วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 05:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2013, 14:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5015


 ข้อมูลส่วนตัว


การเข้าถึงธรรมชาติของจิต
จะรู้กิจของจิต
เมื่อจิตรู้กิจของจิต
จิตจะเห็นแจ้งในความเป็นไปแห่งสักกายทิฐิ
ปัญญา...สักกายทิฐิ...เกิดด้วยจิตเห็นจิต
จิตเห็นจิต ...สมาธิต้องอุเบกขาต่อธรรมอันไม่ใช่จิต
...
จึงคลายความยึดมั่นในตัวตน(ในขันธ์)
...
ปัญญา คือผล...คือปัญญาอันขุดรากถอนโคน
สัมมาทิฐิตรงปลายทาง คือ ปัญญา
คือ ถึงแล้ว เห็นแล้ว รู้แล้ว ถึงซึ่งปัญญาแล้ว
...
ส่วนความรู้ตั้งต้นที่น้อมนำไปปฏิบัติ
เป็นการปฏิบัติในระดับศีล....
เป็นการน้อมนำความเชื่อที่เป็นสัมมาทิฐิเข้ามา
เพื่อเข้าสู่กระบวนการชำระมิจฉาทิฐิที่ฝังอยู่ก่อน.....

ไม่ว่าจะพยายามกล่าว
ปัญญา ศีล สมาธิ ยังไง

แต่โดยลำดับแห่งการคลายตัวของจิต
มันก็
ศีล สมาธิ ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2013, 22:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
การฟัง....การพิจารณาตามธรรมที่กำลังฟังอยู่....นี้แหละการปฏิบัติ..หรือว่า...การปฏิบัติของอโศกะต้องไปในที่ที่พิเศษ..นั้งเงียบ ๆ...อิอิ..

การฟังธรรม....การฟัง.เป็นปริยัติ
การพิจารณาตาม...เป็นปฏิบัติ
ใจที่สงบจากการระงับธรรมอันนั้นได้...เป็นปฏิเวท

จะเห็นว่าการฟังธรรมอย่างเดียว....เราได้ทำครบทั้ง 3 อย่างคือ....ได้ทึ้ง...ปริยัติ....ปฏิบัติ...และ..ปฏิเวท....

ถ้าทำเป็น...อะนะ..อิอิ

:b12: :b12: :b12:
การฟังเกิดสุตตมยปัญญา
การพิจารณาตาม เป็นจินตมยปัญญา
ความสังเกต(สังกัปปะ)เป็นภาวนามยปัญญา.....ไม่มีสมมุติบัญญัติ
ความรู้จักสภาวธรรมที่ใจโดยไม่ต้องใช้ความนึกคิด....เป็นภาวนามยปัญญา
ใจยอมรับความจริง เป็นผลของภาวนามยปัญญา
ความเห็นผิด ยึดผิดขาดสะบั้น จิตเข้าถึงอนัตตาโดยสมบูรณ์ เป็นผล เป็นปฏิเวทธรรม

ล้วนแล้วแต่เป็นงานของปัญญาแทบทั้งสิ้น....โดยมีศีลและสติ สมาธิเป็นกองหนุน

:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 00:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พูดถึง....การคลายตัวของจิตเป็นลำดับไปนี้...ก็คิดถึงการทาน

ทาน...คือ...การสละออก
การจะไปนิพพานได้...ต้องสละ..สลัดออกให้หมด

เมื่อยังยึดติดในสิ่งของว่าเป็นของเราอยู่....จึงมีทานวัตถุสิ่งของกัน

เมื่อจะเข้าโสดา..สกิทา....ก็ทาน...สักกายทิฐิ...วิจิกิจฉา...สีลัพพตปรามาส..กัน

เมื่อจะเข้าอนาคา...ก็ทาน...กามราคะ...ปฏิฆะ..ออกไป
เมื่อจะเข้าอรหัตผล..ก็ทาน...รูปราคะ...อรูปราคะ...มานะ...อุทธัจ...อวิชชา...ออก

ตัวไม่เบา...มันก็ลอยสูงไม่ได้
ทานอย่างเดียว...ก็เป็นอรหันต์ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 04:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
พูดถึง....การคลายตัวของจิตเป็นลำดับไปนี้...ก็คิดถึงการทาน

ทาน...คือ...การสละออก
การจะไปนิพพานได้...ต้องสละ..สลัดออกให้หมด

เมื่อยังยึดติดในสิ่งของว่าเป็นของเราอยู่....จึงมีทานวัตถุสิ่งของกัน

เมื่อจะเข้าโสดา..สกิทา....ก็ทาน...สักกายทิฐิ...วิจิกิจฉา...สีลัพพตปรามาส..กัน

เมื่อจะเข้าอนาคา...ก็ทาน...กามราคะ...ปฏิฆะ..ออกไป
เมื่อจะเข้าอรหัตผล..ก็ทาน...รูปราคะ...อรูปราคะ...มานะ...อุทธัจ...อวิชชา...ออก

ตัวไม่เบา...มันก็ลอยสูงไม่ได้
ทานอย่างเดียว...ก็เป็นอรหันต์ได้

เล่นเอาธรรมมาเขียนเป็นวรรณคดีแบบนี้ เหมือนกับพระกำลังร้องฉ่อยบอกบุญ
เท่ขึ้นมาหน่อยก็พวกเปรียญ กำลังขยับไม้ขยับมือแร่พหน้าจอโทรทัศน์


ใครบอกล่ะว่า ทานอย่างเดียวเป็นอรหันต์ได้
พระพุทธองค์ ไม่ได้สอนให้ทำทาน การทำทานมันมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เสียอีก
สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้นก็คือ....
การปฏิบัติจิตอย่างไรต่อทาน และผลของการปฏิบัตินั้นก็คือ .......
จะทำหรือไม่ทำ ก็ไม่ต้องไปหวังผลต่อการทำหรือไม่ทำทานนั้น
เพราะทานเป็นแค่เครื่องปรุงแต่งจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อมันตรา เขียน:
ทำไมต้องขึ้นด้วย ศีล สติ สมาธิ ปัญญา เพราะเหตุใดครับ


ทำไมต้องขึ้นด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะเหตุใด

นำมาให้ดูย่อๆพอเห็นแนวทาง :b23:


จากอริยมรรคมีองค์ 8 สู่สิกขา 3

อริยมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น สัมมาสมาธิ เป็นที่สุด ท่านจัดย่อเป็นภาคปฏิบัติ คือการใช้งาน ที่เรียกว่า ไตรสิกขา มี 3 อย่าง เรียกง่ายๆสั้นๆว่า ศีล สมาธิ ปัญญา

จัดเข้าดังนี้

-สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ (อธิศีลสิกขา เรียกสั้นๆว่า ศีล)
-สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ (อธิจิตตสิกขา เรียกสั้นๆว่า สมาธิ)
-สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ (อธิปัญญาสิกขา เรียกสั้นๆว่า ปัญญา)

ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงจัดใหม่ เพื่อให้เหมาะสำหรับคฤหัสถ์ คือชาวบ้าน แทนที่จะนำระบบของมรรคมาจัดขั้นตอนในรูปของไตรสิกขา แต่ท่านจัดใหม่เหมือนดังจะให้เป็นไตรสิกขาฉบับที่ง่ายลงมา โดยวางรูปขั้นตอนใหม่ เป็นหลักทั่วไป ที่เรียกว่าบุญกิริยา หรือบุญกิริยาวัตถุ ซึ่งมีจำนวน 3 ข้อ หรือ 3 ขั้น เท่ากับไตรสิกขานั้นเอง แต่มีหัวข้อต่างออกไปเป็น ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งสาระหรือเนื้อแท้ทั้งหมดของบุญกิริยา คือการทำบุญนั้น ก็คือการศึกษานั่นเอง

ขอให้ดูพุทธพจน์ที่แสดงหลักบุญกิริยาวัตถุ 3 ดังนี้

“ภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ 3 ประการดังนี้ ...คือ ทานมัย บุญกิริยาวัตถุ 1 ศีลมัย บุญกิริยาวัตถุ 1 ภาวนามัย บุญกิริยาวัตถุ 1...

“ (ผู้ใฝ่อัตถะนั้น) พึงศึกษาบุญนั่นเทียว อันมีผลกว้างไกล มีความสุขเป็นกำไร คือ พึงเจริญทาน 1 สมจริยา (ความประพฤติเข้ากับธรรม หรือสมตามธรรม) 1 เมตตาจิต 1 บัณฑิตเจริญธรรม 3 ประการ อันก่อให้เกิดความสุข เหล่านี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกที่เป็นสุข ไร้การเบียดเบียน”


จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักบุญกิริยาวัตถุว่ามี 3 อย่าง คืออะไรบ้างแล้ว ก็ตรัสคาถาสรุป ทรงบอกให้รู้กันว่าจะทำอะไรกับบุญกิริยาวัตถุนั้น คือ ตรัสว่า “พึงศึกษาบุญทีเดียว” ย้ำพระดำรัสเป็นคำบาลีว่า “ปุญฺญเมว โส สิกฺเขยฺย” ที่ว่าศึกษา ก็คือ ฝึกทำให้เป็นให้มีขึ้น ฝึกหัดอบรมพัฒนาให้เจริญเพิ่มพูนถนัดชำนาญยิ่งขึ้นไป ก็คือ ก้าวหน้างอกงามขึ้นไปในมรรคอย่างคล้อยตามไตรสิกขานั่นเอง…


ท่านก็สอนอธิบายหลักธรรมเหล่านี้กันเรื่อยมา ปรากฏว่า ถึงยุคอรรถกถาได้มีบุญกิริยาวัตถุเพิ่มอีก 7 ข้อ ซึ่งที่จริงก็ขยายความ และเพิ่มตัวอย่างของบุญกิริยาวัตถุแต่ละข้อออกไป เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10 คือ

1. ทานมัย ทำบุญด้วยการให้
2. ศีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีล
3. ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา
4. อปจายนมัย ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม
5. ไวยาวัจจมัย ทำบุญด้วยการขวนขวายรับใช้
6. ปัตติทานมัย ทำบุญด้วยการให้ส่วนความดีแก่ผู้อื่น
7. ปัตตานุโมทนามัย ทำบุญด้วยการยินดีการทำดีของผู้อื่น
8. ธัมมัสสวนมัย ทำบุญด้วยการฟังธรรม\
9. ธัมมเทสนามัย ทำบุญด้วยการสอนแสดงธรรม
10. ทิฏฐุกัมม์ ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง


จำง่ายๆ

ทาน ศีล ภาวนา วาจาอ่อนน้อม ถ่อมตนรับใช้ เฉลี่ยให้ความดี มีใจอนุโมทนา ใฝ่หาฟังธรรม นำไปปฏิบัติไม่เว้น ทำความเห็นให้ตรง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 17:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L
อ้างคำพูด:
อริยมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น สัมมาสมาธิ เป็นที่สุด ท่านจัดย่อเป็นภาคปฏิบัติ คือการใช้งาน ที่เรียกว่า ไตรสิกขา มี 3 อย่าง เรียกง่ายๆสั้นๆว่า ศีล สมาธิ ปัญญา

จัดเข้าดังนี้

-สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ (อธิศีลสิกขา เรียกสั้นๆว่า ศีล)
-สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ (อธิจิตตสิกขา เรียกสั้นๆว่า สมาธิ)
-สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ (อธิปัญญาสิกขา เรียกสั้นๆว่า ปัญญา)


Onion_R Onion_R
นี่คือลักษณะของสัทธัมปฏิรูป....โดยไม่รู้ตัว......
:b7:
จะกล่าวถึงมรรค 8 ในที่ใด ท่านก็กล่าว สัมมาทิฏฐิ ปัญญามรรคขึ้นหน้า แแล้วตามมาด้วยสัมมาสังกัปปะ...ศีลมรรค.....สมาธิมรรค.......สรุปว่า....ปัญญา...ศีล....สมาธิ
:b16:
สมัยนี้มีคนที่เก่งกว่ามาเรียงมรรค 8 เสียใหม่ตามใจ ตามความเห็นของตน ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
:b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

อ้างคำพูด:
อริยมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น สัมมาสมาธิ เป็นที่สุด ท่านจัดย่อเป็นภาคปฏิบัติ คือการใช้งาน ที่เรียกว่า ไตรสิกขา มี 3 อย่าง เรียกง่ายๆสั้นๆว่า ศีล สมาธิ ปัญญา

จัดเข้าดังนี้

-สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ (อธิศีลสิกขา เรียกสั้นๆว่า ศีล)
-สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ (อธิจิตตสิกขา เรียกสั้นๆว่า สมาธิ)
-สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ (อธิปัญญาสิกขา เรียกสั้นๆว่า ปัญญา)


Onion_R Onion_R
นี่คือลักษณะของสัทธัมปฏิรูป....โดยไม่รู้ตัว......
:b7:
จะกล่าวถึงมรรค 8 ในที่ใด ท่านก็กล่าว สัมมาทิฏฐิ ปัญญามรรคขึ้นหน้า แแล้วตามมาด้วยสัมมาสังกัปปะ...ศีลมรรค.....สมาธิมรรค.......สรุปว่า....ปัญญา...ศีล....สมาธิ
:b16:
สมัยนี้มีคนที่เก่งกว่ามาเรียงมรรค 8 เสียใหม่ตามใจ ตามความเห็นของตน ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
:b14:


ดีแล้วครับ ที่ทักท้วง :b1: จะได้ว่ากันให้จบกระบวนธรรม ไม่ก็ค้างๆคาๆ เหมือนคนฉี่ไม่สุด :b15: :b32:

แต่เบื้องต้นนี้ขอให้คุณ asoka จัดลำดับมรรคเข้าในไตรสิกขาแต่ละอย่างๆให้ดูก่อน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ อโศกคงเห็นติดตามาแบบนั้นแบบเดียวจึงกล่าวอย่างนั้น เพราะฉะนั้น กรัชกายจะนำมาให้พิณาทั้งสองแบบ สังเกตดูนะครับ :b1:


เพื่อให้มองเห็นเป็นหมวดหมู่ อันจะช่วยเสริมความเข้าใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ท่านจัดองค์ประกอบทั้ง 8 ของมรรคเข้าเป็นประเภทๆ เรียกว่า ขันธ์ หรือ ธรรมขันธ์ แปลว่า หมวดธรรม หรือกองธรรม มี 3 ขันธ์ หรือ 3 ธรรมขันธ์ ข้อ 1-2 เป็นปัญญาขันธ์ ข้อ 3-5 เป็นศีลขันธ์ ข้อ 6-8 เป็นสมาธิขันธ์
ดังนี้

ปัญญาขันธ์
1. สัมมาทิฏฐิ
2. สัมมาสังกัปปะ

ศีลขันธ์
3. สัมมาวาจา
4. สัมมากัมมันตะ
5. สัมมาอาชีวะ

สมาธิขันธ์
6. สัมมาวายามะ
7. สัมมาสติ
8. สัมมาสมาธิ

นี่เป็นการจัดหมวดหมู่ตามสภาวะที่เป็นธรรมประเภทเดียวกัน เรียกชื่อเต็มว่า ธรรมขันธ์ 3 (ในจำนวนทั้งหมด 5)



ส่วนในทางปฏิบัติ คือการใช้งาน ก็จัดตามแนวเดียวกันนี้ แต่เรียกชื่อว่า สิกขา 3 หรือ ไตรสิกขา มีชื่อแยกต่างไปเล็กน้อยเป็น อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา

ทั้งสองชุดนี้ ก็เรียกกันง่ายๆสั้นๆว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนกัน (ถือคร่าวๆว่า อธิศีล ก็คือศีล อธิจิตต์ ก็คือสมาธิ และอธิปัญญา ก็คือปัญญา) ชุดนี้ก็ตามที่จัดแล้วก่อนหน้า


การจัดแบบธรรมขันธ์ 3 นั้น มุ่งเพียงให้เห็นองค์ธรรมเป็นหมวดหมู่ตามประเภท

แต่การจัดเป็นไตรสิกขา มุ่งให้เห็นลำดับในกระบวนการปฏิบัติ หรือใช้งานจริง


คำว่า ไตรสิกขา แปลว่า สิกขา 3 คำว่า สิกขา แปลว่า การศึกษา การสำเหนียก การฝึก ฝึกหัด ผึกปรือ ฝึกอบรม ได้แก่ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักสำหรับฝึกอบรมพัฒนากาย วาจา จิตใจ และปัญญา ให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไปจนบรรลุจุดหมายสูงสุด คือ ความหลุดพ้น หรือนิพพาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิกขา 3 มีความหมายคร่าวๆดังนี้

1. อธิศีลสิกขา การฝึกศึกษาในด้านความประพฤติ ระเบียบวินัย ให้มีสุจริตทาง กาย วาจา และอาชีวะ

2. อธิจิตตสิกขา การฝึกศึกษาทางจิตใจ พัฒนาคุณธรรม สร้างความสุข เสริมคุณภาพจิต และรู้จักใช้ความสามารถในกระบวนสมาธิ

3. อธิปัญญาสิกขา การฝึกศึกษาทางปัญญาอย่างสูง ทำให้เกิดความรู้แจ้งที่สามารถชำระจิตให้บริสุทธิ์หลุดพ้นโดยสมบูรณ์ เป็นอิสระไร้ทุกข์สิ้นเชิง

นี้เป็นความหมายอย่างคร่าวๆ ถ้าจะให้สมบูรณ์ ก็ต้องให้ความหมายเชื่อโยงถึงความมุ่งหมายด้วย โดยเติมข้อความแสดงลักษณะที่สัมพันธ์กับจุดหมายต่อท้ายสิกขาทุกข้อ ได้ความตามลำดับว่า ไตรสิกขา คือ การฝึกปรือความประพฤติ การฝึกปรือจิต และฝึกปรือปัญญา ชนิดที่ทำให้แก้ปัญหาของมนุษย์ได้ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ นำไปสู่ความสุข และความเป็นอิสระแท้จริง

เมื่อความหมายแสดงความมุ่งหมายได้ชัดเจนแล้ว ก็จะทำให้มองเห็นสาระของไตรสิกขาแต่ละข้อดังนี้

สาระของอธิศีล คือ การดำรงตนอยู่ด้วยดี มีชีวิตที่เกื้อกุล ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ตนมีส่วนช่วยสร้างสรรค์รักษา ให้เอื้ออำนวยแก่การมีชีวิตที่ดีงามร่วมกัน เป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการพัฒนาคุณภาพจิตและการเจริญปัญญา

สาระของอธิจิตต์ คือ การพัฒนาคุณภาพจิต หรือการปรับปรุงจิตให้มีคุณภาพและสมรรถภาพสูง ซึ่งเอื้อแก่การมีชีวิตที่ดีงาม และพร้อมที่จะใช้งานทางปัญญาอย่างได้ผลดีที่สุด

สาระของอธิปัญญา คือ การมองดูรู้จักและเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง หรือรู้เท่าทันธรรมดาของสังขารธรรมทั้งหลาย ที่ทำให้เป็นอยู่และทำการต่างๆ ด้วยปัญญา คือรู้จักวางใจวางท่าทีและปฏิบัติต่อโลก และชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะพอดี ในทางที่เป็นไปเพื่อแผ่ขยายประโยชน์สุข มีจิตใจผ่องใส ไร้ทุกข์ และสดชื่นเบิกบาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2013, 07:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้เห็นสาระของศีล สมาธิ ปัญญา กว้างขึ้น ขอลงต่ออีกหน่อย แล้วก็พึงสังเกตความหมายของ ศีล กับ วินัยด้วย


สาระของไตรสิกขา เริ่มด้วย อธิศีล อันแสดงตัวออกมา ไม่เฉพาะที่การปฏิบัติของบุคคลเท่านั้น แต่ส่องถึง หรือเรียกร้องภารกิจที่มนุษย์จะต้องจัดทำในระดับชุมชน และสังคมด้วย กล่าวคือ การจัดวางระบบแบบแผน จัดตั้งสถาบันและกิจการต่างๆ จัดแจงกิจกรรมและดำเนินวิธีการต่างๆ โดยมีวินัยเป็นฐานของระบบที่เชื่อมโยงเข้าสู่ศีล เพื่อให้สาระของไตรสิกขาเป็นไปในหมู่มนุษย์ หรือให้มนุษย์ ดำรงอยู่ในสาระของไตรสิกขา


โดยนัยนี้ เมื่อพูดถึงศีลในความหมายคลุมๆ โดยให้รวมทั้งวินัยด้วย ศีลก็จึงกินความถึงการจัดสรรสภาพแวดล้อมทั้งทางวัตถุ และสังคม ที่ปิดกันโอกาสในการทำชั่ว และส่งเสริมโอกาสในการทำความดี เฉพาะอย่างยิ่งการจัดระเบียบชีวิต จัดระบบสังคม และจัดการกิจกรรมกิจการ โดยจัดตั้งชุมชน องค์กร หรือสถาบัน วางระบบ กำหนดโครงสร้าง ตราหลักเกณฑ์ กฎบังคับ บทบัญญัติต่างๆ เพื่อควบคุมความประพฤติของบุคคล จัดกิจการของส่วนรวม ส่งเสริมความอยู่ร่วมกันด้วยดี ซึ่งดังที่กล่าวแล้ว มุ่งปิดกั้นช่องทางทำกรรมชั่ว และเปิดขยายโอกาสสำหรับทำความดี เรียกด้วยคำศัพท์ที่ตรงแท้ทางพระศาสนาว่า วินัย


ถ้าพูดอย่างเคร่งครัดแยกกันให้ชัด การจัดตั้งวางระบบ ที่เรียกว่า “วินัย” นี้ เป็นการจัดเตรียมการที่จะทำให้คนมีศีล หรือเป็นเครื่องมือฝึกคนให้มีศีล ยังไม่ใช่เป็นตัวศีลแท้ แต่เพราะเหตุที่ว่า เมื่อมองในแง่ของการศึกษา หรือการฝึกคน วินัยนั้นก็พ่วงมากับศีล เป็นฐานของศีล เมื่อพูดคลุมๆ ก็เลยเรียกรวมๆไปในศีลด้วย


วินัยนี้ พึงจัดวางขึ้นให้เหมาะกับความมุ่งหมายของชุมชน หรือสังคมระดับนั้นๆ เช่น วินัย ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสำหรับสังฆะ ทั้งภิกษุและภิกษุณีสงฆ์ มีข้อกำหนดเกี่ยวกับความประพฤติส่วนตัวของภิกษุและภิกษุณีแต่ละรูป กับทั้งข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดระบบความเป็นอยู่ของชุมชน การปกครอง การสอบสวนพิจารณาคดี การลงโทษ วิธีแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ ระเบียบและวิธีดำเนินการประชุม ตลอดกระทั่งระเบียบปฏิบัติและมรรยาทต่างๆ ในการต้อนรับแขก ในการไปเป็นอาคันตุกะ และในการใช้สาธารณสมบัติเป็นต้น

มองนอกสังฆะออกไป ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำหลักการกว้างๆ ไว้สำหรับผู้ปกครองบ้านเมืองจะพึงนำไปกำหนดรายละเอียดวิธีปฏิบัติต่อสังคมวงกว้างระดับประเทศชาติ เช่น ทรงสอนหลักที่เรียกว่า จักรวรรดิวัตร ให้พระเจ้าจักรพรรดิจัดการคุ้มครองป้องกันอันชอบธรรมให้เหมาะสมกับประชาชนแต่ละจำพวกแต่ละประเภท ให้วางวิธีการป้องกันแก้ไขปราบปรามมิให้มีการอันอธรรมหรือความชั่วร้ายเดือดร้อนขึ้นในแผ่นดิน ให้หาทางจัดแบ่งปันรายได้หรือเฉลี่ยทุนทรัพย์มิให้มีคนขัดสนยากไร้ในแผ่นดิน เป็นต้น


วินัยที่จะสร้างเสริมศีล สำหรับสังคมวงกว้างนี้ ถ้าจะพูดตามภาษาปัจจุบัน ก็คือ ระบบการปกครอง ทั้งบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ระบบเศรษฐกิจ ระเบียบแบบแผนทางขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมตลอดถึงระบบการทางสังคมอย่างอื่นๆ รวมทั้งส่วนปลีกย่อยที่สำคัญ เช่น วิธีอำนวยหรือไม่อำนวยโอกาสเกี่ยวกับแหล่งเริงรมย์ สถานอบายมุข สิ่งเสพติด การประกอบอาชญากรรมต่างๆ และมาตรการเกี่ยวกับการงานอาชีพ เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2013, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อธิจิตต์ หรือสมาธิ ว่าโดยระดับสูงสุด หรือเต็มรูป ก็ได้แก่ สมถวิธี หรือ วิธีบำเพ็ญกรรมฐาน (ฝ่ายสมถะ) แบบต่างๆ ดังที่ปรากฏเป็นแบบแผนในชั้นอรรถกถา แล้วขยายและตัดแปลงต่อๆกันมา แต่เมื่อมองอย่างกว้างๆ ให้คลุมไปทุกระดับ ก็ย่อมกินความถึงวิธีการ และอุปกรณ์ทั้งหลาย ที่จะช่วยชักจูงจิตใจของคนให้สงบ ให้มีจิตใจยึดมั่นและมั่นคงในคุณธรรม เร้าใจให้ฝักใฝ่ และมีวิริยะอุตสาหะในการสร้างความดีงามยิ่งขึ้นไป


มองกว้างออกไป เหมือนมองศีลคลุมถึงวินัย อธิจิตตสิกขา ก็คลุมลงไปถึงการจัดระบบกัลยาณมิตรและจัดสรรสัปปายะทั้ง 7 ประการ รวมทั้งอุบายวิธีต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมคุณภาพจิตของคน ให้คนพร้อมที่จะก้าวไปทางของการเจริญสมาธิ และที่จะพัฒนาจิตใจยิ่งขึ้นไป เช่น การมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันสงบร่มรื่น ชักจูงความคดในทางที่ดีงาม สร้างบรรยากาศในสถานที่อยู่อาศัย ในที่ทำงาน สถานประกอบอาชีพ เป็นต้น ให้สดชื่นแจ่มใส ประกอบด้วยเมตตา กรุณา ชวนให้อยากทำแต่ความดี และทำให้มีคุณภาพจิตประณีตยิ่งขึ้น กิจกรรมต่างๆ ที่ปลุกเร้าคุณธรรม การส่งเสริมกำลังใจในการทำความดี ความมีอุดมคติ และการฝึกจิตใจให้เข็มแข็งหนักแน่นมั่นคงมีสมรรถภาพสูง



อธิปัญญา ว่าโดยรูปศัพท์ที่เคร่งครัด ก็คือ วิปัสสนาภาวนา ซึ่งมีวิวัฒนาการในด้านวิธีฝึกปฏิบัติจนเป็นแบบแผนทำนองเดียวกับสมถวิธี แต่เมื่อมองให้กว้างตามสาระและความมุ่งหมาย เรืองของปัญญา ก็ได้แก่ กิจการฝึกปรือพัฒนาความรู้ความคิด ซึ่งเรียกกันว่าการศึกษาเล่าเรียนทั้งหมด ที่อาศัยกัลยาณมิตร โดยเฉพาะครูอาจารย์ มาช่วยถ่ายทอดสุตะ (ความรู้แบบรับถ่ายทอด หรือแบบเล่าเรียนสดับฟัง) และความจัดเจนในศิลปวิทยาต่างๆ เริ่มแต่วิชาชีพ (เรื่องระดับศีล) เป็นต้นไป

แต่การที่จะเป็นอธิปัญญาได้นั้น เพียงความรู้ความจัดเจนในวิชาชีพและวิทยาการต่างๆ หาเพียงพอไม่ ผู้สอนพึงเป็นกัลยาณมิตร ที่สามารถสร้างศรัทธา และสามารถชี้แนะให้ผู้เรียนเป็นคนรู้จักคิดเองได้ อย่างน้อยทำให้เขามีความเห็นชอบตามคลองธรรม และถ้าสามารถทำได้ยิ่งกว่านั้น ก็ให้เขารู้จักมองโลกและชีวิตอย่างรู้เท่าทันความจริง ที่จะให้วางใจ วางท่าที มีความสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา เป็นผู้มีการศึกษาชนิดที่ขัดเกลากิเลสและแก้ทุกข์ได้ สามารถทำประโยชน์แก่ผู้อื่น พร้อมกับที่ตนเองมีจิตใจเป็นสุข


การฝึกฝนอบรมในข้อนี้ ตามปกติเป็นภารกิจของสถานศึกษาต่างๆ ธรรมดาสถานศึกษาทั้งหลายนั้น ย่อมสมควรเกื้อหนุนให้บุคคลฝึกปรือพัฒนาครบทั้ง 3 ระดับ คือ ทั้งศีล สมาธิ และปัญญา มิใช่มุ่งแต่ปัญญาอย่างเดียว ทั้งนี้โดยเหตุผลว่า อธิปัญญาเป็นการศึกษาขั้นสูงสุด ซึ่งจะสำเร็จได้ด้วยดี ต้องอาศัยการศึกษา 2 ระดับแรกเป็นพื้นฐาน และยิ่งกว่านั้น การศึกษาและการฝึกปรือ 3 ขั้นนี้ มีองค์ประกอบที่เป็นปัจจัยส่งเสริมกันและกัน เมื่อพัฒนาครบทั้ง 3 ขั้น จึงจะก้าวถึงอธิปัญญาได้จริง และเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์


ลำดับขั้นตอนของการส่งผลต่อกันในการฝึกอบรม หรือปฏิบัติตามไตรสิกขา อย่างพื้นๆ ขั้นต้นๆ พอจะมองเห็นได้ง่ายๆ ก็เช่นว่า เมื่ออยู่ร่วมกันในหมู่หรือในสังคมโดยสงบเรียบร้อย ไม่ต้องคอยหวาดระแวง หรือสะดุ้งสะท้านหวั่นไหว ใจก็สงบสบาย เมื่อใจสงบสบาย ก็พอจะใช้ความคิดพิจารณาทำความเข้าใจอะไรๆ ได้

หรือเมื่อไม่ได้ทำความผิดอะไร ก็มีความมั่นใจในตนเอง จิตใจก็แน่วแน่ เมื่อจิตใจแน่วแน่ ก็คิดอะไรๆได้อย่างจริงจัง ความคิดก็พุ่งแล่นได้ผล

หรือเมื่อประพฤติดี เช่นเอื้อเฟื้อช่วยเหลือใครมา ใจก็ปลาบปลื้มปีติมีความสุข หรือปลอดโปรงผ่องใส เมือใจโปร่ง ความคิดก็โล่งและฉับไว

หรือเมื่อไม่ได้มีเรื่องราวเบียดเบียนเป็นเวรภัยกับใคร ใจก็ไม่ขุ่นมัว ไม่กระทบกระแทกติดขัด เมื่อใจไม่ขุ่นมัวไม่มีแง่มีงอน จะพิจารณาเรื่องราวอะไร ก็มองเห็นชัดถูกต้อง ไม่เขวไม่ลำเอียง ดังนี้เป็นต้น จากพื้นฐานที่พร้อมดีอย่างนี้ จึงพัฒนาประณีตสูงขึ้นไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2013, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: กรัชกาย

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2013, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 10:10
โพสต์: 104

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

อ้างคำพูด:
อริยมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น สัมมาสมาธิ เป็นที่สุด ท่านจัดย่อเป็นภาคปฏิบัติ คือการใช้งาน ที่เรียกว่า ไตรสิกขา มี 3 อย่าง เรียกง่ายๆสั้นๆว่า ศีล สมาธิ ปัญญา

จัดเข้าดังนี้

-สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ (อธิศีลสิกขา เรียกสั้นๆว่า ศีล)
-สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ (อธิจิตตสิกขา เรียกสั้นๆว่า สมาธิ)
-สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ (อธิปัญญาสิกขา เรียกสั้นๆว่า ปัญญา)


Onion_R Onion_R
นี่คือลักษณะของสัทธัมปฏิรูป....โดยไม่รู้ตัว......
:b7:
จะกล่าวถึงมรรค 8 ในที่ใด ท่านก็กล่าว สัมมาทิฏฐิ ปัญญามรรคขึ้นหน้า แแล้วตามมาด้วยสัมมาสังกัปปะ...ศีลมรรค.....สมาธิมรรค.......สรุปว่า....ปัญญา...ศีล....สมาธิ
:b16:
สมัยนี้มีคนที่เก่งกว่ามาเรียงมรรค 8 เสียใหม่ตามใจ ตามความเห็นของตน ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
:b14:


แล้วปฏิบัติแบบไหนจึงจะถูกต้องแท้ ศีลขึ้นก่อนหรือเอาปัญญาขึ้นก่อนคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2013, 20:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่า...อย่างไปซีเรียตมากนัก...อะไรทำได้ก็ทำไปก่อน...ถ้าทำได้ย่อมไม่ผิดทางแน่ครับผม..

คนจะมีศีลได้..ถือศีลครบ...ถ้าไม่มีปัญญาเลยนี้ผมว่า..ก็ทำไม่ได้นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2013, 20:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ท่านกรัชกายตอบและอธิบายเสียยาวยืดเลยนะครับ

ท่านคงลืมสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้า คือโอวาทปาติโมกข์ๆ 3 ข้อคือ

1.ละชั่ว....ศีล

2.ทำแต่ความดี....ตามบุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง ...ทาน...ศีล...ภาวนา....มีสมาธิเป็นเบื้องท้าย

3.ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ.....ด้วยปัญญา

ทาน...ศีล...ภาวนา...สมาธิ อยู่ในโอวาทปาติโมกข์ 2 ข้อแรก

.ปัญญา...ศีล......สมาธิ.....เป็นเรื่องของโอวาทปาติโมกข์ข้อที่ 3

ถ้าคิดว่าชีวิตนี้เริ่มจาก ศูนย์.....ก็ต้อง..ศีล...สมาธิ....ปัญญา

แต่ถ้ารู้ว่าชีวิตชาตินี้เป็นการมาต่อยอดกุศลจากอดีตชาติ...ก็จงมาเริ่มต้นเจริญมรรค 8 คือ

ปัญญา....ศีล....สมาธิ

:b20: :b11:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร