์ทั้งปวง ซ้ำมองไม่เห็นว่ากองทุกข์ต่างๆ ที่ตนประสบอยู่นี้ ก็เนื่องมาจากตัณหานั้นแหละเป็นตัวต้นเหตุ เหมือนสุนัขที่เพลินเพลินอยู่กับกระดูกวัวที่ไม่มีเนื้อ โดยอาศัยน้ำลายของตนเองฉันใด สัตว์ทั้งหลายที่อาศัยกามคุณอารมณ์ และอดทนต่อทุกข์ต่างๆ ที่ตนประสบอยู่ได้โดยไม่เบื่อหน่ายนั้น ก็เพราะอำนาจแห่งตัณหาที่มีอยู่ในขันธสันดาลของตนนั่นเอง ส่วนสิ่งต่างๆ ที่เป็นเครื่องก่อให้เกิดความยินดีติดใจนั้น เป็นเพียงอารมณ์ที่เป็นส่วนประกอบให้ตัณหาเกิดขึ้นและเจริญงอกงามขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงกล่าวไว้ว่าตัณหานี้แหละเป็นผู้ฉุดชักสัตว์ทั้งหลายไว้ ไม่ให้ออกไปจากสังสารวัฏฏ์ได้

ดังที่พระองค์ทรงแสดงไว้ว่า
ตณฺหาทุติโย ปุริโส ทีฆมทฺธาน สํสารํ
อิตฺถมฺภาวญฺญถาภาวํ สํสารํ นาติวตฺตติฯ


ผู้มีตัณหาเป็นเพื่อน ย่อมท่องเที่ยวไปสู่ภพอื่นๆ จากความเป็นอยู่ในภพนั้นๆไปยังภพนั้นๆ แล้วไม่สามารถก้าวพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน เพราะความเป็นผู้มีตัณหาเป็นเพื่อน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2013, 11:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ....

ตัณหาเกิด.....ก็จงเห็น...ว่าเกิดเถิด

:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2013, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิด ๓๑ ภูมิเหล่านี้
ล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ ไม่ว่าผู้นั้นจะเกิดเป็นคนชั้นต่ำ ชั้นสูง
หรือเกิดในทุคติสุคติภูมิก็ตาม ก็ต้องได้ประสบกับทุกข์ต่างๆ
มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น ด้วยเหตุนี้สมเด็จพระพุทธองค์
จึงไม่ชมเชยสนับสนุนในการที่เวไนยสัตว์ทั้งหลายที่
เกิดแก่ เจ็บ ตาย อยู่ในภูมิต่างๆ จะ เป็นภูมิต่ำ ภูมิสูง
หรือบุคคลชั้นต่ำ ชั้นสูงก็ตาม มีแต่ทรงชี้แนะแนวทางให้สัตว์ทั้งหลาย
ได้พ้นไปจากภูมิต่างๆทั้งสิ้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2013, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ตามธรรมดาคนทั้งหลายในโลกนี้ไม่มีผู้ใดเลยที่จะไม่ประสบความทุกข์ และเมื่อผู้ประสบทุกข์เข้าแล้ว ก็พยายามดิ้นรนแสวงหาทางพ้นทุกข์นั้นๆ ด้วยอาศัยเหตุนี้แหละ ต่างคนก็พยายามประพฤติปฏิบัติกันโดยประการต่างๆ เพื่อมุ่งหวังความสุขเพื่อให้พ้นจากทุกข์นั่นเอง การปฏิบัติที่คนทั้งหลายกระทำเพื่อหวังให้พ้นจากทุกข์เหล่านี้ก็มีด้วยกัน ๒ อย่าง คือ
๑) การปฏิบัติทางโลก
๒) การปฏิบัติทางธรรม
๑. การปฏิบัติทางโลก ได้แก่ การประกอบอาชีพต่างๆ เช่น ทำนา ทำสวน ค้าขาย รับจ้าง รับราชการ และบางคนก็ประกอบอาชีพที่เป็นไปในทางทุจริต เช่น ลักทรัพย์ ทำการประมงค์ ล่อลวง เป็นต้น และบางพวกได้ประสบทุกข์เข้าแล้ว ก็ไปหาหมอยา หมอดู เพื่อปัดเป่า รดน้ำมนต์ให้พ้นทุกข์เหล่านี้ไปบ้าง ดังนี้เป็นต้น
๒. การปฏิบัติทางธรรม ได้แก่ การบำเพ็ญทานบ้าง รักษาศีลบ้าง ทำสมถะบ้าง ปฏิบัติโดยอัตตกิมถานุโยค คือทรมานร่างกายด้วยประการต่างๆ ปฏิบัติเหมือนโคเหมือนสุนัขบ้าง ปฏิบัติโดยกามสุขัลลิกานุโยค บำรุงบำเรอตนให้ได้รับความสุขต่างๆ ตามความพอใจของตน ไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาขัดขวางได้บ้าง ที่เกี่ยวกับวัตถุกามต่างๆ ทรัพย์สินเงินทองบ้าง การปฏิบัติเช่นนี้บางคนก็สำเร็จ คือมีความเพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ต่างๆตลอดเพียงชาตินี้เท่านั้นหาได้เข้าถึงความดับทุกข์โดยสิ้นไปไม่ เพราะเขาไม่เข้าใจในการปฏิบัติที่เป็นหนทางให้เข้าถึงความดับทุกข์ได้โดยเด็ดขาดนั่นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2013, 10:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 09:13
โพสต์: 73


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นส่วนตัว
ทำไมจึงพ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะยึดอยู่ จึงพ้นไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2013, 07:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ยังไม่พ้น เขียน:
ความเห็นส่วนตัว
ทำไมจึงพ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะยึดอยู่ จึงพ้นไม่ได้

ความมหัศจรรย์ของทุกข์

ใดใดในโลกล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ทั้งมวล
สัตว์โลก ที่เป็นมนุษย์ หรือเทวดา
ต่างก็แสวงหาความพ้นทุกข์ เช่นเดียวกัน

แต่การแสวงหาความพ้นทุกข์นั้นแตกต่างกันออกไป
โดยการ ให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม เจริญภาวนา และอีกมากมาย

ทุกข์ เป็นความจริงข้อหนึ่งที่อยู่ในอริยสัจจ์
ที่เป็นข้อแรกที่ต้องควรกำหนดรู้ แต่เราไปกำหนดละ
เมื่อไม่รู้จักทุกข์ ก็ย่อมออกจากทุกข์ไม่ได้เช่นกัน

เมื่อทุกข์เกิดขึ้นต่างคนก็จะหนีทุกข์ เช่นว่า เมื่อเรายืนอยู่นานๆ
อาการปวดเมื่อยก็เกิดขึ้นนั่นแสดงว่าอาการของทุกข์
กำลังจะปรากฏขึ้นให้เรารู้อยู่ว่าสัจจ์หนึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว

แต่เรากลับไปหาที่นั่งเสียเพื่อให้ทุกข์นั้นหายไป
โดยที่เรามิได้เอาทุกข์นั้นมากำหนดดู โอกาสที่ดีจึงหมดไป
ทุกข์มีอยู่ในทุกกิริยาบท ทุกข์เป็นเพื่อนที่แสนดีอยู่กับเราตลอดเวลา

ทุกข์นั่นแหละที่พยายามจะสอนเราเพื่อให้ออกจากทุกข์
แต่เรากลับไม่สนใจกลับไปแสวงหาสุข โดยการเปลี่ยนกิริยบทเสีย
หรือ ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ก็รีบไปทำกิจเสียเพื่อให้ทุกข์หายไปเพื่อจะได้สุขมา

เรากินกับทุกข์ นอนอยู่กับทุกข์ ไปไหนก็ไปกับทุกข์ แต่ไม่เห็นคุณของทุกข์
ผมจึงกล่าวว่าทุกข์นี่แหละเป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างยิ่ง ไม่ควรมองข้ามไปเสีย
หันมาเอาทุกข์นี่แหละมากำหนดเสีย เพื่อจะข้ามให้พ้นทุกข์ให้ได้จริง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2013, 05:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อปฏิบัติที่เป็นหนทางดับทุกข์ได้นั้น ก็คือเจริญองค์มรรค ๘ ที่เกี่ยวกับสติปัฏฐาน ๔ เท่านั้น การปฏิบัตินอกจากนี้แล้วไม่ว่าการปฏิบัตินั้นจะกระทำไปอย่างพิสดารลำบากยากเข็ญอย่างไร หรือละเอียดปราณีตอย่างไรก็ตาม หรือจะใช้เวลาปฏิบัตินานสักเพียงไรก็ตาม ก็ไม่ใช่เป็นหนทางที่จะชำระกิเลสให้หมดไปสิ้นไป แล้วเข้าถึงความทุกข์ทั้งปวงได้ หมายความว่า ขึ้นชื่อว่ามีการปฏิบัติและมีความภาคเพียรต่อการปฏิบัติแล้ว ก็อย่าพึงเชื่อว่าการปฏิบัตินั้นจะถูกต้องเสมอไป ด้วยเหตุนี้ท่านพระพุทธโฆษาจารย์จึงแสดงไว้ในวิสุทธิมรรคอรรถกถาว่า
ยถาภูตํ อชานนฺตา สุทฺธิกามาปิ เย อิธ
วิสุทฺธึ นาธิคจฺฉนฺติ วายมนฺตาปิ โยคิโนฯ

พระโยคี คือ ผู้ประกอบด้วยความพยายามในการเจริญภาวนาทั้งหลายเหล่าใด แม้มีความประสงค์บริสุทธิ์ในพระศาสนาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและมีความพยายามปฏิบัติ แต่ไม่เข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริง พระโยคีเหล่านั้นย่อมไม่อาจสำเร็จเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้
แต่อย่างไรก็ตาม บุคคลทั้งหลายที่พากันปฏิบัติตามลัทธิของตนๆ ต่างก็มีจุดประสงค์เช่นเดียวกันทั้งสิ้น แต่ความทุกข์ต่างๆ นั้นก็หาได้หมดสิ้นลงไปไม่ กลับยิ่งหนักขึ้น หรือมิฉะนั้น ก็มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในสังสารวัฏฏ์ ยืดยาวไม่มีสิ้นสุด ทั้งนี้บุคคลบางพวกในลัทธิพุทธศาสนา ที่มิได้มีความปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณ ปัจเจกโพธิญาน อัครสาวกโพธิญาณ มหาสาวกโพธิญาณ แต่อย่างใด ปรารถนาให้พ้นทุกข์ให้เข้าถึงพระนิพพานโดยตรงรวดเดียว ดังกล่าวที่ว่าคำปรารถนาว่า "อิทํ เม ปุญญํ อาสวกฺขยํ วหํ โหตุ"แต่ผู้นั้นก็ยังมีความพอใจปฏิบัติเพียงแค่ ทาน ศีล สมถภาวนา ไม่ได้ปฏิบัติให้เข้าถึงองค์มรรคในแนวของสติปัฏฐาน ๔ ฉะนั้น การปฏิบัติเช่นนี้ก็นับว่ายังเป็นไปด้วยอำนาจของโลภะอยู่ ด้วยเหตุนี่ผู้ปฏิบัติจึงยังต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในวัฏฏสงสารอีกยาวนาน ตรงข้ามกับความประสงค์ของตน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2013, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่ปฏิบัติอัตตกิลมถานุโยคนั้น
ทำการปฏิบัติที่เป็นไปด้วยอำนาจทิฏฐิและโมหะ
ฉะนั้น จึงส่งผลให้ไปเกิดในนิรยภูมิ
แต่ผู้ที่ปฏิบัตินั้นก็ยังหารู้สึกตัวไม่ว่า
การปฏิบัติเช่นนี้เป็นหนทางที่จะชำระกิเลสเข้าถึงกับความทุกข์

ส่วนผู้ที่ปฏิบัติชนิดกามสุขัลลิกานุโยคนั้น
ไม่ใช่แต่ผู้ถือลัทธิอื่นๆจะปฏิบัติเช่นนี้ แม้แต่ผู้ที่ถือลัทธิพุทธก็มีปฏิบัติกัน
เช่นผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์ในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา
มีความเห็นว่าความสุขที่เกี่ยวกับพระนิพพานนั้นไม่มีโดยเฉพาะ

ที่แท้ก็คือในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เรามีความประสงค์อย่างไรพอใจอย่างไร
ก็ปฏิบัติไปตามความพอใจของตน อย่างเช่น อยากจะดูอะไรก็ดู
อยากจะฟังอะไรก็ฟัง อยากจะกินอะไรก็กิน อยากจะนอนก็นอน
อยากจะไปไหนก็ไป อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะพุดอะไรก็พูดเป็นต้น

ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง การปฏิบัติตนอย่างนี้แหละ เรียกว่า
ปฏิบัติให้พ้นทุกข์ ได้รับความสุข ฉะนั้น
การปฏิบัติเช่นนี้จึงเป็นไปด้วยอำนาจ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ
ย่อมส่งผลให้ผู้นั้นไปบังเกิดในอบายภูมิหนึ่งและผู้นั้นก็ไม่มีความรู้สึกตัว
ว่าการปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่เป็นหทางที่จะชำระกิเลสให้เข้าถึงความดับทุกข์

คำอธิบายดังกล่าวมานี้ เป็นการอธิบายในความไม่รู้หนทางที่ให้เข้าถึงความดับทุกข์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2013, 10:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 13:22
โพสต์: 79


 ข้อมูลส่วนตัว


ยังยึดติดกับความดีความชั่วและตัวตนอยู่มั่งขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2013, 03:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ผู้ที่ปฏิบัติอัตตกิลมถานุโยคนั้น
ทำการปฏิบัติที่เป็นไปด้วยอำนาจทิฏฐิและโมหะ
ฉะนั้น จึงส่งผลให้ไปเกิดในนิรยภูมิ
แต่ผู้ที่ปฏิบัตินั้นก็ยังหารู้สึกตัวไม่ว่า
การปฏิบัติเช่นนี้เป็นหนทางที่จะชำระกิเลสเข้าถึงกับความทุกข์

ส่วนผู้ที่ปฏิบัติชนิดกามสุขัลลิกานุโยคนั้น
ไม่ใช่แต่ผู้ถือลัทธิอื่นๆจะปฏิบัติเช่นนี้ แม้แต่ผู้ที่ถือลัทธิพุทธก็มีปฏิบัติกัน
เช่นผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์ในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา
มีความเห็นว่าความสุขที่เกี่ยวกับพระนิพพานนั้นไม่มีโดยเฉพาะ

ที่แท้ก็คือในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เรามีความประสงค์อย่างไรพอใจอย่างไร
ก็ปฏิบัติไปตามความพอใจของตน อย่างเช่น อยากจะดูอะไรก็ดู
อยากจะฟังอะไรก็ฟัง อยากจะกินอะไรก็กิน อยากจะนอนก็นอน
อยากจะไปไหนก็ไป อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะพุดอะไรก็พูดเป็นต้น

ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง การปฏิบัติตนอย่างนี้แหละ เรียกว่า
ปฏิบัติให้พ้นทุกข์ ได้รับความสุข ฉะนั้น
การปฏิบัติเช่นนี้จึงเป็นไปด้วยอำนาจ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ
ย่อมส่งผลให้ผู้นั้นไปบังเกิดในอบายภูมิหนึ่งและผู้นั้นก็ไม่มีความรู้สึกตัว
ว่าการปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่เป็นหทางที่จะชำระกิเลสให้เข้าถึงความดับทุกข์

คำอธิบายดังกล่าวมานี้ เป็นการอธิบายในความไม่รู้หนทางที่ให้เข้าถึงความดับทุกข์


ครับผม อ่านข้อความลุงหมานลงมาเรื่อยๆ ก็สร้างกำลังใจได้ดีมากครับ แม้เราจะมีแนวทางปฏิบัติแนวใด ก็ต้องเข้าสู่อริยะสัจ4 อันเป็นทางเอก

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 06:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ครับผม อ่านข้อความลุงหมานลงมาเรื่อยๆ ก็สร้างกำลังใจได้ดีมากครับ แม้เราจะมีแนวทางปฏิบัติแนวใด ก็ต้องเข้าสู่อริยะสัจ4 อันเป็นทางเอก

ขอบคุณครับที่ติดตามอ่าน....
การปฏิบัตินั้นมีหลายแนวทาง ดังจะเห็นได้กับลัทธิต่างๆ
การปฏิบัตินั้นถึงจะพ้นทุกข์ได้ก็เป็นเพียงชั่วคราว
ในทางศาสนาพุทธท่านบอกไว้ว่าทางสายเอก คือทางสายเดียว ได้แก่
สติปัฏฐาน ๔ ตามแนวทางอริยะมรรค มีองค์ ๘ นอกนั้นไม่มีเลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 14:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
อ้างคำพูด:
สุดท้ายเราก็ยังไม่พ้นทุกข์ได้เลย เพราะอะไรจึงพ้นทุกข์ไม่ได้

:b12:
มาช้าหน่อยนะครับ....
ขอขัดจังหวะนิดหนึ่งเพื่อเรียนบอกคำตอบสั้นๆว่า....เพราะอะไรจึงพ้นทุกข์ไม่ได้
:b4:
มีพุทธภาษิตสั้นๆเช่นกันว่า....."วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ"........คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร
onion
ความเพียรชอบ....เป็นมรรคข้อที่ 6 ในมรรค 8 ที่พึงนำมาใส่ใจเจาะจง นำหน้าไว้ให้มากๆ จึงจะตอบโจทย์ที่ว่า.....เพราะอะไรจึงพ้นทุกข์ไม่ได้?
:b37:
ความเพียรชอบมี 4 ข้อ ข้อสุดท้ายสำคัญมากๆ ถ้าแปลผิด จะลดพลังแห่งการปฏิบัติภาวนาลงเยอะเลยทีเดียว
:b41:
ข้อ 4 กุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิด เพียรทำให้เกิด
:b39:
ข้อนี้ส่วนใหญ่เข้าใจความหมายไปว่ากุศลใหม่ คือ ทาน ศีล ภาวนา...ที่ยังไม่เคยทำ ทำให้มาก
แต่เรื่องของ ทาน ศีล ภาวนา นั้น เราได้ทำมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว......ถือเป็นกุศลเก่าอยู่ซึ่งเราต้องเพียรรักษาและทำให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น

:b10:
แต่กุศลใหม่ที่ว่านี้พระบรมศาสดาทรงหมายถึง มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 หรือ โลกุตรธรรมทั้ง 9 ยังไม่เคยเกิดขึ้นในจิตใจของเราเลย....พึงเพียรทำให้เกิดไปตามลำดับๆ จนครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง 9 อย่าง........

นี่แหละคือกุศลใหม่ที่แท้จริงซึ่งต้องอาศัย......วิริยะ...หรือความเพียรเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 18:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 09:36
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ด.ช. ฉันทะ เขียน:
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ ทุกขนิโรธคามิณีปฏิปทา
ทุกข์คืออะไร ทุกข์จะออกจากทุกเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทุกข์จะหมดสิ้นไปได้อย่างไร ต้องทำอย่างไรทุกข์จึงจะหมดสิ้นไปได้
ทั้งหมดนี้คือเรื่องของทุกข์
ผู้ที่ต้องต้องการหลุดพ้นจากทุกข์ ต้องรู้เรื่องของทุกข์ที่แท้จริงจนสิ้น ที่เราๆเรียกกันว่าแก่นทุกข์
ในเรื่องของสังโยชทั้งสิบประการนั้น หนึ่งในสังโยชเบื้องต้นนั้นได้แก่ วิจิกิจฉา ที่ท่านลังเลสงสัย
อยู่นั่นล่ะครับ
ผู้รู้ธรรมใช่ว่าจะเข้าถึงธรรม ผู้เข้าถึงธรรมใช่ว่าจะบรรลุธรรม
มหาสมุทร ย่อมลาดเทไปตามลำดับ จากตื้นลาดลงไปสู่ลึกตามลำดับ
ดุจดังอริยะวินัยนี้ ย่อมมีการประพฤติปฏิบัติไปตามลำดับ ดุจเดียวกัน
ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวลหรอกครับท่านกัลยาณมิตร
เบื้องหน้านั้นมีฟากฝั่งแน่นอนครับผม เรือแพยังไม่ถึงอีกเลยฟากฝั่งนั้นเลยนะครับผม. :b8:


เยี่ยมครับ ....ชัดเจน ครับ.... วลี นี้ โดนใจผมมากจังครับ " ผู้รู้ธรรมใช่ว่าจะเข้าถึงธรรม ผู้เข้าถึงธรรมใช่ว่าจะบรรลุธรรม " .....ถ้าจิตใจละเอียดยอมจำนนต่อองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและรับเอาพระธรรม ง่ายๆ ...ย่อมบรรลุถึงธรรมได้ง่ายเช่นกัน.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 18:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 09:36
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยังไม่พ้น เขียน:
ความเห็นส่วนตัว
ทำไมจึงพ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะยึดอยู่ จึงพ้นไม่ได้


สั้นๆ แต่ได้ใจความครับ ....เยี่ยมเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อะไรบุญ...อะไรบาป..ก็รู้อยู่
อะไรสุข...อะไรทุกข์...ก็รู้
อะไรกุศล...อะไรอกุศล....ก็ทราบ
ตัวตนนี้ไม่ใช่เรา...เราไม่ใช่ตัวตน...ก็รู้
พระพุทธ...พระธรรม..พระสงฆ์...ก็ไม่สงสัย
ศีล...ก็ครบ...
มรรค 8..ก็ทำทุกวัน
ภาวนา..ก็ทำทุกเวลา

แล้วทำไมไม่พ้นทุกข์ซะที?

ข้อมูลไม่พอ...(กัลยาณมิตรท่านว่ามาอย่างนี้)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร