วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 12:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2013, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


หากได้ดอมดมดอกไม้สักดอก...รู้สึกหอม...ก็จงหอม
หากรู้สึกโกรธขึ้นมา...ก็จะแสดงความโกรธ...ก็ไม่เห็นเสียหาย
จงหัวเราะ ร้องไห้ หรือยิ้ม...แสดงออกมาเถอะ เพราะนั่นคือความจริง


การตายของสิ่งทั้งปวง เป็นเพียงการเข้าถึง...สัจจะ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ไม่นาน แปรปรวน แตกสลาย เรื่องธรรมดา ๆๆๆ


อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้น จะมีตลอดไป...อย่าคิดว่า ไม่มีทางแก้ไข
หนทางที่เร็วที่สุดคือ...เปลี่ยนอารมณ์...ท่านใดมีทุกขื ขอไห้ผ่านพ้นไปโดยเร็วไว



ทรัพย์คนดีมีน้อยพลอยได้พึ่ง
เหมือนน้ำบึงน้ำบ่อพออาศัย
ทรัพย์คนชั่วแม้มีมากมีพิษ อยู่ภายใน
กินไม่ได้ เหมือนน้ำสมุทร สุดจะเค็ม


ขอไห้ทุกคนคิดว่า...ทุกวันนี้เป็นวันสุดท้าย
แล้วทำไห้ดีที่สุด ผลที่ออกมาข้างหน้า
ย่อมหอมหวานเสมอ...หากคุณชนะใจตนเอง

ชีวิตย่อมมีสองด้านเสมอ...
มีสุขก็ต้องมีทุกข์
มีใครบ้างจะรู้ว่า...ทุกย่างก้าวอันแสนจะมีความสุขของเรา
และกำลังทรมาณก้เป็นได้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสว่า...
"เรามิได้มุสา
เราหยุดแล้วจากการก่อเวร
ละบาปและอกุศลทั้งปวง
...มีแต่ประสกนั่นแหล่ะ
ที่ยังไม่หยุดจากการทำบาปอกุศลกรรม"

เราไม่วาง เราก็เป็นทุกข์
เราไม่หยุด เราก็วุ่นวาย
เราไม่ทิ้ง เราก็ทุกข์จนตาย
ช่วยไม่ได้ ไม่ปล่อยวางเอง


ความทุกข์ยากวันนี้
มาเพื่อที่จะผ่านเลยไป
อย่ายึดติดมันเอาไว้
และก็อย่าปล่อยมันผ่านไปเฉย ๆ
เก็บบางเสี้ยวส่วน
มาแปรเป็น อาหาร
แก่ปัญญา และจิตใจของเราบ้าง


อันมีศีล สรรค์สร้าง ทางสู่โลก
ประเสริฐกว่า โชคใดใด ที่ไฝ่ฝัน
จะโชคดี โชคร้าย ต้องเลือกกัน
อย่าไหวหวั่น ถ้าทำดี มีศีลธรรม...


อันชีวิตแปรเปลี่ยนไป ไห้รู้คิด
อบรมจิต กายใจรับ แรงปรับหนอ
ใช้หลักธรรมนำทาง สร้างไว้รอ
เพื่อเสริมต่อ บุญกุศล ผลกรรมดี...


"แลเจ้าบัวชูช่องามสง่า
แลลงมาก็แลบัวเขียวฉวี
แลลงอีก็แลบัวใบไม่มี
แลอีกทีมีแต่ดอกของเจ้าบัว
...แลอย่างใดบัวก็คือบัวนั่น
แลลดหลั่นตาม บุญ-กรรม ทำสะสม
... แลใครเล่าอยากจักเกิดในบัวตม
แล มิ งม มิได้เห็นซึ่งเป็นบัว
...แลมนุษย์ชาติแลเกิดแล้ว
แลอย่าแผ้วแพ้วพาลไหเวียนหัว
แลอย่าแตกแบ่งชนชั้นเยี่ยงเจ้าบัว
แลอย่ามัว...คิดว่าตน "อยู่เหล่าใด"


ตื่น...แต่เช้าเพื่อทำบุญเพื่อตักบาตรบาตร
ตื่น...จากทาสความขี้เกียจและโง่เขลา
ตื่น...จากความเหนียวตระหนี่ที่ใจเรา
ตื่น...จากเหล่าความลุ่มหลงที่ขุ่นมัว


ไม่ใช่พรหมลิขิตขีดไห้เรา ดีบ้าง ชั่วบ้าง แต่การกระทำของเราขีดตัวเราเอง ขีดดีก็ได้ดี ขีดชั่วก็ได้ชั่ว

ถ้าเราเชื่อเรื่องกรรม การตายก็ไม่ใช่วิธีการหนีปัญหาได้ตลอดไป เนื่องจากกรรม ๆ นั้น ยังไม่ได้ชดใช้ จนหมดวาระในตัวของมันเอง เกิดชาติหน้า กรรมเก่าก็จะติดตัวต่อไปอยู่ดี


"อถ ปาปานิ กมมานิ กร°
พาโล น พ ชฌติ
เสหิ กม°เมหิ ทม เมโร
อคติทฑโฒว ต°ปปติ
คนพาล..มีปัญญาทราม
กระทำชั่วอยู่ ย่อมไม่รู้สึกว่าได้กระทำชั่ว
... แต่เขาย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตน
เหมือนถูกไฟไหม้ฉะนั้น
มา..เสกมนต์ใส่ใจกันเถอะ



"ผู้มีปัญญาที่แท้จริง..จะไม่ลืมความเมตตาที่ผัูอื่นมอบให้พวกเขาเสมอ
และพยายามทุกอย่าง..ที่จะตอบแทนอย่างเต็มที่
เขาจะไม่นำพาชีวิตไปในทางที่เห็นแก่ตัว&เนรคุณ
เพราะเขาเหล่านั้นตระหนักรู้ว่า.การใช้ชีวิตด้วยความกตัญญู&สำนึกในบุญคุณนั้นเป็นหนทางที่สง่างามที่สุดในชีวิต"





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


"เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ ต่อโลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่เลว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี เพียงด้านเดียว อย่ามัวเที่ยว มองหาเลย สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง"


ถ้าเราถูกนินทาว่าร้าย แทนที่เราจะโกรธ เรากลับสงสารคนที่เขาว่า เขานินทาเรา เพราะว่านั่นเขาสร้างศัตรูเพื่อสร้างความทุกข์ และก็นั่งคอยดูว่าคนเขานินทาว่าร้ายเรา เขาจะหาความสุขอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจิตใจของเราทรงพรหมวิหาร ๔ อยู่ปกติ ถ้าเขาคิดทำลายเราประเภทไหน อาการอย่างนั้นนั่นแหละมันจะเข้ากับเขาในไม่ช้า


ผู้ใดให้ทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนคนอื่น ตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดใหม่จะมีทรัพย์สมบัติมาก จะเป็นคนร่ำรวย เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี แต่ว่าขาดเพื่อน ขาดคนเป็นที่รัก มันก็โดดเดี่ยวแย่เหมือนกัน

บุคคลผู้ใดดีแต่ชักชวนบุคคลอื่น แต่ว่าตนเองไม่ให้ทาน ท่านบอกว่าตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดชาติใหม่ มีพรรคพวกมาก แต่ยากจน

บุคคลใดให้ทานด้วยตนเองด้วยแล้วก็ชักชวนบุคคลอื่นด้วย ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่ เป็นคนรวยด้วย มีพวกมากด้วย

บุคคลใดไม่ให้ทานด้วยตนเองด้วย แล้วไม่ชักชวนชาวบ้านด้วย จะไม่มีทรัพย์สมบัติเป็นคนยากจนเข็ญใจ เกิดเป็นคนยากจนไม่มีคนคบหาสมาคม ขอทานก็ยาก เป็นยาจก ขอทาน แล้วขอก็ไม่ค่อยจะได้ ไม่มีใครเขาอยากจะให้




คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี เกี่ยวกับอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป

การสร้างพระพุทธรูปจัดว่าเป็น พุทธบูชา ถ้าในกรรมฐานจัดว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน (การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์) ถ...้าตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดา มีรัศมีกายสว่างไสวมาก

การสร้างพระถวายด้วยอำนาจพุทธบูชาทำให้มีรัศมีกายมากเป็นคนสวย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"พุทธะปูชา มะหาเตชะวันโต" แปลว่า "การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชอำนาจมาก"

การสร้างพระพุทธรูปนี่เป็นพุทธบูชาเป็นพุทธานุสสติในกรรมฐาน ๔๐ กอง ท่านบอกว่ากำลังของพุทธานุสสติเป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่ากองอื่นก็เห็นจะจริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่นิพพานนี่ และท่านก็เป็นต้นตระกูลของพระนิพพาน ทีนี้เมื่อเราต้องการสร้างพระพุทธรูปให้สวยตามที่เราชอบเห็นแล้วก็ทำให้จิตใจสดชื่น จิตมันก็นึกถึงพระอยู่เสมอ ถ้าจิตนึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอยู่เสมอก็จัดเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าใจเราเกาะพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ตายแล้วลงนรกไม่เป็น ฉะนั้นถ้าเราชอบพระแบบไหนปางไหน ก็ให้สร้างอย่างที่เราชอบจิตจะได้เกิดศรัทธา

หลวงพ่อปานวัดบางนมโคแนะนำว่าควรหันหน้าพระบูชาไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือ ไม่ควรหันหน้าพระบูชาไปทางทิศตะวันตก หรือทิศใต้ เพราะจะทำให้สตางค์ไม่เหลือใช้

ส่วนอานิสงส์การสร้างแท่นพระนั้น ก็มีอานิสงส์เหมือนกับการสร้างพระพุทธรูป คือแท่นพระพุทธรูปเขาบกพร่องอยู่ เราทำให้เต็ม อย่างที่นางวิสาขาหรือพระสิวลีได้เคยทำมาในอดีตชาติ อานิสงส์ไม่ใช่เล็กน้อยนะ อานิสงส์ใหญ่มาก จะเกื้อหนุนให้รวย วาสนาบารมีสูง การสร้างแท่นพระหนุนพระพุทธรูป ซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าให้สูงน่ะ จะทำให้ฐานะของเราดีขึ้น

ครั้งหนึ่งมีญาติโยมถามหลวงพ่อฤาษีลิงดำเรื่องการชำระหนี้สงฆ์ว่าถ้าหากนับรวมหลาย ๆ ชาติเราไม่รู้ว่าเคยล่วงเกินของสงฆ์มามากน้อยเท่าไหร่ จะทำอย่างไรจึงจะชำระหนี้สงฆ์ได้หมด หลวงพ่อท่านกำหนดสมาธิจิตถามพระพุทธเจ้า ก็ปรากฏนิมิตเป็นพระพุทธเจ้าลอยมาตอบคำถามท่านว่า "ถ้าจะชำระให้ครบถ้วนเป็นเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก" พระหน้าตัก ๔ ศอก ถือว่าเป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า "พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้ว ๆ มา ถือเป็นการหมดกันไป" เมื่อถามว่าการสร้างพระองค์หนึ่งชำระหนี้สงฆ์ได้คนเดียวหรือกี่คน ท่านก็บอกว่า "ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ" คำว่า "คณะ" หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่าชำระหนี้สงฆ์เก่า ๆ ได้หมด แต่ถ้าสร้างหนี้ใหม่ต่อก็เป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ

เวลาถวายสังฆทานเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ตาย อย่างน้อยควรมีพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง ๕ นิ้วขึ้นไป ผู้ที่อนุโมทนารับบุญรับกุศลจะมีรัศมีกายสว่างมาก เพราะเทวดาหรือพรหมเขาแบ่งฐานะกันตามความสว่างของร่างกาย ไม่ได้ดูที่เครื่องแต่งตัว ถ้ามีผ้าจีวรด้วย ผู้อนุโมทนาจะมีเครื่องประดับสวยงามกว่าเดิม ถ้ามีอาหารด้วย ความเป็นทิพย์ของร่างกายจะดีกว่าเก่า

อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป นำมาจากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑" โดยพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี จัดทำโดย เจ้าหน้าที่ธัมมวิโมกข์


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


"เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ ต่อโลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่เลว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี เพียงด้านเดียว อย่ามัวเที่ยว มองหาเลย สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง"


ถ้าเราถูกนินทาว่าร้าย แทนที่เราจะโกรธ เรากลับสงสารคนที่เขาว่า เขานินทาเรา เพราะว่านั่นเขาสร้างศัตรูเพื่อสร้างความทุกข์ และก็นั่งคอยดูว่าคนเขานินทาว่าร้ายเรา เขาจะหาความสุขอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจิตใจของเราทรงพรหมวิหาร ๔ อยู่ปกติ ถ้าเขาคิดทำลายเราประเภทไหน อาการอย่างนั้นนั่นแหละมันจะเข้ากับเขาในไม่ช้า


ผู้ใดให้ทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนคนอื่น ตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดใหม่จะมีทรัพย์สมบัติมาก จะเป็นคนร่ำรวย เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี แต่ว่าขาดเพื่อน ขาดคนเป็นที่รัก มันก็โดดเดี่ยวแย่เหมือนกัน

บุคคลผู้ใดดีแต่ชักชวนบุคคลอื่น แต่ว่าตนเองไม่ให้ทาน ท่านบอกว่าตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดชาติใหม่ มีพรรคพวกมาก แต่ยากจน

บุคคลใดให้ทานด้วยตนเองด้วยแล้วก็ชักชวนบุคคลอื่นด้วย ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่ เป็นคนรวยด้วย มีพวกมากด้วย

บุคคลใดไม่ให้ทานด้วยตนเองด้วย แล้วไม่ชักชวนชาวบ้านด้วย จะไม่มีทรัพย์สมบัติเป็นคนยากจนเข็ญใจ เกิดเป็นคนยากจนไม่มีคนคบหาสมาคม ขอทานก็ยาก เป็นยาจก ขอทาน แล้วขอก็ไม่ค่อยจะได้ ไม่มีใครเขาอยากจะให้




คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี เกี่ยวกับอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป

การสร้างพระพุทธรูปจัดว่าเป็น พุทธบูชา ถ้าในกรรมฐานจัดว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน (การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์) ถ...้าตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดา มีรัศมีกายสว่างไสวมาก

การสร้างพระถวายด้วยอำนาจพุทธบูชาทำให้มีรัศมีกายมากเป็นคนสวย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"พุทธะปูชา มะหาเตชะวันโต" แปลว่า "การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชอำนาจมาก"

การสร้างพระพุทธรูปนี่เป็นพุทธบูชาเป็นพุทธานุสสติในกรรมฐาน ๔๐ กอง ท่านบอกว่ากำลังของพุทธานุสสติเป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่ากองอื่นก็เห็นจะจริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่นิพพานนี่ และท่านก็เป็นต้นตระกูลของพระนิพพาน ทีนี้เมื่อเราต้องการสร้างพระพุทธรูปให้สวยตามที่เราชอบเห็นแล้วก็ทำให้จิตใจสดชื่น จิตมันก็นึกถึงพระอยู่เสมอ ถ้าจิตนึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอยู่เสมอก็จัดเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าใจเราเกาะพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ตายแล้วลงนรกไม่เป็น ฉะนั้นถ้าเราชอบพระแบบไหนปางไหน ก็ให้สร้างอย่างที่เราชอบจิตจะได้เกิดศรัทธา

หลวงพ่อปานวัดบางนมโคแนะนำว่าควรหันหน้าพระบูชาไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือ ไม่ควรหันหน้าพระบูชาไปทางทิศตะวันตก หรือทิศใต้ เพราะจะทำให้สตางค์ไม่เหลือใช้

ส่วนอานิสงส์การสร้างแท่นพระนั้น ก็มีอานิสงส์เหมือนกับการสร้างพระพุทธรูป คือแท่นพระพุทธรูปเขาบกพร่องอยู่ เราทำให้เต็ม อย่างที่นางวิสาขาหรือพระสิวลีได้เคยทำมาในอดีตชาติ อานิสงส์ไม่ใช่เล็กน้อยนะ อานิสงส์ใหญ่มาก จะเกื้อหนุนให้รวย วาสนาบารมีสูง การสร้างแท่นพระหนุนพระพุทธรูป ซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าให้สูงน่ะ จะทำให้ฐานะของเราดีขึ้น

ครั้งหนึ่งมีญาติโยมถามหลวงพ่อฤาษีลิงดำเรื่องการชำระหนี้สงฆ์ว่าถ้าหากนับรวมหลาย ๆ ชาติเราไม่รู้ว่าเคยล่วงเกินของสงฆ์มามากน้อยเท่าไหร่ จะทำอย่างไรจึงจะชำระหนี้สงฆ์ได้หมด หลวงพ่อท่านกำหนดสมาธิจิตถามพระพุทธเจ้า ก็ปรากฏนิมิตเป็นพระพุทธเจ้าลอยมาตอบคำถามท่านว่า "ถ้าจะชำระให้ครบถ้วนเป็นเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก" พระหน้าตัก ๔ ศอก ถือว่าเป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า "พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้ว ๆ มา ถือเป็นการหมดกันไป" เมื่อถามว่าการสร้างพระองค์หนึ่งชำระหนี้สงฆ์ได้คนเดียวหรือกี่คน ท่านก็บอกว่า "ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ" คำว่า "คณะ" หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่าชำระหนี้สงฆ์เก่า ๆ ได้หมด แต่ถ้าสร้างหนี้ใหม่ต่อก็เป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ

เวลาถวายสังฆทานเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ตาย อย่างน้อยควรมีพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง ๕ นิ้วขึ้นไป ผู้ที่อนุโมทนารับบุญรับกุศลจะมีรัศมีกายสว่างมาก เพราะเทวดาหรือพรหมเขาแบ่งฐานะกันตามความสว่างของร่างกาย ไม่ได้ดูที่เครื่องแต่งตัว ถ้ามีผ้าจีวรด้วย ผู้อนุโมทนาจะมีเครื่องประดับสวยงามกว่าเดิม ถ้ามีอาหารด้วย ความเป็นทิพย์ของร่างกายจะดีกว่าเก่า

อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป นำมาจากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑" โดยพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี จัดทำโดย เจ้าหน้าที่ธัมมวิโมกข์


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ร่วมบุญสร้างพระประธานองค์
โทร 089-9213319

ขอเชิญร่วมบุญเททองหล่อพระพุทธโรจนะศรีสุโขนวประชานาถ สูง 9 เมตร น้ำหนัก 10 ตัน ประดิษฐาน ณ พุทธมณฑล จังหวัด สุโขทัย (ทุ่งทะเลหลวง จ.สุขโขทัย)
วันที่ 9 กันยายน 2556 เททองหล่อองค์พระ
***ร่วมบริจาคทองเหลือง หรือร่วมบริจาคเงิน ได้ที่วัดทุกแห่งในจ.สุโขทัย


โครงการหุ้มทองคำยอดฉัตรพระมหาโพธิเจดีย์ พุทธคยา
โทร.0-2280-3413-4 ต่อ 511 หรือ 09-1212-5293

ขอเชิญร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐม 2 พระองค์
ในพิธีใส่บาตรพระอุปคุตมหาเถระ (ตักบาตรเที่ยงคืน)
ณ วัดตึก ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี
(เข้าทางเดียวกับวัดสังฆทาน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สะพานพระราม ๕ )
เจ้าภาพโรงทานและเครื่องดื่ม หรือ ต้องการนำอาหารมาเลี้ยงเอง
แจ้งที่ โทร. 086-352-1438

เชิญร่วมบุญสร้างเจดีย์หลวงปู่คูณ สุเมโธ วัดป่าภูทอง จ.อุดรธานี
ชื่อบัญชี เจดีย์หลวงปู่คูณ สุเมโธ วัดป่าภูทอง
บัญชี ออมทรัพย์ เลขที่ 431 0432 069
ธนาคารกรุงไทย สาขาบ้านผือ

ถวายเทียนพรรษาและหลอดไฟฟ้า แก่วัด ๙ วัด
ร่วมบริจาคได้ที่.....

ชื่อ บัญชี.นายนัฐพงษ์ วังนันไชย
บัญชี.ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่ 596 290 4536
ประเภทบัญชีออมทรัพย์ สาขาแม่โจ้


บริจาคเงินปูกระเบื้องลานพระเจดีย์
0841768765


กองบุญพิเศษเพื่อพระประธานและพระอุโบสถ วัดถ้ำพระ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
ท่านสามารถโอนปัจจัยทำบุญไปได้ที่บัญชีของท่านเจ้าอาวาสโดยตรง:
บัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทย สาขาแม่สะเรียง
เลขที่ 5090440093
ชื่อบัญชี "พระจรัญ อภิชาโต"


ขอเชิญมาช่วยกันบูรณะซ่อมแซมหลังคาอาคารกรรมฐาน วัดราชสิทธาราม คณะ 5
http://www.madchima.org/forum/index.php ... 3#msg41113


บุญวิหารทานสร้างศาลาปฏิบัติธรรมวัดป่าสิมารักษ์ เพชรบูรณ์
085-0830735
สร้างพระนาคปรก วันอาทิตย์ที่ 14 ก.ค.56 วัดหนองแวงโพนทอง
http://www.facebook.com/profile.php?id=100006060600197


ขอเชิญร่วมสร้างบานประตู-หน้าต่าง พระอุโบสถ วัดเขานางบวช
082-2501560


เป็นเจ้าภาพจัดซื้อหิน ปรับปรุงที่ดินโดนน้ำขัง จำนวน ๕ ลำรถ
โทร ๐๘๓-๑๑๔๓๖๘๑


เชิญร่วมหล่อพื้นรอยพระบาทจำลอง วัดอมรินทราราม วรวิหาร กทม วันที่ 22 กรกฎาคม 2556
โทร. 02-411-0004


เชิญร่วมสร้างหุ่นขี้ผึ้งพระญาณสังวร (ด้วง)อาจารย์ ร.๓, ร.๔,สมเด็จโต
โทร. 084-651-7023

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี พร้อมทั้งถวายเทียนบูชาจำพรรษา ๙ วัด และอุปสมบทนาคเพื่อสมทบทุนสร้างอุโบสถ ทอดถวาย ณ วัดหนองหมี ต.หนองหมี อ.กุดชุม จ.ยโสธร

เรียนเชิญร่วมโครงการสะพานบุญข้ามกระแส ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสบทบทุนชำระค่าที่ดินและอาคาร
วัดซานฟรานธัมมาราม ประเทศสหรัฐอเมริกา ของหลวงพ่อทูล ขิปปัญโญ ลูกศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย
088-897-6431


ผ้าป่า ๑๐๐ กอง สืบต่ออายุวิทยุโทรทัศน์หลวงตา
เนื่องในโอกาสวันครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาลองค์หลวงตา
ท่านสามารถร่วมทำบุญได้ที่วัดป่าบ้านตาด หรือโอนปัจจัยร่วมบุญได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาอุดรธานี บัญชีออมทรัพย์หมายเลข 510-4-30777-8 ชื่อ “ผ้าป่า ๑๐๐ ปี ชาตกาลหลวงตา –สืบต่ออายุวิทยุโทรทัศน์ โดย หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ พระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน พระอาจารย์บำรุง นวพโล และพระอาจารย์รัฐวีร์ ฐิตวีโร”


ขอเชิญร่วมทำบุญโครงการบัตรสีชมพู เผยแพร่งานสมาธิ ร่วมกับพระธรรมมงคลญาณ วัดธรรมมงคล
เบอร์ติดต่อ 02 311 1387http://www.dhammamongkol.com/


รับเป็นเจ้าภาพบวชพระ ๓ รูป
085-833-6659

ขอเชิญร่วมกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ(พระทันตธาตุ)เขี้ยวแก้ว ในระหว่างวันพฤหัสบดีที่18กรกฎาคม2556ถึงวันเสาร์ที่17สิงหาคม2556นี้เป็นระยะเวลา1เดือน เข้ากราบสักการะ ฟรี โทร0882274051-60


เปิดรับบริจาคเครื่องกรองน้ำให้วัดยากจน
086-1050222

ร่วมบริจาคสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบทโดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย



ขอเชิญไถ่ชีวิตโค-กระบือ ถวายเป็นพระราชกุศล พระสังฆราช พระชันษา 100 ปี ‏วันที่ 3 ตค. 2556
โทร 081-2097801


โครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ
http://www.dld.go.th/rcb/rcb_proj09.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2013, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ ฯ

แปลโดยพยัญชนะ
ธมฺมา อ.ธรรม ท. จตฺตาโร สี่ อายุ อ.อายุ วณฺโณ อ.วรรณะ สุขํ อ.ความสุข พลํ อ.กำลัง วฑฺฒนฺติ ย่อมเจริญ (ปุคฺคลสฺส) แก่บุคคล อภิวาทนสีลิสฺส ผู้กราบไหว้เป็นปกติ วุฑฺฒาปจายิโน ผู้อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ นิฺจจํ เป็นนิตย์ ฯ


จิตที่คิดจะให้มันจะเบา
จิตที่คิดจะเอามันจะหนัก
ทำดีกับใครจงลืม
ใครทำดีกับเราจงจำ
เมื่อมีจิตใจดีแผ่เมตตาให้คนอื่น
ความมีความสุขไม่ต้องรอให้ใครแผ่เมตตาให้เรา เพราะความสุขเริ่มจากตัวเรา
จิตเราก่อน

ธรรมมะที่ หลวงพ่อโอภาสี แนะนำสั่งสอน ท่านจะเน้นให้ตัดทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ปล่อยวาง อย่ายึดถือ โดยเฉพาะศัตรูสำคัญคือขันธ์ ๕ ให้พิจารณาแยกออกเป็นธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เห็นแจ้งชัด ละอุปาทานที่มีอยู่ เมื่อพิจารณาเห็นจริงดังกล่าวแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่มีอยู่จะเบาบางไป สัจจะคือความจริง ได้แก่อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ และอนัตตา ความไม่มีตัวตนก็จะปรากฏขึ้น หลวงปู่จึงสอนศิษย์ยานุศิษย์ จะต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล ในธรรม โดยเฉพาะศีล 5 นั้น... ต้องถือให้ได้ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ”
และให้รู้จักเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม



เรานี่ก็หลงกันเพียงเปลือกหนังที่ห่อหุ้มเท่­านั้นเอง เหมือนขยะเน่าเสียในบ้านเราใส่ถุงดำก็ไม่ช­อบ ใส่ถุงขาวลายดอกไม้ ลายคิกขุ ก็หลงชอบโดยไม่เห็นสาระแท้ๆของมันว่าไม่ได­้มีอะไรเลย เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาเป็นอนิจจัง
(การหึงหวงก็ทำให้เป็นทุกข์)
ทุกข์เพราะอยากให้เขารักเราคนเดียว
ทุกข์เพราะกลัวเขานอกใจไปรักคนอื่น
ทุกข์เพราะเราไปยึดว่าเขาต้องเป็นของเรา
ทั้งๆที่ตัวเราของเรายังไม่ใช่ของเราเลย
นับประสาอะไรกับคนอื่น.........


"อนิจจา กรรมบินมา เหมือนมีปีก
กรรมเก่าหลีก กรรมใหม่ผลัด ผลัดเปลี่ยนผล
กรรมเก่าให้ ได้รับสุข ทุกข์ระคน
ทุกๆคน หนีไม่พ้น ผลกรรมเอย



“ลีลาวดี ดอกนี้ ช่างหอมนัก
บัวเก็บรัก ที่ระทม และขมขื่น
แล้วสลัด ทิ้งลั่นทม เพื่อชมชื่น
ตื่นรู้ตื่น เบิกบาน ในสารธรรม”


เราจะฝึกเป็นนักพายเรือที่เก่ง
เราจะไปโทษว่าคลื่นมันใหญ่ไม่ได้ โทษว่าคลื่นมัน
ใหญ่จึงทำให้เรือเราคว่ำ ถ้าโทษอย่างนั้นเราจะ
เป็นนักพายเรือที่เก่งไม่ได้ เราอยาก
เป็นนักปฏิบัติธรรมที่เก่ง เลิกดูว่าข้างนอกผิด
เลิกคิดว่าคนอื่นผิด เลิกคิดว่าสภาพแว...ดล้อม
ทั้งหลายผิด ต้องคิดว่าเราผิด เราผิดที่ทนไม่ได้
อย่าไปโทษว่าคลื่นมันใหญ่
ต้องโทษว่าเราคัดท้ายไม่เก่ง อันนี้เราถึงจะ
เป็นนักพายเรือที่เก่งได้
ถ้ามัวแต่ไปโทษข้างนอกจะไม่เก่ง
โทษฟ้าโทษดินไปเรื่อยจะไม่พัฒนา

อย่ายึดมั่นอะไรเป็นจริงเป็นจัง เพราะโลกนี้
ไม่มีอะไรจริงจัง สักแต่ว่าดูมัน เกิดเกิด ดับดับ


ความทุกข์หรือความเครียดของคนเราไม่
ใช่น้อยที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่น บางคนแม้
จะตายแล้ว ก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง
ชีวิตมีแต่หนักอึ้ง เพราะแบกแต่ภาระการงาน
และยึดมั่นเอาไว้



คนสมัยนี้คิดเก่ง แต่หยุดความคิดไม่ได้ อยู่ท่ามกลางคนหมู่มากอาจจะรู้สึกวุ่นวาย ครั้งมาอยู่กับตัวเองก็อยู่ไม่ได้ เพราะใจฟุ้งมาก, ถ้าเราสามารถเข้าถึงความสงบภายในใจ จากการที่จิตมีสมาธิรู้จักปล่อยวางความคิด เราก็จะอยู่กับตัวเองได้ จะเป็นมิตรกับตัวเองได้
อยู่นิ่ง ๆ ก็มีความสุข เพราะเราสามารถพบความสุขภายใน !

" การปฏิบัติให้มุ่งปฏิบัติเพื่อสํารวม
เพื่อความละ เพื่อคลายความกําหนัดยินดี
เพื่อความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเห็นสวรรค์วิมาน
หรือแม้พระนิพพานก็ไม่ต้องตั้งเป้า
เพื่อจะเห็นทั้งนั้นให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องอยากเห็นอะไรเพราะนิพพานมันเป็นของว่าง
... ไม่มีตัวไม่มีตน หาที่ตั้งไม่มีหาที่เปรียบไม่ได้
ปฏิบัติไปจึงรู้เอง"


สักแต่ว่าอาศัยกายนี้ประกอบกิจต่างๆ
ไปเท่านั้น ไม่ยินดียินร้าย ตื่นเต้นลิงโลด
ดีใจเสียใจ ไปกับความเปลี่ยนแปลงขึ้นลง
เจริญเสื่อม ของกายเลยแม้แต่น้อย

แม้แต่กายเราเองก็ยังต้องละ กายคนอื่นไม่
ต้องพูดถึงแล้ว


ความเจริญก้าวหน้าของการปฏิบัตินั้น
ผู้ปฏิบัติควรมีเป้าหมายที่ความหลุดพ้น (จาก
ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง) แต่
ในขณะเดียวกัน ก็จะต้องไม่มีความยึดมั่นถือมั่น
ในเป้าหมายนั้นด้วย มีเพียงความรู้สึกที่
เป็นกลางๆ อยู่เท่านั้น (ซึ่งเป็นความรู้...สึกที่ทำ
ได้ยาก)

ถ้าจะให้ง่ายกว่านั้น ก็ไม่ต้องตั้งเป้าหมายใดๆ
เลย
เพียงแต่ทำวิปัสสนาเพื่อศึกษาธรรมชาติที่แท้จริงของรูปนาม
หรือของร่างกายจิตใจเท่านั้น แล้วหลังจาก
นั้นอะไรจะเกิดขึ้น ก็ปล่อยให้
เป็นไปตามธรรมชาติของมัน ซึ่งทุกอย่างจะ
เป็นไปโดยอัตโนมัติ ตามความเหมาะสมของ
ความรู้และปัญญาที่เกิดขึ้น

การละบาปก็ด้วยการเลิกทำบาป แต่การละบุญ
นั้นต้องให้ความเต็มรอบของสติเป็นตัวละ ไม่
ใช่ละบุญด้วยการเลิกทำบุญ


ธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ คือ ปฏิจจสมุปบาท
และ นิพพาน ซึ่งพระองค์ทรงสั่งสอนหมู่สัตว์
ในรูปของอริยสัจ ๔ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความ
เข้าใจ ต่อการนำไปปฏิบัติ)

ดังจะขอยกมาบันทึกไว้ดังต่อไปนี้
... “ ความเปลี่ยนแปลงไปนี้ของชีวิต
ของทุกๆสิ่งมีอยู่ตลอด เหมือนอย่างกาลเวลานี้
เปลี่ยนแปลงไปอยู่ทุกขณะ ไม่มีหยุด กาลเวลา
ไม่มีหยุดที่จะล่วงไปๆ ต้องเปลี่ยนแปลงไป
สังขารชีวิตร่างกายทุกๆสิ่งในโลกก็ไม่มีหยุด
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป
เพราะฉะนั้น เมื่อกำหนด
ให้รู้จักสังขาร จึงต้องกำหนดให้รู้จัก วิปริณามะ
อันเป็นลักษณะของสังขาร อันได้แก่
ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง นี่เป็นวิธีพิจารณา

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึง
ได้ทรงสอนวิธีกำหนดให้รู้จักทุกข์ไว้ ๓ อย่าง
ข้อหนึ่ง ก็คือ ทุกขทุกขะ
ให้รู้จักทุกข์ว่าเป็นตัวทุกข์
ข้อสอง สังขารทุกขะ
ให้รู้จักว่าทุกข์ก็คือสังขาร สิ่งที่ผสมปรุงแต่ง
ทั้งหมด
ข้อสาม วิปริณามทุกขะ
ให้รู้จักวิปริณามทุกข์ ทุกข์ก็คือ
ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เกิดจนถึงดับ
มีเกิดเบื้องต้น มีดับเป็นที่สุดดั่งนี้

ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม เพราะฉะนั้น ท่านที่ได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อฟังเทศนาของพระพุทธเจ้า ดังท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อฟังปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าที่ตรัสแสดงอริยสัจ ท่านฟังแล้วท่าน เข้าใจ จับประเด็นสำคัญได้
คือ ท่านเห็นทุกข์ เห็นทุกขทุกขะ ตัวทุกข์ว่า
เป็นตัวทุกข์ เห็นสังขารทุกขะ ทุกข์คือสังขาร
สิ่งผสมปรุงแต่ง เห็นวิปริณามทุกขะ ทุกข์คือ
ความแปรปรวน เปลี่ยนแปลง ต้องเกิดต้องดับ
ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม ของท่านจึงแสดง
ไว้ว่า ท่านเห็นว่า

ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สิ่ง
ใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งนั้น
ทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา ดั่งนี้

คือ ท่านเห็นทุกขทุกขะ
เห็นสังขารทุกขะ เห็นวิปริณามทุกขะ ทุกๆสิ่ง
เป็นสังขาร สิ่งผสมปรุงแต่งเป้นตัวทุกข์
เป็นตัวสังขาร และเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ
ทั้งสิ้น อันนี้แหละเป็นธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม”


ปัญหา คนเราที่ไม่รู้ความจริงแท้ ย่อมมีความเห็นแตกต่างกัน
และทะเลาะวิวาททุ่มเถียงกัน
มีคนประเภทใดบ้างที่ไม่ทุ่มเถียงกับใคร ๆ ?

พุทธดำรัส ตอบ “อัคคิเวสสนะเวทนา ๓ อย่างนี้คือ สุขเวทนา๑ ทุกขเวทนา๑ อทุกขมสุขเวทนา๑
อัคคิเวสสนะสมัยใดได้เสวยสุขเวท...นาในสมัยนั้น
ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา
ได้เสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนา เท่านั้น
ในสมัยใดได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา
ไม่ได้เสวยแต่ทุกขเวทนา ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา

“อัคคิเวสสนะ สุขเวทนา......
ทุกขเวทนา....... อทุกขมสุขเวทนา.....
ไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่งขึ้นอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
มีความสิ้นไป เสื่อมไป คล้ายไปดับไปเป็นธรรมดา

“อัคคิเวสสนะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งใน ทั้งสุขเวทนา ทั้งทุกขเวทนา ทั้งอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
อัคคิเวสสนะ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้แล
ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใคร ๆโวหารใดที่ชาวโลกพูด
กันก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฐิ”




รู้ได้ จึงละได้ ละได้ จึงรู้ได้ ถ้ารู้แล้วยัง
ไม่ละก็แสดงว่ายังไม่รู้ ถ้าละแล้วยัง
ไม่รู้ก็แสดงว่ายังไม่ละ

ถ้าเห็นโทษแล้วแต่ยังละไม่ได้ ก็แสดงว่ายัง
ไม่เห็นโทษ



ครูอาจารย์ดีๆ มีอยู่มากก็จริง
แต่สำคัญที่เราต้องปฏิบัติให้จริง
สอนตัวเองให้มากนั่นแหละจึงจะดี

การปฏิบัติถ้าหยิบตำราโน้นนี้มาสงสัยถามมักจะ
โต้เถียงกันเปล่า โดยมากชอบเอาจากอาจารย์โน่นนี่ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้มา…การจะปฏิบัติให้รู้ธรรมเห็นธรรม...ต้องทำจริงจะได้อยู่ที่ทำจริงเอาให้จริงให้รู้ถ้าไปเรียนกับครูอาจารย์อื่นโดยยังไม่ทำให้จริงให้รู้ก็เหมือนดูถูกดูหมิ่นครูบาอาจารย์






เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2013, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเราเชื่อคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เราจะเป็นอุบาสก อุบาสิกา ก็เป็นอยู่ในวงศ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จะเป็นภิกษุสามเณร ก็อยู่ในวงศ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า

พระพุทธเจ้ามีอะไรมาแจกให้ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ให้แพร่หลายมาจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่วันแรกมา พระองค์ได้แสดงในพระสงฆ์หมู่ใหญ่ตั้ง ๒,๐๐๐ องค์ขึ้นไป

เมื่อพระองค์แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ให้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาโดยสมบูรณ์แล้ว พระอรหันต์หมู่ใหญ่ก็ร้อยกรองต่อๆ มา จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม ศีลอุโบสถก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม เมื่อพระองค์แสดงไว้อย่างนั้น มีศีลโลกียศีลด้วย โลกุตตรศีลด้วย มีทั้งโลกียธรรมและโลกุตตรธรรม

เมื่อพระอรหันต์ได้ร้อยกรองมาถึงพวกเราปัจจุบันนี้ ได้เรียนในพระวินัยปิฎกด้วย เรียนพระสุตตันตปิฎกด้วย เรียนพระอภิธรรมด้วย เราทุกวันนี้เรียนโลกุตตรธรรมก็เพื่ออะไร เพื่อบุญกุศลนี้มารักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไม่ให้ตกไปในบาป ในอกุศล ให้เจริญแต่บุญกุศลอย่างเดียว

บุญคืออะไร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ทำบาป ก็เป็นบุญอยู่แล้ว กาย วาจา ใจ ไม่มีบาป กายกรรมไม่กระทำบาป วจีกรรมไม่กระทำบาป มโนกรรมไม่คิดถึงบาปแล้ว มีแต่คิดเป็นบุญเป็นกุศลอยู่แล้ว พร้อมด้วยกาย วาจา ใจ และพร้อมด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขอให้ว่างจากบาปจากอกุศล แล้วจะได้ขึ้นสู่โดยมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรมโดยเร็ว ให้ถึงอริยมรรค ๔ อริยผล ๔

เมื่อถึงอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ โดยสมบูรณ์แล้ว ความเกิดย่อมไม่มีแก่ผู้ไปถึงแล้ว ความตายย่อมไม่มีแก่ผู้ไปถึงแล้ว ความเกิดเป็นทุกข์ก็หมดไปเอง จะว่างจากกาย วาจา ใจไปเอง ทางกายเป็นทุกข์ก็ว่างไปเอง ความไม่เกิด ไม่ตายก็มีอยู่ในธรรมะนั่นเอง

ขอให้ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้รักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของหมู่มนุษย์และเทวดา พรหมทั้งหลาย ให้เข้าสู่ในโลกุตตรธรรมโดยฉับพลัน




อย่าทิ้งศรัทธา สติปัญญา ญาณวิชชา ขอให้มาอบรมในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ ให้รู้ธรรมเห็นธรรม ในธรรมที่เกิดดับก็มี ธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับก็มี ทั้งกรรมดำ-กรรมขาวก็มี กรรมไม่ดำ-กรรมไม่ขาวก็มี เราจะได้เลือกเส้นทางถูก

ธรรมทั้งหลาย ปริยัติก็ดีก็เป็นธรรม ปฏิบัติก็ดีก็เป็นธรรม ปฏิเวธธรรมก็ดีก็เป็นธรรม ขอให้เรารู้เห็นธรรมโดยเป็นทางฝ่ายปริยัติ ฝ่ายปฏิบัติ และฝ่ายปฏิเวธธรรม

ธรรมที่พ้นทุกข์ย่อมไม่มีตาย ธรรมที่ยังเวียนเกิดเวียนตาย ยังทำให้เกิดเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ นี้เป็นทุกข์อยู่ในสามภูมิ กามภูมิจิตนี่ยังมีเกิดมีตาย รูปภูมิจิตยังมีเกิดมีตาย อรูปภูมิจิตยังมีเกิดมีตายอยู่ ไปดูโลกุตตรภูมิโน่น ให้พร้อมไปด้วยสมบูรณ์ไปด้วยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ นั่นนะ

เราดับเหตุของสมุทัยได้แล้ว เหตุให้เกิดทุกข์ก็ไม่มี ทุกข์ดับแล้ว เหตุจะให้เกิดติดสุขทุกข์หนึ่งก็ไม่มี มีแต่ว่าดับเหตุได้แล้ว ได้รับผลไม่ได้เกิดไม่ได้ตายนั่นเอง เป็นนิโรธสัจไปตามอายตนะของเรานั่นเอง

ผัสสะมาทางตาก็เป็นนิโรธสัจไป ดับแห่งทุกข์ไป ดับแห่งเหตุให้เกิดทุกข์ไม่มี สมุทัยไม่เกิดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจแล้ว นับว่าเราได้ผลดี

ขอให้เจริญจิตอยู่ รู้นิโรธ จิตไปสมุทัยเกิดทุกข์ จิตอย่าได้วุ่นวายกับอารมณ์ ๖ เลย อารมณ์รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ย่อมเกิดดับเป็นธรรมดา ภายนอก ๖ ภายใน ๖ ย่อมเกิดย่อมดับอยู่เป็นธรรมดา ส่วนนิโรธสัจไม่เกิดไม่ดับจึงไม่มีเกิดเป็นทุกข์ ไม่มีตายเป็นทุกข์

อย่าได้เกิดอย่าได้ตายกัน ให้พ้นจากธรรมเกิดธรรมตายเสีย ให้พ้นจากธรรมกรรมดำกรรมขาวเสีย กรรมไม่ดำ กรรมไม่ขาวนี้ เป็นกรรมไม่เกิดกรรมไม่ตาย




แต่ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร อยู่ในพุทธจักรทำงานได้ ๗๐ ปี อยู่ในอาณาจักร ๒๘ ปี มีอะไรใส่ทางปากไหลออกทางตูด ... ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม-อากาศภายในก็มี ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศภายนอกก็มี เขาก็ไม่มีที่จะเรียกอะไรหรอก เขาไม่ลืมกัน เราจะไปหลงลืมทำไม

เพราะฉะนั้นให้หายหลงหายลืมกันเสีย ให้เจริญวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก จิต เจตสิก รูป นิพพาน ทั่วหน้ากัน อย่าได้ไปทางอื่นเลย

นิพพานอยู่ที่ไหน อยู่ที่กายเดียวจิตเดียวนี่เอง สักกายนี้นิโรธออกมาพิจารณาแสดงองค์เดียว เรียกภิกขุนี ๕๐๐ ภิกขุนี้ทั้งหลายเป็นผู้บรรลุธรรม เป็นอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์ แสดงสักกายนิโรธ สักกายสมุทัย

สักกายสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ละเสีย ถ้าเราเจริญวิมุติ สักกายนิโรธ ก็พ้นจากสังโยชน์ ๑๐ อนุสัย ๗ หมดแล้วก็ไม่มีอะไร ก็มีแต่ธรรมชาติ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ เท่านั้นเองแหละ รูป เวทนา สังขาร สัญญา วิญญาณ ก็เป็นสภาวะเฉยๆ ไม่มีสัตว์มีคน ไม่มีอะไร

มันมีเกิดมีตาย ให้พ้นเกิดพ้นตายกันเสีย ถ้าหากว่าเกิดเดี๋ยวนี้ เราก็รู้ได้เกิดเป็นทุกข์ ตายเดี๋ยวนี้ก็รู้ว่าตายเป็นทุกข์ ไม่เกิดไม่ตายก็พ้นทุกข์ได้แหละ จะไปไหน


..........ตั้งแต่อดีตมาก็มีแต่หนังแผ่นเดียวกับกายเดียว จิตเดียวเป็นนิโรธ หลายกายหลายจิตเป็นสมุทัย เพราะฉะนั้นให้เลิกละกันเสีย ให้ละสักแต่ว่าสังโยชน์เบื้องต่ำไปจนถึงเบื้องสูง

แต่เบญจศีล เบญจธรรม มันก็อยู่ที่กายเดียวจิตเดียวนี่เอง ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ของสามเณรก็อยู่นี่เอง ศีลปาฏิโมกข์ก็อยู่นี่เอง ศีลภิกขุนี นิพพานศีลทั้งหลายเป็นศีลที่ไม่ตาย สมาธิก็ไม่ตาย ปัญญาก็ไม่ตาย เพราะฉะนั้นให้พากันเจริญอธิศีล อธิจิต อธิปัญญากันทั่วหน้ากัน

นั่งอยู่เดี๋ยวนี้ตัวไม่ตายก็ตัวอยู่ปัจจุบัน ถ้าไปเกี่ยวข้องอดีตอนาคต หลงไปก็หลงเกิดตาย

ให้เจริญวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก จิต เจตสิก รูป นิพพาน สภาวะก็เป็นธรรม พระสูตรก็เป็นธรรม ปฏิบัติก็เป็นธรรม พระวินัยก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นปริยัติก็เป็นธรรม ปฏิบัติก็เป็นธรรม ปฏิเวธก็เป็นธรรม

ให้มีนิโรธธรรมโดยทั่วหน้ากันโดยฉับพลัน


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2013, 08:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


กาย วาจา ใจนี้มีมาแต่อดีตแล้ว มาถึงปัจจุบันด้วย ตัวเรามาเกิดก็มีปู่ มีย่า มีตา มียาย มีมารดาบิดา เป็นพื้นรองรับอยู่เสมอไป พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็มีพุทธมารดาบิดาเหมือนกัน จึงได้เป็นเหตุผลซึ่งกันและกันว่า ทำไมมีพระพุทธเจ้าแล้ว-มีพระธรรมแล้ว-มีพระสงฆ์แล้ว จะต้องมีหมู่มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม เข้าไปศึกษาในโลกุตตรธรรม

จึงได้มีเหตุมีผลต่อเนื่องมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาจนถึงปัจจุบันนี้แหละ อนาคตหมดเมื่อไร ไม่มีหมด ธรรมชาติก็คือกฎธรรมดา ถ้าไม่มีกาย วาจา จิต รองรับปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เขามาเกิดในหมู่มนุษย์ไม่ได้ จะเป็นเทวดา เป็นพรหมไม่ได้ จะขึ้นไปเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ โลกุตตรธรรมไม่ได้


..........กฎธรรมดาต้องมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อย่างอุปัชฌาย์สอนภิกษุสามเณรในโบสถ์ แล้วต้องมีอธิศีล ศีลอยู่ที่จิต อธิจิตรับได้ทั้งศีลทั้งสมาธิด้วย อธิปัญญารับได้ทั้งปัญญาด้วย ถ้าหากไม่มีกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ สัมมาอาชีวะมาแต่อดีตแล้ว อยู่ในท้องก็เป็นคนไม่ได้ ในวินัยปิฎกห้ามไว้ไม่ให้มนุษย์ฆ่ามนุษย์ ทั้งในครรภ์และนอกครรภ์ เป็นบาป กฎหมายสัมมาทิฏฐิ มนุษยธรรมมีมาแต่ในท้อง นอกท้องก็มี

มนุษย์อย่างนี้คือมนุษย์ที่จะต้องรับพระธรรมเทศนาของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะไปรับถึงเทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม เพราะพื้นเดิมมีกาย วาจา จิตแล้วกายกรรม ๓ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เรียกว่า กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ ไม่ได้พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ เป็นสัมมาวาจาอยู่ในตัวของมันเอง

สัมมาอาชีวะมีผัสสาหาร มโนสัญญาเจตนาหาร วิญญาณาหาร อย่างที่เมื่อมาอยู่ในครรภ์มารดาก็ต้องอาศัยอาหารมารดานั่นเอง ส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายมาจนครบสิบเดือนแล้ว พระสาวกก็ ๑๐ เดือน เว้นไว้แต่องค์ที่พิเศษบางองค์ต้องอยู่นานกว่านั้นๆ เมื่อคลอดออกมาแล้วก็ไม่มีอะไร มีน้ำนมมารดานี่เอง พระเจ้าแม่น้าก็เป็นแม่เลี้ยงของพระพุทธเจ้าของเรา พระชนนีคลอดได้เจ็ดวันก็ทิวงคตไปแล้ว พระราชกุมารจะอยู่กับใคร ก็อยู่กับพระแม่น้านี่เอง พ่อเดียวกันแต่คนละแม่กับนันทกุมารเขามีมาอย่างนี้

ปัจจุบันนี้จะห้ามมนุษย์ไม่ให้มีมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม จะไม่ให้มีโลกุตตรธรรมห้ามไม่ได้ ฝ่ายดีก็ห้ามไม่ได้ ฝ่ายสัมมาทิฏฐิก็มีจริง ฝ่ายมิจฉาทิฏฐิที่มนุษย์มีแต่ร่างกาย แต่จิตใจยังไม่เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ไม่เว้นจากกาม ไม่เว้นจากปาณาติบาต อทินนา กาเม มุสา สุราพวกหนึ่ง

พวกหนึ่งนั้นเห็นโทษกายกรรม ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เห็นโทษของกาเม มุสาวาท กิเลสสี่ตัวนี้ลามก จะเป็นเดรัจฉานหรือเป็นร่างกายมนุษย์ก็ลามก คบกิเลสลามกแล้วเสวยกรรมชั่ว กายไม่เว้นฆ่าสัตว์ ไม่เว้นลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามอยู่ ยังมุสาวาทอยู่ ก็เป็นอบายภูมิทั้งสี่ มันไม่ต่างกับเดรัจฉาน เปรต อสุรกายเลย มันเป็นพวกเดียวกัน แต่ต่างกายเนื้อหนังกัน

เพราะฉะนั้นอุปัชฌาย์จึงได้ถามว่าเกศามีหรือไม่ มีโลมา นะขา ทันตา ตะโจ มนุษย์โสสิมีจริงหรือ มีจริง ปุริโสสิเป็นมนุษย์ชายจริงหรือ จริง บรรพชาไม่มีขัดข้อง อุปสัมปันโนมี ๒๕ รูป คัดค้านไม่ได้ตั้งแต่นั้นมา ถ้าหากว่าทำแบบเดิมอย่างอุปัชฌาย์สอน ๒๕ รูป ได้อบรมให้มีกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ สัมมาอาชีวะ

เมื่อมีอย่างนี้ก็พร้อมไปด้วยองค์ ๘ ประการเหมือนกัน กายกรรม ๓ มีศีลสามตัว วจีกรรม ๔ มีศีลสี่ตัว รวมเป็นเจ็ดตัว พวกสัมมาอาชีวะเขาไม่กินอาหารดิบ เขากินอาหารสุก เขาไม่ได้ร่วมกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ สัมมาอาชีวะเขาไม่ร่วม จึงเป็นอุบาสกอุบาสิกาขึ้นได้

ทำไมอุบาสก ๗ ขวบ บรรลุโสดาได้ อุบาสิกาบรรลุพระโสดา ๗ ขวบได้ สามเณร ๗ ขวบบรรลุอรหันต์ได้ เพราะมีมาแต่พื้นเดิมรองรับแล้ว พอออกจากโบสถ์มาหรือว่าเดินมาแต่เจ็ดปีมาแล้วไปเรียนมากๆ เข้า เอาขยะมูลฝอยอะไรผสมเข้าไป เอาโลภะมูล ๘ ผสมเข้า โทสะมูล ๒ โมหะมูล ๒ มาผสมเข้า เอาราคะมาถมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเข้า

ถ้ามานั่งดูปัจจุบัน ภิกษุก็ตาม สามเณรก็ตาม อุบาสก-อุบาสิกาก็ตาม กายเดียวจิตเดียวไม่มีราคะ โทสะ โมหะ พื้นมันดีแล้ว ปกติกาย วาจา ปกติตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อาจจะเป็นศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๕ ก็ได้ ศีลอุโบสถก็ได้ หรืออาจจะเป็นศีล ๑๐ ก็ได้ อาจจะเป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาในธรรมคุณนั้นก็ได้


..........ในธรรมคุณนั้นมีกายนั่งกายเดียว กายเดิน กายยืน กายนอนไม่มี จะอาบน้ำ ห่มผ้า ถ่ายมูตร ถ่ายคูถ ไม่มี กายขี้กายเยี่ยวก็ไม่มี กายกินข้าว กินน้ำไม่มี ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เป็นปกติแล้ว ถึงนั่งอยู่อย่างนี้ก็เป็นปกติ นอน ยืน เดิน เป็นปกติ อาบน้ำ ห่มผ้า ถ่ายมูตร คูถ เป็นปกติไม่หลงเสียเลย จะบวชหรือไม่บวชไม่มีปัญหาอะไร มันหมดกิเลสแล้วก็แล้วกันเท่านั้นเอง

อายุ ๗ ขวบก็ได้ อายุ ๘๐ ปีก็ได้ อย่างนี้น่านิยม ในคำสอนของพระพุทธศาสนาว่า ปริยัติก็ชี้มาให้รู้จักทุกข์ ให้พ้นทุกข์ ปฏิบัติให้รู้จักทุกข์กายทุกข์ใจ ให้พ้นทุกข์กายทุกข์ใจนั่นเอง ปฏิเวธให้พ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตายนั่นเอง เรียกว่าพ้นทุกข์แล้วอยู่กับธรรมะ อยู่กับปริยัติก็ได้ อยู่กับปฏิบัติก็ได้ อยู่กับปฏิเวธธรรมก็ได้


..........ขอเชิญชวนพี่น้องชาวพุทธทั้งหลายให้พร้อมเพรียงกัน เจริญกายบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ปัจจุบัน วาจาบริสุทธิ์ปัจจุบัน จิตบริสุทธิ์ปัจจุบัน ให้เป็นเหตุเป็นปัจจัยไปสู่มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม อย่างต่ำๆ ไปพักอยู่โสดา สกิทาคา อนาคาก็ได้

ถ้าไม่อยากพักก็ตัด ตัดสังโยชน์เสีย อนุสัยเจ็ดเสียแล้ว ไม่มีอวิชชาสวะ ไม่มีอวิชชาสังโยชน์ ไม่มีอวิชชานุสัย นั่นแหละเรียกว่าพ้นทุกข์ ไม่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกๆ วัน อย่างนี้เรียกว่าธรรมชาติของสัตว์




ในรูปของตัวก็ไม่มีราคะ ความกำหนัดก็ไม่มี ผลของการกระทำเกิดขึ้นอย่างนี้จึงได้มั่นใจทำ ไม่มีกาลไม่มีสมัย ไม่ให้คลายความเพียร

หรือเจริญปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อาโปธาตุ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ เป็นธาตุ ๖ กรรมฐานทั้งหลาย เห็นเป็นดิน ๒๐ น้ำ ๑๒ ไฟ ๔ ลม ๖ ตลอดถึงอนุสติ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กสิณ ๑๐ หรือเจริญในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นเป็นไตรลักษณะ เป็นสามัญลักษณะเสมอกัน จึงได้ค้นดูในตนว่า ใครเกิด ใครแก่ ใครเจ็บ

กัมมัฏฐานทั้งหลายกำจัดกิเลสได้ทุกประเภท กำจัดราคจริต โทสจริต โมหจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต พุทธจริต ของตนได้ทั้ง ๖ จริต ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนี้ ตนได้ทำมาแล้วสมถกัมมัฏฐาน ภาวนาเป็นประโยชน์ส่วนตัว ผู้ที่ทำเข้าใจใช้กำจัดกิเลสทั้ง ๖ ได้ ไม่ต้องเลือกว่าสูตรไหน บทไหน ทำให้จิตใจไม่เศร้าหมองใช้ได้ทั้งนั้น

ได้กระทำมาอย่างนี้จึงได้เห็นว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริงอยู่ทุกเมื่อที่ใจของเรา จึงมีสติมั่นคงตั้งมั่น สัมปชัญญะความรู้ตัว นึกถึงกาย เวทนา จิต ธรรมมีอยู่ที่เรา ไม่ต้องไปถามผู้อื่น ผู้ปฏิบัติต้องมีสติเพ่งบริกรรมอยู่ที่เราเสมอ เดิน ยืน นอน นั่ง ทุกลมหายใจเข้า ออก ทำเหตุอย่างนี้ติดต่อมาถึง ๔ พรรษาจึงได้รู้แจ้งชัดในศีล สมาธิ ปัญญา ว่ามีอยู่ที่ตัวเราทุกเมื่อ


..........ผู้ปฏิบัติทำเหตุอย่างนี้ให้ติดต่อแล้วคงได้รับผลเหมือนกัน กระทำจริงเห็นจริง เห็นทั้งนรก เห็นมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก มีอยู่ที่เราแจ้งชัดอย่างนี้ จึงน้อมไปดูอดีตที่เราเป็นมาอย่างไร ทั้งดีทั้งชั่วและปัจจุบันที่เราเป็นอยู่ และน้อมไปดูอนาคตที่ข้างหน้าเราหวังอะไร

เมื่อเห็น ๓ กาลนี้มารวมอยู่ในปัจจุบัน มีแต่ความสุจริตกาย วาจา ใจ จำเพาะหน้า จึงได้ละทุจริตทั้ง ๓ ไม่ทำต่อไป ละชั่วทำดี เป็นผู้เห็นชอบว่าเราเป็นสัมมาทิฏฐิ กาย วาจา เป็นศีล ความมั่นใจเป็นสมาธิ ความรู้ในกองสังขารเป็นปัญญา ไม่ปรุงทางดี ทางชั่ว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเป็นผู้พ้นเวลานั้น เจตนาที่จะล่วงไม่มีแก่เรา มรรค ๘ เป็นที่ประชุมอยู่จำเพาะ นำผู้ปฏิบัติ เมื่อทำได้แล้วการเสื่อมไม่มี

เมื่อน้อมศีล สมาธิ ปัญญาใส่ใจแล้ว ใจที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่มีในที่นั้น แต่ก่อนเราไม่รู้ จึงถือเอารูปมาเป็นตน เอาตนไปเป็นรูป ว่าเราดีเราชั่ว ว่าเราทำได้ เราเป็นผู้วิเศษ ว่าเราเป็นผู้พ้น สักกายทิฏฐิก็ยังมีอยู่นั่นเอง รูปนามของเราเป็นอยู่อย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น

ยกตัวอย่างธาตุสี่มีอยู่ที่เรา ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้สูญไปไหน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มีอยู่ที่เรา ดิน ฟ้า อากาศภายใน ภายนอกก็มีอยู่ตามเดิม ตามสัตว์ ตามบุคคล เสมอกัน รู้จริงอย่างนี้เรียกว่า “วิปัสสนาญาณ” ความรู้อย่างนี้ไม่มีลืม ไม่มีหลง รู้เท่าความเป็นจริง จึงไม่เจือด้วยทุกข์ เห็นเป็นกลางทั่วไปทั้งภายในและภายนอก ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนี้ เรียกว่า เห็นธรรม

ถ้าใจยังมีทุกข์อยู่ไม่ใช่ธรรม ใจไม่ทุกข์เป็นธรรม ธรรมในที่นี้หมายเอาธรรมที่ไม่แปรผัน จึงได้ตั้งตนอยู่ในมโน ความนอบน้อมต่อคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณมารดาบิดา คุณอุปัชฌาย์อาจารย์ เป็นผู้อ่อนน้อมทางกาย วาจา ใจ จากอกุศลกรรมบถ ๑๐ “ไม่ทำบาป” ประพฤติกาย วาจา ใจ อยู่ในกุศลกรรมบถ ๑๐ ไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง

และมีหิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปมาแต่เดิม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พรหมวิหารทั้ง ๔ นี้ มีติดต่อมาเป็นลำดับตลอดมาถึงปัจจุบันวันนี้ และไม่เคยลำเอียงต่อหมู่เพื่อนมนุษย์ชายหญิงทั้งหลาย ตลอดถึงสัตว์เดรัจฉานตั้งแต่เดิมถึงวันนี้เหมือนกัน


..........บางคราวได้เคยนึกในใจว่าเพศหญิง เพศชาย เป็นมารดาบิดาของเราทั้งโลก เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป แต่ไม่ชัด ออกบรรพชาแล้วเจริญกัมมัฏฐานต่อ เมื่อจิตสงบแล้วไม่ฟุ้งซ่าน ความเห็นก็แจ้งชัดขึ้นเป็นลำดับ ก็เห็นมาจากเพศฆราวาสนั่นเอง และไม่ดูหมิ่นสัตว์บุคคลทั่วไป ไม่ประพฤติชั่วตั้งอยู่ในนะโมด้วยประการข้อที่ ๑

เป็นผู้ประพฤติกาย วาจา ใจคารวะทั้ง ๖ คือ เคารพคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เคารพในความศึกษา เคารพต่อความไม่ประมาท และปฏิสันถาร มีประจำสันดานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะไปสารทิศใด มีสติสัมปชัญญะเคารพต่อคารวะ ๖ ประการนี้เสมอ เป็นประการที่ ๒

ความประพฤติกาย วาจา ใจ ไม่เป็นผู้เลี้ยงยาก เป็นผู้เลี้ยงง่าย ว่าง่ายสอนง่าย เป็นผู้ตั้งตนอยู่ในความมักน้อยสันโดษมาแต่เดิม บวชวันแรกเคยไปอยู่หมู่ไหนคณะไหน เข้าไปตั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทำกิจของเราที่ทำได้ช่วยหมู่คณะ เห็นพระภิกษุสามเณรเป็นไข้ ตลอดถึงอุบาสก อุบาสิกา เข้าไปตั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ปฏิบัติโดยสมควร ไม่ให้ผิดกับพระวินัย และแนะนำสั่งสอนเท่าที่จะทำได้ และแบ่งปันลาภสักการะได้มาโดยชอบธรรม โดยชอบวินัย เป็นผู้ไม่ตระหนี่ ได้ตั้งตนไว้ไม่เห็นผิดจากหมู่คณะที่ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ให้วิวาทกับหมู่คณะ ไม่ถือบุคคลเป็นใหญ่ ความประพฤติ กาย วาจา ใจ เป็นมาดังนี้ โดยประการข้อที่ ๓


..........ดังที่ได้พรรณนามานี้เป็นข้อปฏิปทา ประพฤติกาย วาจา ใจเสมอมา จึงได้รับผลเป็นมาดังนี้ยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยอำนาจข้อปฏิบัติกาย วาจา ใจ พ้นจากความยินดียินร้าย ลงท้ายที่สุดถือธรรมาธิปไตย ไม่ถือโลกาธิปไตย ปฏิบัติไม่เป็นไปเพื่อโลก ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ให้ลำเอียงทั้งเพศบรรพชิตและคฤหัสถ์ ตลอดถึงสัตว์ดังได้กล่าวแล้วเบื้องต้น ท่ามกลาง แลเบื้องปลาย ตลอดถึงสัตว์เดรัจฉานทั่วไปเห็นเป็นสามัญลักษณะเสมอกัน ความเกิดความสามัคคีเสมอกัน นี่เป็นข้อปฏิบัติไม่เลือกหน้าบุคคล ไม่ว่าประเภทไหน บรรพชิต คฤหัสถ์ก็ตาม อาจพ้นทุกข์ด้วยกัน ต่างกันก็แต่จะช้าหรือเร็ว




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2013, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมของจริงก็มีอยู่ที่กาย วาจา ใจ ทางดีและชั่ว ทางนรก แลมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก ดังกล่าวมาในเบื้องต้น มีภายในและภายนอกเป็นคู่กันให้เห็นปรากฏอยู่ทุกเมื่อ

ยกตัวอย่างอดีตที่เราเคยผ่านมาแล้ว ที่เราถูกมา ที่เราจมอยู่ในครรภ์พระมารดา จมมูตรจมคูถอยู่ตั้ง ๑๐ เดือน ไม่เห็นแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์ ทนทุกขเวทนาอย่างสาหัสทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อเวลามารดายืน เดิน นั่ง นอน เวลารับประทานอาหารถูกเผ็ด เค็ม ร้อน มีความเกิดดับอยู่นับชาติไม่ถ้วน นี้เป็นผลของทุกข์ กล่าวแต่เพียงเล็กน้อย เมื่อนอนอยู่ในครรภ์

เมื่อคลอดออกมาแล้ว เสวยวิบากอยู่เนืองนิตย์ พร้อมไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ เต็มไปด้วยอกุศลทางกาย วาจา ใจทุจริต และจิตเศร้าหมอง พร้อมไปด้วยอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน ผู้ปฏิบัติเห็นโทษของตนเป็นอย่างนี้ เพราะจิตเศร้าหมองเป็นนรกอยู่แล้ว จะเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันก็ตาม อบายภูมิทั้ง ๔ เป็นที่ไปมีอยู่ ในกาย วาจา ใจบริบูรณ์

ทางภายในและภายนอกที่เราจะไปเสวยทุกข์ภายนอก ก็เกิดจากภายในทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ได้เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสกาย ธรรมารมณ์ เมื่อมากระทบเกิดความรู้ทางดีแลชั่ว จึงได้ยินดียินร้าย เกิดจิตเศร้าหมองเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์ ไม่รู้เท่าจึงได้ตกอบายภูมิทั้ง ๔

เมื่อผู้ปฏิบัติจะพ้นได้ต้องสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของตน อย่าให้ยินดียินร้าย และมั่นคงในศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ เมื่อเจตนาละเว้น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม บริสุทธิ์ทั้ง ๓ ไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง เจตนาทำบาปไม่มี จึงพ้นจากอบายภูมิทั้ง ๔

มีสติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว เห็นโทษของเราในอดีตที่ล่วงมาแล้ว เปรียบเหมือนคนเห็นไฟเป็นของร้อนแลไม่จับเปลวไฟไม่ถูกของร้อนฉันใด บุคคลผู้เห็นโทษของตนแล้วไม่ทำต่อไปก็ไม่ทุกข์ฉันนั้น

ความเศร้าหมองทางกาย วาจา ใจ ไม่มีเสียแล้ว จึงได้บำเพ็ญกุศลกรรมบถ ๑๐ ที่กาย วาจา ใจ ของตนให้บริสุทธิ์ จึงตั้งอยู่ในหิริโอตตัปปะ กลัวต่อบาปในที่ลับและที่แจ้ง มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีพรหมวิหารทั่วไปทั้งภายในและภายนอก เสมอกันไปหมด ทุกสัตว์จึงได้เข็ดหลาบโทษของตนที่ผ่านมาแล้ว

เราจะมัวเพิกเฉยอยู่ไม่ได้ จึงไม่เพลินอยู่ตามอารมณ์ทั้ง ๖ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นำมาซึ่งจิตเศร้าหมอง ผู้ปฏิบัติเมื่อเห็นโทษของตนทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน จึงไม่ลุ่มหลง ละชั่ว ทำดี ให้พ้นจากอารมณ์ทั้ง ๖ มียินดียินร้าย ทำให้เพิกเฉย ทำให้มีศรัทธาอยู่เสมอ

ศรัทธาเชื่อถือสิ่งที่ควร ไม่เชื่อง่ายเชื่อดายไปที่ไม่สมเหตุสมผล เชื่อกรรม เชื่อผล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผู้ปฏิบัติรู้เท่าอารมณ์ ทำกรรมดีกรรมชั่วของๆ ตน จึงได้ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เมื่อสติตั้งมั่นตื่นอยู่ไม่เศร้าหมอง ก็ปราศจากทั้งดีทั้งชั่ว

ผู้ปฏิบัติรู้เท่าอารมณ์ดีชั่วเป็นกลางทางภายในและภายนอก ก็ไม่หลงตามทางดีและทางชั่ว ศีลของเราก็ดีเรียบร้อย ทางกาย วาจา สมาธิ ความมั่นใจไม่หวั่นไหว ปัญญา รอบรู้ในกองสังขาร ชื่อว่าปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นผู้ไม่หลงเป็นผู้ไม่ลืมเป็นปกติ ไม่ยินดียินร้ายทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ปกติตามหน้าที่ สติก็ตื่นอยู่ไม่มีกาลไม่มีสมัย ทำจิตของตนให้ขาวรอบ ความไม่ทำบาปทั้งปวงเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


..........ผู้ปฏิบัติควรทำอย่างนี้ อย่าให้มีกาลมีสมัย ดังที่พรรณนามาเป็นข้อปฏิบัติ ขอให้สาธุชนทั้งเพศคฤหัสถ์ บรรพชิต ควรน้อมเข้าไปปฏิบัติที่กาย วาจา ใจของตน พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง ธรรมของจริงก็จะบังเกิดประจักษ์ทุกเมื่อ เป็นอันเชื่อมั่นในกุศลของตนแท้จริงดังได้แสดงมาแล้วนั่นเอง




ต่อไปนี้จะได้แสดงการสามัคคีพอเป็นข้อปฏิบัติต่อไป การสามัคคีนำมาซึ่งความสุข ผู้ปฏิบัติมุ่งหมายสามัคคีธรรม ความสม่ำเสมอ ข้อปฏิบัติให้มีสติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้สึกตัว เป็นธรรมมีอุปการะอย่างยิ่ง ถ้าหากขาดสติแล้วไม่ว่าทางโลกและทางธรรม จะดำเนินไปในทางที่ดีไม่ได้ ทำอะไรมักจะพลั้งเผลอ

เมื่อจะปฏิบัติควรจะยกโลกเข้ามาเป็นอุทาหรณ์ ในหมู่หนึ่งประชุมหนึ่ง จะต้องมีความสามัคคี ความพร้อมเพรียงกัน จึงนำมาซึ่งความสุข จะเป็นประการใดก็ตาม เป็นเมืองก็ตาม เป็นตำบลหมู่บ้านก็อยู่ได้ เพราะความสามัคคี สัตว์ทุกชนิดถ้ามีความสามัคคีแล้วทำอะไรย่อมสำเร็จ ยกตัวอย่างแต่ปลวกตัวเล็กก็ยังพรวนดินเป็นจอมปลวกได้

ผู้ปฏิบัติพึงเห็นด้วยตาและพิจารณาเหตุผลด้วยปัญญา เพื่อปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ให้สม่ำเสมอ อย่าให้ผิดกฎหมายทางโลกและทางธรรม

สิกขาบทน้อยใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ให้สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำรวมอินทรีย์สังวร มีสติควบคุม สัมปชัญญะ ความรู้ตัว จะทำอะไรพิจารณาเสียก่อนจึงค่อยทำ ไม่ทำไปเพื่อเบียดเบียนตน ผู้อื่น โดยความสุจริตกาย วาจา ใจ สำรวมศีลของตนเสียก่อนที่กาย วาจา ใจ เรียบร้อยแล้วปฏิบัติตามศีล ๕ ศีล ๘ กุศลกรรมบถ ๑๐

ละเว้นตามข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เรียกว่า “สามัคคี” กาย วาจา ใจ เป็นสมาธิ คือไม่หวั่นไหวไปตามรูปที่ดีที่ชั่วมากระทบนัยน์ตาเกิดความรู้ขึ้น ไม่เป็นไปตามเสียงดีเสียงชั่วนั้น กลิ่นเหม็นและหอมมากระทบเกิดความรู้ขึ้น กลิ่นดี กลิ่นชั่ว ไม่เป็นไปตามรสมากระทบชิวหาเกิดความรู้ขึ้น รสดีรสชั่วไม่เป็นไปตามรส กายสัมผัสหยาบหรือละเอียด อ่อนหรือแข็ง ดีหรือชั่ว

ไม่เป็นไปตามธรรมารมณ์เกิดขึ้นกับใจ อารมณ์ที่น่ายินดียินร้าย ทั้งดีทั้งชั่ว ไม่เป็นไปตามอารมณ์ที่น่ายินดีนั้น หมายสรรเสริญที่ดีที่ชอบใจ อารมณ์ที่ยินร้ายถูกด่าว่านินทาต่างๆ ให้เกิดสุขทุกข์อุเบกขา ไม่เป็นไปตามอารมณ์ทั้ง ๓ เป็นสมาธิอยู่ที่ใจ ปัญญารอบรู้ในกองสังขารก็รู้เท่าทางปรุงความดีและชั่ว ก็รู้เท่าทางกาย วาจา ใจ ของเรานี่เองชื่อปัญญา เรียกว่า สามัคคี ผู้ปฏิบัติจงใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผลที่เรา


..........เรามีอะไร มีแต่ธาตุ ๔ ประชุมกันเป็นรูปสมมติ หญิง ชาย หลงไปไม่รู้จริงจึงแตกสามัคคี นำมาซึ่งความทุกข์ทับถมตนเอง ทางดีทางชั่ว – ดีก็สิ่งชอบใจ ชั่วก็สิ่งไม่ชอบใจ เรียกว่าแตกสามัคคี ศีลก็ตั้งไม่ได้ เพราะศีลขาดสมาธิ ความมั่นใจก็ไม่มี ปัญญาความรอบรู้ก็ไม่มี จะหาความสุขมาจากไหน

เราเป็นโมหะไปทั้งหมด หลงไม่รู้จริงตามลักษณะของธาตุ ที่แข็งเป็นดิน ที่เหลวเป็นน้ำ ธาตุที่ร้อนอบอุ่นเป็นธาตุไฟ ธาตุที่พัดไปมาทั่วสรรพางค์กาย ลมหายใจเข้าออกเป็นธาตุลม ที่มีอยู่ในกายและนอกกายมีให้เห็นอยู่เสมอ ไม่ควรหลงใหลไปตามที่ดีหรือชั่ว ควรใช้ปัญญาพิจารณาเสมอ เห็นตามเป็นจริงทั้งภายในและภายนอก

เดิน ยืน นั่ง นอน พิจารณาทุกอิริยาบถ ทั้ง ๔ อย่าให้ขาด ตลอดถึงปัจจัยทั้ง ๔ เครื่องนุ่มห่มไตรจีวรเป็นเครื่องอาศัย อาหารบิณฑบาตโภชนาหารเครื่องอาศัยบริโภค สักแต่ว่าเป็นธาตุ ทุกสิ่งทุกประการไม่ว่าสัตว์ บุคคล ล้วนแต่เป็นธาตุ

ผู้ปฏิบัติควรพิจาณาเนืองๆ เป็นปัจจเวกขณญาณ จะเป็นบรรพชิต คฤหัสถ์ก็ตาม อย่าให้ใจไปหลงงมงายไปตามโมหะ ความไม่รู้จริง ให้สามัคคีธรรมของเราไว้สม่ำเสมอ หมายเอากายสุจริต ๓ วจีสุจริต ๔ มโนสุจริต ๓ นี้เองเป็นธรรมสามัคคี ทำให้สติตั้งมั่นถาวรได้ชื่อว่าสามัคคี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยทำมาอย่างนี้เป็นเนืองนิตย์ ดังทีได้พรรณนามาเป็นธรรมะทางภาษาใจ


..........ข้อปฏิปทาก็หมายสามัคคีที่เรานี่เอง ความกระทำมาพร้อมเพรียงทางกาย วาจา ใจสม่ำเสมอ ผู้ปฏิบัติจึงไม่จนศีล ๕ ศีล ๘ กุศลกรรมบถ ๑๐ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติมีความเพียรอยู่เสมอ ไม่เคยจน

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็หมายเอาความรู้เท่าสังขารทั้งปวงทั้งภายในและภายนอก ธรรมก็ทรงไว้ซึ่งผู้ปฏิบัติความสุจริตกาย วาจา ใจนี้เอง ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว พ้นจากเครื่องเศร้าหมองคือกิเลสทั้งปวง สังฆะก็หมายความประพฤติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ละทุจริตทั้ง ๓ ตั้งอยู่ในสุจริตทั้ง ๓ กาย วาจา ใจของผู้ปฏิบัติก็เป็นสังฆะด้วยความสุจริตนั่นเอง

ผู้ปฏิบัติต้องทำเช่นนี้จึงจะเป็นสามัคคีภายนอก ภายใน ต้องทำให้ได้เสียก่อน ให้เป็นอย่างของคนภายหลัง ไม่ว่าทางโลกและทางธรรม เราต้องทำเอง ให้มีให้เป็นเสียก่อนจึงจะสอนผู้อื่นได้ ความทุกข์นั้นจะไม่มีแก่เรา เหมือนนายช่างไฟรู้จักเปิดไฟ ปิดไฟ เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลายได้รับแสงสว่างฉันใด ผู้ที่ทำประโยชน์ตนได้แล้ว ทำประโยชน์ผู้อื่นก็ฉันนั้น

มีตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำตัวของท่านได้แล้ว สอนสาวก รู้ตามเห็นตามตลอดถึงมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม เพราะท่านสอนตัวของท่านพ้นจากทุกข์เสียก่อนจึงมีประโยชน์ไม่มีประมาณ แม้สาวกทั้งหลายก็สอนตัวเสียก่อนทั้งนั้น จึงแพร่ศาสนาได้ผลใหญ่ไพศาลมากกว่าเม็ดหินเม็ดทรายในมหาสมุทร พระคุณของพระอรหันต์ไม่มีประมาณ


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


บทว่า อนุพฺยญฺชโส นิมิตฺตคฺคาโห ความว่า ถือเอาโดยนิมิต

โดยแยกถือเป็นส่วน ๆ อย่างนี้ว่า มืองาม เท้างาม ดังนี้.

บทว่า นิมิตฺตคฺคาโห ได้แก่ รวมถือเอา เช่น สตรี บุรุษ.

บทว่า อนุพฺยญฺชคฺคาโห ได้แก่ แยกถือเอา เช่น มืองาม เท้างาม

การยิ้ม.

การถือเอาโดยนิมิต ก็เช่นเดียวกับร่างจระเข้ ย่อมถือเอาทั้งหมด

ทีเดียว.

การถือเอาโดยอนุพยัญชนะ แยกถือเอาส่วนนั้น ๆ บรรดาส่วน

ทั้งหลาย มีมือและเท้าเป็นต้น.



บทว่า นิมิตฺตคฺคาหี เป็นผู้ถือนิมิต คือ ถือนิมิตหญิงและชาย

หรือนิมิตอันเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส มีสุภนิมิตเป็นต้นด้วยอำนาจฉันทราคะ.

เพียงเห็นเท่านั้นนิมิตไม่ปรากฏ.

บทว่า อนุพฺยญฺชนคฺคาหี ถืออนุพยัญชนะ คือถืออาการหัน ต่าง

ด้วยมือ เท้า หัวเราะ ขบขัน พูด ชำเลืองดู และการเหลียวดู เป็นต้น

เรียกว่าอนุพยัญชนะ เพราะทำให้ปรากฏ โดยเป็นเหตุให้กิเลสทั้งหลาย

ปรากฏ.

ลาภ ยศ สรรเสริญ มีได้ ก็ มีหมด
อย่ายึดถือเอาไว้มาก เมื่อถึงเวลาจาก
มันจะยากกับการทำใจ.


จิตที่ไม่รู้จัก "พอ"
ย่อมกระสับกระส่าย
และ ..ผิดหวังอยู่เสมอ"


อยากรู้ถึง"ผล" ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน
ควรกลับหลังหันไปดูที่ "เหตุ"
ทำเหตุไว้อย่างไร ผลย่อมได้เช่นนั้น


เมื่อใดที่จิตหลงไปในอารมณ์ความอยาก ทั้งพอใจและไม่พอใจ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น

อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา เป้นเช่นนั้นเอง
มองตัวเองให้เห้น เป้นอนัตตา (ไร้สาระ)
มองคนอื่น ให้เห็นเป็นสงสาร (มีสาระ)

ตราบที่ยังไม่เห้น เป้นเช่นนั้นเอง ก็ต้องมองตัวเองว่าเป้นสิ่งไร้สาระไปก่อนเพื่อบรรเทาความมัวเมาในรูปและการยึดติดๆข้องด้วยวิปลาสปัจจัย
ต้องมองคนอื่นให้เกิดเมตตาสงสารให้ได้ เพื่อจะบรรเทาราคะและโทสะ


ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด
ไม่ใช่คนอื่นที่คิดร้ายกับเรา
แต่เป็นความคิดร้ายของเราที่มีต่อคนอื่น


คนที่ทำบาปไว้ จะหนีไปอยู่กลางอากาศก็ตาม
กลางมหาสมุทรก็ตาม หรือเข้าไปอยู่ในช่องภูเขาก็ตาม
ย่อมไม่พ้นจากการให้ผลของบาป
ประเทศที่เขาไปอยู่แล้ว
พ้นจากบาปนั้นไม่มี

ฆราวาสชั้นเลิศ
ภิกษุทั้งหลาย ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
ผลวิบากแห่งกรรม ๓ อย่างนี้แล
ที่ทำาให้เรามีฤทธิ์มาก... มีอานุภาพมาก... คือ
(๑) ทาน การให้,
... (๒) ทมะ การบีบบังคับใจ,
(๓) สัญญมะ การสำารวมระวัง ดังนี้.




วิธีกราบพระได้อานิสงส์มาก ๆ
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าลูกจะขอทราบเกี่ยวกับเรื่องอานิสงส์สักเรื่องหนึ่งว่า วิธีที่จะกราบพระให้ถูกต้องตามแบบฉบับ เพื่อจะมีผลานิสงส์มาก ๆ นั้น จะต้องกราบแบบไหน ขอแบบฉบับวัดท่าซุงเป็นตัวอย่างด้วยเจ้าค่ะ?
หลวงพ่อ ให้กราบด้วยความเคารพอย่างเดียวพอ ให้จิตเคารพนะ ก่อนที่จะกราบพระพุทธเจ้า นึกถึง พระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธรูปก่อน กราบครั้งที่ ๒ กราบพระธรรม นึกถึงดอกมะลิแก้ว ให้ไหลจาพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้าลงหัวเรา กราบครั้งที่ ๓ นึกถึงพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่เราเคารพ... พอ เอาใจสำคัญกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ถ้าใจไม่เคารพ ไม่มีความหมาย

สมาทานพระกรรมฐาน
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าคำสมาทานกรรมฐานของหลวงพ่อ ปรากฏว่าลูกท่องไม่ได้เลย ลูกใช้อย่างนี้เจ้าค่ะ พอหลับตาปุ๊บ ลูกบอกว่า กรรมฐานทั้งหลายที่หลวงพ่อให้ลูก ขอสมาทานทั้งหมด ณ กาลบัดนี้แล้วก็หลับตาเลย
หลวงพ่อ ใช้ได้เลย ๆ อ้าว นี่ได้จริง ๆ แต่ว่าอย่าลืมนึกถึง พระพุทธเจ้า อย่าเอาแค่หลวงพ่อนะ ว่ากรรมฐานที่หลวงพ่อเรียนมานี่ เป็นของพระพุทธเจ้า ขอยอมรับกรรมฐานทั้งหมด ที่พระพุทธเจ้าสอนทุกสิกขาบท แล้วนอนภาวนา “พุทโธ” หลับไปเลย... ใช้ได้

พื้นฐานการเจริญพระกรรมฐาน
ผู้ถาม หลวงพ่อครับ การเจริญพระกรรมฐาน ต้องมีพื้นฐานอะไรบ้างครับ?
หลวงพ่อ พื้นฐานเหรอ... ถ้าเป็นชายต้องมีกางเกง... พื้นฐานจริง ๆ ก็มี ศรัทธา ความเชื่อ ตัวนี้ตัวเดียว พระศาสนาเรา ถ้าไม่มีความเชื่อเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรเป็นผล และต้องใช้ ปัญญา ร่วมด้วยนะ เขาแนะนำกันมาเราคิดดู มันควรหรือไม่ควร แต่อีกสิ่งที่เป็นฤทธิ์ มันเกินวิสัยที่เราจะคิด อย่างฤทธิ์ของวิชชา ๓ ฤทธิ์ของอภิญญา ฤทธิ์ของปฏิสัมภิทาญาณ นี่เราคิดไม่ได้ เพราะขืนคิดบ้า คิดยังไงมันก็ไม่ลงตัว มันจะเหมือนกับที่เราคิดไม่ได้ เราจะตัดความสามารถของฤทธิ์ก็ตัดไม่ลง
อย่าง วิชชา ๓ มีทิพจักขุญาณ ถือว่ามีฤทธิ์ทางใจ ตามธรรมดาเราไม่สามารถเห็นสิ่งของที่ลี้ลับได้ใช่ไหม... แต่ถ้าเขาได้ ทิพจักขุญาณ..คุณ! ไม่มีอะไรหนาเขาเลย อย่าว่าแต่วางข้างหน้าเลย วางมุมรูปไหนเขาก็รู้ วางโลกไหนก็ได้ทุกโลก นี่ถ้าเขารู้จักใช้นะ ที่ฝึกไปแล้วไม่รู้จักใช้นี่เยอะ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เศษ ๆ หน่อย ๆ เอาไปแล้วไม่รู้จะใช้อะไรดี บางทีก็ปล่อยบูดไปเลยมีเยอะแยะจริง ๆ แล้วถ้าได้แล้วเขาต้องฝึกซ้อม ทำอยู่เสมอๆ ได้ง่ายเกินไปเลยปล่อยหายง่าย อย่างนี้มีเยอะแยะ

ทำสมาธิจิตว่าง
ผู้ถาม กระผมทำสมาธิจนรู้สึกว่ามีสติอย่างเดียว แล้วเห็นเงาดำแอบเข้ามา ขอถามหลวงพ่อว่า อย่างนี้จิตว่างหรือเปล่า ทำถูกต้องหรือไม่สำหรับแนวกรรมฐาน?
หลวงพ่อ จิตไม่ว่าง ยังมีความรู้สึกอยู่ ทำน่ะ ทำถูก แต่จิตไม่ว่าง การทำให้จิตว่างนะ ไม่มีนะ คนถามเข้าใจด้วยนะ จิตว่างนี่ไม่มี จิตมันมีสภาพเกาอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑.เกาะชั่ว ๒.เกาะดี ๓.อยู่เฉย ๆ ไม่เกาะชั่วไม่เกาะดี ตัวนี้ว่าง คือจิตมีอารมณ์ของพระนิพพาน ถ้าคำว่า “ว่าง” ในที่นี้ ก็ว่างเฉพาะอารมณ์ที่เป็นกิเลส ส่วนอารมณ์ที่เป็นกุศลมันก็ไม่ว่างเหมือนกัน
เป็นอันว่า จิตจริงๆ มีสภาพไม่ว่างนะ ถ้าจะถามว่า เวลานั้นจิตว่างจากความชั่วหรือไม่อย่างนี้ควรถาม อย่างนั้นต้องตอบว่า ตอนนั้นจิตว่างจากความชั่ว ๕ อย่าง ที่เรียกกันว่า นิวรณ์ คือ
1. กามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
2. ปฏิฆะ อารมณ์ไม่พอใจ
3. ความง่วง
4. ความฟุ้งซ่าน
5. สงสัย

สมาธิเล็กน้อย
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยากจะกราบเรียนถามเกี่ยวกับ เรื่องสมาธิเล็กน้อย คือว่าสมาธิของลูกนี่ จะได้แค่ ประมาณ ๒-๓ นาที หลังจากนั้นไปอารมณ์จะฟุ้ง แล้วก็ทุกวันเป็นอย่างนี้ ไม่สามารถจะแก้ได้ ขอบารมีหลวงพ่อช่วยแก้เรื่องการปฏิบัติของลูก ให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ พอแล้ว ๒ นาทีพอแล้ว อย่าลืมนะวันละ ๒ นาที ๑๐ วันเท่าไหร่ ๑๐๐ ปีเท่าไหร่ วิธีที่ทรงสมาธิให้ทรงตัว จับ อานาปานุสสติ โดยเฉพาะ ฝึกลมหายใจเข้าออกหายใจเข้าหายใจออกนับเป็น ๑ ถึง ๑๐ ใช่ไหม... ตั้งใจคิดว่าถ้ายังไม่ถึง ๑๐ จิตมันวอกแวกนะ เริ่มต้นใหม่เอาให้ถึง ๑๐ ให้ได้ วิธีดีที่สุดเอาตามนี้นะ เอาดีอย่างพระพุทธเจ้าทรงตรัสกับ พระสารีบุตร ซิว่า
“สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร บุคคลใดทำจิตให้ว่างกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง ตถาคตขอกล่าวว่า บุคคลนั้นมีจิตไม่ว่างจากฌาน” สองนาทีนี่ มันว่างจากกิเลสนะ ... ใช้ได้

ทำสมาธิรำคาญเสียง
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง บ้านของลูกอยู่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช มีความข้องใจเกี่ยวกับเรื่องประหลาดที่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือว่า เวลาสวดมนต์ทำกรรมฐาน จะมีเสียงสวดมนต์บ่นพึมพำ ๆ เป็นผู้ชายบ้าง เป็น ผู้หญิงบ้าง เป็น เด็กบ้าง แล้วก็ทำความรำคาญให้กับลูก ในขณะเจริญพระกรรมฐานเสมอ ๆ ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จะมีวิธีกำจัดพวกเหล่านี้ได้อย่างไร จะได้ไม่รบกวนในการเจริญกรรมฐานต่อไปเจ้าคะ?
หลวงพ่อ เอาแล้ว... หากินพลาดบทแล้ว
ผู้ถาม ก็รำคาญนี่ครับ... หลวงพ่อ!
หลวงพ่อ ถ้ารำคาญแสดงว่าสมาธิไม่พอ ถ้าหากว่าจิตเข้าถึงปฐมฌาน จะไม่รำคาญในเสียง แต่ความจริงนะ ถือว่าเป็นคนมีโชค สามารถได้ยินเสียงของพวกอมนุษย์ได้ อย่างนี้มีโชคนะถือว่าดี เขาสงเคราะห์ แต่บังเอิญถ้าผู้นั้นใช้กำลังใจไม่พอกับความดีที่เขาให้
เอาใหม่ ตั้งใจใหม่ ถ้ามันมาบ่นให้ฟังเพลินไปเลย คือต้องฝึกนะ ต้องฝึกสู้กับเสียง เพราะฌานขั้นต้น จะไม่รำคาญในเสียง เสียงได้ยินเขาพูดทุกอย่าง ร้องรำทำเพลง แต่เราจะไม่รำคาญในเสียงเขาคุย แสดงว่าคนนี้ยังมีจิตไม่ถึงฌานที่ ๑ ยังไม่เต็มปีติเลย แต่ความจริงตัวที่ได้ยินมันมาจากปีติ อันดับแรกถึงปีติ ได้ยินใช่ไหม ต่อไปจิตตก ตกจากปีติ ยังไม่ถึง ฌาน ๑

นั่งกรรมฐานมีคนดึง
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เวลาลูกนั่งพระกรรมฐานที่บ้านก็ตาม ที่ห้องพระก็ตาม ส่วนใหญ่ก็ถนัดเรื่องพุทโธ ที่ประหลาดใจก็คือว่า เวลานั่งภาวนาไปคล้าย ๆ จะมีใครก็ไม่ทราบ ดึงไปข้างหน้าหงายไปข้างหลัง เอียงไปข้าง ๆ ตัวโยกเยก เขาเรียกกรรมฐานโยกเยกเป็นเพราะอะไรครับ?
หลวงพ่อ อย่างนี้เขาเรียก โอกกันติกาปีติ ปีติตัวที่ ๓ จิตเริ่มดีแล้ว แต่ทว่าเทวดาประจำบ้านท่านบอกว่า อารมณ์หยาบไปเวลาขึ้นต้น อาจารย์อ่านฉันก็ถามเทวดาท่าน...ไม่ยาก
ท่านบอกเวลาเริ่มต้นอารมณ์หยาบไป ใช้อย่างนี้นะ ก่อนเริ่มต้น พอนั่งปั๊บ หายใจยาว ๆ แรง ๆ สัก ๕-๖ ครั้ง เป็นการระบายอารมณ์หยาบ ต่อไปอาการอย่างนั้นจะคลายตัว พออาจารย์ถามฉันก็ถามท่านเหมือนกัน ท่านก็เลยบอก... ใช้ได้
ผู้ถาม อ้อ... ที่หลวงพ่อตอบเก่ง เพราะมีถามตอบอย่างนั้นหรือครับ?
หลวงพ่อ ใช่... อีกหลายต่อ อย่างเมื่อคืนนี้อุทิศเจ๊งจั๊ง หลายต่อยุ่งเลย
ผู้ถาม ผมจะขอต่ออีกนิดคือว่า บางครั้งจะเห็นเป็นคล้าย ๆ ดวงสีขาว ๆ คล้าย ๆ แก้ว ลูกไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรครับ?
หลวงพ่อ นั่นละถูกแล้ว ปีติ พออารมณ์ใจเข้าถึงปีติ อารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ เมื่ออารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ เริ่มเห็นนิมิตที่ไม่มีภาพจริง ๆ นะ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเป็นของธรรมดา
ผู้ถาม ครับ ๆ ที่เห็นนั่นก็เป็นของดีนะ
หลวงพ่อ ดีแล้ว แต่ว่าใช้อามรณ์ให้ละเอียดกว่านั้นนะ อย่าลืมเอาแบบเกณฑ์ทหาร เขาทำอย่างไร หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกแรง ๆ ใช่ไหม... สัก ๕-๖ ครั้งระบายอารมณ์หยาบ
ผู้ถาม แล้วก็บอกว่า สมัยก่อนลูกเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคโน่นโรคนี่ บัดนี้ลูกหายพอสมควรแล้ว จึงขอกราบขอบพระคุณที่หลวงพ่อเมตตาให้กรรมฐานปฏิบัติ แล้วลูกหายจากโรคภัยไข้เจ็บเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ ยังหายไม่หมดนะ
ผู้ถาม เหลืออะไรครับ
หลวงพ่อ โรคสงสัย

ทำสมาธิตัวโยก
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เวลาที่ลูกสวดมนต์ก็ดี ฟังเทปก็ดี ตัวโยกไปเยกมาระงับไม่อยู่ แต่ก็แปลกนะครับ สบายใจดีมาก อย่างนี้เป็นเพราะอะไรครับ ถ้าจะแก้ไขให้ดีไปกว่านี้อีก หลวงพ่อจะแก้ไขอย่างไรครับ?
หลวงพ่อ รู้แค่เฉพาะโยกไปนะ แต่เยกมาไม่รู้นะ อย่างนั้นเขาเรียก โอกกันติกาปีติ เร่งรัดมันจะเสีย อยากจะโยกก็เชิญมันโยกไปตามชอบใจ ถ้าปีติตัวนี้เต็มอารมณ์เมื่อไร ก็เลิกโยก มีอารมณ์ดิ่งเป็นฌาน

ทำสมาธิง่วงนอน
ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ กระผมนั่งกรรมฐานทีไรแล้วเกิดนิวรณ์ตัวที่ ๓ คือง่วงนอนมากเหลือเกิน กระผมทำตามหลวงพ่อแนะนำทุกอย่าง อาบน้ำ ล้างหน้า แหงนดูฟ้า ปรากฏว่าแก้ไม่ตกเลยสักที เลยกลุ้มใจ อยากจะพึ่งบารมีหลวงพ่อให้หาวิธีแบบใหม่ที่ไม่ง่วงนอนด้วยเถิดขอรับ?
หลวงพ่อ มีอีกวิธีไม่ทำนี่ ถ้าง่วงก็นอนหลับไปเลย อันนี้ได้ผลนะ ดีกว่าทรมาน เพราะว่าภาวนาไป ถ้าเวลานั้นจิตไม่ถึงฌานมันจะหลับไม่ได้ ถ้านอนแล้วภาวนา ถ้าจิตถึงฌานจะตัดหลับทันที ช่วงเวลาหลับกี่ชั่วโมงก็ตาม ยังทรงฌานนั้นอยู่ ควรทำแบบนี้นะ อย่าทรมาน ง่าย ๆ หากินสะดวก ๆ เรียนกับพระขี้เกียจ... สบายมาก เพราะฉันหากินแบบขี้เกียจมาตลอดเวลาแบบไหนที่ได้ง่ายลงทุนน้อยเอาเลย

นั่งสมาธิศีรษะสั่น
ผู้ถาม กระผมฝึกสมาธิอยู่ที่บ้าน พอถึงระดับหนึ่งเกิดศีรษะสั่นอย่างรุนแรง พอตอนเช้าคอระบมไปหมด ทำยอย่างไรดีขอรับ?
หลวงพ่อ ความจริงก็ดีเหมือนกันนะ ก็ต้องสั่นให้มันหายระบมต้องแก้กัน ความจริงไม่เป็นไรปล่อยไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันนะ เวลานั้นก็ถือว่าขณะนั้นจิตเข้าถึง อุเพงคาปีติ ว่าหยาบไปหน่อยคอจึงระบม ถ้าจิตละเอียดนี่จะไม่เป็นอย่างนั้น จะไม่มีอาการอื่น คงจะมีจิตกระสับกระส่ายกังวลนะ พอถึง อาการสั่นหัวละก็...จิตหยาบ

ทำสมาธิตกใจ
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้เจริญพระกรรมฐานเป็นเวลาช้านานแล้ว มีปัญหาอยู่ที่ตรงที่ว่า พอจิตของลูกใกล้ ๆ จะเป็นสมาธิ จะมีสิ่งประหลาด ๆ ทำให้ลูกตกใจอยู่เสมอ จึงทำให้การเจริญกรรมฐานของลูกไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร อยากจะปรึกษาหลวงพ่อว่า วิธีที่จะแก้ปัญหาแบบนี้ ควรจะแนะนำให้ลูกปฏิบัติอย่างไรเจ้าคะ?
หลวงพ่อ นั่นเป็นของธรรมดานะ ได้ยินเสียง ปึงปัง ๆ ๆ คล้าย ๆ ใครยิงปืนใกล้ ๆ ก็มี เป็นของธรรมดาเขาลอง ๆ ตอนนั้นจิตเป็นอุปจารสมาธิ เขาลองดูว่าเราจะตกใจไหม ส่วนใหญ่เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช
ผู้ถาม อ้อ ... นี่เกี่ยวกับเรื่องเทวดาเขาทดสอบ
หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ

ทำสมาธิรู้เรื่องในอดีต
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกนั่งทำสมาธิอยู่เพียงแป๊บเดียว เรื่องราวในอดีตมันปรากฏเหมือนในจอโทรทัศน์ แวบมา ๆ อย่างนั้นแหละ ลูกก็มาเกิดความสงสัยว่า อย่างนี้จิตของลูกฟุ้งซ่านอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ?
หลวงพ่อ เป็นเรื่องธรรมดานะ เมื่อจิตสงบเรื่องราวในอดีตก็เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่ว่าถ้าจะทรงอารมณ์ให้รักษาอานาปา มันต้องมาแน่ มาก็ช่างมัน มันแล้วไปแล้ว

นั่งสมาธิลมออกหู
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา นั่งสมาธิแล้วปรากฏว่าลมออกทางใบหู เสียงดัง ปี๊ด...ปี๊ด
หลวงพ่อ ก็ยังดี ดีกว่าออกต่ำ ดังปุ๋ง ปุ๋ง (หัวเราะ)
ผู้ถาม แต่ทีนี้เวลาจิตรวมเป็นสมาธิแล้ว ได้เห็นเป็นดวง ๆ มีกลมบ้าง บางทีก็ดำ บางทีก็ขาว ลอยเข้ามาจะชนลูกตา ลูกก็ต้องผงะ ลืมตาแล้วก็นั่งสมาธิใหม่ แล้วก็ลอยมาแล้วก็ชนอยู่อย่างนี้เป็นประจำ ใช้ทั้ง พุทโธ ใช้ทั้ง นะมะพะธะ แต่ไม่สมารถจะแก้ปัญหานี้ได้ ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยแนะนำหรือแก้ไขครั้งนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ จะแก้ทำไม เขาไม่แก้กันหรอก นั่นเป็น นิมิต ของ อานาปานุสสติ ใครเขาแก้กันละ เวลานั้นอานาปานุสสติกำลังเข้าถึงปีติ จึงเกิดภาพนี้ขึ้น เขียวบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้างตามใจ แล้วแต่เขาจะเกิดของเขา ก็ไปกลัวของดี กลัวสวรรค์

นั่งสมาธิปวดขา
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกปฏิบัติพระกรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อทุกประการ ที่แก้ไม่ตกมีอยู่อย่างเดียวนั่นคือ นั่งไปไม่ถึง ๒-๓ นาที จะมีความรู้สึกปวดที่ขาทันที ลองเปลี่ยนแล้วมันก็เป็นอย่างนี้อีก ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า การกำหนดจิตไม่ให้ปวด การกำหนดจิตไม่ให้มีเวทนา เพื่อจะได้นั่งนาน ๆ เหมือนหลวงพ่อ จะทำอย่างไรดีขอรับ?
หลวงพ่อ ก็ไม่เป็นไร บีบจมูกสักหนึ่งชั่วโมง หายเอง... ตาย... ไม่เจ็บไม่ป่วยถ้ามันมีเวทนาอย่างนั้น ก็ใช้วิปัสสนาญาณช่วยซิ เกิดมาเป็นทุกข์อย่างนี้ จะเล่นแต่สมถะ ที่ว่าทำตามทุกอย่างนั้นไม่จริง .... ไม่จริง ฉันเล่นทุกอย่าง ถ้าป่วยขึ้นมาฉันเล่น วิปัสสนาญาณช่วย ฉันว่าทั้งสองอย่างนะ แต่นี่ล่อสมถะอย่างเดียว ไม่ใช้ปัญญาเข้าช่วย ในเมื่อนั่งมันเมื่อยก็ลุกขึ้นยืน ยืนเหมื่อยก็เดิน เดินเมื่อยก็นอน นอนเมื่อยก็นั่ง นั่งเมื่อยก็เดิน นั่งเรียบ ๆ ไม่ดี ก็นั่งเก้าอี้ก็ได้
ผู้ถาม กรรมฐานนั่งเก้าอี้ได้หรือครับ...หลวงพ่อ?
หลวงพ่อ โอ้ย...นั่งบนตอไม้ยังได้เลย นั่งยอดไม้ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ มันอยู่ที่ใจ ให้ร่างกายสบายก็แล้วกัน
ผู้ถาม ก็ตกลงว่าเปลี่ยนเสียนะ อิริยาบถใดมันไม่ไหวก็...อ๋อ...ต้องใช้วิปัสสนาญาณช่วยจะได้ประโยชน์มาก
หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ มีความจำเป็น

นั่งสมาธิตัวร้อน
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าคะ มีเด็กอายุประมาณ ๒๑-๒๒ ปีเจ้าค่ะ เขาเห็นพ่อเขานั่งสมาธิแล้วก็นั่งบ้าง พอถึงแค่นั้นเขาบอกทันทีว่า ตัวเขาร้อนไปหมดเลย ทนไม่ไหว เขาเลิกสาเหตุเพราะอะไรเจ้าคะ?
หลวงพ่อ เรื่องนี้ตอบไม่ได้ ไม่เคยปรากฏ
ผู้ถาม เขาบอกร้อนไปหมดเลย เขาไม่ทำเขากลัว
หลวงพ่อ ใช่ ๆ ต้องมีบาปอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาขวางนะ
ผู้ถาม แล้วสมมุติว่าเขาพยายามจะทำต่อ
หลวงพ่อ เอ... ถ้าทำต่อไปได้ก็ดี ทำน้อย ๆ นะ
ผู้ถาม พอรู้สึกร้อนก็หยุดซะ
หลวงพ่อ ใช่ ๆ หยุดซะ ไม่ช้าก็หาย เอาอย่างนี้นะ ไอ้ตัวร้อน นี่ก็คือตัวบาปเก่า มันคงขวางทาง ถ้าการเจริญสมาธิอย่างน้อยจะขึ้นสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นต่อไปก็เป็นพรหม ต่อไปก็ไปนิพพาน ขึ้นสูงหนีมัน มันก็ขวางตัว และถ้าเราสามารถหาทางต่อสู้ด้วยการพอรู้สึกตัวว่าร้อน จะร้อนมากเกินไปเราก็เลิก ไม่ยอมแพ้มันก็หมดเรื่องดีกว่า นั่ง ๆ หนัก ๆ เข้ามันจะหายร้อนเองนะ รู้สึกถ้าร้อนจิตกระสับกระส่ายก็เลิกซะ ถือเอาบุญเข้ามาผสมทีละหน่อยเหมือนน้ำนะ ไอ้ความร้อนเหมือนไฟใช่ไหม... น้ำค่อยๆใส่ไป ถ้าน้ำมากขึ้นมาไฟมันก็ดับ เอาอย่างนั้นก็แล้วกันนะ

ทำสมาธิไม่ได้ดี
ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ ผมทำสมาธิทุกวัน ๆ ละ หนึ่ง ชั่วโมง มาเป็นเวลา ๒๐ ปีแล้วครับ มันไม่ไปเหนือไปไม่ไปใต้เลย ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร หรือมีกรรมเวรประเภทไหมมาปิดบัง ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยแก้ไขหน่อยเถิดขอรับ?
หลวงพ่อ สมาธินี่ถ้าทำเฉย ๆ ก็ไม่ไปไหนนะ มันก็อยู่แค่ ฌาน ถึงฌานหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่ากลัวจะไม่ถึงฌาน น่ากลัว ตะเกียกตะกายอยู่ข้างฌาน มันขึ้นฌานไม่ไหว ไต่บันไดแกร๊ก ๆ แต่ความจรงิถ้าเรื่องสมาธิจริง ๆ นะ ถ้าหากว่าได้จริง ๆ ก็อยู่แค่ฌาน ๔ ฌาน ๔ แล้วก็ไม่ไปไหนละ ก็ทรงตัวบ้าง เดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ไปข้างหน้า ๑ ก้าว ถอยหลัง ๕ ก้าว ทีนี้ผลการปฏิบัติจริง ๆ เขาไม่ได้มุ่งสมาธิ ต้องหวังตัด สังโยชน์ ถ้าจะบอกว่า วิปัสสนาญาณก็จะมากเกินไป ความจริงถ้ามุ่งตัดสังโยชน์ ก็ต้องดูอารมณ์ใจตัวตัด ไม่ใช่ดูสมาธิ
อันดับแรก ความโลภ อยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นมีในเราหรือเปล่า เบาลงไปไหม ประการที่ ๒ ความโกรธ เบาไหม ประการที่ ๓ ความหลง เบาลงไหม สิ่งที่มีความสำคัญคือ
1. ลืมความตายหรือเปล่า
2. เคารพพระไตรสรณคมน์จริงจังไหม
3. มีศีล ๕ บริสุทธิ์ไหม
4. หวังพระนิพพานจริงจังหรือเปล่า...?
เขาดูตรงนี้นะ มุ่งเอาสมาธิกลุ้มใจตาย มันไม่มีการทรงตัว เวลาใดร่างกายดีไม่มีอารมณ์กลุ้ม สมาธิก็ทรงตัวใช่ไหม... ร่างกายอ่อนเพลียหน่อย สมาธิก็ทรุดตัว เอาแต่สมาธิไปไม่รอด
ผู้ถาม เมื่อภาวนาไปไม่ได้ อย่างนี้จะมีโอกาสบรรลุธรรมเบื้องสูงหรือเปล่าครับ?
หลวงพ่อ ทะลุธรรมแน่ จุดหมายปลายทางเขาคือสังโยชน์
ผู้ถาม ทีนี้ถ้าหากว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ไปนิพพานเมื่อนั้น พอจะไปได้ไหมครับ... หลวงพ่อ?
หลวงพ่อ พอเห็นทาง...แต่ไม่เข้าทาง
ผู้ถาม ๒๐ ปีแล้วนะครับ
หลวงพ่อ ๑๐๐ ปีก็ไม่ได้ ถ้าเข้าทางจริงต้องคิดว่า ๑.ชีวิตนี้จะต้องตาย ตัวสักกายทิฏฐินะ ๒.วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ๓.มีศีล ๕ บริสุทธิ์ และก็ ๔.มีจิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน อันนี้ถึงจะได้ อันนี้ถึงจะเข้าทางหรือเข้าเขตเลย

ฝึกสมาธิไม่ได้
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าเกี่ยวกับเรื่องสมาธินี่ผมโชคดี ทำมาด้วยตนเองเป็นเวลา ๒ ปีแล้ว โดยการอ่านหนังสือบ้าง ฟังวิทยุบ้าง ดูโทรทัศน์บ้าง โดยใช้คำภาวนาว่า พุทโธ แต่ว่าไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรเลย แม้แต่นิมิตเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ได้ กระผมตั้งใจว่าจะมาฝึกมโนมยิทธิ เลิก พุทโธ โดยมาใช้ นะมะพะธะ จะมีทางเป็นไปได้ไหมครับ?
หลวงพ่อ เดี๋ยวก่อน...ขอตอบก่อน พวกที่ใช้ นะมะพะธะ เขาไม่ได้เลิก พุทโธ เวลาจะใช้มโนมยิทธิเขาก็ใช้ นะมะพะธะ คือ นะมะพะธะ เป็นของพระพุทธเจ้าท่าน อย่าไปเลิกนะ ถ้าเลิก “พุทโธ” ล่ะซวย พุทโธ ก็คือพระพุทธเจ้า นะมะพะธะ เป็นคาถาบทหนึ่งในธาตุ ๔ ของกรรมฐาน ๔๐ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนบอกคาถาบทนี้เอาไว้ใช้เป็นกำลังในการฝึกมโนมยิทธิ ถ้าลืมเจ้าของเก่า คือพระพุทธเจ้า ก็เจ๊ง!
ก็เป็นอันว่า จะมาฝึกมโนมยิทธิมาฝึกแต่อย่าทิ้ง “พุทโธ” ว่าง ๆ ก็ใช้ พุทโธ แบบสบาย ๆ เวลาจะใช้มโนมยิทธิเราก็ใช้ นะมะพะธะ ก็มีหลาย ๆ อย่าง มีทั้งขา มีทั้งรถ “พุทโธ” เหมือนมีขามีแขน “นะมะพะธะ” เหมือนมีรถนั่งอย่างดี เป็นเครื่องบินก็ได้

นะมะพะธะ
ผู้ถาม หลวงพ่อครับ อย่างคำภาวนาว่า “นะมะพะธะ” เป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน หรือครับ “นะมะพะธะ” แปลว่าอะไรครับ?
หลวงพ่อ “นะมะ” แปลว่า นมัสการ “พะธะ” แปลว่า ไหว้พระพุทธเจ้า เรื่องจริงนะ “นะมะพะธะ” ที่แปลว่า ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เขาไม่ได้ภาวนา เขาพิจารณานะ คำว่า “นะมะพะธะ” ที่ท่านมาบอกจริง ๆ บอกว่า ไม่ใช่ธาตุ ๔ เป็นการนมัสการพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน

ภาวนาแล้วจิตตกวูบไป
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกภาวนา พุทโธ กับ อานาปา ควบกันไปก็ปรากฏว่า จิตสงบมันก็ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นอุปจารสมาธิก็ไม่เชิง มันจะมีจุด ๆ หนึ่งอย่างนี้ขอรับ จิตมันไปตกวูบ พอวูบไปปั๊บ ผมก็เกิดความกลัว ก็ภาวนาใหม่ เริ่มต้นใหม่ก็วูบอีก ลักษณะแบบนี้แก้ไม่ตก ไม่รู้จะแก้ยังไง ขอพึ่งบารมีหลวงพ่อแนะนำวิธีลูกหย่อยเถิดขอรับ?
หลวงพ่อ อาการแบบนี้นะ ขณะที่จิตสบาย ขณะนั้นจิตตั้งอยู่ในปฐมฌาน แต่ว่าสมาธิไม่ทรงตัว สมาธิตก ฌานเริ่มตก มีวูบเสียว ๆ คล้ายตกต้อนไม้ใหญ่ นั่นเขาเรียก จิตพลัดจากฌาน วิธีแก้ไม่ยาก เพราะว่าเริ่มต้นทีแรกลมหยาบเกินไป ให้ใช้หายใจยาว ๆ แบบเกณฑ์ทหารน่ะ ๕-๖ ครั้ง หายใจแรงๆ ยาว ๆ นะ ทำอย่างนี้ทุกวัน ๆ ไม่ช้า อาการจะหาย ขับลมหยาบทิ้งไปก่อน อันนี้ไม่ยาก

ภาวนาพุทโธไม่เห็นอะไร
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าลูกได้ปฏิบัติภาวนาสมาธิกรรมฐานแบบ “พุทโธ” มาหลายปีแล้ว ปรากฏผลว่าไม่ได้เห็นอะไรเลยสักอย่าง ได้แต่เงียบกริบ อันนี้จะเกี่ยวกับว่า เป็นเพราะเวรกรรมชิตก่อนทำไว้อย่างไร ชาตินี้เวลาทำสมาธิจึงไม่ได้รู้ไม่ได้เห็น เหมือนกับคนอื่นเขาเจ้าค่ะ?
หลวงพ่อ ก็สมาธิเขาทำเพื่อเงียบ ตั้งใจสงัด จิตสงัดจากกิเลส ทีนี้การทำสมาธิเขาไม่ได้หมายถึงการเห็น ไอ้นั่นที่ปฏิบัติเป็น สุกขวิปัสสโก ถ้าต้องการเห็นต้องเป็น เตวิชโช หรือ ฉฬภิญโญ คนละหมวดนี่ ปฏิบัติให้ถูกหมวดซินะ ถ้าเป็นเตวิชโชก็สามารถเห็นได้ ระลึกชาติได้ ถ้าเป็นฉฬภิญโญเห็นได้ด้วย ไปถึงด้วย ใช่ไหม ต่างกัน มโนมยิทธินี่ก็มันบวกวิชชา ๓ กับอภิญญา คือว่าใหญ่กว่าวิชชา ๓ แต่เป็นอภิญญาขนาดเล็ก

อิริยาบถ
ผู้ถาม มีพระออกโทรทัศน์เมื่อสองวัน ท่านบอกว่าปฏิบัติอย่างนี้ได้ผลอะไรนะ ขวาหงาย ยกแล้วก็ย่าง แล้วก็ยก จำไม่ได้ ปิ๊ดปี้ปิ๊ด เหมือนจราจรนั่นแหละ ท่านบอกอย่างนี้นะ ของอาตมานี่ไม่นานหรอก แค่ ๓ ปีก็พอรู้ผล ๓ ปีนะ พอจะรู้ผลนะ หลวงพ่อ มโนมยิทธินี่ช้าไปนะ ปุ๊บปั๊บ ได้ไปเลย ยังกับปฏิบัติ “วิปัสสนาจราจร” แน่ะ เห็นว่าทำออกโทรทัศน์ขำดีนี่ก็แปลกดีเหมือนกัน ความจริงมีหรือเปล่าครับ?
หลวงพ่อ แบบนี้จะเป็น มหาสติปัฏฐาน อิริยาบถ แต่ว่ายาวไปมหาสติปัฏฐานก็เพียงว่า จะยกเท้าย่างเท้าให้รู้อยู่ ก้าวไปข้างหน้า ก้าวไปข้างหลัง จะกินจะกลืน ไอ้ตอนกินนี่รู้ ตอนกลืนไม่รู้ รู้ไม่ทันกลืนลงก่อน พอกินปั๊บก็เลยเข้าไปเลย เอาแค่ให้รู้ตัวอยู่เสมอ สติสัมปชัญญะใช่ไหม
ความจริงไม่มีอะไร เขาพร้อมแล้วนะ ถ้าได้แล้วไม่มีอะไร ต้องระวัง เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ อย่างตานี่กระพริบอยู่เสมอผงจะมายังไม่ทันรู้ ใช่ไหม... ตากระพริบแล้ว ข้อนี้ฉันใด พระอริยเจ้าตามขั้นเหมือนกัน ท่านทำตามหน้าที่ของท่าน จิตทำไปเอง

เจริญมหาสติปัฏฐาน
ผู้ถาม หลวงพ่อขา ลูกเจริญพระกรรมฐานโดยใช้องค์มหาสติปัฏฐานเป็นหลักใหญ่ บางครั้งจิตก็วูบ บางครั้งก็สว่าง บางครั้งก็คล้าย ๆ จะหมดความรู้สึก มีอาการปฏิบัติไปถึงจุดนี้ทีไร ก็มีอันจะต้องเลิก เพราะใจหนึ่งก็อยากได้ อีกใจหนึ่งก็กลัวตาย ขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไขอารมณ์นี้ เพื่อการเจริญปฏิบัติของลูกได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป สู่มรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ?
หลวงพ่อ กลับไปอ่านใหม่
ผู้ถาม อ่านอะไรครับ?
หลวงพ่อ มหาสติปัฏฐานสูตรแต่ละข้อ สอนถึงอรหันต์ทั้งหมดทุกข้อ ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด ทำข้อใดข้อหนึ่งก็ถึงอรหันต์ อ่านให้จบตอนท้ายนะ “ไม่ยึดถือโน่นไม่ยึดถือนี่ ไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด” เขาทำเพียงข้อเดียว ไอ้ที่ทำนั่นยึดสมถะมากกว่า วิปัสสนา สมถะ คืออารมณ์สมาธิให้ทรงตัว จิตทรงตัว วิปัสสนา คือหาความเป็นจริง กลับไปอ่านใหม่ อ่านไปใช้ปัญญาคิดตามด้วยนะ นิดเดียว
ผู้ถาม เป็นอันว่าไปไม่ยาก
หลวงพ่อ ไม่ยาก
ผู้ถาม ไปไม่ยากก็แสดงว่าเคยทำ
หลวงพ่อ ถูกแล้ว

มหาสติปัฏฐาน ๔ สั้น ๆ
ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ ผมไปพบมหาสติปัฏฐาน ๔ ในพระตรีปิฎก ท่านว่าไว้อย่างนี้ จะต้องปฏิบัตินานถึง ๗ ปี ถึงจะมีโอกาสได้มรรคผลนิพพานได้ กระผมไม่ชอบครับ นานเกินไป อยากจะมาขอพึ่งบารมีหลวงพ่อว่ามหาสติปัฏฐาน ๔ สั้น ๆ ไปนิพพานได้ง่ายของวัดท่าซุงน่ะ มีบ้างไหมครับ?

หลวงพ่อ มี ๆ ๆ ก็ตัวอย่างใช่ไหม ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ ท่านพาหิยะ ฟังว่า “พาหิยะ...เธอจงอย่าสนใจในรูป” เท่านี้ ท่านเป็นพระอรหันต์
ผู้ถาม อ๋อ เท่านี้ สั้นที่สุดเลยนะครับ
หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ เท่านี้เอง เป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
ผู้ถาม แล้วที่ลูกหลานทั้งหลายกำลังฟังกถาอันนี้ เดี๋ยวเกิดบรรลุทีเดียวพร้อมกันหมดทำยังไงครับ?
หลวงพ่อ ก็ดีซิ ช่วยกันบิณฑบาต อย่าลืมนะ คนที่นั่งมีกี่คน ถ้ามีสักพันคน อย่าลืมว่าในประเทศไทยมี ตั้ง ๕๕ ล้านคน

ทำสมาธิปวดหัว
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมเป็นโรคประสาทประหลาดนิดหนึ่ง คือว่าโดยปรกติแล้ว ร่างกายสมบูรณ์แบบทุกอย่างทุกประการ แต่เวลาจะนั่งสมาธิเป็นเวลา ๑๐ ปีมาแล้ว มีอาการดังต่อไปนี้คือ พอนั่งปุ๊บ พอจิตสบายจะมีความรู้สึกทางที่ศีรษะ แล้วเหมือนมีอะไรเลื่อนไป เลื่อนมาอยู่บนศีรษะรอบ ๆ แต่พอเลิกนั่งแล้ว หายเหมือนปลิดทิ้ง นั่งทีไรก็เป็นอย่างนี้เป็นประจำ จึงขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่า อาการเช่นนี้จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร ประการใดหรือไม่ขอรับ?
หลวงพ่อ แก้อิริยาบถดีกว่า ถ้านั่งไม่ดีแบบนั้นใช้นอน คือใช้ยืนหรือใช้เดินก็ได้ ถนัดนอนก็นอน ดีกว่า สบายกว่า
ผู้ถาม กรรมฐานนอนได้หรือครับ...หลวงพ่อ?
หลวงพ่อ นั่ง นอน ยืน เดิน มีผลเสมอกันจ้ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่างฉันนี้นอนมา ๙๐ เปอร์เซ็นต์
ผู้ถาม นอนกรรมฐานหรือครับ?
หลวงพ่อ ใช่ สบายมาก เข้าทั้งตัวเลย
ผู้ถาม อ้อ นี่รับสารภาพเลย
หลวงพ่อ ทำไม โกหกทำไม พระ? อีตอนที่ฉันลาพุทธภูมินะ และพระท่านมาบอกว่า ถ้าคุณจะลาพุทธภูมิให้ลาได้ แต่ต้องมีเงื่อนไข ภายใน ๑๒ ปีนี่ตายไม่ได้ นักเรียนทุน ๑๒ ปีผ่านมาแล้ว ก็มาอีก ๑๐ ปียังไม่ตายไม่ได้ ผ่านไปแล้วตอนนี้กำหนด ฉันขี้เกียจกำหนด ถึงเวลาก็ไม่ตาย เตรียมตั้งท่าทุกทีก็ไม่ตายสักที
ผู้ถาม อ้อ ได้ทุนถาวร
หลวงพ่อ ได้ทุนถาวร ก็เป็นอันว่าตอนนั้นท่านบอกว่า เมื่อสัญญาตกลงนั้นน่ะ เราคิดว่ามีชีวิตช่วงนี้อยู่กี่ปีก็ช่างมัน ก็ดีกว่าเกิดอีก ๑ ชาติ มันมีทุกข์ไม่เท่ากับเกิดอีก ๑ ชาติ ใช่ไหม... ก็ตกลงกับท่าน เป็นอันว่าขอลาพุทธภูมิ ท่านก็อนุมัติพอท่านอนุมัติ ท่านก็สั่งว่านับตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป เวลา ๔ ทุ่มตรง ฉันจะมาสอนเธอ เวลา ๒-๓ ทุ่มครึ่งให้เลิกรับแขก
ทีนี้พอถึงเวลา ๓ ทุ่มครึ่ง ฉันก็บอกแขก ตอนนั้นคุยกับแขกกลางคืนด้วยนะ ทีนี้มันเคยคุยถึง ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม ใช่ไหม... ก็มีบางคนบอกว่า ยังไม่ถึงเวลาครับ ก็เลยบอกยังไม่ถึงเลวลาของแกก็ช่าง เวลาของฉันมันถึงแล้ว ฉันเข้าห้อง แกนั่งอยู่ยามก็แล้วกัน ฉันก็เข้าห้องฉันซิ เรื่องอะไรงานต้องเป็นงาน งานเรามีใช่ไหม
พอเข้าไปในห้องก็เตรียมตัวบูชาพระ ล้างหน้าล้างตาบูชาพระพอ ๔ ทุ่มเป๋ง ท่านมาทันทีตามเวลาเลย เป๋ง...ถึงเลย ในห้องมีแสงสว่างคล้ายกับไฟหลายแสนแรงเทียน...สวยมาก มาถึงปั๊บแทนที่ท่านจะบอกนั่ง ท่านบอกเธอเหนื่อยมาตั้งแต่เช้า...เพลียนอนฟังและจงคิดตามฉันพูด ท่านสอนตั้งแต่ ๔ ทุ่ม ถึง ตี ๒ ถึง ๑ เดือน สอนวิชาอะไรรู้ไหม “ทุกข์” ทุกข์ตัวเดียว ฉันมีความรู้อริยสัจแค่ “ทุกข์” ตัวเดียวนะ
ผู้ถาม หนึ่งเดือนหรือครับ?
หลวงพ่อ ใช่ ๑ เดือนเต็ม ค่อย ๆ พูดไปทีละข้อ ท่านพูดละเอียดมาก พูดช้า ๆ ให้คิดตาม พอถึงตี ๒ ก็กลับ อย่างนี้ทุกคืน ๑ เดือน เป็นอันว่านอนดี ถ้านอนภาวนาทุกขเวทนามันไม่เครียดใช่ไหม ถ้ามันจะหลับให้ปล่อยหลับไปเลย อย่าฝืนไว้เพราะจิตถ้าเริ่มเป็นสมาธิ กำลังใจจะรวมตัว พอถึงฌานปั๊บ จะตัดหลับ เมื่อหลับแล้วหลับกี่ชั่วโมง ก็ถือว่าทรงฌานอยู่เท่าเวลานั้น เวลาหลับเขาถือว่า “ทรงฌาน” อันนี้ได้กำไรมาก
ถ้าจิตเริ่มเป็นสมาธิกำลังใจจะรวมตัวมาทีละน้อย พอสมาธิมั่นคงพอถึงฌานปั๊บ มันตัดหลับทันที ตัดหลับแบบนี้สังเกตเวลาตื่น ถ้าจิตทรงฌานก่อนหลับจริงเวลาตื่น พอรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น มันจะภาวนามาเลย ไม่ต้องบังคับ เขาภาวนาเลย ภาวนาด้วยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออด้วย เวลานั้นจะเป็นไปตามนั้น
ผู้ถาม ถ้าปุ๊บปั๊บตายขณะนั้น ก็...
หลวงพ่อ ไปตามกำลังฌาน เขาถือว่าก่อนจะหลับอยู่ฌานไหน เวลาหลับก็ทรงฌานนั้น ถ้าหากว่าตายขณะหลับก็ไปตามกำลังของฌาน ถ้าเป็นฌานโลกีย์ธรรมดา ก็ไปเป็นพรหม แน่นอน ถ้าบังเอิญเวลาก่อนจะหลับ มันใช้วิปัสสนาญาณควบคิดว่าการเกิดเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก คำว่า “ไม่ต้องการร่างกาย” นี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ถ้าตายเวลานั้น จะไปนิพพานทันที
ผู้ถาม อย่างนี้ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยนะครับ?
หลวงพ่อ ก็ต้องลงทุนนอนหน่อย (หัวเราะ) นั่ง นอน ยืน เดิน มีผลเสมอกัน
ผู้ถาม ขอถามอีกนิดหนึ่งครับ ตอนที่สมเด็จท่านสอนทุกข์นี่ใช้ภาษาอินเดียหรือภาษาอะไรครับ?
หลวงพ่อ ภาษาไทยชัดมาก เพราะมาก เสียงเพราะจริง ๆ เสียงกังวาล อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าคนภาษาไหน เวลาเทศน์จะเป็นภาษานั้นหมด เวลาฟัง ๑๐ ภาษาก็ต่างคนต่างรู้เป็นภาษาของตนเอง เป็นอัจฉริยะไง อัศจรรย์ยังไงล่ะ เทศนาปาฏิหาริย์ เทศน์เป็นปาฏิหาริย์ แต่ใครนั่งด้านไหนก็ตาม จะถือว่าพระพุทธเจ้าหันหน้าไปหาเสมอ ไม่มีคำว่า “หลัง” ไม่มีคำว่า “ข้าง” ดีไหม
ผู้ถาม เสียดายนะ เกิดทันตอนนั้นป่านี้ก็
หลวงพ่อ ป่านนี้ก็ลงอเวจีไปแล้ว (หัวเราะ)

นั่งสมาธิเวียนศีรษะ
ผู้ถาม คือว่าไม่ทราบเป็นเพราะเหตุไร เวลานั่งสมาธิคราวใดจะมีความรู้สึกเวียนศีรษะ มีความคลื่นเหียนเป็นอย่างมาก แต่เมื่อลูกตรวจดูแล้ว ก็ปรากฏว่าในอดีตชิตเคยมีแมวกัดลูก เมื่อนั่งทีไรก็มีอาการอย่างนี้เกิดขึ้นทุกครั้ง จึงอยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ก่อนนั่งควรจะทำอย่างไร... อาการอย่างนี้จึงจะไม่เกิดขึ้นอีกเจ่าคะ?
หลวงพ่อ ลำบากเหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ซิ ก่อนจะนั่ง อุทิศส่วนกุศลให้ ขอให้แมวอโหสิกรรมเสียก่อน แล้วก็ทำจิตให้เป็นสุข อย่าให้เครียดเกินไป กรรมฐานทำใจให้สบาย ๆ ถ้าเครียดเกินไป มันก็เวียนหัวเหมือนกัน อาจจะเครียดเกินไปละมั้ง จะตั้งใจเอาดีมากไปนะ
ผู้ถาม อ๋อ ทำกรรมฐานนี่ ต้องใจสบาย ๆ หรือครับ?
หลวงพ่อ ก็ มัชฌิมาปฏิปทา ไงล่ะ เธอทั้งหลายจงละส่วนสุด ๒ อย่าง คือ ๑.กามสุขัลลิกานุโยค คืออย่าอยากได้เกินไป ๒.อัตตกิลมถานุโยค เคร่งครัดเกินไป ถ้าส่วนสุด ๒ อย่าง อย่างหนึ่งอย่างใดมีกับเธอ เธอจะไม่บรรลุมรรคผล ขอทุกคนจงตั้งอยู่ใน มัชฌิมาปฏิปทา คือ “พอสบาย ๆ”

ทำสมาธินิ่ง
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ คือเวลาที่ลูกนั่งปฏิบัติพระกรรมฐาน เวลาจิตสงบแล้วจะนิ่งไปเลย นิ่งไปชนิดที่เรียกว่า ไม่รับรู้ไม่รับทราบ มันนิ่งไปเฉย ๆ ข้างล่างก็ไม่ไป ข้างบนก็ไม่ไป ลูกก็เกรงว่าถ้าหากตายไปในลักษณะนิ่งไม่รู้สึกอย่างนี้จะไปในที่ไม่ดีไม่ชอบเป็นแน่ จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า มีคำแนะนำอย่างไรต่อไปจากนิ่งเจ้าคะ?
หลวงพ่อ มันนิ่ง ต่อไปก็นอน โธ่เอ๋ย เขาก็ต้องการกันแค่นิ่ง ไอ้นิ่งเป็นอารมณ์ของฌาน มันเป็นอุเบกขาใช่ไหมล่ะ ถ้าจิตเป็นอุเบกขาจัดว่าเป็นฌานสูง ต้องการกันแค่นั้น จะไปนิพพานหรือไม่ไปนิพพานอยู่ที่อารมณ์ต้น ก่อนที่เราจะภาวนาต้องพิจารณาใคร่ครวญก่อน ตัดสินใจว่าเราจะไปที่ไหนก่อน ถ้าตายแล้วจะไปไหน อย่างที่เคยบอกไว้นะ แล้วเราก็ภาวนา ถ้าจิตเป็นสมาธิถ้าตายเมื่อไร เราก็ไปตามที่เราต้องการเมื่อนั้น

อารมณ์ดิ่ง
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง หลวงพ่อ พูดถึงเรื่องอารมณ์ดิ่งในการทำสมาธินั้น หลวงพ่อบอกว่า เป็นอารมณ์ฌาน ทีนี้พอลูกมาทำบุญกับหลวงพ่อ พอเห็นหน้าหลวงพ่อปุ๊บ ก็มีอารมณ์ดิ่งอย่างนั้นปั๊บทันที อยากจะหลับตาทำสมาธิก็หลับไม่ได้ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นเจ้าคะ?
หลวงพ่อ ความจริงไม่จำเป็นจะต้องนั่งหลับตาหรอก ถ้าดิ่งแบบนั้นก็มีสมาธิแบบนั้น ก็มีสมาธิ ๒ อย่าง สังฆานุสสติ กับ จาคานุสสติ นึกถึงพระเป็นสังฆานุสสติ อันนี้ดีมาก
ผู้ถาม พูดถึงว่าถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ ตอนอารมณ์ดิ่งจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเจ้าคะ?
หลวงพ่อ โดดขึ้นหลังคา เอาขาไปแขวนกับต้นไม้ หัวห้อยลงมา ไม่ต้องหรอก เอาแค่นั้นพอนะถ้าเลยไปต้องทำแบบนั้น

ภาวนาปนเป
ผู้ถาม กราบเท้านมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ขณะนี้ลูกใช้คาถาเงินล้านของหลวงพ่อผสมปนเปกันไป จนกระทั่งไม่แน่ใจเสียแล้ว กล่าวคือคาถาก็ว่าเต็มบท อานาปาก็จัก พิจารณาขันธ์ ๕ ก็คิด นิพพานก็จะไป ทำไปทำมาเดี๋ยวนี้ชักขลุกขลักเสียแล้ว ก็เลยเริ่มต้นแบบเดิมอีก ก็อยากกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า อันนี้เป็นเพราะอารมณ์ของจิตของลูกฟุ้งซ่านไปหรือเปล่า และจะแก้ไขอย่างไรครับ?
หลวงพ่อ ใช้เวลาซิ เวลาไหนจะใช้อะไร แต่ว่า อานาปานุสสติ ต้องใช้ประกอบเสมอไปนะ ทุกอย่างจะทำอะไรก็ตาม ต้องขึ้นต้นด้วยอานาปานุสสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ว่าช้า ๆ สบาย ๆ อักขระชัดเจน

ขณะภาวนามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ปัจจุบันนี้การปฏิบัติธรรมของกระผมชักจะแย่ลงไปเลยเกิดปัญหาขึ้นมาว่า ในขณะที่กำลังภาวนา “นะมะ” เข้า “พะธะ” ออก ปรากฏใจของลูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่กับองค์ภาวนา ส่วนหนึ่งฟุ้งซ่านออกไปข้านอก ฟุ้งซ่านไร้สาระ อารมณ์แบบนี้เกิดขึ้น จึงทำให้ตัวเองต้องวิตกกังวลว่า หากตายในขณะที่จิตซีกหนึ่งฟุ้งซ่าน จะตกนรกเป็นอย่างแน่ ขอบารมีหลวงพ่อช่วยชี้แนะแก้ไขด้วยเถิดขอรับ
หลวงพ่อ ไม่เป็นไร... แบ่งเป็นสองซีก ซีกที่ภาวนาอยู่เกิดเป็นนางฟ้าและพรหม อีกซีกหนึ่งเกิดในนรก เดี๋ยวก่อนที่เขาถามมานี่เป็นเรื่องธรรมดานะ ถ้ายังไม่ถึงอรหันต์เพียงใด ความฟุ้งซ่านย่อมมีกับคน แต่ให้ดูกำลังใจว่า เรามีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ไหม เอาแค่นี้พอ ถ้าจิตยังมีความเคารพอยู่ถือว่าไม่เหลวงไหล เรื่องคิดออกนอกทางเป็นของธรรมดา
ดูตัวอย่าง พระอัสสชิ พระอัสสชินี่เป็นพระอรหันต์รุ่นแรกรุ่น ๕ องค์ เวลาที่จะนิพพานเป็นโรคทางกระเพาะหนัก ปั่นป่วนมาก จิตใจก็ฟุ้งซ่าน ก็ให้พระไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามา พอพระพุทธเจ้ามาก็กราบทูลว่า “บัดนี้ความดีของข้าพระพุทธเจ้าสบายตัวเสียแล้ว ความดีหมดไปเหลือแต่ความชั่ว ... จิตฟุ้งซ่าน
พระพุทธเจ้าถามว่า “อัสสชิ เธอระงับกายสังขารไม่ได้หรือ” (คืออานาปา) ท่านบอก “ระงับไม่อยู่ครับ มันฟุ้งใหญ่ มันเสียด” พระพุทธเจ้าถามว่า “อัสสชิ เธอเห็นว่าร่างกายเป็นของเธอหรือ” ท่านบอก “ไม่ใช่ พระเจ้าข้า” ในเมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่า “ความดีของเธอไม่เสื่อม ยังทรงตัวอยู่” พระอรหันต์ก็ฟุ้งซ่านเหมือนกันเวลาป่วยหนัก และที่คิดว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรามันไม่มี คือไม่ต้องการโลกต่อไป ใช่ไหม สำหรับญาติโยมที่ถามเมื่อกี้นี้ ไม่เป็นไรนะ จิตยังเคารพพระอยู่...เป็นใช้ได้

เคยเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมเคยเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ครั้งหนึ่ง คือคิดว่าพระอรหันต์ที่เหาะได้ แสดงว่ากิเลสยังไม่หมด เพียงแค่ปรามาสเท่านี้เอง ปรากฏว่าภายหลังผมเจริญพระกรรมฐานแล้ว สมาธิไม่เคยผ่องใสเลย กระผมขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า กระผมต้องการนิพพานในชาตินี้ เมื่อเป็นอย่างนี้อยู่ จะมีทางแก้ไขอย่างไรหรือไม่ขอรับ?
หลวงพ่อ ขอขมาโทษต่อพระพุทธเจ้า ปรามาสตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ขอขมาโทษเป็นส่วนตัวไม่หาย ต้องขอขมาโทษตรงต่อพระพุทธเจ้านะ

ครวญเพลงทำสมาธิได้ดี
ผู้ถาม เวลาปรกติแล้ว ลูกก็ปฏิบัติตามคำสั่งหลวงพ่อมาด้วยดีโดยตลอด แต่ที่จะออกนอกคอกอยู่สักนิด ก็คือว่า เวลาที่ลูกครวญเพลงเบา ๆ ทีไร อารมณ์จะเป็นสมาธิ เห็นอะไรต่ออะไร แบบชนิดที่ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่พอจับคำภาวนานั่งสมาธิกลับไม่เห็นอะไรเลย ในลักษณะอย่างนี้ จึงทำให้กระผมมีความอึดอัดเป็นอย่างมาก เกรงว่าครวญเพลงเกิดสมาธิ ตายแล้วตกนรก
หลวงพ่อ อ้าว ๆ ที่นรกไม่มีเพลงนะ ถ้าพวกเพลงนี่ต้องไปอยู่ ดาวดึงส์ ทั้งรำทั้งเพลงเลย ความจริงการครวญเพลงของเขา จิตเป็นสมาธิขั้นอุปจารสมาธิ ครวญเพลงก็ดีหรือว่าสวดมนต์ก็ตาม หรือว่าฟังเทศน์ก็ตาม เวลานี้จิตอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ เวลานั้นอารมณ์เป็นทิพย์ เห็นอะไรได้ สำหรับคนนี้เวลานั่งทำสมาธิแน่นเกินไป เลยอุปจารสมาธิ ถ้าถอยกำลังใจตั้งอยู่อุปจารสมาธิจะเห็นชัดกว่ามาก
ผู้ถาม ครับ...!

การดูมหรสพ
ผู้ถาม ลูกชอบดูละคร โขน หนัง เรียกว่าติดเอามาก ๆ เลย มีความลุ่มหลงเป็นอย่างมาก ลูกอยากจะเรียนถามว่า การดูมหรสพเพื่อเป็นแนวทางพระกรรมฐานนั้น เราควรจะดูแบบไหน และใช้ปัญญาแบบไรเจ้าคะ?
หลวงพ่อ ใช้ปัญญาแบบ พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ เอาอย่างนี้ซิ ถ้าดูแบบวิปัสสนาญาณ ก็เห็นว่าผู้แสดงนี้เป็นทุกข์ ไม่ทุกข์เขาไม่มาแสดง เขาต้องการสตางค์เพราะเขาไม่มีเงิน ต่อมาแสดงเมื่อมันเหนื่อยก็ทุกข์ คนแสดงก็ดี คนดูก็ดี ไม่ช้าก็ตายเหมือนกันหมด ทุกคนต่างคนต่างตาย พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ คิดแบบนี้
ท่านบอกว่า คนที่แสดงมหรสพก็ตาม คนดูก็ตาม ทั้งหมดนี้มีอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปีก็ตายหมด ไอ้เราก็ต้องก็ตาย ไอ้เราก็ต้องกตายเหมือนกัน ทีนี้ในโลกนี้มีของคู่กัน มีผู้หญิงก็ต้องมีผู้ชาย มีมืดก็ต้องมีสว่าง ฉะนั้น ธรรมที่ทำให้คนตายมีอยู่ ธรรมที่ทำให้คนไม่ตายก็ต้องมี

เบื่อวัฏฏจักร
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา หนูไม่เคยปฏิบัติกรรมฐาน ไม่เคยฟังเทศน์เลย แต่มีความรู้สึกอย่างนี้เจ้าค่ะ คือเบื่อในวัฏฏะเจ้าค่ะ มันเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน (เบื่อแบบนี้ไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้) ตอนนี้ลูกก็มีอายุแค่ ๓๔ ปี อยากจะอยู่สัก ๕๐-๖๐ ปี แล้วก็ตั้งใจจะไปไม่กลับเลย อารมณ์อย่างนี้ ลูกควรจะเพิ่มเติมอย่างไรอีกเจ้าคะ?
หลวงพ่อ อารมณ์นี้ดี ... เป็นนิพพิทาญาณ ไม่เคยเจริญกรรมฐานเลยนะ ไม่แน่หรอก เพราะว่าชาตินี้ไม่ได้เจริญ แต่ชาติก่อนเจริญ ผลของบุญนี่นะ ถ้าสนองขึ้นมาเมื่อใด สังเกตในสมัยพระพุทธเจ้า คนไม่เคยเรียนอะไรเลย ฟังเทศน์จบเดียวเป็นอรหันต์พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ นั่นแสดงว่าบุญเก่าเขาเต็ม รายนี้ก็เหมือนกัน จะถือว่าไม่เคยเจริญกรรมฐานไม่ได้ ชาตินี้ไม่ได้ทำแต่ชาติก่อนทำ บุญอันนั้นมาสนอง แต่ระวังให้ดีนะ มันเป็นฌานโลกีย์ มันเสื่อมได้ ต้องระมัดระวังให้มาก

สมาธิเสื่อม
ดูข้างล่าง

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกเชื่อคำแนะนำของหลวงพ่อทุกอย่าง แต่ว่าเรื่องสมาธินี่ ไม่ทราบว่าระยะนี้เป็นอย่างไร ชอบตกอยู่เรื่อย ๆ พยายามยกเอาจิตขึ้นสู่องค์ภวังค์ ขึ้นมาแป๊บเดียวมันก็หล่นลงไปอีก เบื่อเหลือเกินเจ้าค่ะ สมาธินึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อแก้ปัญหาเก่ง สามารถจะยกจิตขึ้นมาได้ ขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำอีกเถิดเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ ขอยืมบุ้งกี๋เหล็กเขามา เอาตักจิตยกขึ้นมา (หัวเราะ) เอาอย่างนี้ซิ เรื่องนี้เป็นของธรรมดา ทำไป ๆ ต่อไปเมื่อกำลังจะดีบ้าง กิเลสมาร ก็เข้ากวนใจ ทุกคนเป็นเหมือนกัน ก็เกิดมีอารมณ์เบื่อบ้าง มีอารมณ์มืดบ้าง พอดีร่างกายไม่ค่อยสบายก็มีอารมณ์มืด ทีนี้การภาวนามันมีสองอย่าง อารมณ์ทรงตัว กับ อารมณ์คิด ถ้าทรงตัวไม่ไหวก็ใช้อารมณ์คิด คิดว่ายังไง
มันจะแก่ก็ช่างมัน มันจะตายก็ช่างมัน มันจะป่วยก็ช่างมันหวยจะกินก็ช่างมัน ฝึกไว้มันจะชิน คิดว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามกฎของกรรม ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรม ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ พระพุทธเจ้าเองยังโดน เราก็เหมือนกัน ขอทำชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายตายแล้วเลิกกัน... ไปนิพพาน

อารมณ์แทรกซ้อน
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เวลาลูกเริ่มไหว้พระสวดมนต์ อันดับแรกจะต้องหาวาจนน้ำตาไหลทั้ง ๆ ที่ไม่เคยง่วง อีกอย่างหนึ่งชอบมีอารมณ์แทรกซ้อน เวลาเจริญอานาปานุสสติกรรมฐาน คิดโน่นคิดนี่ เผลอ ๆ ก็เป็นฝ่ายอกุศลอารมณ์อย่างนี้จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรหรือไม่ เพราะเป็นปรกติเลยขอรับ?
หลวงพ่อ เป็นของธรรมดา ทุกคนเป็นเหมือนกัน เขาเรียกว่า นิวรณ์ นิวรณ์ตัวที่ ๒ กับนิวรณ์ตัวที่ ๔ นิวรณ์ตัวที่ ๒ คืออารมณ์โกรธไม่พอใจ นิวรณ์ตัวที่ ๔ คือ อารมณ์ฟุ้งซ่าน เราก็ถอยหลังเสียใหม่ พักสักประเดี๋ยวหนึ่ง ดูอะไรให้มันเพลิน ๆ พอเริ่มใหม่ปั๊บ จับลมหายใจเข้าออก เอาจิตจับเฉพาะลมหายใจเข้าออกให้มันทรงตัว ทีสองทีก็เป็นที่พอใจแล้ว

ทำอารมณ์ก่อนผ่าตัด
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม หมอจะผ่าตัดลูกด้วยเหตุที่เป็นเนื้องอก ลูกไม่อยากผ่าตัดเลยเพราะกลัวตาย แต่ก็ไม่เชิงกลัว (เอ๊ะ ยังไง) คือลูกอยากจะถามหลวงพ่อเดี๋ยวนี้ว่า ก่อนที่เขาจะลงมือผ่าตัด ลูกควรจะทำอารมณ์พระกรรมฐานแบบไหน เวลาตายตอนนั้นจะได้ตายสบาย?
หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ พุทโธ นึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปก็ได้ ไง ๆ ก็ยังไม่ตายวันนี้ เขายังไม่ถึงเวลาตาย ไอ้เวลาตายคือเวลาไม่หายใจ นี่ผ่าตัดอีกสัก ๓ ครั้งก็ยังไม่ตายคนนี้นะ แต่ว่า เขาต้องการอารมณ์กรรฐานนะ ... ดีแล้ว พุทโธ ก็แล้วกันสำคัญมาก ถ้าหากว่าได้มโนมยิทธิจับพระนิพพานเป็นอารมณ์พุ่งไปนิพพานเลย ไปนิพพานนี่ดีนะ คือว่าหมอไปทำฟันฉันทั้งหมดนี่ ๒๘ ครั้ง ขูดบ้าง เจาะบ้างอะไรบ้างนะ ฉันกลัวปวดกลัวเสียวฉันก็เปิดไปนิพพาน หมอต้องเรียกเวลาเลิก
ผู้ถาม ทำไมครับ หลวงพ่อ?
หลวงพ่อ ไม่รู้สึก เพลิน คราวหนึ่งเมื่อรู้สึกจะเสียว พอเริ่มเสียวนิด ฉันก็เปิดไปเลย หมอก็ทำไปตั้งแต่ ๒ โมงครึ่งเช้า ถึง ๕ โมง ๑๕ นาที หมอเรียกฉันรู้สึกตัว ถามหมอเสร็จแล้วหรือ หมอถามว่าเจ็บไหม พอแกถามว่าเจ็บไหม ทีนี้ไปเลย (หัวเราะ) ความจริงยังไม่เจ็บนะ ก็เลยคิดว่าน่ากลัวมันจะเจ็บจะเสียว ใช่ไหม... เขาถามว่าเจ็บไหม เสียวไหม หลวงพ่อ? ฉันก็ไม่พูด ไปเลย
ผู้ถาม จะผ่าตัดหรือจะทำอะไร เราจู๊ดไปเลย นี่
หลวงพ่อ นึกถึงนิพพานไว้เป็นอารมณ์ ถ้าบังเอิญมันตายเวลานั้น ก็ไปนิพพานเลย

ทำสมาธิชอบโกรธ
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกทำสมาธิทีไร กิเลสตัวหนึ่งที่ลูกแก้ไม่ได้ คืออารมณ์โกรธ เวลาปรกติก่อนนั่งสบาย หัวเราะร่าเริง พอเข้านั่งสมาธิทีไร เดี๋ยวไอ้โน่น เดี๋ยวไอ้นี่มารบกวน โดยสถานที่นั้นก็เงียสนิท ทีนี้ก่อนจะนั่งจะตั้งจิตอธิษฐานว่าอย่างไร เวลาทำกรรมฐานจึงจะไม่มีอารมณ์โกรธเจ้าคะ?
หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ ไม่โกรธหนอ ๆ ๆ (หัวเราะ)
ผู้ถาม หายไหมครับ
หลวงพ่อ อาจจะไม่หาย ก็ทำใจสบาย คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาเสียงที่อื่นจะเข้ามาก็เป็นเรื่องของเขา เพราะเสียงนี้เราไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการคือคำภาวนากับรู้ลบมหายใจเข้าออกเท่านี้ก็พอแล้ว

ชอบถูกนินทา
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อเจ้าขา ลูกมีเวรมีกรรมอะไรก็แก้ไม่นาย ทำบุญสงเคราะห์อนุเคราะห์คนอื่นทีไร ทีแรกเขาก็ยกยอปอปั้นดี พอลับหลังก็นินทาแหลกเลย ในลักษณะอย่างนี้ทำให้ลูกมีอารมณ์ขุ่นหมอง จิตเศร้าหมองเป็นประจำ ขอกรรมฐานของหลวงพ่อช่วยแนะนำอารมณ์ประเภทนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ?
หลวงพ่อ แก้อารมณ์เรอะ ฉันคิดว่าแก้อาการ
ผู้ถาม อารมณ์กับอาการไม่เหมือนกันหรือครับ?
หลวงพ่อ ไม่เหมือน... อาการคือถูกนินทา อารมณ์ก็ขุ่นมัวอาการอย่างนี้นะฉันเจอเป็นปรกติ พระเจ้าอยู่หัวท่านเคยตรัส สมัยก่อนเคยไปเฝ้าท่านนะ ท่านก็เล่าเรื่องคนนินทาท่านให้ทราบ ท่านเล่าหลายเรื่อง มาตอนหลังท่านบอกว่า เมื่อก่อนนี้เขาหาว่าผมฆ่าพี่ แต่เดี๋ยวนี้เขาหาว่าผมฆ่าพ่อตา เขาลือบอกว่า พ่อตาผมเป็นไข้ เอาเหล้ากรอกปากแล้วพาวิ่งตายไปเลย
ก็เลยบอกว่า พระองค์แบบไหน อาตมาก็แบบนั้นแหละ ให้เขาเขาก็ด่า ไม่ให้เขาเขาก็ด่า แต่เราให้เป็นการตัดกิเลสของเราเป็นของธรรมดา ท่านถามหลวงพ่อคิดยังไงครับ เลยบอกว่าใช้คาถาบทหนึ่งว่า “ช่างมัน ๆ” และถามว่าพระองค์ล่ะ ผมคิดว่า “เรื่อย ๆ ครับ” คือว่าของอย่างนี้เป็นธรรมดา แต่ว่าเราทำดีก็แล้วกัน
ผู้ถาม โอ นี่แสดงว่า พระทัยของพระองค์นี่ปลงตกเหมือนกันนะ
หลวงพ่อ ท่านเก่งมาก เรื่องปลงนี่เก่งมาก สมาธิก็เก่งจัด การเข้าฌานออกฌานก็เก่งมาก และใช้กำลังใจได้ด้วยนะ ท่านเป็นอัจฉริยะทุกอย่าง ถ้าไม่คุยกับท่านจะไม่รู้เรื่อง เรื่องธรรมะนี้ละเอียดลออมาก ทั้ง ๆ ที่มีเวลาน้อยนะ แต่ว่าละเอียดลออมาก

ช่วยเขาแต่ถูกด่า
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกเองก็ไม่รู้ว่าจะมีกรรมเก่ากรรมใหม่เป็นประการใด คือว่าลูกเป็นคนมีเมตตา ชอบช่วยเหลือเผื่อแผ่คนบ้านใกล้เรือนเคียง และคนเดือดร้อนทั่วไปเสมอ ติดใจอยู่นิดหนึ่งก็คือว่า ทุกคนที่ได้รับการช่วยเหลือไปแล้วนั้น เขาไม่เคยรู้บุญคุณของลูกเลย เขากลับมาเยาะเย้ย “เอ็งมันโง่ เสือกช่วยข้า” ลูกก็มานึกถึงหลวงพ่อว่าวิธีทำบุญให้เขานึกถึงบุญคุณของเรานี้ จะทำแบบไหนเจ้าคะ?
หลวงพ่อ ความจริงโรคเดียวกับฉันนะ ก็ถูกด่ามาเรื่อย ๆ
ผู้ถาม โอ หลวงพ่อเป็นเหมือนกันหรือครับ?
หลวงพ่อ สมัยก่อนหนัก หนักมาก ในเมื่อเราเป็นโรคเดียวกันรักษาหายนะ ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทำบุญให้ถือว่าทำบุญ ถ้าทวงคุณอานิสงส์มันต่ำ เราถือว่าเราให้ไป เราสงเคราะห์เพื่อเป็นทานใช่ไหม ปล่อยไปเลย ถ้าเขาอกตัญญู ไม่รู้คุณมาสองเราแบบนั้น เขาลงนรกเป็นเรื่องเของเขา อย่าไปยุ่งกับเขา
ผู้ถาม โอ ขนาดหลวงพ่อยังเป็นเลยนะ
หลวงพ่อ พระพุทธเจ้ายังเป็น โดนเทวทัตล่อเห็นไหมล่ะ

โกรธแล้วถึงมีสติ
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกเป็นคนนิสัยไม่ดีนิดเดียว คือเป็นคนที่โกรธแล้วจะมีสติในภายหลัง ทีนี้ก็อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า ควรจะทำอย่างไร จึงจะมีสติก่อนที่เราจะโกรธเจ้าคะ?
หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ พอลุกมาตอนเข้าก็ตะโกน “สติโว้ย...มาพร้อมกันโว้ย” “สติโวย...มาบริบูรณ์โว้ย” “สติโว้ย...มาทั้งหมดโว้ย” ร้องอย่างนี้ทุกวันเลย สติไม่ไปไหนนะ หัดเจริญ อานาปานุสสติ ซิ

ชอบอาฆาตพยาบาทผู้อื่น
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกมีกิเลสที่เลวร้ายอยู่หนึ่งตัว กล่าวคือ ความเคียดแค้นอาฆาต พยาบาทจองเวรกับผู้อื่นทั้ง ๆ ที่เมตตาก็แผ่แล้ว เทปหลวงพ่อก็ฟังแล้ว หนังสือหลวงพ่อก็อ่านแล้ว สมาธิก็ทำแล้ว แต่ปรากฏว่าแก้ไม่ตก วันนี้อยากจะขอทีเด็ดจากหลวงพ่อว่า จะมีทางแก้ไขอย่างไร เพราะเกรงว่าอาฆาตเคียดแค้น ตายแล้วจะลงนรกเจ้าค่ะ?
หลวงพ่อ ทีเด็ดก็คือว่า ไปหาถ้ำไกล ๆ จะได้ไม่โกรธคนอื่น ถ้าอย่างนี้เขาดีแล้วนี่ เขารู้ว่ามันไม่ดี แสดงว่าคนนี้เริ่มดีมากแล้ว ใช้อารมณ์เดิมก็แล้วกันนะ ค่อย ๆ ลดไปนะ อย่างนี้ดีมากแล้ว ไม่ใช่ไม่ดีนะ เขารู้ว่าเลวแสดงว่าดีขึ้นนะ ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า “บุคคลรู้ตัวว่าเป็นพาล ท่านบอกว่าบุคคลนั้นคือบัณฑิต” ทีนี้คนที่เขาคิดว่าอารมณ์นี้มันเลว แต่ความจริงที่รู้ว่าเลวน่ะ ต้องเป็นคนดีแล้ว ถ้าไม่ดีไม่รู้ว่าเลว
และประการที่ ๒ ถ้ารู้ว่าเลวแล้ว ไม่กล้าเปิดเผย ยังลงอยู่นี่เขาเปิดเผยตัวเองก็ต้องถือว่าดีมาก ค่อย ๆ ทำก็แล้วกันจะหายไปเอง

ชอบทะเลาะกัน
ผู้ถาม กราบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีเรื่องจะขอคำแนะนำจากหลวงพ่อ คือว่าที่บ้าน ของลูกครอบครัวไม่รู้เป็นยังไง ทะเลาะวิวาทเสียดด่า มีอันจะต้องเดือดร้อนกันอยู่เสมอ
หลวงพ่อ ดี ๆ ๆ ๆ
ผู้ถาม อะไรครับ หลวงพ่อ แกด่ากันทะเลาะกัน
หลวงพ่อ ออกกำลังกาย ใช้ปัญญาบารมี (หัวเราะ) เอ๊ะ ด่าแบบไหนจะดีนะ ใช้ปัญญาเรื่อย ๆ นี่ล่ะ โลกธรรม
ผู้ถาม เขาบอกว่า แม่ก็ศาสนาหนึ่ง ลูกก็ศาสนาหนึ่ง คือในบ้านมีทั้ง ๓ ศาสนา มีพุทธ มีคริสต์ มีอิสลาม แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือว่า ศาสนาอิส...นะ ชอบรังแกพุท และชอบว่าพระพุทธรูป ดิฉันก็โกรธก็บอก “นี่ของใครของมันซิวะ”
หลวงพ่อ เออ...เขาถูกต้องนะ
ผู้ถาม วะ...นี่ถูกต้องหรือครับ?
หลวงพ่อ ถูกต้อง วะ...นี่แปลว่าหนักแน่นนะ
ผู้ถาม ก็เลยเป็นอันเถียงกันไปเถียงกันมาแบบนี้ ที่จะกราบเรียนถามโดยสรุปก็คือว่า ลูกควรจะทำอารมณ์จิตแบบไหน ที่สามรถจะต้านอารมณ์ที่มายั่วเย้า หรือยุแหย่ ทำให้ลูกเดือดร้อนได้เจ้าคะ?
หลวงพ่อ ถือว่าเป็นกฎธรรมดาของชาวโลก ชาวโลกถ้าเกิดมาแล้วต้องถูกนินทา วันนี้แนะนำว่า นัตถิ โลเก อนินทโต คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก นี่พระพุทธเจ้าพระพุทธรูปแท้นะ ท่านเป็นอิฐเป็นปูน พูดไม่ได้ยังถูกนินทาเลย ได้เราล่ะ
ผู้ถาม อย่างนั้นก็ให้มันนินทาให้มันด่าต่อไป
หลวงพ่อ ถ้านินทาด่าจริง ๆ ถ้าเก่งจริงนะ เขาต้องไม่เลิก ๒๔ ชั่วโมง ไม่กินข้าวไม่กินปลา ด่าเรื่อย...นินทาเรื่อย
ผู้ถาม แม้แต่จะปวดท้องขี้ปวดท้องเยี่ยว
หลวงพ่อ ไม่เลิก ไม่ไปขี้ด้วย
ผู้ถาม ไหวหรือครับ...หลวงพ่อ?
หลวงพ่อ ก็นั่นซิ เดี๋ยวแพ้เราเองแหละ เราเฉยไว้ก็หมดเรื่องกันนะ
ผู้ถาม ใช้ตำราหลวงพ่อ
หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ ช่างมัน ๆ ๆ


ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ก้าวอย่างมีสติ อาจต้องฝืนในเบื้องต้น แต่เมื่อเพียรสร้างวินัยนี้จนเป็นนิสัยแล้ว ต่อไปนิสัยนี้จะสร้างและเคลื่อนเราเอง


"เที่ยววิจารณ์คนอื่น ได้แต่ความสะใจ ได้ก่อกรรมเพิ่มขึ้น ให้อภัยคนอื่น ได้ความสงบเย็น และเพิ่มเมตตาบารมีให้ตน"

ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ตัวเราเอง - หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2013, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


..........ผู้ปฏิบัติควรทำกาย วาจา ใจ ตามแบบอย่างของพระอริยเจ้า อย่าให้หย่อนความเพียร ตั้งใจทำ อย่าให้ท้อถอยต่อความเพียร จึงจะได้รับผลของการปฏิบัติและข้อประพฤติสามัคคีธรรม ดังได้พรรณนามาในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย

เป็นกายสามัคคีธรรม ทำกาย วาจา ใจอย่างนี้ ไม่ต้องไปถามคนอื่น บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์รู้ได้เฉพาะตน อานิสงส์ใหญ่ไพศาลหาที่ประมาณบ่มิได้ สามัคคีกาย วาจา ใจ ด้วยอำนาจ ศีล สมาธิ ปัญญา สรรพคุณธรรมที่สามัคคีธรรม นำมาซึ่งความสุขมีประจักษ์ทุกเมื่อ อารมณ์เป็นธรรม ธรรมในที่นี้หมายรู้เท่าความเป็นจริง ทั้งภายในและภายนอก

ภายในหมายเอาอารมณ์ที่เกิดกับใจ อารมณ์เป็นสุข ทุกข์ อุเบกขา ต้องรู้ตนเอง ภายนอกตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ชิวหาได้ลิ้มรส กายสัมผัส รู้เท่ากายใจของตนเป็นจริงเช่นนี้ นอกจากกาย วาจา ใจ ออกไปภายนอกก็มีเสมอกัน มีดวงตาเห็นธรรมอย่างนี้ ด้วยอำนาจสามัคคีธรรม ข้อปฏิบัตินำให้ถึงโลกุตตรธรรม ที่ไม่แปรผันไปตามเหตุตามปัจจัย

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไม่ยินดียินร้าย รู้เห็น เป็นกลางอยู่เสมอ มาจากสามัคคีธรรม ศีล ๕ สมุทเฉทที่เราเจตนาละเว้น ไม่ล่วงในที่ลับในที่แจ้ง ผู้ปฏิบัติทำเหตุอย่างนี้ อาจเห็นจริงทุกเมื่อไม่เลือกหน้าบุคคล ไม่ว่าเพศไหนภาษาไหนทำได้ทุกเมื่อ ต่างกันช้าหรือเร็วเท่านั้น

เปรียบเหมือนไฟที่เป็นของร้อน คนที่จับไฟรู้หรือไม่รู้ก็ร้อน อุปมาข้อนี้ฉันใดบุคคลผู้ที่ละชั่วทำดี ประพฤติอยู่ในข้อปฏิบัติได้รับผลเช่นนั้น ความปฏิบัติของตนทำมา ที่ละเว้นทาง กาย วาจา ใจ ไม่ทำบาปทั้งปวง เป็นผลของข้อปฏิบัติ ต้องรู้ตนเองอย่างนี้

ผู้ปฏิบัติมีสามัคคีธรรมแล้ว นำมาซึ่งความสุข ไม่มีเจตนาทำบาปเสียแล้ว จิตไม่เศร้าหมองจึงปราศจากทุกข์ จึงรู้ตนเองว่าที่ลับในโลกไม่มี ดีชั่วสุขทุกข์อุเบกขารู้ตนเอง เจตนาดีเจตนาร้ายก็รู้ ถึงแม้เราจะปิดไว้ไม่บอกใคร พระพุทธเจ้าท่านก็รู้ หรือพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านย่อมรู้ทุกเมื่อ ขึ้นชื่อว่าชั่วแล้วอย่าทำเสียเลย เจตนาละเว้นทุกลมหายใจเข้าออก เรียกว่าเป็นผู้สามัคคีธรรมในข้อปฏิบัติ


..........ที่ได้พรรณนาเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย ธรรมสามัคคีของผู้ปฏิบัติเป็นมาดังนี้ ผู้ปฏิบัติน้อมไปปฏิบัติในกาย วาจา ใจของตน ธรรมของจริงก็จะบังเกิดทุกเมื่อ เป็นธรรมอันไม่ตาย ไม่แปรผัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีในธรรม ด้วยอำนาจคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ประดิษฐานอยู่ที่ใจ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็มีขึ้นที่ใจทุกเมื่อ นี่เป็นมรรคของผู้ปฏิบัติดำเนินไปสู่ธรรมอันไปไม่ตาย

นี่แหละด้วยอำนาจความปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา สำรวมศีล สมาธิ ปัญญา ก็หมายความประพฤติกาย วาจา ใจ สุจริตทั้ง ๓ นี่เอง ผู้ปฏิบัติพึงน้อมกาย วาจา ใจ ไปตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งเพศบรรพชิตและคฤหัสถ์ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง เรียกว่าโลกุตตรธรรมให้ผล ไม่มีกาลไม่มีสมัย

ขอให้สาธุชนทั้งปวงพ้นจากทุกข์ภัยและเป็นสุข สมกับปณิธานความปรารถนาของตนๆ ทุกเมื่อทั่วหน้ากันเป็นอันชอบด้วยดี มีความเกษมสันต์ นิราศจากภัย อันตรายทั้งปวงเทอญ







ลำดับนี้เราได้เจริญธรรมะพระมุนีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งแต่มนุษยธรรมสัมมาทิฏฐิ สัมมาอาชีวะ เป็นสมบัติของมนุษยธรรม

ที่เราเกิดมา ปัจจุบันนี้ก็ดี อนาคตก็ดี อดีตก็ดี พร้อมด้วยกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาอาชีวะ กรรมบถ ๑๐ ก็เรียกว่า ถ้าขาดอันนี้เสียแล้ว แปลว่า ไม่ใช่มนุษยธรรมเสียแล้ว

มนุษย์จริงๆ จะบวชเข้าในคณะสงฆ์ไทยก็ดี ต้องเป็นอิตถีภาวะรูป ปุริสภาวะรูป บริบูรณ์กายกรรม ๓ ด้วยวจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ จึงจะได้เจริญมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม สัมมาทิฏฐิ สัมมาอาชีวะของเทวธรรม พรหมธรรม อย่างเราได้อาราธนาพรหม จึงได้แสดงธรรม

พรหมภายนอกก็ดี พรหมภายในก็ดี พรหมภายนอกนั้นอยู่ชั้นพรหมรูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ พรหมภายในก็มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จึงได้เป็นพรหมได้

พรหมภายในเกิดกับจิต พระพุทธเจ้าเกิดกับจิต พรหมธรรมก็เกิดกับจิต พระสงฆ์ก็เกิดกับจิตนี่เอง เทวธรรม โลกุตตรธรรม เกิดกับจิต

มุนีทั้ง ๖ ท่านมีจิตเป็นธรรม จึงได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน สัพพัญญูพุทธะเป็นมุนีองค์ใหญ่ พระปัจเจกพุทธเป็นมุนีที่ ๒ สาวกพุทธเป็นมุนีที่ ๓ อนาคามีเป็นมุนีที่ ๔ สกิทาคาเป็นมุนีที่ ๕ โสดาปัตติมรรค-โสดาปัตติผลเป็นมุนีที่ ๖

มุนีนี้ที่มีทั้งหมดกุศลจึงได้อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ จะทำมุนีทั้ง ๖ รวมกันเข้านฤพาน พระโสดาต้องเจริญดี สกิทาคาต้องเจริญดี อนาคามีต้องเจริญดี จึงจะถึงอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ จึงจะเข้ากับสาวกพุทธ เข้าถึงนิพพาน พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้านิพพาน พระอรหันต์คอยอยู่นิพพานโน่น

เราต้องเรียนปริยัติให้เกิดให้มีขึ้นที่จิตใจ วาจา กาย ให้ปฏิบัติตาม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมให้เป็นกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาอาชีวะ มีมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม

มีพระโสดาเกิดกับจิต สกิทาคาเกิดกับจิต อนาคาเกิดกับจิต ยังสังโยชน์ ๕ อนุสัย ๕ ที่มันนอนเนื่องกับจิต ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย มานานุสัย ภาวราคานุสัย อวิชชานุสัย สังโยชน์มีอีก ๕ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา นี่มันกันผลไว้ไม่ให้ถึงนิพพาน

อย่างพระอนาคามีเฝ้าบ้านก็ได้ เฝ้าเมืองก็ได้ อยู่วัดก็ได้ อยู่ป่าก็ได้ อยู่ทุ่งอยู่นาก็ได้ แต่ว่ามันยังไม่สิ้นสังโยชน์ ๕ อนุสัย ๕ แต่ว่าแต่งงานไม่ได้เท่านั้นแหละ มนุษยธรรม เทวธรรมนี้มันหนีไม่ได้ หนีจากขันธ์ ๕ ไม่ได้ มาติดอยู่อนาคามีผลนี่เอง

อริยมรรค ๓ อริยผล ๓ ขาดไปแล้ว และเมื่ออริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ขาดไปแล้ว จึงจะได้พ้นจากเกิด พ้นจากตาย สังโยชน์ที่พาให้เกิด เกิดเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์

ถ้าเราไม่มีอุปาทาน เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่เราสบาย เรานั่งอยู่ที่นี้ นั่งดูผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้เป็นนิโรธหมด กามาสวะ มิจฉาสวะไม่มี กายนิโรธมีอย่างนี้

เป็นนิโรธก็จะไปแต่งงานไม่ได้ ถ้าอย่างต่ำก็เป็นกายอนาคาแต่งงานไม่ได้ สืบพันธุ์ไม่ได้ สืบพันธุ์ได้แต่มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โสดาสืบพันธุ์ได้ สกิทาคาสืบพันธุ์ได้ ถึงอนาคาเป็นหมันไม่มี เอกาพุทธะ ชลาพุชะไม่มี เป็นโอปปาติกะมาเกิด

เหมือนอยู่ในโรงนา มาเกิดเท่ากันหมด มีขน เล็บ ฟัน หนัง เท่ากันหมด มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เท่ากันหมด แต่ว่าเกิดไม่มีหญิงไม่มีชายอะไร เหมือนแม่พระธรณีให้มาทำงานร่วมกัน แม่โพสพรวมทั้งข้าวเจ้า ข้าวเหนียวมา ให้มาทำงานร่วมกัน

ถ้าไม่มีแม่พระธรณีรองรับ เราเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีแม่โพสพนำข้าวเจ้า ข้าวเหนียวมาเลี้ยงเรา เราก็เกิดไม่ได้ อยู่ในท้องก็ต้องกินอาหาร คลอดออกมาก็ต้องกินอาหาร ข้าวเจ้าก็เป็นอาหาร ข้าวเหนียวก็เป็นอาหาร

นี่ขอให้พี่น้องชาวไทยกำหนดดูปัจจุบันของเรา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันไม่มีนิโรธ รูปเป็นนิโรธ หนังแผ่นเดียวเป็นนิโรธ ถ้าหลายแผ่นเป็นสมุทัย ถ้ามีแผ่นเดียวนั่งทับมันอยู่นี่ เป็นนิโรธ

เมื่อกายนิโรธ จิตนิโรธแล้ว ก็ไม่ได้กลับคืนมาเป็นมนุษยโลก สวรรคเทวโลกอีก เรียกว่า ดับทั้งหมด เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดับหมด โลภะ โทสะ โมหะ ดับหมด ราคะไม่เผาแล้ว โทสะไม่เผาแล้ว โมหะไม่เผาแล้ว เป็นคนไม่หลงไม่ลืม เราจะได้พบพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์

นี่พ้นไปแล้ว แต่ว่าคนทั้งหลายมันไม่เห็นไม่รู้ เรียนปริยัติมีแต่ชื่อ รู้ชื่อได้ พระปัจเจกพุทธรู้ชื่อได้ พระอรหันต์รู้ชื่อได้ อนาคามี สกิทาคามีชื่อเหมือนกัน พระโสดาบันก็มีชื่อเหมือนกัน

มุนีทั้ง ๖ นี้เป็นโลกุตตระไม่ทำบาป มีกาย วาจา ใจ พ้นจากบาป มีปาณา อทินนา กาเม มุสา สุราพ้นหมด อิตถีภาวะ ปุริสภาวะพ้น มีแต่รูปธรรม นามธรรม ธรรมดา

เพียงแต่ว่าโอปปาติกะเกิดดับ จิตมันก็ดับจิตเอง ราคานุสัย อวิชชานุสัยมี ๕ อย่างได้ สังโยชน์เบื้องบนมีเท่านี้แหละ สังโยชน์เบื้องต่ำที่มีชลาพุชะ แต่งงานก็ได้เกิดมาก็เป็นเนื้อเป็นหนังอยู่ในท้อง ๑๐ เดือน


..........พระบางองค์นั้นอยู่ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน จึงคลอดได้ พระอรหันต์ไปพบถามว่าอยู่ในท้องสบายไหม ...ไม่สบายขอรับ ...มันเป็นยังไงล่ะ ...อยู่ในท้องมืด แสงอาทิตย์-แสงจันทร์ส่องไม่ถึง ทรมานอยู่ จะเดินไปไหนไม่ได้ นั่งขดอยู่ในท้องนั่นแหละ หันหน้าไปทางหลังของมารดา ...ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นล่ะ ...เพราะทำกรรมไว้ เป็นแม่ทัพไปล้อมเมืองไว้ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน

แล้วออกมาก็มีแต่เอกลาภ ไปไหนก็มีแต่สมบัติติดตัว พระพุทธเจ้าไปไหนก็เอาไปด้วย ที่ไหนกันดารน้ำ ที่ไหนเขาไม่มีบ้านเรือน ไม่มีมนุษย์ มีแต่เทวดาก็เนรมิตวิหารให้ ๕๐๐ หลัง เช้าเขาก็มาใส่บาตร แจกพระพุทธเจ้าส่วนหนึ่ง แต่ตัวเอาไว้ส่วนเดียวแล้วกัน กล่าวถึงพระอรหันต์เรวตะ-น้องชายพระสารีบุตร สามารถเนรมิตที่อยู่ให้พระพุทธเจ้าและพระสาวก ๕๐๐ รูป

พระผมยาวยังไม่ทันได้โกนผม ยังไม่ทันได้บวชเลย บรรลุอรหันต์ สันตติอำมาตย์ยังได้บวช พอบรรลุอรหันต์แล้วก็ลานิพพาน พระพุทธเจ้านั่งคอยอยู่ เหาะขึ้นไป ๗ ครั้ง แล้วก็เผาตัวเองอยู่กลางอากาศ อัฏฐิเป็นดอกมะลิแผ่ตาข่ายลงมา พระพุทธเจ้าปูผ้าไว้ ไหลลงมาน้อม พระพุทธเจ้าเอาผ้าขาวห่อไปให้ พวกศรัทธาไปสร้างเจดีย์ยังทาง ๔ แพร่ง ใครมาจะได้นึกถึงสันตติอำมาตย์

คนบรรลุยังไม่ได้บวช ผมยาวๆ ยังไม่ได้บวชเลย บรรลุวันนั้น ฟังธรรมวันนั้นก็ลานิพพานเลย เผาตัวเอง เหาะไปในอากาศเผาตัวเอง





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2013, 05:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


เดี๋ยวนี้ใครเรียนไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่น่าเชื่อว่า นิพพานเป็นอย่างไร เหมือนอย่างกษัตริย์รู้เรื่องศาสนา น้องชายเป็นอุปราช ไม่เชื่อพระหนุ่ม เณรหนุ่ม สาวๆ หนุ่มๆ มันจะได้อะไรล่ะ พระมหากษัตริย์นี้ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร มีวันหนึ่งนี่จะเข้าสรงน้ำในห้อง ...เฝ้าเครื่องกษัตริย์ไว้ให้พี่ด้วยนะ อุปราชก็เฝ้าอยู่ ...เอ ทำไมสรงนานนัก จึงเอาเครื่องกษัตริย์สวมดู

พอสวมปั๊บผิดกฎมณเฑียรบาล เขาต้องถูกตัดคอ กฎมณเฑียรบาลเขาว่ากบฏ กฎหมายเขาทำอย่างนั้น เอาเถอะถึงจะถูกตัดคอก็ให้เสวยเฝ้าสมบัติซะให้เป็นกษัตริย์ ๗ วัน มีนางฟ้อน ๖ วัน พอวันที่ ๗ นางฟ้อนก็ตาย ร้องไห้โฮๆ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมบรรลุอรหันต์ ขอนิพพานเลย

อรหันต์นะไม่เลือกหน้าเลือกตาใคร ผมสั้นผมยาวผมโกนผมดำผมขาวก็ตามใจเถอะ เป็นหญิงเป็นชายก็ตามใจ อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ถ้ามีศีลก็ไปนิพพานได้ ศีล ๕ ไปได้ ศีล ๘ ไปได้ ศีลอุโบสถไปได้ ศีล ๑๐ ไปได้ ศีล ๒๒๗ ไปได้ ศีล ๓๑๑ ศีลเจ้าแม่น้าไปได้

ถ้าขาดศีลตัวเดียว ไปไม่ได้หรอก ไปนิพพานได้ต้องตัดราคะ โทสะ โมหะ ออกให้หมด เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ เลิกเกิด แก่ เจ็บ ตายเสีย





ไม่เห็น ๖ กษัตริย์ภายนอก ๖ กษัตริย์ภายใน จะเทศน์อย่างไรได้ ๖ กษัตริย์ภายนอกเขาไปนิพพานหมดแล้ว ๒ กุมารก็ไปนิพพานแล้ว นี่ยังแต่พวกเทศน์ๆ อยู่นี่แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไปนิโรธหรือเปล่าล่ะ

นักเทศน์ทั้งหลายเทศน์มา ๑๐ ปี ไม่เห็นเคยเห็นอะไร เพราะไม่เคยดู ไม่รู้ ไม่เห็น เทศน์แค่ปริยัติ เทศน์แค่ปฏิบัติได้หรือ ต้องปฏิเวธซี มันถึงจะรู้นิพพานมีจริง ๖ กษัตริย์มีจริง ภายนอกมีจริง ภายในมีจริง มนุษยธรรมภายนอกก็มีจริง ภายในก็มีจริง เทวธรรมภายนอกมีจริง เทวธรรมภายในมีจริง พรหมธรรมภายนอกมีจริง พรหมธรรมภายในมีจริง

บางคนตามหาพระพุทธเจ้า พบพระพุทธเจ้าแสดงอริยสัจให้ฟัง ...เอ อริยสัจนี่เพราะจริง พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าเทศน์อริยสัจอยู่ บรรลุอรหันต์แล้วยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า และจะไปหาไตรจีวรมาบวชกับพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าบอกว่า ตถาคตออกไปบิณฑบาต ส่วนพระพาหิยะทาฬุจีริยะไปหาจีวร ไปเจอโคแม่ลูกอ่อนขวิดตาย พระพุทธเจ้าบิณฑบาตกลับมา พระอรหันต์รูปนี้ตายแล้ว ไปหาผ้าไตรจีวรไม่ได้ โคแม่ลูกอ่อนขวิดตายเสียแล้ว พระพุทธเจ้าทำศพให้


..........นี่นั่งอยู่นี้ก็ต้องมีศีล มีปริยัติ สมถวิปัสสนา ศีลปฏิบัติมีอยู่กับจิต ศีลปฏิเวธเป็นสมุทเฉท ทั้งองค์ ๕ ประการ องค์ ๘ ประการ องค์ ๑๐ ประการ ศีลสมุทเฉท

แต่ก่อนเรารักษาศีล นี้ศีล ๕ มารักษาเรา ศีล ๘ มารักษาเรา ศีล ๑๐ มารักษาเรา ศีลอุโบสถมารักษาเรา กาย วาจา ใจมารักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่นะ คนโง่ไปรักษาศีล ศีลนะเป็นตัวอะไร ศีลเป็นตัวไม่ตาย ไปรักษาทำไม ไม่มีเจ็บมีไข้อะไร

ศีลมารักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่มันถึงจะถูก มารักษาไม่ให้มีบาป มีกรรม กายกรรมทางบาปไม่มี วจีกรรมไม่กล่าวบาป มโนกรรมไม่คิดทำบาป เป็นกุศล มีศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีลปาฏิโมกข์ ศีล ๓๑๑ ไปได้หมด ขาดศีลตัวเดียวไปไม่ได้หรอก

นั่งอยู่นี้ ถ้าอยู่กับนิโรธไปได้ พอออกจากนิโรธ ไปมีผัว มีเมียหมด นี่ไปติดผัวติดเมียหมด ติดลูกติดเต้าหมด อะไร อะไรก็ของๆ กู ผัวของกู เมียของกู นั่นแหละตัวกูทำให้เกิดตาย ไม่รู้จักเกิดก็เป็นทุกข์ตายก็เป็นทุกข์

เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ที่เมืองไทยนี่ดีนะ มีพระสงฆ์สืบศาสนาอยู่ ของดีมีถมไป ไอ้ของผีบ้านนี่มันหยาบอย่าไปเอาเลย มันคนบ้า คนบอ คนเมา เมารูป เมารส เมาเสียง เมากลิ่น เมาการสัมผัส เมาธรรมารมณ์ ไปเมาฝิ่น เมากัญชา เมาสุราอีก ไอ้ที่ชั่วก็มี ไอ้ที่ดีก็มี เลือกเอาดีๆ ก็แล้วกัน นี่สิ่งที่ดีมีถมไป


..........นางวิสาขานี่ดี เลี้ยงพระวันละห้าร้อย มีลูกมีหลานแปดพันสี่ร้อยยี่สิบ ไม่เคยด่าลูกด่าหลาน ไม่เคยเฆี่ยนหลานหรอก สอนเอา เป็นอุบาสิกาที่ดี เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานได้ อนาคา สกิทาคา แต่เจ้าของเป็นพระโสดาอยู่นั่นแหละ โสดานี่ดีนะ อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า

กฎหมายอาญาก็ไม่ผิดแล้ว ศีล ๕ ก็บริบูรณ์แล้ว ถ้าหากถึงอนาคาเป็นหมัน ศีล ๕ ถึงอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ไม่อยู่ในโลกแล้ว ข้ามมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลกไปเลย เรียกว่าโลกทิพย์ ข้ามโลกเลย

ถ้าหากว่าเราต้องการจริงๆ เอาเพียงปริยัตินั่นมันแคบ อ่านพระไตรปิฎกได้พระวินัยพระสูตรได้ ภายนอกมี ภายในมี พระอภิธรรมภายนอกมี พอถึงภายในนี้เราปฏิบัติ ปฏิบัติได้แล้วนี่เป็นปฏิเวธ นี่ไม่มีสังโยชน์ อนุสัย มีนิพพาน

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นนิพพาน นี่เราเอาปัจจุบันนี่แหละ ถ้าไม่หลงกายนี่เป็นอย่างไร หนังแผ่นเดียวเป็นนิโรธ นี่มันผ่านปริยัติ ผ่านปฏิบัติ ถึงปฏิเวธแล้ว ไม่มีใครเกิดไม่มีใครตายแล้ว สบาย เรานั่งอยู่นี่ก็ไม่ห่วงหน้าห่วงหลัง มีหนังแผ่นเดียว มองดูเถอะ เป็นนิโรธเองได้


..........ขอฝากพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย พระภิกษุสามเณรก็ดำเนินกันมานานแล้ว ตั้ง ๕,๐๐๐ ปีเข้าแล้ว ต่อไปเราก็จะได้รองรับมรรค ผล นิพพาน ก็เพราะว่ามีปริยัติ ปฏิบัติ ส่วนปฏิเวธนี่ เอ นิพพานนี่ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ไม่มีความร้อน ความเย็น นี่สบาย มีนิพพานสมบัตินี่ไปหาพระพุทธเจ้า พระธรรมก็นิพพานสมบัติ พระสงฆ์ก็นิพพานสมบัติ

นิพพานคนจนที่อินเดียแก้ผ้าให้เขากราบ เอ พระอรหันต์แก้ผ้าอย่างนี้มีตัวอย่าง เราไม่กราบหรอก

ถ้ามีดวงตาเห็นอริยสัจแล้ว นางวิสาขานี่เชิญแม่ผัว พ่อผัวมาฟังเทศน์กับพระพุทธเจ้า เอาม่านกั้น ๗ ชั้น ฟังไปๆ พอสังโยชน์ขาดแล้วคลานเข้ามาทีละชั้นๆ กราบพระพุทธเจ้าแล้ว ไปกราบนางวิสาขาลูกสะใภ้ให้ฟังธรรม ร่างกายเป็นลูกสะใภ้ทางโลก

พระโสดานี่จูงพ่อผัว แม่ผัว มาเป็นโสดาได้ มาฟังธรรมได้ นี่สิ่งที่ดีเป็นอย่างนี้ รู้จักแทนคุณ พ่อผัว แม่ผัวก็มีคุณ พ่อตัวแม่ตัวก็มีคุณ ให้รู้ว่าคุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ เป็นอย่างไร พระโสดารู้หมด

เพราะฉะนั้น อย่าลืมนะ ศีลไม่เกิดไม่ตาย สมาธิไม่เกิดไม่ตาย ปัญญาไม่เกิดไม่ตาย ธรรมะไม่เกิดไม่ตาย ไม่หลงไม่ลืม ให้เอาไปใส่ใจไว้ ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหาใคร


..........เราเรียนหนังสือทางโลก เรียนปฐมก็ต้องเสียค่าเทอม เรียนมหาวิทยาลัยก็ต้องเสียค่าเทอม เรียนมัธยมก็ต้องเสียค่าเทอม อย่างเรียนเมืองไทยนี่นะได้ ๙ ไปแล้ว เรียนเมืองนอกอีก ๙ เก้าบวกเก้าเป็นสิบแปด ยังหลงกินเหล้าอยู่ ยังหลงสึกออกไป อุปัชฌาย์ต้องเอามาบวชใหม่ บวชคราวนี้ไม่สึกแล้ว เข้านิโรธได้ คราวก่อนหลงสำมะเลเทเมา ๑๘ ประโยคแล้ว เดินไปไม่พอ ๕ วา พอเดินๆ ไปก็ยังคดไปคดมา

คณะสงฆ์ไทยที่ดีก็มี ที่ชั่วก็มี มีทั้งคนชั่วคนดี มีคนตรัสรู้ คนไม่ตรัสรู้ มันก็แกล้งพระสงฆ์ ถ้าหากว่าเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือเคารพภายในนั่นเอง

ภายนอกก็เอาพระพุทธรูปทำแทนพระสงฆ์ ภายนอกก็ทำงานแทนพระอรหันต์ทำแทนเณร อรหันต์ต้องมีผู้แทนไปก่อน ผู้แทนราษฎรก็ต้องทำงานแทนราษฎร ราษฎรก็สามัคคีกัน อย่าแตกร้าวกัน อย่าแบ่งแย่งกัน อย่าโกหกกัน อะไรโกหกเขาไว้ไม่ดี สิ่งไม่ดีก็เลิกเสีย กินเหล้าเมายาอะไรก็เลิกเสีย

เวลาเป็นหนุ่มเป็นสาวอยากได้กัน แต่งงานกันแล้วท้อง กิเลสมันบีบคอให้ขัดกันอยู่ตามมัน ทะเลาะกันเมื่อไร เป็นหนุ่มเป็นสาวไม่เคยทะเลาะกัน เวลาไปแต่งงานกันแล้วได้ ๒ ปี ทะเลาะกันแล้ว

เพราะฉะนั้นให้เจริญในศีล ๕ ศีล ๘ ศีลอุโบสถ ศีล ๑๐ ดี เจริญศีลดี เจริญสมาธิดี เจริญปัญญาดี ขอให้เจริญในมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ด้วยประการฉะนี้









เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


กัป หรือ กัลป์ คือ ระยะเวลาที่ยาวนานมากๆ นับปีไม่ได้ เปรียบเทียบเหมือน ศูนย์

140 ตัว ต่อท้ายเลขหนึ่ง เป็นเวลา 1 กัป ส่วน มหากัป ตามพระไตรปิฎก อธิบายก็

เป็นระยะเวลายาวนาน มาก ดังข้อความที่ว่า บทว่า มหากปฺปิโน ได้แก่มหากัป.

ในบทนี้ท่านกล่าวว่า ทุก ๆ ๑๐๐ ปี เอาปลายหญ้าคา จุ่มน้ำ นำออกไปครั้งละหยาด

๗ ครั้ง เมื่อกระทำให้น้ำหมดจากสระนั้นแล้วจึงเรียกว่า ๑ มหากัป

กล่าวได้ว่า กัป หมายถึง จำนวนปีที่ยาวนานนับประมาณไม่ได้ ส่วน มหากัป หมายถึง

จำนวนอายุของโลก ที่เกิดขึ้น และ ทำลายไป เป็น 1 มหากัป แต่ บางนัย ก็ใช้ในความ

หมายเหมือนกัน ครับ

จะเห็นนะครับว่า สังสารวัฏฏ์ยาวนานหาประมาณไม่ได้โดยเฉพาะ ยาวนานสำหรับ

คนพาล เพราะ ไม่สามารถออกจาสังสารวัฏฏ์ ต้องเกิด ตาย ไม่มีที่สิ้นสุด


คำว่า "อสงไขย" หมายถึง นับไม่ได้ หรือไม่พึงนับ คือ เป็นระยะเวลาที่นานมากๆๆ

ซึ่งในพระไตรปิฎกมีใช้ ๒ ความหมาย คือ อสงไขยปี จำนวนปีที่ผ่านไปจนนับไม่ได้ ๑

อสงไขยกัป จำนวนกัปที่ล่วงไปจำนวนมากจนนับไม่ได้ ๑ ในตำราบางแห่งเขียนเป็น

ตัวเลขให้เห็นดังนี้ เลขหนึ่งหนึ่งตัวต่อด้วยเลขศูนย์อีกหนึ่งร้อยสี่สิบตัว เป็นจำนวน

หน่วยวัดส่วนหนึ่งมหากัป เป็นระยะเวลาที่นานมากๆ เช่นกัน ในพระไตรปิฎกมีอุปมา

เปรียบหลายอย่าง


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 514

๕. ปัพพตสูตร ว่าด้วยเรื่องกัป

[๔๒๙ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม

ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง

ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ฯ ล ฯ เมื่อภิกษุ

รูปนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ กัปหนึ่งนานเพียงไรหนอแล.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ กัปหนึ่งนานแลมิใช่

ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่า เท่านี้ปี เท่านี้ ๑๐๐ ปี เท่านี้ ๑,๐๐๐ ปี หรือ

ว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี.

ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า.

[๔๓๐] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ดูก่อนภิกษุ

เหมือนอย่างว่า ภูเขาหินลูกใหญ่ยาวโยชน์หนึ่ง กว้างโยชน์หนึ่ง สูง

โยชน์หนึ่ง ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ บุรุษพึงเอาผ้าแคว้น

กาสีมาแล้วปัดภูเขานั้น ๑๐๐ ปีต่อครั้ง ภูเขาหินลูกใหญ่นั้น พึงถึงการ

หมดไป สิ้นไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยัง

ไม่ถึงการหมดไป สิ้นไป กัปนานอย่างนี้แล บรรดากัปที่นานอย่างนี้

พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้ว มิใช่หนึ่งกัป มิใช่ร้อยกัป มิใช่พันกัป

มิใช่แสนกัป. ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้อง

ต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯ ล ฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอ

ทีเดียวที่จะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อ

จะหลุดพ้น ดังนี้.

จบปัพพตสูตรที่ ๕


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 516

๖. สาสปสูตร ว่าด้วยเรื่องกัป

[๔๓๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม

ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง

เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ ครั้นภิกษุนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้

ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนึ่งนานเพียง

ไรหนอแล.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ กัปหนึ่งนานแล มิใช่

ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่า เท่านี้ปี ฯ ล ฯ หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี.

ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า.

[๔๓๒] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ดูก่อน

ภิกษุ เหมือนอย่างว่า นครที่ทำด้วยเหล็ก ยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์

สูง ๑ โยชน์ เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็น

กลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ๆ ออกจากนคร

นั้นโดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อหนึ่งเมล็ด เมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น

พึงถึงความสิ้นไป หมดไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วน

กัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป หมดไป กัปนานอย่างนี้แล บรรดากัปที่

นานอย่างนี้ พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้วมิใช่หนึ่งกัป มิใช่ร้อยกัป มิใช่

ร้อยพันกัป มิใช่แสนกัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารกำหนด

ที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้.

จบสาสปสูตรที่ ๖



พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 518

ว่าด้วยการอุปมากัป

๘. คงคาสูตร

[๔๓๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน

เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล พราหมณ์ผู้หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ

ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นพราหมณ์นั้นนั่งเรียบร้อย แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้า

แต่พระโคดมผู้เจริญ กัปที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มากเท่าไรหนอแลฯ พระผู้มีพระภาค

ตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ กัปทั้งหลายที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มากแล มิใช่ง่ายที่จะนับ

กัปเหล่านั้นว่า เท่านี้กัป เท่านี้ ๑๐๐ กัป เท่านี้ ๑,๐๐๐ กัป หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป ฯ

พราหมณ์. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม ฯ

[๔๓๖] พ. อาจอุปมาได้ พราหมณ์ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ดูกรพราหมณ์ แม่น้ำคงคานี้

ย่อมเกิดแต่ที่ใด และย่อมถึงมหาสมุทร ณ ที่ใด เมล็ดทรายในระยะนี้ไม่เป็นของง่าย

ที่จะกำหนดได้ว่า เท่านี้เมล็ด เท่านี้ ๑๐๐ เมล็ด เท่านี้ ๑,๐๐๐ เมล็ด หรือว่าเท่า

นี้ ๑๐๐,๐๐๐ เมล็ด ดูกรพราหมณ์ กัปทั้งหลายที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มากกว่าเมล็ด

ทรายเหล่านั้น มิใช่ง่ายที่จะนับกัปเหล่านั้นว่า เท่านี้กัป เท่านี้ ๑๐๐ กัป เท่านี้ ๑,๐๐๐

กัปหรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้อง

ต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ

ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏ สัตว์เหล่านั้นได้เสวยทุกข์ ความเผ็ด

ร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนานเหมือนฉะนั้น ดูกร

พราหมณ์ ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะ

คลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ

[๔๓๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์ผู้นั้นได้กราบทูลว่า แจ่มแจ้ง

ยิ่งนัก ท่านพระโคดม แจ่มแจ้งยิ่งนัก ท่านพระโคดม ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้า

พระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้ ฯ

จบสูตรที่ ๘



พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 516

ว่าด้วยการอุปมากัป

๗. สาวกสูตร

[๔๓๓] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก

เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ภิกษุหลายรูปเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่

ประทับ ฯลฯ ครั้นภิกษุเหล่านั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ กัปทั้งหลายที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มากเท่าไรหนอ ฯ พระผู้มีพระ

ภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กัปทั้งหลายที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มีมาก มิใช่ง่ายที่

จะนับกัปเหล่านั้นว่า เท่านี้กัป เท่านี้ ๑๐๐ กัป เท่านี้ ๑,๐๐๐ กัป หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐

กัป ฯ ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า ฯ

[๔๓๔] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุทั้งหลาย แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มี

สาวก ๔ รูปในศาสนานี้ เป็นผู้มีอายุ ๑๐๐ ปี มีชีวิต ๑๐๐ ปี หากว่าท่านเหล่านั้นพึง

ระลึกถอยหลังไปได้วันละแสนกัป กัปที่ท่านเหล่านั้นระลึก ไม่ถึงพึงยังมีอยู่อีก สาวก ๔

รูปของเราผู้มีอายุ ๑๐๐ ปี มีชีวิต ๑๐๐ ปี พึงทำกาละโดยล่วงไป ๑๐๐ ปี ๆ โดยแท้แล

กัปที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มีจำนวนมากอย่างนี้แล มิใช่ง่ายที่จะนับกัปเหล่านั้นว่า

เท่านี้กัป เท่านี้ร้อยกัป เท่านี้พันกัป หรือว่าเท่านี้แสนกัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า

สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ

จบสูตรที่ ๗




พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 506

๓. อนมตัคคสังยุต

ปฐมวรรคที่ ๑



๑. ติณกัฏฐสูตร

ว่าด้วยที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายของสงสาร




[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน

อนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก

ภิกษุทั้งหลาย. . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุด

เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็น

เครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ.

[๔๒๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัดทอนหญ้าไม้ กิ่ง

ไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัด ๆ ละ

๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่า นี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของ

เรา โดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่า หญ้า ไม้

กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ

ว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็น

ที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อม

ไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพี

ที่เป็น ป่าช้า ตลอดกาลนาน เหมือนฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียง

เท่านั้น พอทีเดียวที่จะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด

พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้.

จบติณกัฏฐสูตรที่ ๑






เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร