วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 05:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 10:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


การรู้แจ้งใจในอนัตตา...ก็ต้องเข้าไปใคร่ครวญพิจารณาในสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นอัตตานั้นแหละ...ก็รูป
เรานี้แหละ...ซึ่งแสดงอัตตาแก่ตนชัดเจนที่สุด

นั้นก็คือ....การหาแก่นสารสาระในรูปตน...รูปที่เกี่ยวกับรูปตน.....ว่าแท้จริง....อัตตาที่เราคิดมันเป็นแก่นสารสาระจริงหรืออย่างไร

รูป....ที่ปุถุชนคิดว่ามีตัวตนจริง..เป็นอัตตา...แท้แล้วก็ไม่มีแก่นสารสาระอะไร...ไร้ความมีตัวตนในรูปนี้...มีอยู่ก็เป็นเพียงชั่วคราว..สุดท้ายรูปนี้ก็จะไม่มี....รูปนี้เป็นอนัตตา....

รูปที่ไม่มีสาระเป็นอนัตตา....ทำความเข้าใจตรงนี้เข้าไปเรื่อย ๆ...แม้ยังไม่ถึงนิพพาน..ก็พอจะเข้าใจได้ว่าควรขมวดนิพพานาอยู่กับสิ่งไร้สาระหรือไม่?

สัพเพ ธัมมา อนัตตา....ก็เข้าใจว่า..สัพเพธัมมา...คืออะไร
นิพพานัง ปรมังสุขัง....ก็เข้าใจว่า..ทำไมมันถึงสุข

แม้จะเข้าใจแบบความรู้สึกของปุถุชน....แต่ก็อยู่ในทิศทางที่ถูกต้องได้เช่นกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
การรู้แจ้งใจในอนัตตา...ก็ต้องเข้าไปใคร่ครวญพิจารณาในสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นอัตตานั้นแหละ...ก็รูป
เรานี้แหละ...ซึ่งแสดงอัตตาแก่ตนชัดเจนที่สุด

นั้นก็คือ....การหาแก่นสารสาระในรูปตน...รูปที่เกี่ยวกับรูปตน.....ว่าแท้จริง....อัตตาที่เราคิดมันเป็นแก่นสารสาระจริงหรืออย่างไร

รูป....ที่ปุถุชนคิดว่ามีตัวตนจริง..เป็นอัตตา...แท้แล้วก็ไม่มีแก่นสารสาระอะไร...ไร้ความมีตัวตนในรูปนี้...มีอยู่ก็เป็นเพียงชั่วคราว..สุดท้ายรูปนี้ก็จะไม่มี....รูปนี้เป็นอนัตตา....

รูปที่ไม่มีสาระเป็นอนัตตา....ทำความเข้าใจตรงนี้เข้าไปเรื่อย ๆ...แม้ยังไม่ถึงนิพพาน..ก็พอจะเข้าใจได้ว่าควรขมวดนิพพานาอยู่กับสิ่งไร้สาระหรือไม่?

สัพเพ ธัมมา อนัตตา....ก็เข้าใจว่า..สัพเพธัมมา...คืออะไร
นิพพานัง ปรมังสุขัง....ก็เข้าใจว่า..ทำไมมันถึงสุข

แม้จะเข้าใจแบบความรู้สึกของปุถุชน....แต่ก็อยู่ในทิศทางที่ถูกต้องได้เช่นกัน


ฟังขึ้น..มีเหตุผลดี

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 21:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
asoka เขียน:

ที่นิพพาน เป็นอมตะธรรม พ้นจากความเป็น อนิจจังและทุกขัง ...มีแต่อนัตตาล้วนๆครับ

:b8:

"อนัตตา" มีสองความหมายหรือครับ .. :b10:
"อนัตตา" ในความเข้าใจของคุณ อโสกะ คืออย่างไรครับ ..

:b1:


:b8:
อนัตตา เป็นความเห็นถูกต้อง เป็นกุญแจไขประตูนิพพาน เป็นสะพานทอดข้าร่องน้ำแห่งปฏิจจสมุปบาท

นิพพาน เป็นผลจากความเห็นถูกต้อง

:b36: :b36: :b37: :b37: :b38: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิต จิตใจ นามรูป หรือขันธ์ 5 ลึกซึ้งยากเข้าถึงยากเข้าใจ ที่เราพูดคุยกัน (เข้าใจกันว่าพูดธรรมะ) เนี่ยก็ใช้ชีวิต จิตใจ นามรูป นี่แหละถกเถียงพูดคุยกัน ไม่พ้นไปจากนี้

ต่อจาก คห.ก่อนหน้า สังเกตตรงขีดเส้นใต้


อ้างคำพูด:
ดิฉันรู้เรื่องการปฏิบัติธรรมน้อยไม่รู้จะไปทางไหนดี ไม่กล้าเสี่ยงทำเองแบบมั่วๆอีกแล้ว ตอนที่ถามนั้นจำเป็นต้องอาศัยอยู่ต่างประเทศ จึงตัดสินใจรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันทางเดียว เพราะหมดโอกาสหาพระอาจารย์ที่จะช่วยแนะนำได้

ตอนนั้นดิฉันเป็นหนักจนต้องนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ ต่อมาดิฉันรักษาอยู่นานเสียงแว่วต่างๆก็หายไปหมด แต่ก็ยังต้องพบแพทย์ทุกเดือน เดือนละครั้งจนผ่านไปเป็นปีก็ไม่มีอะไรผิดปกติแล้วจึงได้เลิกทานยาตามคำอนุญาตของแพทย์ แล้วก็ได้ย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย เพิ่งมาได้ไม่กี่เดือนก็เกิดเรื่องอีกจนได้ค่ะ อยู่ดีๆคืนหนึ่งก็เกิดเสียงแว่วกลับมาอีก เขาบอกว่าอยากหายต้องหายทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นและให้ทำเท่าที่ทำได้ไปก่อนจนกว่าจะเจออาจารย์ที่แนะนำได้ ดิฉันลองทดลองนั่งสมาธิ เดินจงกรมอีกครั้ง แค่เวลาสั้นๆ แต่เสียงแว่วกลับบอกว่าที่บอกว่าให้ทำเท่าที่ทำได้นั้นเขาให้ทำทั้งวัน ตอนนี้เองที่ดิฉัน....กลัวค่ะ ...

หรือว่าเพราะหยุดยานาน และนอนไม่เต็มที่ อาการประสาทจึงกลับมาอีกแล้ว หรือเสียงนั้นไม่ใช่เกิดจากอาการจิตแล้วมันเพราะอะไร จะทำอย่างไรดี เพราะทานยาโรคประสาทไม่ค่อยสนุกนักผลกระทบเยอะมาก แถมหมอบอกว่าเดี๋ยวหยุดเดี๋ยวเริ่มอีกมันจะทำลายสมองเรา ถ้าตัดสินใจไปรักษาแบบนั้นอีกอาจจะต้องยอมรับการรักษาไปอีกยาวนานหลายปีแน่ๆ เพราะก็เห็นแล้วว่าขนาดรักษามาสองปี เ สียงนั้นยังกลับมาได้อีก
แต่การจะกลับมาเริ่มปฏิบัติใหม่ในสภาวะไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นมาจากเหตุใดแบบนี้ (หากโรคประสาทมันกลับมาอีกจริงๆ) มันจะไปกันใหญ่ ยกเว้นแต่ว่าจะมีอาจารย์ให้คำแนะนำได้ แต่ท่านเหล่านั้นอยู่ไหนล่ะ เพราะไม่รู้จักเลยสักท่าน




เห็นการเกิดดับของนามธรรมไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 23:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
นอกตำราไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
แม้แต่วิชาทางโลกนั้น การที่เราจะมีความรู้ความเข้าใจในวิชาต่างๆ
วิชานี้ วิชานั้น ได้นั้น เราก็ต้องฟังต้องเรียนจากผู้อื่น หรือต้องศึกษาจากตำรามาก่อนทั้งสิ้น
ยกเว้นเฉพาะบุคคลที่ค้นพบหลักการ หรือที่คิดค้นวิชาการนั้นๆ ได้ก่อนเป็นคนแรกเท่านั้น
โดยไม่ต้องฟังจากผู้อื่นหรือศึกษาจากตำราเลย

แม้ในทางพระพุทธศาสนาก็เช่นนั้นเหมือนกัน ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงค้นพบสัจจธรรมด้วยพระองค์เองแล้ว
บุคคลที่เหลือนอกนั้นเมื่อจะเข้าถึงสัจจธรรมของสภาวะธรรมเหมือนอย่างพระองค์
เขาต้องเรียนสดับตรับฟังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะเข้าถึงได้

คนเหล่านั้นแม้เรียนแม้ฟังจากสาวกผู้รู้ธรรมทั่งถึงองค์อื่นๆ มีท่านพระสารีบุตรเป็นต้น
ก็ชื่อว่าเรียนหรือฟังคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน เพราะว่าพระองค์ไม่อุบัติขึ้นในโลกก่อน
คำสอนเช่นนี้ก็ไม่ปรากฎ ก็คำสอนที่ต้องเรียนต้องฟังเสียก่อนเหล่านี้แหละเขาเรียกว่าปริยัติ

ก็แต่ว่าเมื่อพระบรมศาสดาดับขันธ์ปรินิพพานไปนานแล้ว
และพระสาวกองค์สำคัญที่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยของพระองค์ มีท่านพระสารีบุตรเป็นต้น
ซึ่งเป็นผู้มีความสามารถเผยแผ่พระศาสนาให้กว้างขวางเช่นเดียวกับพระศาสดา
ก็ล้วนดับขันธ์ปรินิพพานกันไปหมดแล้ว มิได้มีอายุยืนนานมาจนถึงกาลปัจจุบันอย่างนี้

หากเราจะประสงจะบรรลุธรรมพระสัจจธรรม เพื่อประโยชน์แก่ความพ้นทุกข์ทั้งปวง
เราจะเริ่มต้นจากการเรียนการฟังจากใครเล่า เพราะไม่มีพระศาสดาคอยยืนยันรับรอง
นี้เป็นปัญญหาที่น่าฉุกคิด


ท่านปรับพื้นฐานมาให้หมดแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา อาจารย์สัมมาปฏิปทาแต่ละท่านท่านมีรูปแบบการสอนต่างกันก็จริง แต่หลักการ สาระโดยรวมแล้วเหมือนกัน ทุกท่านสอนศีล สมาธิ ปัญญาหมด

ศีลห้าข้อ ปรับใจให้กลัวบาป รักบุญ ซื่อสัตย์ และเชื่อว่าในทุกการกระทำมีเหตุและผล

สมาธิ ใช้ปรับใจให้มีมุมมองที่เป็นกลาง ไม่มีอารมณ์ชอบไม่ชอบมารบกวนการรับรู้หรือการตัดสินของใจ

ทำได้แค่นี้ปัญญาก็เกิดไปพร้อมๆกันแล้ว

ฟังสิ่งที่มีเหตุผล ฟังท่านที่สอนทางไป อย่าฟังท่านที่สอนผล ฟังท่านที่สอนเรื่องที่ธรรมดาๆ อย่าฟังท่านที่สอนพิศดารโลดโผนเกินไป สุดท้ายก็ฟังตัวเอง ว่าที่ทำๆมาเรากลมกลืนกับสิ่งต่างๆผู้คนต่างๆรวมถึงอารมณ์ต่างๆรอบตัวมากขึ้นไหม คือเข้าได้ รับได้กับทุกอย่าง ทุกข์น้อยลงไหม

ไม่มีคนรับรองไม่น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวคือเราติดตัวเอง ติดความเชื่อเราเอง มันดึงเราไว้กับมัน ทำให้เราไม่ได้เริ่มเดินไปไหนเลยสักที

นี่แหละความน่ากลัวของความหลง หัวหน้าของกิเลสทั้งปวง คือความเชื่อในหัวเราเอง

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2013, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามที่คุณธรรมดาๆ สรุปไว้ เป็นอันได้สาระล่ะว่างั้น

ทีนี้ถึงคำถาม อยากฟังคำตอบจากผู้เดินทางทุกท่าน คือ เราจะเดินหน้าคือปฏิบัติ (ปฏิปทา) หรือทำกันยังไง เพื่อให้เห็นความจริง (ธรรมะระดับที่พูดถึงกันนี่) พูดให้เห็นเป็นรูปธรรม ที่ใครๆจะพึงนำไปทำกันได้เองได้ :b10: :b14: เชิญครับ :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2013, 06:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
อนัตตา เป็นความเห็นถูกต้อง เป็นกุญแจไขประตูนิพพาน เป็นสะพานทอดข้าร่องน้ำแห่งปฏิจจสมุปบาท

นิพพาน เป็นผลจากความเห็นถูกต้อง

:b36: :b36: :b37: :b37: :b38: :b53:
:b8:

"อนัตตา" เป็นเหตุ "นิพพาน" เป็นผล (อ้างอิงความเห็นของคุณอโศกะ)

เหมือนขับรถกลับบ้านแหละครับ ..

เมื่อถึงบ้านจะเข้าบ้าน ก็ต้องปล่อยรถหรือออกจากรถ
จึงจะ "เข้าถึงบ้าน" แล้วจะบอกว่า "รถคือบ้าน" ก็ไม่ถูก ..

บ้านก็คือบ้าน รถก็คือรถ ไม่ใช่อันเดียวกัน

การ "ปล่อยรถ" หรือ "ออกจากรถ"
นั่นแหละครับ คือ "ธรรมมา อนัตตา" ..

"เหตุจึงไม่ใช่ผล" แต่เหตุกับผลเกี่ยวเนื่องกัน(ปฏิจจสมุปบาท)


:b1: :b38: :b53:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2013, 04:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เคย นอนไม่หลับ เมื่อหลายปีก่อน แล้วอาการนั้นก็หายไป
แล้วมีอาการนอนไม่หลับอีก หลายครั้ง เมื่ออีกหลายปีก่อน

ขณะที่นอนไม่หลับ ได้พยายาม ใช่้อุบายต่างๆ แต่รู้สึกจะไม่เป็นผล

พบว่า นี่แหละ คือ อนัตตา

ไม่สั่งมันได้เลย

จิตใจเราเอง เรายังสั่งมันไม่ได้เลย

อนัตตา เป็นอย่างนี้ นี่เอง ....... ไม่บังคับบัญชาได้

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2013, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตา( :b1: จำมาครับ)

เหมือนในที่นาที่หนึ่งมีชาวนาทำนาอยู่ ชาวนาก็ว่าเป็นของเขา
ในพื้นที่นาก็มีกบเขียดอาศัยอยู่ กบเขียดก็ว่าเป็นของเขา
เมื่อชาวนาตาย กบเขียดตาย พื้นที่นาก็ยังอยู่เป็นไปตามสภาพไม่ได้เป็นของใครเลย

ในร่างกายคนพยาธิอาศัยอยู่ พยาธิก็ว่าเป็นของเขา
คนก็ว่าร่างกายนี้เป็นของเขา
พยาธิตายคนตาย ร่างกายนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ
ไม่ได้เป็นของพยาธิของคนเลย

ร่างกายนี้ทรงเพราะมีปัจจัยอยู่ มีอากาศ น้ำ อาหาร ป้อนเป็นปัจจัยอยู่
หากไม่มีปัจจัยคอยบำรุงร่างกายอยู่ ร่างกายก็เสื่อมสภาพแตกสลายลงไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2013, 05:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตามที่คุณธรรมดาๆ สรุปไว้ เป็นอันได้สาระล่ะว่างั้น

ทีนี้ถึงคำถาม อยากฟังคำตอบจากผู้เดินทางทุกท่าน คือ เราจะเดินหน้าคือปฏิบัติ (ปฏิปทา) หรือทำกันยังไง เพื่อให้เห็นความจริง (ธรรมะระดับที่พูดถึงกันนี่) พูดให้เห็นเป็นรูปธรรม ที่ใครๆจะพึงนำไปทำกันได้เองได้ :b10: :b14: เชิญครับ :b8:


อาจจะไม่ใช่ธรรมะระดับที่หลายๆท่านพูดถึงกัน แต่ผมคิดอย่างนี้

ถ้าอยากเห็นความจริง ก็ต้องพยายามมอง ไม่ใช่คิด

คิดยังไงก็ไม่เห็น เพราะมันคิดเอา สิ่งที่ได้จากการคิด จะวิเศษแค่ไหนก็คือการคาดคะเนเอา ถามจี้จริงๆว่ารส หรือรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง ก็จะตอบให้เต็มปากเต็มคำไม่ได้ แบบนี้ก็ยังไล่ไม่จน สมองอาจจะเชื่อ แต่ใจมันยังไม่ยอมรับ

เมื่ออ่าน-ฟังมามากพอแล้ว คิดวิเคราะห์จนได้แนวทางแล้ว อยากจะเห็นความจริงกับตาตัวเอง

เมื่อนั้นก็ต้องคิดให้น้อยลง มองให้มากขึ้น มองไปหลายๆมุม สักวันหนึ่งก็คงจะมองได้ถูกต้อง เมื่อมองถูกก็จะเห็น

เมื่อเห็นแล้วก็จะหายสงสัยว่าตกลงอันนี้มีจริงหรือไม่จริง อันนั้นรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงกันแน่

เมื่อหายสงสัย ก็เหมือนตัวเราคนเก่าตายไป เกิดเป็นคนใหม่ที่มีระบบความเชื่ออันใหม่

แล้วก็อาจจะได้เริ่มต้นศึกษาสิ่งอื่นที่เหลือต่อไป เป็นรอบๆแบบนี้ตามแต่ว่ากำลังเราในรอบนั้นมีพอจะจับอะไรมาดูได้

สุดท้ายพอพูดถึงวิธีการ มันก็เข้าประเด็นเดิมอีกแล้ว

ศีล สติ-สมาธิ ปัญญา

ก็คงแล้วแต่คนแล้วละ ว่าจะยอมปล่อยความคิดลง ถึงจะแค่ชั่วขณะก็ยังดี เพื่อไปเอาความจริงได้หรือเปล่า

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2013, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


คัมภีร์พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะของฝ่ายเถรวาท บอกไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า "นิพพานเป็นอนัตตา" เช่น ในคัมภีร์พระวินัยปิฎก ปริวารบอกว่า "สังขารทั้งปวงอันปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นิพพานและบัญญัติเป็นอนัตตา วินิจฉัยมีดังนี้"

ในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรคบอกว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" และในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาตบอกว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" ซึ่ง "ธรรม" ในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายต่อว่า "หมายรวมถึงนิพพานด้วย" นอกจากนี้ ยังมีข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกอีกหลายแห่งทั้งที่ระบุโดยตรงและโดยอ้อมที่มีนัยบอกว่า "นิพพานเป็นอนัตตา"

คำว่า "อนัตตา" มีความหมายระดับปรมัตถ์ มีนัยที่ต้องไขความต่ออีก โดยเฉพาะในคัมภีร์ชั้นหลังก็จะบอกว่า "ที่ชื่อว่าเป็นอนัตตา เพราะเกิดขึ้นจากองค์ประกอบต่าง ๆ มาประชุมกัน ไม่มีตัวตนที่เป็นแก่นเป็นแกนอยู่ ไม่มีตัวตนที่คงที่ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้เสวย ไม่มีอำนาจในตัวเอง บังคับให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ แย้งต่ออัตตา"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2013, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


onion
...พระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)...
...เมตตาเทศนาธรรมเกี่ยวกับนิพพานว่า...
...นิพพานไม่เป็นอัตตาและไม่เป็นอนัตตา นิพพานคือนิพพาน...
...โลกว่างไปหมด จะให้มีก็ได้ จะไม่ให้มีก็ได้ จิตเมื่อรู้เห็นจริงๆแล้ว...
:b8:
:b39: :b39:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 12 มิ.ย. 2013, 16:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2013, 12:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:

" ซึ่ง "ธรรม" ในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายต่อว่า "หมายรวมถึงนิพพานด้วย"

จุดนี้แหละ.....ต้องพิจารณา....อย่าเพิ่งปลงใจ
อ้างคำพูด:
นอกจากนี้ ยังมีข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกอีกหลายแห่งทั้งที่ระบุโดยตรงและโดยอ้อมที่มีนัยบอกว่า "นิพพานเป็นอนัตตา"


เมื่อมี..ตรง ๆ...แล้วใยจะต้องมีอรรถกถามาอธิบายอีก...แปลกเน้อะ..ว่ามั้ย?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2013, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรม ทั้งหลาย ล้วน อนัตตา
ตรงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า ธรรมนั้นมีกี่อย่าง ซึ่งได้แก่ สังขตธรรม ๑ อสังขตธรรมมีอีก ๑
สังขตธรรมเป็นธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ อสังตธรรมเป็นธรรมที่บริสุทธิ์

ธรรมทั้งสองนี้พระพุทธเจ้ายกย่องอสังขตธรรมว่าดีกว่า แต่นอกจากนี้ท่านยังบอกว่า
วิราคธรรมดีเลิศที่สุด พระนิพพานเป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม ตรงนี้จะเข้าใจได้ว่า
ถ้าอสังขตธรรม และวิราคธรรม ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์อีก พระพุทธเจ้าจะยกย่อง ธรรมทั้งสองนี้ทำไมกัน

ตรงนี้มักจะเกิดความสับสนเพราะมีคนไปแปลความว่า "อนัตตา" ว่าไม่มีตัวตน
ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ หากไปแปลว่า "ไม่มีตัวตน" ก็จะกลายเป็น อุจเฉททิฏฐิ ไปเสีย เพราะเมื่อตัวตนไม่มี
แล้วจะมี อะไร เป็นตัวไปแบกบุญแบกบาป หรือ อะไร จะมาคอยรับวิบากในภพถัดไป
การสั่งสมบารมีข้ามภพข้ามชาติก็จะเป็นไปไม่ได้ ตายแล้วก็สูญกันไปเท่านั้น

ก่อนจะผ่านประเด็นนี้ไป อยากให้วิเคราะห์ บาลี ที่ว่า "สัพเพ ธรรมมา อนัตตา"
ธรรมทั้งหมดไม่ใช่ตัว เพราะ "ธรรม" ก็อย่างหนึ่ง "ตน" ก็อีกอย่างหนึ่ง คนละอย่างกัน
ได้อธิบาย "ธรรม" ไว้แล้วว่ามีสองอย่าง คือ สังขตธรรม กับอสังขตธรรม

การที่ "อัตตา" เป็นที่จงเกลียดจงชัง ของหลายๆท่านเราน่าจะเข้าใจคำว่า "อัตตา" ผิดไปจากความเป็นจริง
เพราะมีอาจารย์บางท่าน สอนให้ปล่อยวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นใน "ตัวกู-ของกู" ซึ่งที่ท่านสอนก็ถูกแล้ว
แต่สิ่งที่เราควรรังเกียจ คือ ตัว "อุปาทาน" ต่างหาก อุปาทาน เป็น กิริยาอาการ ที่เข้าไปยึด ว่าเป็นโน่นเป็นนี่
ส่วนอัตตา นั้น โดยความหมาย เป็นคำนาม ที่ยังไม่ได้แสดงอาการกิริยาอันใดเลย ยกตัวตัวอย่างเป็นภาษาไทย

เหมือนกล่าวว่า "ฉันอยาก...." ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ "ฉัน" แต่ปัญหาอยู่ที่ อาการ "หยาก" ต่างหาก
เพราะหากเรา รังเกียจ "อัตตา" หรือ คิดว่า "อัตตา" ไม่มี
เวลา พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ใช้คำว่า "ตถาคต" หรือ "อาตมา" หรือ "เรา" ก็ย่อมไม่ได้ทั้งสิ้น
เพราะตราบใดที่เรายังใช้ คำว่า เรา ฉัน ฯ หรืออะไรก็แล้วแต่แทนตัว นั่นแสดงถึงความมี "อัตตา" ทั้งนั้น
เมื่อท่านอ่านใจความข้อนี้อย่างเข้าใจก็อาจจะพอมองออกได้บ้างว่า นิพพาน เป็น อนัตตา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2013, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:

" ซึ่ง "ธรรม" ในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายต่อว่า "หมายรวมถึงนิพพานด้วย"

จุดนี้แหละ.....ต้องพิจารณา....อย่าเพิ่งปลงใจ
อ้างคำพูด:
นอกจากนี้ ยังมีข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกอีกหลายแห่งทั้งที่ระบุโดยตรงและโดยอ้อมที่มีนัยบอกว่า "นิพพานเป็นอนัตตา"


เมื่อมี..ตรง ๆ...แล้วใยจะต้องมีอรรถกถามาอธิบายอีก...แปลกเน้อะ..ว่ามั้ย?

เห็นหลายหนแล้ว ตาหมานชอบพูดจาเรื่อยเปื้อย อ้างโน้นอ้างนี้ สารพัดแต่ไม่เคยเอาหลักฐาน
มาโชว์ แบบนี้เขาเรียกโมฆบุรุษ แถมเป็นบุคคลที่ควบคุมวจีสังขารไม่ได้ :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร