วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 00:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2013, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:08
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: สมถะกรรมฐาน
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: การทำสังฆทาน
ชื่อเล่น: ไผ่
อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


มีบาปกรรมมากแต่ถึงได้ขึ้นสวรรค์ก็ต้องลงมาตกนรกอยู่ดีอ่ะครับ ดูอย่าง สุปติฏฐิตาเทพบุตร อยู่ชั้นดาวดึงส์แต่ก็จะต้องลงมาเกิดเป็นสัตว์นรกยาวนาน เพราะเคยทำร้ายบิดามารดา และฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้อ่ะครับ เป็นเวลานานมากด้วย ดีที่พระพุทธเจ้าเทศสั่งสอนช่วยไว้ก่อนจุติพอดี ผมพอรู้แค่นี้อ่ะครับ พอดีที่บ้านมีเรื่องนี้อยู่ครับ

.....................................................
อย่าได้เห็นแก่ความสุข สนุกสนานชั่วครู่คราว
เพราะผลกรรมที่ตามมามันสุดแสนจะ
ทุกข์ทรมาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2013, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


หญิงไทย เขียน:
FLAME เขียน:
อนุโมทนาครับ

ในมิลินทปัญหามิอุปมาไว้

ปัญหาที่ ๒ ถามว่า ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ทำจิตให้ผ่องใสได้ก็ไปสุคคติ จะไปได้จริงหรือ
(เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
"ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นด้วย"
พระนาคเสนทูลตอบว่า
"ขอถวายพระพร ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่"
" ไม่ได้ "
" ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่ "
" ก็ได้สิเธอ "
" ขอถวายพระพร เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจทำใจให้แน่วอยู่เฉพาะแต่ในพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตายลงในขณะแห่งจิตดวงนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ ประหนึ่งศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้เท่านั้น จิตดวงนั้นก็เป็นหนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก ซึ่งเหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็คงจมเช่นเดียวกัน "
" สมเหตุสมผลละ "

http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php



สวัสดีคุณพี่หญิง ผมพิจารณาดูแล้วจากมิลินทปัญหาเห็นว่าท่านอุปมาได้สมเหตุสมผลดีละ


อ้างคำพูด:
ถ้าพี่หญิงเผาบ้านคุณ ฆ่าล้างตระกูลคุณ ใครรู้จักคุณเฟม ใครเป็น
เพื่อน พี่น้อง ญาติคุณเฟม พี่หญิงไม่ชอบพี่หญิงก็จะฆ่าให้หมด แล้วหนีไปกบ
ดานที่ต่างประเทศที่ไหนซักแห่งโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรแม้แต่เศษเสี้ยว
เดียว ไม่เมตตาไม่สงสาร อย่าว่าแต่ละอายเลย แม้เพียงเศษเสี้ยวเดียวพี่หญิง
ก็ไม่เคยจำใส่สมองว่าเคยฆ่าใคร ได้ทำบาปอะไรไปบ้าง แถมตอนพี่หญิงตาย
จิตใจพี่หญิงก็แสนจะสดใจ สบายๆ คิดเป็นกุศลระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
โดยที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องบาปที่ทำเลย กลับดีใจซะอีกที่ได้กำจัดคนไม่ชอบให้
พ้นหน้า แบบนี้คุณเฟมว่าพี่หญิงจะได้ไปสวรรค์หรือเปล่าคะ ถ้าได้ไปคุณเฟม
คงคิดว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมใช่มั้ยล่ะคะ

คิดเป็นกุศลระลึกถึงพระคุณพระพุทธเจ้าขณะนั้นเป็นกุศลจิตครับ ถ้าจิตขณะสุดท้ายผ่องใสสุคติย่อมหวังได้
แต่ที่บอกว่า "โดยที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องบาปที่ทำเลย กลับดีใจซะอีกที่ได้กำจัดคนไม่ชอบให้พ้นหน้า" อย่างนี้เป็นอกุศลถ้าจิตสุดท้ายคิดอย่างนี้ก็ไปอบายครับ

กรรมนั้นยุติธรรมเสมอ และเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก กรรมอันใดที่ทำก็ต้องให้ผลถ้าไม่เป็นอโหสิกรรมไปเสียก่อน อย่างที่คุณพี่หญิงยกตัวอย่างมา หากพี่หญิงฆ่าผม ญาติและพี่น้องผมหมด แต่จิตขณะสุดท้ายนึกถึงพระรัตนตรัย ด้วยจิตที่ผ่องใสนั้นก็ย่อมไปสู่สุคติได้ ถ้าคนที่พี่หญิงฆ่าไม่ใช่พระอรหันต์หรือบิดามารดานะอันนี้เป็นอนันตริยกรรมครับต้องไปนรกแน่ แต่กรรมที่ยังทำไว้ไม่ใช่ว่าไม่ให้ผลเลยแต่ให้ผลอยู่ในกาลต่อๆไปเท่านั้นเอง ทุกอย่างที่เกิดถ้าผมต้องโดนฆ่าก็เป็นผลของกรรมเหมือนกัน เมื่อเหตุมีแล้ว ถึงกาลที่กรรมจะให้ผลก็ต้องให้ผล มันเป็นอย่างนี้หล่ะ ทุกอย่างมีเหตุและปัจจัยให้เป็นไป ไม่อยู่ในอำนาจ เป็นอย่างนั้นเองจะยอมรับหรือไม่ยอมรับเมื่อมีเหตุก็ต้องมีผลอยู่ดี


เรื่องนี้มีตัวอย่างให้เห็นอย่างในอรรถกถาท่านก็ยกตัวอย่างพระนางมัลลิกาที่กระทำบุญกุศลแทบจะตลอดชีวิต แต่ขณะจะตายกลับระลึกถึงบาปที่ตนได้กระทำ ทำให้จิตเศร้าหมอง เมื่อจิตเศร้าหมอง ก็เป็นผลให้ไปสู่นรก ต้องชดใช้กรรมในนรก เมื่อได้ใช้กรรมนั้นหมดแล้วจึงได้จุติและอุบัติเป็นเทพธิดาในภายหลัง

จะเห็นว่าขันธ์ห้าถูกเบียดเบียนด้วยกรรมให้เป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้แล้วแต่กรรมจะปรุงแต่ง ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราต้องการ ถ้าเราเลือกได้ก็คงขอเกิดแต่ในสุคติแต่ถ่ายเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว กรรมจะปรุงแต่งจัดสรรไปให้เกิดในภพไหนก็แล้วแต่กรรม

กิเลสคือโลภะ โทสะ โมหะจึงควรละเพราะเมื่อไม่มีโลภะโทสะหรือโมหะแล้ว การกระทำกรรมใดใดที่เป็บุญหรือบาปก็จะไม่มี เมื่อไม่มีกรรม การเกิดในภพใหม่ก็ไม่มีอีก เมื่อความเกิดไม่มี ความตายก็ไม่มี ความโศกเศร้า ร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกายความไม่สบายใจความคับแค้นใจก็ไม่มี ทุกก็ย่อมดับไปได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2013, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:08
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: สมถะกรรมฐาน
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: การทำสังฆทาน
ชื่อเล่น: ไผ่
อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยได้ยินว่า ผู้ที่สร้างสมเด็จองค์ปฐมฯ (จากคำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

ถ้าเขาไม่ได้ทำกรรมหนัก เมื่อเขาตายไปแล้วนึกถึงความดีไม่ได้ ท้าวเวสสุวรรณจะเขกกระโหลกเขาเพื่อให้นึกถึงความดีได้ และบัญชีของเราจะเป็นบัญชีสีทองจ้า


เรื่องนี้ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ ผมร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมฯมาหลายองค์แล้วแต่ยังสงสัยอยู่เลย

.....................................................
อย่าได้เห็นแก่ความสุข สนุกสนานชั่วครู่คราว
เพราะผลกรรมที่ตามมามันสุดแสนจะ
ทุกข์ทรมาน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร