วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 16:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 14 ก.พ. 2013, 22:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b39:
มีสิ่งที่อยากจะให้ทุกท่านได้สังเกต พิจารณา และมองต่างมุมออกไปอีกในเรื่องของการเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก

ตอนนี้เรากำลังมองหาทางในมุมที่จะเอาความยินดียินร้ายออก แต่อีกมุมหนึ่งหรือข้างหนึ่งของความยินดียินร้าย คือ

"ผู้ยินดียินร้าย"

เราจะเอาความยินดียินร้ายออก หรือเราจะเอาผู้ยินดียินร้ายออก .....อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน?....อย่างไหนจะชะงัดกว่ากัน?

เอาความยินดียินร้ายออกต้อง ใช้ขันติ ตบะ วิริยะ อดทน จนความยินดียินร้ายดับไป

กับอีกข้างหนึ่งหรืออีกมุมมองหนึ่ง เราอาศัยความยินดียินร้ายเป็นเครื่องช่วยชี้ให้เห็นตัวผู้ยินดียินร้ายแล้วปรับเปลี่ยนประเด็นและจุดมุ่งหมายเป็นการเอา...."ผู้ยินดียินร้าย"....ซึ่งเป็นตัวเหตุที่แท้จริงออกแทนการมุ่งเอา...."ความยินดียินร้าย" ....ซึ่งน่าจะเป็น...ผล...มากกว่า....เหตุ.....ออก

ผู้ยินดียินร้าย...กับ....อัตตา....กับ...สักกายทิฏฐิ...กับ...มิจฉาทิฏฐิ.....กับ....ความเห็นผิด....เป็นอันเดียวกันเป็นเป้าหมายสำคัญของการทำมรรค 1 ให้เกิดขึ้น

ลองสร้างมุมมองใหม่หรือมองต่างมุมกันดูนะครับ

smiley


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.พ. 2013, 07:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่ยินดียินร้าย ควรปฏิบัติมรรค 2 คือ สัมมาสังกัปปะ ให้ถึงพร้อม ส่วน ผู้ที่มีความเห็นผิด ควรปฏิบัติมรรค 1 คือ สัมมาทิฏฐิให้ถึงพร้อม

ผู้ที่มีความรักต่อบุคคล หรือ ต่อสัตว์โลก หากไม่ระวัง อาจเกิดความลำเอียง กลายเป็นวิบัติของความเมตตา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 16 ก.พ. 2013, 20:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อนุโมทนากับคุณ student ครับ
:b8:
สงสัยอยู่แต่ว่า

เจริญสัมมาสังกัปปะอย่างไรจึงถอนผู้ยินดียินร้าย

เจริญสัมมาทิฏฐิอย่างไร จึงถอน ผู้เห็นผิดครับ

:b4:


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาระสำคัญ ของ "สติปัฏฐาน 4 " เพื่อดับทุกข์ เพราะ "สติปัฏฐาน 4" ก็เป็นวิธีการหรือรูปแบบแห่งการเจริญ อริยมรรค 8.

ถ้ากล่าวถึงสาระสำคัญของ สัมมาสติ ในอริยมรรค 8 ก็จะเห็นได้ใน "สติปัฏฐาน 4"
ซึ่งมีองค์ธรรม หรือเจตกสิกธรรม 3 ประการ ประกอบกับองค์ธรรมอื่นในขณะเจริญ "สติปัฏฐาน 4"
องค์ธรรมสำคัญ 3 ประการคือ
อาตาปะ 1
สัมปชัญญะ 1
สติ 1

องค์ธรรมสำคัญ 3 ตัวนี้ เป็นตัวกำหนด สัมมาสติ ใน "สติปัฏฐาน 4" หรือ อริยมรรค 8

เนื่องจากว่า
อาตาปะ เจตสิกนั้น เพ่งกำหนด เพื่อละ ความยินดี ความยินร้าย อันเกิดขึ้นหรือมากระทบจิต
สัมปชัญญะ เจตสิก นั้นทำความรู้สึกกระทบต่างๆ
สติเจตสิก ความกำหนดได้ คือกำหนดเอาจากความคิดความเห็นในการรู้ดีรู้ชั่ว การละการวางได้

องค์ธรรมสำคัญสามประการนี้ จะต้องทำงานร่วมกันเสมอ และที่สำคัญคือ องค์ธรรมสามประการนี้ต่างก็ต้องเป็นองค์ธรรม อันสืบเนื่องจาก สัมมาทิฏฐิทั้งสิ้น

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2013, 07:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b53:
:b36:
ใกล้ถึงวันมาฆะ ปุณมี
เป็นดิถี อันวิเศษ เหตุด้วยว่า
พุทธองค์ ทรงสรุปธรรมออกมา
มี 3 อย่างขึ้นหน้า ตามวาที

1.ละชั่ว 2.ทำดี นี่ธรรมพื้น
แต่ธรรมที่จะให้ตื่น จากหลับไหล
คือข้อ 3.ได้แก่การ ชำระใจ
ให้หมดใส บริสุทธิ์ พุทธิธรรม

เป็นเอกลักษณ์ พุทธศาสตร์ อันปราดเปรื่อง
ทั้งเป็นเรื่อง ที่เรา ชาวพุทธทั้งหลาย
พึงสำเหนียก จดจำ นำใส่ใจ
มีโอกาสเมื่อใด เร่งลงมือ

หยุดสามวันติดกัน จันทร์ ทิตย์ เสาร์
ทำไมเรา ไม่เอา วาร ดังว่า
มาฝึกหัด ปฏิบัติ วิปัสสนา
ฝนวิชา ชำระใจ ให้เรืองรอง

เชิญเถิดท่าน ทั้งหลาย ทั้งชายหญิง
มาลงมือปฏิบัติจริง กันทั่วหน้า
ไหนก็ได้ หรือจะไปเพิ่มวิชา
ที่พระธาตุห้วยบอน หนา ข้าขอเชิญ

:b37:


โพสต์ เมื่อ: 13 มี.ค. 2013, 22:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
สาระสำคัญ ของ "สติปัฏฐาน 4 " เพื่อดับทุกข์ เพราะ "สติปัฏฐาน 4" ก็เป็นวิธีการหรือรูปแบบแห่งการเจริญ อริยมรรค 8.

ถ้ากล่าวถึงสาระสำคัญของ สัมมาสติ ในอริยมรรค 8 ก็จะเห็นได้ใน "สติปัฏฐาน 4"
ซึ่งมีองค์ธรรม หรือเจตกสิกธรรม 3 ประการ ประกอบกับองค์ธรรมอื่นในขณะเจริญ "สติปัฏฐาน 4"
องค์ธรรมสำคัญ 3 ประการคือ
อาตาปะ 1
สัมปชัญญะ 1
สติ 1

องค์ธรรมสำคัญ 3 ตัวนี้ เป็นตัวกำหนด สัมมาสติ ใน "สติปัฏฐาน 4" หรือ อริยมรรค 8

เนื่องจากว่า
อาตาปะ เจตสิกนั้น เพ่งกำหนด เพื่อละ ความยินดี ความยินร้าย อันเกิดขึ้นหรือมากระทบจิต
สัมปชัญญะ เจตสิก นั้นทำความรู้สึกกระทบต่างๆ
สติเจตสิก ความกำหนดได้ คือกำหนดเอาจากความคิดความเห็นในการรู้ดีรู้ชั่ว การละการวางได้

องค์ธรรมสำคัญสามประการนี้ จะต้องทำงานร่วมกันเสมอ และที่สำคัญคือ องค์ธรรมสามประการนี้ต่างก็ต้องเป็นองค์ธรรม อันสืบเนื่องจาก สัมมาทิฏฐิทั้งสิ้น

:b8:
อนุโมทนาสาธุกับคุณเช่นนั้นที่มาชี้ให้เห็นอีกมุมหนึ่งของสติปัฏฐาน 4

มีเรื่องอยากติงนิดเดียวครับที่ว่า......สาระสำคัญ ของ "สติปัฏฐาน 4 " เพื่อดับทุกข์ นั้นน่าจะไม่ตรงกับองค์ธรรมที่พึงเกิดขึ้นจริงๆ เพราะ

องค์ธรรมที่พึงเกิดขึ้นจริงๆนั้น......สติปัฏฐาน 4 เป็นวิธี....."ดับเหตุทุกข์"มากกว่า.....พึงพิจารณาจากตรงประเด็นสำคัญที่ว่า......."วิเนยยะ โลเก อภิชฌาโทมนัสสัง
อันหมายความว่าเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก

จะเอาความยินดียินร้ายอันเป็นต้นเหตุให้เกิดตัณหาออกให้ได้อย่างไรต้องพิจารณากันให้ลึกซึ้งลงไปอีกว่า
อะไรทำให้เกิดความยินดียินร้าย....และใครที่เป็นผู้ยินดียินร้าย

จะเอาสิ่งที่ทำให้เกิดความยินดียินร้ายออก.....หรือควรเอาผู้ยินดียินร้ายอันน่าจะเป็นตัวเหตุที่แท้จริงออก
ถ้าเอาออกได้แล้ว ทุกข์ก็ไม่รู้จะเกิดขึ้นกับใคร

:b10:


โพสต์ เมื่อ: 13 มี.ค. 2013, 22:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:
อโสกะ..ยังเหมือนเดิม...นิด ๆ หน่อย ๆ..ไม่ค่อยยอม

:b13:


โพสต์ เมื่อ: 13 มี.ค. 2013, 22:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จะจับเอาผู้ยินดียินร้ายออก....เริ่มที่...เห็นให้ทันซะก่อน...เน๊าะ
rolleyes


โพสต์ เมื่อ: 14 มี.ค. 2013, 20:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32:
อโสกะ..ยังเหมือนเดิม...นิด ๆ หน่อย ๆ..ไม่ค่อยยอม

:b13:

:b12:
คุณกบ ก็ยังตอดนิดตอดหน่อยเหมือนเดิมเช่นกันนะครับ
:b11:
สัจจธรรมนี้ ยอมใครไม่ได้นะครับ .....เพราะเขาเป็นอยู่เช่นนั้นเอง
:b16:
คุณกบเคยรู้หรือเปล่าว่าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนสาวกให้สู้ที่เหตุ...ไม่ทรงแนะนำให้สู้ที่ผล......ลองกลับไปพิจารณาอริยสัจจ 4 ให้ละเอียดละอออีกครั้งนะครับ
:b38: :b38:
มีผู้คนจำนวนมากเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าการปฏิบัติธรรม คือการสู้และเอาชนะกิเลส ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งที่จริงแล้วเป็น ผล เป็นลูกหลานของเหตุ

ความเป็นจริงตามธรรมแล้วพระพุทธองค์ทรงสอนให้สู้ที่เหตุ คือ ผู้ให้กำเนิด กิเลส ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ อันได้แก่ มิจฉาทิฏฐิ....ความเห็นผิด...คือเห็นว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู หรือ..สักกายทิฏฐินั่นเองนี้เป็นเป้าหมายและด่านแรกที่ชาวพุทธจะต้องต่อสู้และเอาชนะให้ได้

ด่านหรือเป้าหมายที่ 2 คือ.....ความยึดผิด หรือ มานะทิฏฐิ ซึ่งก็เป็นตัวการให้เกิดกิเลส ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ ชนิดที่ละเอียดอ่อนซึ่งต้องเอาชนะให้ได้จนถึงความบริสุทธิ์ หมดจด เสร็จกิจอันพึงกระทำ

:b11:


โพสต์ เมื่อ: 14 มี.ค. 2013, 20:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำเป็นปลากันไปได้.... :b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 14 มี.ค. 2013, 21:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32:
อโสกะ..ยังเหมือนเดิม...นิด ๆ หน่อย ๆ..ไม่ค่อยยอม

:b13:

:b12:
คุณกบ ก็ยังตอดนิดตอดหน่อยเหมือนเดิมเช่นกันนะครับ
:b11:
สัจจธรรมนี้ ยอมใครไม่ได้นะครับ .....เพราะเขาเป็นอยู่เช่นนั้นเอง

ว่าจะตอดเยอะ ๆ..อยู่..แต่ขี้เกียจซะก่อน...555 :b32:
อ้างคำพูด:
:b16:
คุณกบเคยรู้หรือเปล่าว่าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนสาวกให้สู้ที่เหตุ...ไม่ทรงแนะนำให้สู้ที่ผล......

เคยรู้รึเปล่า..นะหรอ???...น้านดิ...คิดดูก่อน :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 15 มี.ค. 2013, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:
เจริญในธรรมกันทุกท่าน ^ ^

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2013, 07:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไรมากหรอกแค่ แค่ความไม่รู้นั้นเองเป็นตัวปัญหา แล้วอะไรที่ไม่รู้ ก็ไม่รู้ว่า สัพสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน บุคคลเราเขา จึงมีการเข้าไปยึดว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์บุคลเราเขา เมื่อเข้าไปยึดว่าเป็นตัวตน สัตว์บุคคลเราเขาแล้ว เมื่อมีผัสสะเข้ามากระทบ จึงเกิดเวทนาที่น่าพอใจ ไม่พอใจ ก็เลยเข้าไปยึดจนเกิดความยินดียินร้าย ในความเป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นบุคคลเราเขา นั้นเอง จนเกิดเป็นวงจรปฎิจสมุปบาทที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ถ้าเราจะออกจากวงจรนี้จำเป็นต้องเริ่มจากการศึกษาธรรมะให้เข้าใจเสียก่อน ในลายละเอียดก็ว่ากันไป

เช่นการมองเห็นถ้าเรา ยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงสี ไม่ได้มีเรื่องราวใดๆในสิ่งที่ถูกเห็น เราก็จะยังไม่เข้าใจอะไรอีกมากมาย ก็คงจะต้องศึกษากันต่อไป ก่อนที่เราจะเข้าถึงสภาวะแห่งการไม่มีอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2013, 10:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Amazing
อ้างคำพูด:
ไม่รู้ว่า สัพสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน บุคคลเราเขา จึงมีการเข้าไปยึดว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์บุคลเราเขา

:b4: :b4: :b4:
ก็แค่เข้าไปเอา......เอาปัญญาและสติ เข้าไปเอาความเห็นผิด ยึดผิดออกจากใจเสียให้ได้ ก็หมดวัฏฏะ ปฏิจจสมุปบาท
onion
อนุโมทนาครับ
:b27:


โพสต์ เมื่อ: 18 มี.ค. 2013, 00:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


คิดว่าเหตุทุกข์นั้น ดับไปแล้วครับ แต่เราไม่เห็นการดับลง เพราะอะไร เช่น สันติ คือ การสืบต่อเนื่อง ดังนั้นการเห็นการเกิดดับของนามรูปให้ทันจึงจะเกิดปัญญาขั้นต้น เพื่อเจริญขึ้นจนเห็นตามความเป็นจริงคือพระไตรลักษณ์ ไม่ว่าเหตุเกิดของธรรมจะมาจาก มหาภูตรูป 4 หรือ ปสาทรูป5 ก็ต้องน้อมลงสู่พระไตรลักษณ์หมดครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร