วันเวลาปัจจุบัน 07 ส.ค. 2025, 10:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 21 พ.ค. 2013, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

หลวงพ่อสรุปให้ฟังว่า "รู้ถูกต้อง สำคัญที่สุด"




จริงของหลวงพ่อที่ว่า "รู้ถูกต้องสำคัญที่สุด" นี่เป็นสัมมา- แต่ถ้ารู้ผิดๆมา :b32: ก็เป็นมิจฉา- รู้ผิดก็สำคัญเหมือนกัน ถ้ารู้ตัวว่าผิดเป็นมิจฉาแล้วกลับตัวได้ ก็ยังพอจะเห็นแสงสว่างทางธรรม บลาๆๆ

หลวงพ่อชื่ออะไรครับคุณอโศก :b10: กรัชกายจะได้ไปกราบนมัสการสนทนาธรรมกับท่านบ้าง

:b8:
หลวงพ่อธี ถ้ำวัวอนัตตาราม เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ครับ
:b8:

ไปเมื่อไหร่อย่าลืมชวนคุนน้องด้วยนะเจ้าค่ะ คุนน้องอยากไปนั่งฟังพี่กรัชกายสนทนาธรรมกับหลวงพ่อธี :b20:
คงเป็นบุญวาสนาของคุนน้องแน่ๆเลย :b18:


โพสต์ เมื่อ: 22 พ.ค. 2013, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
อมันตรา เขียน:
ทำไมต้องขึ้นด้วย ศีล สติ สมาธิ ปัญญา เพราะเหตุใดครับ

...ก็แล้วทำไมเราจะต้องไปยึดติดที่ความคิดว่าการเรียงลำดับสำคัญที่สุดตามที่เขียนด้วยล่ะ...
...ในเมื่อชีวิตที่เกิดตายมานับภพชาติไม่ได้มานานไม่กี่อสงไขยก็ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้...
...บางคนอาจคิดว่าการปฏิบัติต้องเรียงลำดับตามตำรา ตามรูปแบบ ตามทฤษฏี ตามครู...
...ซึ่งแนวทางที่องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงคือการใช้หลักกาลามสูตรสิบ...
...บางคนไม่ได้เริ่มมาจากการศึกษาประวัติพระพุทธเจ้าเลยแต่นั่งสมาธิไปแล้วสงบจริงก็มี...
...แล้วค่อยมาศึกษาในรายละเอียดเพิ่มเติม...มีเยอะในลานธรรมแห่งนี้...
...ไม่เคยได้ยินเลยหรือที่ครูบาอาจารย์พระสงฆ์บางรูปไม่รู้หนังสือ...
...เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก แต่ฟังเทศน์แล้วก็เอาไปลงมือทำเลย...
...บรรลุธรรมได้ระดับพระอรหันต์ ทำจริงก็ต้องได้รู้จริง นี่ล่ะปัญญา...
:b20: :b8:
:b39:


โพสต์ เมื่อ: 22 พ.ค. 2013, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...สำหรับความคิดเห็นที่ข้าพเจ้ามีต่อหลักในการปฏิบัติก็คือต้องเลือกใช้สติเป็นลำดับแรก...
...การทำโดยไม่มีสตินี่...เคยเห็นตัวอย่างคนบ้าที่เดินอยู่ข้างถนนไหมคะ...นั่นล่ะขาดสติ...
...เพราะคนเหล่านั้นอยู่ในอัตภาพที่ทำไปตามสัญชาตญาณโดยที่ไม่มีการกำหนด ไร้สำนึก...
...เป็นไปตามวิบากกรรมที่ทำมา ก็จะทำแบบเดิมซ้ำๆ คิดเสริมเติมแต่งกิเลสได้ไม่มากมาย...
...สามัญชนนี่สิ เวลาคิดโกง คิดลักขโมย ตั้งใจทำทั้งนั้นแหละ มาจากการคิดที่จงใจนี่มีสติ...
...เวลาไปรับผลของกรรมก็ขึ้นอยู่กับความจงใจ ก็คือการกำหนดการกระทำ มีสตินี่กำกับแน่ๆ...
...เวลาจะปฏิบัติธรรมเนี่ย เช่น ถ้าไม่กำหนดทั้งการคิด พูด ทำ ในการสวดมนต์ มันก็แว๊บแล้ว...
...ถูกของเจ้าของกระทู้เลยทีเดียวในการปฏิบัติจริง ก็คือจะต้องมีสติรู้เมื่อเกิดศีล สมาธิ ปัญญา...
...ถ้าไม่กำหนดสติก็ไม่รู้เลยว่ากาย วาจา จิตใจของตัวเองนี้เป็นไปในศีล สมาธิ ปัญญาระดับใด...
:b12:
...จริงอะป่าวล่ะ...
:b43: :b43:
:b42:


โพสต์ เมื่อ: 22 พ.ค. 2013, 22:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สติ....ผมเห็นด้วย..แต่ตอนนี้ผมกะลังมีปัญหาว่า...ถ้าผมอยากบอกใครสักคนให้มีสติ....ผมจะแนะนำให้เขาฝึกสติ...ยังงัย?


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 10:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 13:22
โพสต์: 79


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้ฝังเทปหลวงปู่ชา ท่านบอกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เปรียบเหมือนไม้ท่อนเดียวกัน จะยกด้านศีลขึ้นมา สมาธิและปัญญาก็ติดมาด้วย จะยกด้านปัญญา สมาธิกีบศีลก็ติดมาด้วย หรือจะยกตรงกลาง คือสมาธิ ศีลกับปัญญาก็ติดมาด้วย ท่านว่า แยกกันออกเป็นท่อนๆไม่ได้ ลองหาฟังเทปท่านอบรมธรรมดูนะครับ


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


อมันตรา เขียน:
ผมได้ฝังเทปหลวงปู่ชา ท่านบอกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เปรียบเหมือนไม้ท่อนเดียวกัน จะยกด้านศีลขึ้นมา สมาธิและปัญญาก็ติดมาด้วย จะยกด้านปัญญา สมาธิกีบศีลก็ติดมาด้วย หรือจะยกตรงกลาง คือสมาธิ ศีลกับปัญญาก็ติดมาด้วย ท่านว่า แยกกันออกเป็นท่อนๆไม่ได้ ลองหาฟังเทปท่านอบรมธรรมดูนะครับ


:b8:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 21:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
ลองพิจารณากันให้ดีว่า

ปัญญา....ศีล.....สมาธิ....เป็นมาอย่างไร?

จากหลวงพ่อรูปหนึ่งท่านกล่าวไว้เป็นลำดับของเหตุและผลว่า

1.พบบัณฑิต หรือกัลยาณมิตร...จึงได้...รู้...ถูกต้อง

2.รู้ถูกต้อง ทำให้ เห็นถูกต้อง...สัมมาทิฏฐิโดยทฤษฎี

3.เห็นถูกต้อง เป็นเหตุให้ คิดถูกต้อง...สัมมาสังกัปปะ โดยทฤษฎี

4.คิดถูกต้อง เป็นเหตุให้ ทำถูกต้อง...สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

5.ทำถูกต้อง เป็นเหตุให้ได้รับผลที่ถูกต้อง...สัมมาทิฏฐิโดยภาคปฏิบัติ...อัตตาตาย...นิโรธเกิด

6.ได้รับผลที่ถูกต้อง เป็นเหตุให้กลายเป็นคนที่ถูกต้อง...บัณฑิต นักปราชญ์ กัลยาณมิตร...พุทธะ

7.เป็นคนถูกต้อง เป็นเหตุให้ พูด สอน และถ่ายทอดแต่สิ่งที่ถูกต้อง...สืบๆต่อกันมา

หลวงพ่อสรุปให้ฟังว่า

"รู้ถูกต้อง สำคัญที่สุด"
:b20: :b11:


แล้ว "รู้ถูกต้อง" กับ "ปัญญา" นี่คือตัวเดียวกันหรือ ...

:b48: :b48: :b48:

แล้วหลวงพ่อพูดด้วยรึเปล่าว่าที่ถูกต้องคือ "ปัญญา ศีล สมาธิ"

.... ที่ว่ากันมา "ศีล สมาธิ ปัญญา" นั้น เป็นการสอนกันมาผิด

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 26 พ.ค. 2013, 13:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 21:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อธี อาจจะอธิบายถูกในแง่ที่ท่านตีความมาสอน ...

:b48: :b48: :b48:

แต่ในแง่ที่เหล่าพระอริยะสมัยพุทธกาลสังคยนาสืบต่อกันมา
ไม่มีการสังคยานาใดตีความไปเป็นเช่นอย่างนั้น ...
ท่านกล่าวถึง มรรค ตาม มรรค
และ
ท่านก็กล่าว "ไตรสิกขา" ตาม ไตรสิกขา

...

ซึ่งท่าน อโศก หยิบประเด็นนี้ขึ้นมา
เพื่อจะบอกว่า หลวงพ่อตีความได้ชัดเจนกว่า...ถูกต้องที่สุดกว่า...ใช่ป่าว

:b1: :b1: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2013, 09:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาที่เป็น "ความรู้"
กับ
ปัญญาที่เป็น "การรู้แจ้ง/เห็นแจ้ง"
เป็น "ผัสสะ" คนละอย่างกัน

:b1:


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2013, 11:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาตปฏิสัมภิทาสูตรที่ ๒

[๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ
ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปฏิสัมภิทา ๔ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ ธรรม ๗
ประการเป็นไฉน คือ สารีบุตรในธรรมวินัยนี้ เมื่อจิตหดหู่ ย่อมรู้ชัดตาม
เป็นจริงว่า จิตของเราหดหู่ จิตท้อแท้ในภายใน ก็รู้ชัดตามเป็นจริงว่า
จิตของเราท้อแท้ในภายใน หรือจิตที่ฟุ้งซ่านไปภายนอก ก็รู้ชัดตามเป็นจริงว่า
จิตของเราฟุ้งซ่านไปภายนอก เวทนาย่อมเกิดขึ้น ย่อมปรากฏ ย่อมถึงการตั้งอยู่
ไม่ได้ สารีบุตรทราบแล้ว สัญญาย่อมเกิดขึ้น ย่อมปรากฏ ย่อมถึงการตั้งอยู่
ไม่ได้ สารีบุตรทราบแล้ว วิตกย่อมเกิดขึ้น ย่อมปรากฏ ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้
สารีบุตรทราบแล้ว จิตในธรรมเป็นที่สบาย ไม่สบาย เลว ประณีต ดำ ขาว
และเป็นปฏิภาคกัน อันสารีบุตรเรียนดีแล้ว มนสิการดีแล้ว ทรงไว้ดีแล้ว
แทงตลอดดีแล้ว ด้วยปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรผู้ประกอบด้วยธรรม
๗ ประการนี้แล ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปฏิสัมภิทา ๔ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
เข้าถึงอยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๘


:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2013, 12:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

๓. มหาเวทัลลสูตร
การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ
[๔๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก-
*เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นเวลาเย็น ท่านพระมหาโกฏฐิกะออกจากที่หลีกเร้นแล้ว
จึงเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ทักทายปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการทักทาย
ปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
เรื่องปัญญากับวิญญาณ

[๔๙๔] ท่านพระมหาโกฏฐิกะครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงถามท่านพระสารีบุตรว่าดูกร
ท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทรามๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึง
ตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทราม?

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ท่านผู้มีอายุ บุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค
จึงตรัสว่า เป็นบุคคลมีปัญญาทราม ไม่รู้ชัดอะไร ไม่รู้ชัดว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ
นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทราม.

ท่านพระมหาโกฏฐิกะ ยินดี อนุโมทนาภาษิต ของท่านพระสารีบุตรว่า ถูกละ ท่านผู้มี
อายุ ดังนี้แล้ว ได้ถามปัญหาต่อไปว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาๆ
ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงตรัสว่าบุคคลมีปัญญา?

สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ บุคคลรู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เป็นบุคคล
มีปัญญา รู้ชัดอะไร รู้ชัดว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เพราะ
ฉะนั้น จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญา.


ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า วิญญาณๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ
จึงตรัสว่า วิญญาณ?

สา. ธรรมชาติที่รู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่าวิญญาณ รู้แจ้งอะไร
รู้แจ้งว่า นี้สุข นี้ทุกข์ นี้มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ธรรมชาติย่อมรู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า
วิญญาณ.


ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน หรือแยกจากกันท่านผู้มีอายุ
อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่?

สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่อาจแยก
ออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณ
รู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๒ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่
อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.


ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน แต่มีกิจที่จะพึง
ทำต่างกันบ้างหรือไม่?

สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน แต่ปัญญาควร
เจริญ วิญญาณควรกำหนดรู้ นี่เป็นกิจที่จะพึงทำต่างกันแห่งธรรม ๒ ประการนี้.

เรื่องเวทนาสัญญาและวิญญาณ

[๔๙๕] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เวทนาๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไร
หนอ จึงตรัสว่า เวทนา?

สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ ธรรมชาติที่รู้ๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เวทนา
รู้อะไร รู้สุขบ้าง รู้ทุกข์บ้าง รู้สิ่งที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง ธรรมชาติย่อมรู้ๆ ฉะนั้น จึงตรัสว่า
เวทนา.


ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สัญญาๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ
จึงตรัสว่า สัญญา?

สา. ธรรมชาติที่จำๆ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า สัญญา จำอะไร จำสีเขียว
บ้าง จำสีเหลืองบ้าง จำสีแดงบ้าง จำสีขาวบ้าง ธรรมชาติย่อมจำๆ ฉะนั้น จึงตรัสว่า สัญญา


ก. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน หรือแยกจากกัน
ท่านผู้มีอายุ อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่?

สา. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะเวทนารู้สิ่งใด สัญญาก็จำสิ่งนั้น
สัญญาจำสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๓ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.


[๔๙๖] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระโยคาวจรมีมโนวิญญาณ (จิตอันสัมปยุตด้วยรูปาวจร-
*ฌานที่ ๔) อันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์ ๕ พึงรู้สิ่งอะไร?

สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระโยคาวจรมีมโนวิญญาณอันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์ ๕
พึงรู้อากาสานัญจายตนฌานว่า อากาศหาที่สุดมิได้ พึงรู้วิญญาณัญจายตนฌานว่า วิญญาณหาที่สุด
มิได้ พึงรู้อากิญจัญญายตนฌานว่า น้อยหนึ่งมิได้มี.

เรื่องประโยชน์แห่งปัญญาและเหตุเกิดสัมมาทิฏฐิ

ก. พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยอะไร?

สา. พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยปัญญาจักษุ.

ก. ปัญญา มีอะไรเป็นประโยชน์?

สา. ปัญญา มีความรู้ยิ่งเป็นประโยชน์ มีความกำหนดรู้เป็นประโยชน์ มีความละเป็น
ประโยชน์.


[๔๙๗] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ มีเท่าไร?

สา. ธรรม ๒ ประการ คือความได้สดับแต่บุคคลอื่น ๑ ความทำในใจโดยแยบคาย ๑
เป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ ธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นปัจจัยเมื่อความเกิดขึ้นแห่ง
สัมมาทิฏฐิ.

ก. สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญา
วิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรมเท่าไรอนุเคราะห์แล้ว?

สา. สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญา
วิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการ อนุเคราะห์
แล้ว คือ สัมมาทิฏฐิ อันศีลอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสากัจฉาอนุเคราะห์
แล้ว ๑ อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว ๑ สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็น
ผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติ
เป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการนี้แล อนุเคราะห์แล้ว.


:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 26 พ.ค. 2013, 16:35, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2013, 12:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นอีกหนึ่งความเห็น ในเรื่อง "ศีล สมาธิ ปัญญา"
โดยมี ปฏิสัมภิทาสูตร ซึ่งแสดงโดยพระสารีบุตร ...

:b12: :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2013, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ปัญญาที่เป็น "ความรู้"
กับ
ปัญญาที่เป็น "การรู้แจ้ง/เห็นแจ้ง"
เป็น "ผัสสะ" คนละอย่างกัน

:b1:

smiley smiley

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กบนอกกะลา เขียน:
สติ....ผมเห็นด้วย..แต่ตอนนี้ผมกะลังมีปัญหาว่า...ถ้าผมอยากบอกใครสักคนให้มีสติ....ผมจะแนะนำให้เขาฝึกสติ...ยังงัย?

:b12:
...เวลาที่ลืมก็ไม่ได้กำหนดค่ะ...กำหนดจิตตามอิริยาบทที่ตนเองกระทำอยู่ตามข้อความข้างล่างนี้ค่ะ...
:b1:
...(ยืน/เดิน/นั่ง/นอน)อยู่นี่คือกาย...สุข-ทุกข์คือเวทนา...ความรู้สึกนึกคิดคือจิต...
...สิ่งที่กำหนดรู้อยู่นี่คือสติ...กิเลสที่เกิดคืออกุศลธรรมและนิวรณ์ธรรม...
...สิ่งที่พิจารณาเห็นอยู่นี้คือปัญญา...ตัวเรา ของเรา ไม่มี...
:b4: :b4:
:b44:


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2013, 10:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
ลองพิจารณากันให้ดีว่า

ปัญญา....ศีล.....สมาธิ....เป็นมาอย่างไร?

จากหลวงพ่อรูปหนึ่งท่านกล่าวไว้เป็นลำดับของเหตุและผลว่า

1.พบบัณฑิต หรือกัลยาณมิตร...จึงได้...รู้...ถูกต้อง

2.รู้ถูกต้อง ทำให้ เห็นถูกต้อง...สัมมาทิฏฐิโดยทฤษฎี

3.เห็นถูกต้อง เป็นเหตุให้ คิดถูกต้อง...สัมมาสังกัปปะ โดยทฤษฎี

4.คิดถูกต้อง เป็นเหตุให้ ทำถูกต้อง...สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

5.ทำถูกต้อง เป็นเหตุให้ได้รับผลที่ถูกต้อง...สัมมาทิฏฐิโดยภาคปฏิบัติ...อัตตาตาย...นิโรธเกิด

6.ได้รับผลที่ถูกต้อง เป็นเหตุให้กลายเป็นคนที่ถูกต้อง...บัณฑิต นักปราชญ์ กัลยาณมิตร...พุทธะ

7.เป็นคนถูกต้อง เป็นเหตุให้ พูด สอน และถ่ายทอดแต่สิ่งที่ถูกต้อง...สืบๆต่อกันมา

หลวงพ่อสรุปให้ฟังว่า

"รู้ถูกต้อง สำคัญที่สุด"
:b20: :b11:


แล้ว "รู้ถูกต้อง" กับ "ปัญญา" นี่คือตัวเดียวกันหรือ ...

:b48: :b48: :b48:

แล้วหลวงพ่อพูดด้วยรึเปล่าว่าที่ถูกต้องคือ "ปัญญา ศีล สมาธิ"

.... ที่ว่ากันมา "ศีล สมาธิ ปัญญา" นั้น เป็นการสอนกันมาผิด

:b1:

:b8:
สวัสดีคุณเอก้อนและกัลยาณมิตรทุกคน ....ห่างหายไประยะสั้นๆ ด้วยกิจเผยแพร่ธรรม กลับมาดูกระทู้ต่างๆ ก้าวหน้ากันไปเยอะ บางกระทู้ไปถึง 15 หน้าแล้ว

กระทู้นี้มีคำถามของคุณเอก้อนคงค้างอยู่จึงคงต้องสนทนากันต่อไปนะครับ

จากข้อความในพระสูตรที่คุณเอก้อนยกมา มีตอนหนึ่งที่สัมพันธ์กับข้อสงสัยของคุณเอก้อนจึงขออ้างอิงมาหน่อยนะครับ

อ้างคำพูด:
สา. ธรรม ๒ ประการ คือความได้สดับแต่บุคคลอื่น ๑ ความทำในใจโดยแยบคาย ๑
เป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ ธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่ง
สัมมาทิฏฐิ.


"รู้ถูกต้อง" กับ "ปัญญา" นี่คือตัวเดียวกันหรือ ...

จะตอบว่าเป็นตัวเดียวกัน ก็ใช่ แต่ถ้าไม่แจกแจง เดี๋ยวเอก้อนก็จะสงสัยอีก

รู้ถูกต้อง ครัั้งแรกเป็นสุตตมยปัญญา คือได้สดับแต่บุคคลอื่น ๑ หลังจากนั้น ความทำในใจโดยแยบคาย ๑ เป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ ......นั่นเป็น....ภาวนามยปัญญา

แล้วหลวงพ่อพูดด้วยรึเปล่าว่าที่ถูกต้องคือ "ปัญญา ศีล สมาธิ"

.... ที่ว่ากันมา "ศีล สมาธิ ปัญญา" นั้น เป็นการสอนกันมาผิด


หลวงพ่อไม่พูดอย่างที่เอก้อนเขียนมา

แต่หลวงพ่อมักพูดเสมอว่า.....เมื่อหวังจะบรรลุธรรมในชาตินี้ พึงเอาปัญญานำหน้า ให้ ศีล สติ สมาธิเป็นกองหนุน...จึงจะประสบความ สำเร็จ....ปัญญาที่สำคัญคือ กลุมของปัญญามรรค อันได้แก่สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ ...ต้องนำมาใช้ให้เป็น ใช้ให้ถูกต้อง

ส่วนเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา นั้น เป็นเรื่องของธรรมะพื้นฐาน เพื่อสอนคนชั่วให้เป็นคนดี

มีคำถามให้คิดสั้นๆว่า

ถ้าคนที่จะเจริญศีล เจริญ สัมมาสติ ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้รู้จักเรื่องของศีล(สุตตมยปัญญา) จะปฏิบัติศีลได้ถูกต้องหรือ?

คนที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องสัมมาสติ คือสติเพื่อการเจริญมรรค 8 สู่ความหลุดพ้น....เขาจะทำสามัญสติของเขาให้เป็น สัมมาสติ ได้หรือ?

นี่เป็นคำอธิบายง่ายๆ ตื้นๆให้เห็นว่า ปัญญา นำหน้าอย่างไร?.....นะเอก้อน นะ

แล้วเอก้อนคิดว่าชีวิตของชาตินี้ เป็นการมาตั้งต้นนับ 1 ใหม่ของคนทุกคนจริงๆ หรือ?

ไม่ใช่การมาต่อยอดบุญยอดกุศลของอดีต..นับเอนก อนันตชาติหรือ?.....ตรองให้ลึกๆนะเอก้อน
อย่าให้ความยึดติดบัญญัติของหมู่พวก มาทำให้เกิดความเห็นผิดจากสัจจธรรมเลยนะ

ความไม่ละเอียดอ่อนในการใช้บัญญัติ ภาษา จึงทำให้ไม่สามารถเข้าถึงธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งได้ ทั้งๆที่บัณฑิตแต่ครั้งโบราณกาลท่่านก็ได้กรุณาทำบัญญัติที่ดีๆถูกต้องตามธรรมไว้ให้แล้วจนครบ


ตัวอย่างง่ายเช่น คำว่า....สติ...กับคำว่า....สัมมาสติ....นี่ความหมายในเชิงปฏิบัติการ มันต่างกันเยอะมากเลยเชียวนะ เอก้อนรู้และเข้าใจเรื่องนี้หรือเปล่าครับ?
:b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร