วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 12:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2013, 21:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


สาวิกาน้อย เขียน:
รูปภาพ

ในวันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2556 เวลา 17.30 น.
พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี
ท่านได้เมตตามาเป็นองค์แสดงธรรม ณ มูลนิธิพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=45655

พระอาจารย์ชยสาโร ท่านได้แสดงธรรมเป็นที่ปิติใจมากๆ แก่ทุกท่านที่ได้มาร่วมฟังธรรม ท่านเมตตาตอบคำถามที่ค้างคาใจพวกเราทุกคนได้อย่างน่าฟัง ตอนหนึ่งท่านกล่าวถึงหลวงพ่อชาที่เคยสอนว่า พระก็เหมือนชามมีแตกได้ มีเสียหายได้ แต่สิ่งที่มันอยู่ในชามนั้นคืออะไร คือธรรมะใช่ไหม คือคุณความดี คือความอดทนที่่พวกเรารักและศรัทธา ชามนั้นมันแตกไปได้ แต่สิ่งที่พวกเรายังศรัทธาอยู่ก็ไม่ได้หายไปไหน อะไรๆ มันก็ไม่แน่นอน มันเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น เราอย่าไปยึดเลย แม้กระทั่งพระเทศน์อยู่ท่านก็ให้เอากะละมังปิดหน้า ไม่ต้องถ่ายรูป ถ่าย VDO. ให้สนใจเฉพาะในธรรมะที่ท่านสอนเท่านั้น...

ท่านสอนถึงสิ่งที่เรายึดมั่นว่าถูกต้องและไม่มีทางผิดพลาดได้เลย ท่านยกตัวอย่าง ให้คนเดินทางในทะเลทรายโดยใช้เข็มทิศแค่ครั้งเดียว เดินต่อเนื่องไป 8 ชั่วโมง ไม่มีเดือนและตะวันที่จะบอกทิศทาง เดินตรงตามเส้นทางนั้นเท่านั้น ปรากฏว่าพอวัดจริงๆ เดินได้ผิดพลาดน้อยมากๆ เพียง 1 องศาเท่านั้นเอง

ท่านยังให้เดินต่อไปทุกวัน...ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เพียง 1 องศาเท่านั้นเอง...

ท่านถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป 90 วันหรือ 180 วัน เราอาจเดินหันหลังผิดทิศทางอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ เพราะความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ นั่นเอง


ท่านเล่าถึงตอนท่านเป็นเด็กหนุ่มชาวอังกฤษที่แสวงหาคำตอบให้กับชีวิต จนมาเจอกับ คุณ Christopher ที่มาสอนปฏิบัติกรรมฐาน โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ในช่วงชีวิตที่เคยบวชและติดตามท่านพุทธทาสภิกขุไปจนถึงสวนโมกข์ และอีกหลายๆ ที่ จนเป็นคำตอบให้เด็กหนุ่มคนนั้นมาบวชเป็นพระอยู่ในเมืองไทยจนทุกวันนี้

ในวันข้างหน้า..อาจมีชาวญี่ปุ่นที่บรรลุธรรมจากการได้เรียนกรรมฐานจากคุณมิตซูโอะ ทึ่เคยบวชเป็นพระในเมืองไทยยาวนานกว่า 30 ปีก็ได้

ท่านสอนให้พวกเรามีมุมมองที่ก่อให้เกิดกำลังใจให้กับตัวเอง...อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอน วันนี้เรายังอยู่ในเส้นทาง ยังมีผู้ชี้แนะ ก็ควรเร่งความเพียรให้มากๆ (ก่อนที่วันข้างหน้าเราอาจจะหลงไปวันละ 1 องศาก็ได้)


เชื่อว่ากัลยาณมิตรธรรมหลายคนได้ฟังท่านเทศน์แล้วคงมีความสุข และได้คำตอบและความเชื่อมั่นกลับคืนมากันนะคะ...ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านค่ะ...

หมายเหตุ : ปัจจัยกัณฑ์เทศน์ที่พวกเราน้อมถวายท่านทั้งหมดในวันนี้ พระอาจารย์ชยสาโรท่านบอกว่า ท่านอยู่รูปเดียวในสำนักสงฆ์เล็กๆ และไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเลย ท่านจึงขอนำปัจจัยทั้งหมดนี้ร่วมทอดกฐินกับวัดป่าอภัยคีรี ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นวัดเล็กๆ ที่ดัดแปลงโรงรถเก่ามาเป็นวัด...เราเลยได้ร่วมทอดกฐินกับพระอาจารย์ชยสาโรกันด้วยค่ะ ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านอีกครั้งค่ะ


:b8: ที่มา : facebook คุณหมอ Parichart Swanyathipati

:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2013, 21:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วยดูทีใครกับใครครับเนี่ยะ ดูยิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุขดี :b1: :b12:

http://pantip.com/topic/30657708

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2013, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


^ ^ ก็อย่างนี้แหละครับ ขนาดผู้สื่อข่าวที่ว่าหูตากว้างไกล ซอกแซกทุกซอกทุกมุมยังไม่ทราบเลยว่าตอนนี้พระอาจารย์พำนักอยู่ที่ไหน คนทำรูปพวกนี้บาปหนัก ไม่แน่อาจโดนฟ้องฐานหมิ่นประมาท


^ ^ สงสัยคุณสาวิกาน้อยคงไปเมื่อวันเสาร์เหมือนกัน ไม่ทราบว่าคนไหน หุหุ

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2013, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านหนังสือ "อานาปานสติ : วิถีแห่งความสุข" ท่านเขียนไว้ว่า พระโสดาบันที่เห็นโทษภัยในวัฏสงสารก็จะเร่งรีบภาวนาต่อไป เพื่อให้ถึงพระนิพพาน ผมสงสัยก็เลยไปกราบเรียนถามท่านว่า "เห็นโทษภัยในวัฏสงสารนี่คือเห็นอะไรหรอครับ" ท่านก็พูดว่า "เอ้า" แล้วก็ก้มมามองดูที่ตัวเองพร้อมกับพูดว่า "นี่ไง" แล้วท่านก็พูดว่า "แสดงว่าเรายังไม่เห็น"

รูปภาพ

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2013, 23:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


http://pantip.com/topic/30657708


ภาพแรกเหมือนภาพเก่าที่ถ่ายมานานมาก ถ้าเป็นความจริง ทำไมไม่เอาออกมาแฉตอนท่านอยู่ พอท่านลาสิกขาแบบนี้ เพื่อให้ได้ข้อคิดในทางธรรม เป็นการสอนธรรมะโดยปริยาย คนไม่เห็นกฎแห่งกรรมเลยเอาซะหน่อยเลย

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 06:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมทั้งหลาย คือส่วนที่ท่านได้กล่าว สั่งสอน อย่าทีทิฏฐิอาจารย์ ทำให้ ไม่รู้จัก ธรรม


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 09:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

เรื่องทุกอย่างท่านไตร่ตรองไว้แล้ว...
ไม่ต้องตกใจ... :b13: :b13: :b13:

:b1: :b1: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ผ่านมาก็เห็นท่านดีมาตลอด ธรรมะของท่านพิจารณาแล้วก็เห็นว่าจริง เรื่องนี้ผมก็งงจริงๆ

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 11:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


หัวหอม เขียน:
ที่ผ่านมาก็เห็นท่านดีมาตลอด ธรรมะของท่านพิจารณาแล้วก็เห็นว่าจริง เรื่องนี้ผมก็งงจริงๆ


...อย่างง...อย่ากังวล... :b12:
หนทางพิสูจน์ม้า เวลาพิสูจน์คน...(ทั้งสอง)
....
ท่านลาสิขาไป...การมีคนคอยดูแล...นั่นก็ถูกต้องแล้ว...นะ
....
ยิ่งถ้าคนที่เข้ามาดูแล...
สามารถช่วยเกื้อหนุนภาระกิจ/กิจการท่านได้...นับว่าไม่เสียหายอะไร...
....

ท่านมีเหตุผลของท่าน...จริง ๆ
อย่าเพียงแต่เห็นภาพว่า ท่านกับสีกา
แล้วคิดว่านั่นเป็นปัจจัยหลักปัจจัยเดียว...
....
ให้เวลากับทั้งสองท่านเถอะ...

:b1: :b1: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
หัวหอม เขียน:
ที่ผ่านมาก็เห็นท่านดีมาตลอด ธรรมะของท่านพิจารณาแล้วก็เห็นว่าจริง เรื่องนี้ผมก็งงจริงๆ


...อย่างง...อย่ากังวล... :b12:
หนทางพิสูจน์ม้า เวลาพิสูจน์คน...(ทั้งสอง)
....
ท่านลาสิขาไป...การมีคนคอยดูแล...นั่นก็ถูกต้องแล้ว...นะ
....
ยิ่งถ้าคนที่เข้ามาดูแล...
สามารถช่วยเกื้อหนุนภาระกิจ/กิจการท่านได้...นับว่าไม่เสียหายอะไร...
....

ท่านมีเหตุผลของท่าน...จริง ๆ
อย่าเพียงแต่เห็นภาพว่า ท่านกับสีกา
แล้วคิดว่านั่นเป็นปัจจัยหลักปัจจัยเดียว...
....
ให้เวลากับทั้งสองท่านเถอะ...

:b1: :b1: :b1:

รูปนั้นผมก็เห็นได้พักหนึ่งแล้ว แต่ไม่เอามาลงที่นี่ เพราะจะทำให้จิตผมต่ำเนื่องด้วยการเอาชนะ ทั้งๆ ที่ทิดลาสิกขาไปแบบไม่มีความผิด

ผู้บวชไม่ใช่เนื้อหาธรรม ไม่มีผู้บวชเนื้อหาธรรมก็ยังอยู่ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวผู้ที่ศรัทธาทิด ศรัทธาเพราะเนื้อธรรมหรือตัวบุคคล หากศรัทธาที่เนื้อธรรมก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เหมือนกับยาที่เภสัชกรจ่ายให้เรานั่นแหละ เราดูที่ตัวยาจากใบสั่งยาที่เราได้จากแพทย์ใหญ์คือพระพุทธเจ้า แล้วไปรับที่เภสัชกรคือพระภิกษุสงฆ์ ถึงเภสัชกรที่เคยจ่ายยาให้เราจะลาออก เราก็ยังไปรับยาจากเภสัชกรท่านอื่นได้ เพราะยังมีใบสั่งยาอยู่


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 12:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
หัวหอม เขียน:
ที่ผ่านมาก็เห็นท่านดีมาตลอด ธรรมะของท่านพิจารณาแล้วก็เห็นว่าจริง เรื่องนี้ผมก็งงจริงๆ


...อย่างง...อย่ากังวล... :b12:
หนทางพิสูจน์ม้า เวลาพิสูจน์คน...(ทั้งสอง)
....
ท่านลาสิขาไป...การมีคนคอยดูแล...นั่นก็ถูกต้องแล้ว...นะ
....
ยิ่งถ้าคนที่เข้ามาดูแล...
สามารถช่วยเกื้อหนุนภาระกิจ/กิจการท่านได้...นับว่าไม่เสียหายอะไร...
....

ท่านมีเหตุผลของท่าน...จริง ๆ
อย่าเพียงแต่เห็นภาพว่า ท่านกับสีกา
แล้วคิดว่านั่นเป็นปัจจัยหลักปัจจัยเดียว...
....
ให้เวลากับทั้งสองท่านเถอะ...

:b1: :b1: :b1:

รูปภาพ


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 12:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเลื่อมใสศรัทธาต่อบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งนั้น ถ้าใช้ให้ถูกต้อง คือเป็นอุปกรณ์สำหรับช่วยให้ก้าวหน้าต่อไป ก็ย่อมเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีข้อเสีย เพราะมักจะกลายเป็นความติดในบุคคล และกลายเป็นอุปสรรคบั่นทอนความก้าวหน้าต่อไป

ข้อดีของศรัทธาปสาทะนั้น เช่น

"อริยสาวกผู้ใด เลื่อมใสอย่างยิ่งแน่วแน่ถึงที่สุดในตถาคต อริยสาวกน้น จะไม่สงสัย หรือแคลงใจในตถาคต หรือศาสนา (คำสอน) ของตถาคต แท้จริง สำหรับอริยสาวกผู้มีศรัทธา เป็นอันหวังสิ่งนี้ได้ คือ เขาจักเป็นผู้ตั้งหน้าทำความเพียร เพื่อกำจัดอกุศลธรรมทั้งหลาย และบำเพ็ญกุสลธรรมทั้งหลายให้พร้อมบูรณ์ จักเป็นผู้มีเรี่ยวแรง บากบั่นอย่างมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย"

ส่วนข้อเสีย ก็มีดังพุทธพจน์ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย ข้อเสีย ๕ อย่าง ในความเลื่อมใสบุคคล มีดังนี้ คือ

๑. บุคคลเลื่อมใสยิ่งในบุคคลใด บุคคลนั้นต้องอาบัติ อันเป็นเหตุให้สงฆ์ยกวัตร เขาจึงคิดว่า บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรานี้ ถูกสงฆ์ยกวัตร เสียแล้ว...

๒. บุคคลเลื่อมใสยิ่งในบุคคลใด บุคคลนั้นต้องอาบัติ อันเป็นเหตุให้สงฆ์บังคับให้นั่ง ณ ท้ายสุดสงฆ์เสียแล้ว...

๓. ...บุคคลนั้น ออกเดินทางไปเสียที่อื่น...

๔. ...บุคคลนั้น ลาสิกขาเสีย...

๕. ...บุคคลนั้น ตายเสีย...

เขาย่อมไม่คบหาภิกษุอื่นๆ เมื่อไม่คบหาภิกษุอื่นๆ ก็ไม่ได้สดับสัทธรรม เมื่อไม่ได้สดับสัทธรรม ก็เสื่อมจากสัทธรรม"

เมื่อความเลื่อมใสศรัทธากลายเป็นความรัก ข้อเสียในการที่ความลำเอียงจะมาปิดบังการใช้ปัญญา ก็เกิดขึ้นอีก เช่น

"ภิกษุทั้งหลาย สิ่ง ๔ ประการนี้ ย่อมเกิดขึ้นได้ คือ ความรักเกิดจากความรัก โทสะเกิดจากความรัก ความรักเกิดจากโทสะ โทสะเกิดจากโทสะ ฯลฯ

โทสะเกิดจากความรักอย่างไร ? บุคคลที่ตนปรารถนา รักใคร่ พอใจ ถูกคนอื่นประพฤติต่อ ด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจ ดังนี้ เขาย่อมเกิดโทสะในคนเหล่านั้น ฯลฯ"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7872

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ในเรื่องของกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น รูปอะไรก็ไม่จับใจเท่ารูปผู้หญิง ผู้หญิงรูปร่างบาดตา ก็ชวนมองอยู่แล้ว ยิ่งเดินซอกแซกๆ ก็ยิ่งมองเพลิน

เสียงอะไรจะมาจับใจเท่าเสียงผู้หญิง เป็นไม่มี มันบาดถึงหัวใจ กลิ่นก็เหมือนกัน กลิ่นอะไรก็ไม่เหมือนกลิ่นผู้หญิง ติดกลิ่นอื่นก็ไม่เท่าติดกลิ่นผู้หญิง มันเป็นอย่างนั้น

รสอะไรก็ไม่เหมือน รสข้าว รสแกง รสสารพัดก็ไม่เทียบเท่ารสผู้หญิง หลงติดเข้าไปแล้วถอนได้ยาก เพราะมันเป็นกาม โผฏฐัพพะก็เช่นกัน จับต้องอะไรก็ไม่ทำให้มึนเมาปั่นป่วน จนหัวชนกันเหมือนกับจับต้องผู้หญิง


ฉะนั้น เมื่อลูกท้าวพญาที่ไปเรียนวิชากับอาจารย์ตักศิลาจนจบแล้ว จะลาอาจารย์กลับบ้าน อาจารย์จึงสอนว่า เวทย์มนต์กลมายาอะไรๆ ก็สอนให้บอกให้จนหมดแล้ว เมื่อกลับไปครองบ้านครองเมืองแล้ว มีอะไรมาก็ไม่ต้องกลัว จะสู้ได้หมดทั้งนั้น จะมีสัตว์ประเภทใดมาก็ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าจะเป็นสัตว์มีฟันอยู่ในปาก หรือมีเขาอยู่บนหัว มีงวง มีงา ก็คุ้มกันได้ทั้งสิ้น แต่ไม่รับรองอยู่เฉพาะสัตว์จำพวกหนึ่ง ที่เขาไม่ได้อยู่บนหัว แต่หากไปอยู่ที่หน้าอก สัตว์ชนิดนี้ไม่มีมนต์ชนิดใดจะคุ้มกันได้ มีแต่จะต้องคุ้มกันตัวเอง รู้จักไหม สัตว์ที่มีเขาอยู่หน้าอกนั่นแหละ ท่านจึงให้รักษาตัวเอาเอง


ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจแล้ว ทำให้อยากได้เงิน อยากได้ทอง อยากได้สิ่ง อยากได้ของ ธรรมารมณ์อย่างนั้นไม่พอให้ล้มตาย แต่ถ้าเป็นธรรมารมณ์ที่ชุ่มด้วยน้ำกามเกิดขึ้นแล้ว มันทำให้ลืมพ่อลืมแม่ แม้พ่อแม่เลี้ยงมา ก็หนีจากไปได้โดยไม่คำนึงถึง พอเกิดขึ้นแล้วรั้งไม่อยู่ สอนก็ไม่ฟัง

รูปหนึ่ง เสียงหนึ่ง กลิ่นหนึ่ง รสหนึ่ง โผฏฐัพพะหนึ่ง ธรรมารมณ์หนึ่ง เป็นบ่วง เป็นบ่วงของพญามาร พญามารแปลว่าผู้ให้ร้ายต่อเรา บ่วงแปลว่าเครื่องผูกพัน บ่วงของพญามารเปรียบได้กับแร้วของนายพราน นายพรานที่เป็นเจ้าของแร้วนั่นแหละคือพญามาร เชือกเป็นบ่วงเครื่องผูกของนายพราน

สัตว์ทั้งหลายเมื่อไปติดบ่วงเข้าแล้วลำบาก มันผูกไว้ดึงไว้ รอจนเจ้าของแร้วมา เหมือนกับนกไปติดแร้วเข้า แร้วมันรัดถูกคอ ดิ้นไปไหนก็ไม่หลุดดิ้นปัดไปปัดมาอย่างนั้นแหละ มันผูกไว้คอยนายพรานเจ้าของแร้วครั้นเจ้าของมาเห็นก็จบเรื่อง นั้นแหละพญามาร นกกลัวมาก สัตว์ทั้งหลายกลัวมาก เพราะหนีไปไหนไม่พ้น

บ่วงก็เช่นกัน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นบ่วงผูกเอาไว้ เมื่อเราติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็เหมือนกันกับปลากินเบ็ด รอให้เจ้าของเบ็ดมา ดิ้นไปไหนก็ไม่หลุด อันที่จริงแล้วมันยิ่งกว่าปลากินเบ็ด ต้องเปรียบได้กับกบกินเบ็ด เพราะกบกินเบ็ดนั้น มันกินลงไปถึงไส้ถึงพุง แต่ปลากินเบ็ด ก็กินอยู่แค่ปาก

คนติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ก็เหมือนกัน แบบคนติดเหล้า ถ้าตับยังไม่แข็ง ไม่เลิก ติดตอนแรกๆ ก็ยังไม่รู้จักเรื่อง ก็หลงเพลิดเพลินไปเรื่อยๆ จนเกิดโรคร้ายขึ้นนั่นแหละเป็นทุกข์

เหมือนบุรุษผู้หนึ่งหิวน้ำจัด เพราะเดินทางมาไกล มาขอกินน้ำ เจ้าของน้ำก็บอกว่า น้ำนี้จะกินก็ได้ สีมันก็ดี กลิ่นมันก็ดี รสมันก็ดี แต่กินเข้าไปแล้ว มันเมานะ บอกให้รู้เสียก่อน เมาจนตายหรือเจ็บเจียนตายนั่นแหละ แต่บุรุษผู้หิวน้ำก็ไม่ฟัง เพราะหิวมาก เหมือนคนไข้หลังผ่าตัดที่ถูกหมอบังคับให้อดน้ำ ก็ร้องขอน้ำกิน

คนหิวในกามก็เหมือนกัน หิวในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ล้วนของเป็นพิษ พระพุทธเจ้าได้บอกไว้ว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น มันเป็นพิษ เป็นบ่วง ก็ไม่ฟังกัน เหมือนกับบุรุษหิวน้ำผู้นั้น ที่ไม่ยอมฟังคำเตือน เพราะความหิวกระหายมันมีมาก ถึงจะต้องทุกข์ยากลำบากเพียงใด ก็ขอให้ได้กินน้ำเถอะ เมื่อได้กินได้ดื่มแล้ว มันจะเมาจนตายหรือเจียนตายก็ช่างมัน จับจอกน้ำได้ก็ดื่มเอา ดื่มเอา เหมือนกับคนหิวในกาม ก็กินรูป กินกลิ่น กินรส กินโผฏฐัพพะ กินธรรมารมณ์ รู้สึกอร่อยมาก ก็กินเอาๆ หยุดไม่ได้ กินจนตาย ตายคากาม

อย่างนี้ท่านเรียกว่าติดโลกีย์วิสัย ปัญญาโลกีย์ก็แสวงหารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ถึงปัญญาจะดีสักปานใด ก็ยังเป็นปัญญาโลกีย์อยู่นั่นเอง สุขปานใดก็แค่สุขโลกีย์ มันไม่สุขเหมือนโลกุตตระ คือมันไม่พ้นโลก

การฝึกในทางโลกุตตระ คือ ทำให้มันหมดอุปทาน ปฏิบัติให้หมดอุปทาน ให้พิจารณาร่างกายนี่แหละ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้มันเบื่อ ให้มันหน่าย จนเกิดนิพพิทา ซึ่งเกิดได้ยาก มันจึงเป็นของยาก ถ้าเรายังไม่เห็นก็ยิ่งดูมันยาก

เราทั้งหลายพากันมาบวช เรียน เขียน อ่าน มาปฏิบัติภาวนา ก็พยายามตั้งใจของตัวเอง แต่ก็ทำได้ยาก กำหนดข้อประพฤติปฏิบัติไว้อย่างนี้อย่างนั้นแล้ว ก็ทำได้เพียงวันหนึ่ง สองวัน หรือแค่สองชั่วโมง สามชั่วโมง ก็ลืมเสียแล้วพอระลึกขึ้นได้ ก็จับมันตั้งไว้อีก ก็ได้เพียงชั่วคราว

พอรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ผ่านมา ก็พังไปเสียอีกแล้ว พอนึกได้ ก็จับตั้งอีก ปฏิบัติอีก นี่ เรามักเป็นเสียอย่างนี้ เพราะสร้างทำนบไว้ไม่ดี ปฏิบัติไม่ทันเป็นไม่ทันเห็น มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น มันจึงเป็นโลกุตตระไม่ได้ ถ้าเป็นโลกุตตระได้มันพ้นไปจากสิ่งทั้งหลายแล้ว มันก็สงบเท่านั้นเอง

ที่ไม่สงบทุกวันนี้ ก็เพราะของเก่ามันมากวนอยู่ไม่หยุด มันตามมาพัวพัน เพราะมันติดตัวเคยชินเสียแล้ว จะแสวงหาทางออกทางไหนมันก็คอยมาผูกไว้ดึงไว้ ไม่ให้ลืมที่เก่าของมัน เราจึงเอาของเก่ามาใช้ มาชม มาอยู่ มากินกันอยู่อย่างนี้

ผู้หญิงก็มีผู้ชายเป็นอุปสรรค ผู้ชายก็มีผู้หญิงเป็นอุปสรรค มันพอปานกัน ถ้าผู้ชายอยู่กับผู้ชายด้วยกัน มันก็ไม่มีอะไร หรือผู้หญิงอยู่กับผู้หญิงด้วยกัน มันก็อย่างนั้นแหละ แต่พอผู้ชายไปเห็นผู้หญิงเข้า หัวใจมันเต้นติ๊กตั๊กๆ ผู้หญิงเห็นผู้ชายเข้าก็เหมือนกัน หัวใจก็เต้นติ๊กตั๊กๆ เพราะมันดึงดูดซึ่งกันและกัน

นี่ก็เพราะไม่เห็นโทษของมัน หากไม่เห็นโทษแล้ว ก็ละไม่ได้ ต้องเห็นโทษในกามและเห็นประโยชน์ในการละกามแล้ว จึงจะทำได้ หากปฏิบัติยังไม่พ้น แต่พยายามอดทนปฏิบัติต่อไป ก็เรียกว่าทำได้ในเพียงระดับของศีลธรรม แต่ถ้าปฏิบัติได้เห็นชัดแล้ว จะไม่ต้องอดทนเลย ที่มันยากมันลำบากก็เพราะยังไม่เห็น



:b39: ...คัดลอกบางตอนมาจาก...
สองหน้าของสัจจธรรม (หลวงพ่อชา สุภัทโท)

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=45717


.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสต์ เมื่อ: 29 มิ.ย. 2013, 00:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7872

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

!!! บทสนทนาระหว่างพระญาณวิสาลเถร (หลวงปู่หา สุภโร) หรือหลวงปู่ไดโนเสาร์ เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน (ภูกุ้มข้าว) ต.โนนบุรี อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ สิริอายุ ๘๗ ปี พรรษา ๖๖ กับ ครูบาพระอุปฐาก !!!

หลวงปู่ไดโนเสาร์ : ครูบา อาจารย์มิตซูโอะเป็นใคร

ครูบาอุปฐาก : เป็นหยังครับผม องค์พ่อแม่ถามทำไมครับผม

หลวงปู่ไดโนเสาร์ : ก็เมื่อเช้าเห็นโยมในศาลามาเล่าให้ฟัง ผมก็อือๆ นอไปกับเขา แต่ผมไม่รู้เรื่องนี้

ครูบาอุปฐาก : โอ๋ ขอโอกาสกราบเรียนองค์พ่อแม่ ท่านอาจารย์มิตซูโอะท่านเป็นคนญี่ปุ่นที่มาเรียนกรรมฐานในสายพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง บวชมา ๓๐ กว่าปีแล้วท่านก็สึกกลับบ้านท่านที่ญี่ปุ่น เมื่อเช้าแม่ออกมาบอกว่า ท่านสึกไปมีเมียที่ญี่ปุ่นครับผม

หลวงปู่ไดโนเสาร์ : โอ๋ มันก็ดีแล้วนี่ แล้วเอามาเล่ากันทำไม

ครูบาอุปฐาก : ขอโอกาสองค์พ่อแม่ ดียังไงครับผม พระกรรมฐานบวชมา ๓๐ กว่าปีแล้วมาสึกไปมีเมีย

หลวงปู่ไดโนเสาร์ : โอ้ย ญาท่านสีทนศาลาพันห้องนั้น สึกตอนอายุ ๙๒ ไปเอาเมียอายุ ๑๖ นี่ผมก็ยังไม่ถึง ๙๒ เด้อ (พูดแล้วท่านก็หัวเราะ)

คนบวชคนสึกมันเป็นธรรมดาโลก บางคนบวชมานานกว่าท่านอาจารย์มิตซูโอะก็ยังสึก ท่านอาจารย์หนูใหญ่ศิษย์หลวงปู่มั่น นั่งภาวนาได้ฌานได้ญาณเห็นนู้นเห็นนี่ ท่านก็ยังสึก พระอริยคุณาธาร ขอนแก่น ท่านก็สึก ในวงพระกรรมฐานเราก็มีให้เห็นอยู่ ไม่แปลกดอก ถ้าเรายังไม่แน่นอนในพระสัทธรรมมันก็มีโอกาสสึกกันทุกคน เพิ่นสึกออกไปหน่ะดีแล้ว ถ้าวิบากกรรมที่แก้เป็นพระไม่ได้ มันต้องสึกออกไปแก้ ก็ต้องตามไปแก้มัน คุณเอ้ย คนสึกก็ใช่ว่าจะเสียหาย ใช่ว่าจะเลวไปซะหมด คนอยู่ก็ใช่ว่าจะบริสุทธิ์ ใช่ว่าจะดีไปเสียหมด หยังกำลังว่าสู้ไม่ไหวก็สึกออกไปนั้นถึงจะเป็นการที่น่ายกย่อง มาสู้ทนหลอกชาวบ้านเป็นมหาโจรอยู่มันก็ตกนรกนั้นแหล่ว คนที่ทำกรรมฐานมาตั้ง ๓๐ ปี เพิ่นบ่ได้ปึกได้โง่เด้อ เพิ่นคิดเพิ่นตัดสินใจแสดงว่ากำลังของกรรมฐานที่สั่งสมมาประคับประคองอยู่ การที่เพิ่นตัดสินใจถือว่าคิดดีแล้วในแนวของเพิ่น ที่เอามาว่ามานินทากันนั้นเพราะมันขัดใจเรา มันเข้ากิเลสเรา ว่ากันคะนองปาก คุณเอ้ย เล่นกันพระเหมือนเล่นกับไฟ ว่าเพิ่นชั่ว ถ้าเพิ่นชั่วเราไม่ได้บุญนะ เราเท่าตัว ว่าเพิ่นชั่ว เพิ่นบ่ได้ชั่วเราเป็นบาปเราขาดทุน ว่าเพิ่นแล้วมีแต่เท่าทุนกับขาดทุน หากำไรไม่ได้ ลงทุนแบบนี้ไม่งอกไม่เงยนะ เอาใจไปคิดเรื่องคนอื่นมันก็ทุกข์เรื่องคนอื่น แต่เอาใจมาไว้กับสติมาไว้กับเรานี้มันบ่ทุกข์มันมีแต่กำไร เพิ่นไปดีแล้วก็แล้วกันไป คุณเอ้ย ทุกคนหันหน้าเดินไปหาพระนิพพานกันหมดนั้นหล่ะ ถึงช้าถึงเร็วขึ้นอยู่กับเราเดินกับเราลงทุนดอก มาพบพระพุทธเจ้า พบพระธรรมคำสั่งสอน พบครูบาอาจารย์พระเจ้าพระสงฆ์แล้ว อย่าให้ขาดทุนเด้อ ให้เอากำไรจากเพิ่นเด้อ



:b8: ที่มา : facebook หลวงปู่ไดโนเสาร์
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =1&theater

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสต์ เมื่อ: 29 มิ.ย. 2013, 04:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7872

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

คลิปเสียงจากประเทศญี่ปุ่น­
อาจารย์มิตซูโอะแถลง


คลิปแถลงการณ์สั้นๆ ของอาจารย์มิตซูโอะ ระบุว่า
“จดทะเบียนกันเรียบร้อยแล้ว
บวชมา ๓๘ พรรษา ไม่เคยคิดจะสึก ไม่เคยคิดจะแต่งงานในชาตินี้
แต่สำหรับแอน (คุณสุทธิรัตน์ มุตตามระ)
น่าจะเป็นเนื้อคู่มาแต่ชาติก่อน เป็นคู่บารมีของอาจารย์”





:b45: ----------------------------------- :b45:

ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว
มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด


หลวงพ่อชา สุภัทโท

ถึงความเห็นของเราจะถูก
แต่ถ้าเรายึดเข้าไว้มันก็ผิด


ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร