วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 22:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับนี่หลงอย่างแรง พูดไปเรื่อยเปื่อยก็คิดว่า การรู้ธรรมเข้าใจธรรม ไม่มีหลักอะไรเลย ไม่ว่าจะเรี่องปริยัติ ปฏิบัติ ไม่มีเลยริงๆ เดาสุมเอาล้วนๆ คิกๆๆไม่ไหวๆ เสื่อมหมด :b1:


กรัชกายแสดงความเห็นให้มันมีเนื้อหาบ้างไม่ได้หรือ
อีกอย่าง แสดงความเห็นแต่ล่ะครั้ง กรุณาใช้ประโยชน์ต่อหน้ากระทู้ให้มันคุ้มค่าหน่อย

แสดงความเห็นแต่ล่ะครั้งสั้นจู๋เป็นหางเต่า แถมนอกเรื่องนอกประเด็น

แบบนี้มันเปลืองหน้ากระทู้ เข้าใจมั้ย
แสดงความเห็นแบบนี้ไม่ต้องบอกน่ะว่า ทำไมเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ
แสดงความเห็นเยอะมากมาย แต่สั้นจู๋ไม่ได้สาระ
มีแต่ปริมาณไม่มีคุณภาพ :b32:


แยกไม่ออกอีก คห. นี่เป็นการตำหนิ :b1:

หลังจากพูดบอกหลักการไปแล้ว :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับนี่หลงอย่างแรง พูดไปเรื่อยเปื่อยก็คิดว่า การรู้ธรรมเข้าใจธรรม ไม่มีหลักอะไรเลย ไม่ว่าจะเรี่องปริยัติ ปฏิบัติ ไม่มีเลยริงๆ เดาสุมเอาล้วนๆ คิกๆๆไม่ไหวๆ เสื่อมหมด :b1:


กรัชกายแสดงความเห็นให้มันมีเนื้อหาบ้างไม่ได้หรือ
อีกอย่าง แสดงความเห็นแต่ล่ะครั้ง กรุณาใช้ประโยชน์ต่อหน้ากระทู้ให้มันคุ้มค่าหน่อย

แสดงความเห็นแต่ล่ะครั้งสั้นจู๋เป็นหางเต่า แถมนอกเรื่องนอกประเด็น

แบบนี้มันเปลืองหน้ากระทู้ เข้าใจมั้ย
แสดงความเห็นแบบนี้ไม่ต้องบอกน่ะว่า ทำไมเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ
แสดงความเห็นเยอะมากมาย แต่สั้นจู๋ไม่ได้สาระ
มีแต่ปริมาณไม่มีคุณภาพ :b32:


แยกไม่ออกอีก คห. นี่เป็นการตำหนิ :b1:

หลังจากพูดบอกหลักการไปแล้ว :b9:


ดูซิยังไม่สำเหนียก เพ้อเจ้อซ่ะจนกระทู้ขึ้นหน้าใหม่เลย
กรัชกายพี่โฮจะบอกให้ กระทู้พี่โฮไม่ใช่ถังขยะใจน่ะ
จะระบายไปกระทู้"ถังขยะใจ"ของคุณโสกะโน้น :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 04:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับนี่หลงอย่างแรง พูดไปเรื่อยเปื่อยก็คิดว่า การรู้ธรรมเข้าใจธรรม ไม่มีหลักอะไรเลย ไม่ว่าจะเรี่องปริยัติ ปฏิบัติ ไม่มีเลยริงๆ เดาสุมเอาล้วนๆ คิกๆๆไม่ไหวๆ เสื่อมหมด :b1:


กรัชกายแสดงความเห็นให้มันมีเนื้อหาบ้างไม่ได้หรือ
อีกอย่าง แสดงความเห็นแต่ล่ะครั้ง กรุณาใช้ประโยชน์ต่อหน้ากระทู้ให้มันคุ้มค่าหน่อย

แสดงความเห็นแต่ล่ะครั้งสั้นจู๋เป็นหางเต่า แถมนอกเรื่องนอกประเด็น

แบบนี้มันเปลืองหน้ากระทู้ เข้าใจมั้ย
แสดงความเห็นแบบนี้ไม่ต้องบอกน่ะว่า ทำไมเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ
แสดงความเห็นเยอะมากมาย แต่สั้นจู๋ไม่ได้สาระ
มีแต่ปริมาณไม่มีคุณภาพ :b32:


แยกไม่ออกอีก คห. นี่เป็นการตำหนิ :b1:

หลังจากพูดบอกหลักการไปแล้ว :b9:


ดูซิยังไม่สำเหนียก เพ้อเจ้อซ่ะจนกระทู้ขึ้นหน้าใหม่เลย
กรัชกายพี่โฮจะบอกให้ กระทู้พี่โฮไม่ใช่ถังขยะใจน่ะ
จะระบายไปกระทู้"ถังขยะใจ"ของคุณโสกะโน้น :b9:



เรื่องเถนี่โฮฮับถนัด ถามว่า บ่งถึงอะไร ? บ่งถึงความเป็นนักธรรมข้างธรรมาสน์ คือไม่มีหลัก ไมมีครู ในสองเรื่อง 1. ไม่ศึกษาหลักให้ถูกต้องเสียก่อน 2. ซ้ำภาคปฏิบัติจริงก็ไม่มี ไร้สาระ เป็นขยะใจ ถ้าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์นี่ เก็บไฟล์นามสกุล temp ไว้เต็มจิตใจไปหมด คิกๆ ลบๆออกไปสะบ้าง ไฟล์นี้ไม่มีประโยชน์หรอก :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย พี่โฮฮับไม่สบายหรือเปล่าขอรับเนี่ย หายไป หรือว่าจะทิ้งกระทู้ "สติครับ" ไปอีก :b32: เอาสัมปชัญญะจ้า บ้างดิขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 23:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L
อ้างคำพูด:
ดูซิยังไม่สำเหนียก เพ้อเจ้อซ่ะจนกระทู้ขึ้นหน้าใหม่เลย
กรัชกายพี่โฮจะบอกให้ กระทู้พี่โฮไม่ใช่ถังขยะใจน่ะ
จะระบายไปกระทู้"ถังขยะใจ"ของคุณโสกะโน้น

:b8:
ท่านประธานที่เคารพ ขออนุญาตใช้สิทธิ์ กรณีถูกพาดพิงครับ
:b12: :b12: :b12:
คุณโฮฮับกำลังสร้างขยะใจกองใหม่ให้กับผู้คนด้วยการอธิบายเรื่องสติให้ผิดเพี้ยนไปจากธรรมที่เข้าใจง่ายครับ
grin
งานและหน้าที่ของสติคือ

รู้ทันปัจจุบันอารมณ์

ระลึกได้

ไม่ลืม

สัมมาสติ นั้นเป็นเรื่องที่พิเศษขึ้นไปมีสอนและอบรมกันเฉพาะในพุทธศาสนา

ความหมายของ สัมมาสติ โดยรวม คือสติที่ถูกอบรมมาให้กำกับกายใจเจริญอยู่ใน มรรค 8 อริยสัจ 4 อนัตตา มุ่งหน้าสู่พระนิพพานเพียงหนึ่งเดียว อย่างนี้เป็นต้น

:b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 04:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โสกะกรุณาทำจิตให้เป็นสมาธิแล้วพิจารณาตามผม

ในปรมัตถ์ธรรม ผู้รู้คือ....จิต

สติเป็นเพียง.......เจตสิก
เป็นอาการของจิต ที่จิตไปรู้

สติไม่สามารถรับรู้อารมณ์ได้
ตัวรู้มีอยู่อย่างเดียวเรียกว่า.......จิตหรือวิญญาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นามธรรมทำงานร่วมกันอาศัยกันและกัน


สติ มีหน้าที่ดึงอารมณ์มาสู่จิต เหนี่ยวอารมณ์ไว้กับจิต คุมหรือกำกับจิตไว้กับอารมณ์ ตรึงเอาไว้ไม่ยอมให้ลอยผ่านหรือคลาดกันไป จะเป็นการดึงมาซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือดึงไว้ซึ่งอารมณ์ที่จะผ่านไปก็ได้ สติจึงมีขอบเขตความหมายคลุมถึง การระลึก นึกถึง นึกไว้ นึกได้ ระลึกได้ ไม่เผลอ สติเป็นการริเริ่มเองจากภายใน โดยอาศัยพลังแห่งเจตนา หรือเจตจำนง ในเมื่ออารมณ์อาจจะไม่ปรากฏอยู่ต่อหน้า เป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ จึงจัดอยู่ในพวกสังขาร

สัญญา บันทึกเก็บไว้ สติดึงออกมาใช้ สัญญาดี คือ รู้จักกำหนดหมายให้ชัดเจน เป็นระเบียบ สร้างขึ้นเป็นรูปร่างที่มีความหมายและเชื่อมโยงกันดี (ซึ่งอาศัยความใ่ส่ใจเป็นต้นอีกต่อหนึ่ง) ก็ดี สติดี คือมีความสามารถในการระลึก (ซึ่งอาศัยสัญญาดี และการหมั่นใช้สติ ตลอดจนสภาพจิตที่สงบผ่องใส ตั้งมั่น เป็นต้น อีกต่อหนึ่ง) ก็ดี ย่อมเป็นองค์ประกอบ ที่ช่วยให้เกิดความจำดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นามธรรมแลไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ดูอุปมาเปรียบเทียบ



นายแดง กับ นายดำ เคยรู้จักกันดี แล้วแยกจากกันไป ต่อมาอีกสิบปี นายแดงพบนายดำอีก จำได้ว่า ผู้ที่ตนพบนั้นคือนายดำ แล้วระลึกนึกได้ต่อไปอีกว่าตน กับ นายดำ เคยไปเที่ยวด้วยกันที่นั่นๆ ได้ทำสิ่งนั้นๆ ฯลฯ การจำได้เมื่อพบนั้นเป็นสัญญา การนึกได้ต่อไปถึงเรื่องราวที่ล่วงแล้ว เป็นสติ

วันหนึ่ง นาย ก. ได้พบปะสนทนา กับ นาย ข. ต่อมาอีกหนึ่งเดือน นาย ก. ถูกเพื่อนถามว่า เมื่อเดือนที่แล้ววันที่เท่านั้นๆ นาย ก. ได้พบปะสนทนากับใคร นาย ก. นึกทบทวนดู ก็จำได้ว่าพบปะสนทนากับ นาย ข. การจำได้ในกรณีนี้ เป็นสติ

เครื่องโทรศัพท์ตั้งอยู่มุมห้องข้างหนึ่ง สมุดหมายเลขโทรศัพท์อยู่อีกมุมห้องด้านหนึ่ง นายเขียวเปิดสมุดหา เลขหมายโทรศัพท์ที่ต้นต้องการ ระหว่างเดินไปก็นึกหมายเลขนั้นไว้ตลอด การอ่านและกำหนดหมายเลขที่สมุดโทรศัพท์ เป็นสัญญา การนึกหมายเลขนั้นตั้งแต่ละจากสมุดโทรศัพท์ เป็นสติ

เมื่ออารมณ์ปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว ก็กำหนดหมายได้ทันที แต่เมื่ออารมณ์ไม่ปรากฏอยู่ และถ้าอารมณ์นั้นเป็นธรรมารมณ์ (เรื่องในใจ) ก็ใช้สติดึงอารมณ์นั้นมาแล้วกำหนดหมาย อนึ่ง สติสามารถระลึกถึงสัญญา คือดึงเอาสัญญาที่มีอยู่เก่ามาเป็นอารมณ์ของจิต แล้วสัญญาจะกำหนดหมายอารมณ์นั้น สำทับเ้ข้าอีกให้ชัดเจนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หรือกำหนดหมายแนวใหม่เพิ่มเข้าไปตามวัตถุประสงค์อีกอย่างหนึ่งก็ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 10:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นามธรรมทำงานร่วมกันอาศัยกันและกัน

สติ มีหน้าที่ดึงอารมณ์มาสู่จิต เหนี่ยวอารมณ์ไว้กับจิต คุมหรือกำกับจิตไว้กับอารมณ์ ตรึงเอาไว้ไม่ยอมให้ลอยผ่านหรือคลาดกันไป จะเป็นการดึงมาซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือดึงไว้ซึ่งอารมณ์ที่จะผ่านไปก็ได้ สติจึงมีขอบเขตความหมายคลุมถึง การระลึก นึกถึง นึกไว้ นึกได้ ระลึกได้ ไม่เผลอ สติเป็นการริเริ่มเองจากภายใน โดยอาศัยพลังแห่งเจตนา หรือเจตจำนง ในเมื่ออารมณ์อาจจะไม่ปรากฏอยู่ต่อหน้า เป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ จึงจัดอยู่ในพวกสังขาร


สติมีหน้าที่ด้วยหรือกรัชกายสับสนแล้วมั้ง ฟังให้ดีน่ะ......
สตินั้นน่ะ มันก็คือจิต มันเป็นอาการของจิต มันเกิดมาพร้อมกับจิตและดับไปพร้อมกับจิต
ถ้าไม่มีจิต มันก็ไม่มีสติ

สติไม่ได้มีหน้าที่ แต่ในความเป็นจริง จิตในขณะนั้นกำลังทำหน้าที่
หน้าที่ที่จิตกำลังทำก็คือระลึกรู้เรียกอีกอย่างว่าสติ


ยกตัวอย่าง.....กรัชกายกำลังวิ่ง กรัชกายกำลังคิดฯลฯ
มันไม่ใช่วิ่งมีหน้าที่วิ่งหรือคิดมีหน้าที่คิด เพราะคนที่วิ่งหรือคิดมันเป็นตัวกรัชกายเอง
ในตัวอย่างนี้ พูดให้ชัดก็คือ
คนทำหน้าที่วิ่งก็คือกรัชกาย คนทำหน้าที่คิดก็คือกรัชกาย


แล้วที่บอกว่า เหนี่ยวรั้งอารมณ์ให้อยู่กับจิต นี่ก็ไม่ใช่
อารมณ์กับจิตก็เป็นตัวเดียวกัน การที่อารมณ์แตกต่างกันก็เพราะ......
จิตมีอาการแตกต่างกัน ในขันธ์ห้าจะต้องมีจิตเกิดร่วมด้วยทุกขันธ์
กรัชกาย เขียน:
สัญญา บันทึกเก็บไว้ สติดึงออกมาใช้ สัญญาดี คือ รู้จักกำหนดหมายให้ชัดเจน เป็นระเบียบ สร้างขึ้นเป็นรูปร่างที่มีความหมายและเชื่อมโยงกันดี (ซึ่งอาศัยความใ่ส่ใจเป็นต้นอีกต่อหนึ่ง) ก็ดี สติดี คือมีความสามารถในการระลึก (ซึ่งอาศัยสัญญาดี และการหมั่นใช้สติ ตลอดจนสภาพจิตที่สงบผ่องใส ตั้งมั่น เป็นต้น อีกต่อหนึ่ง) ก็ดี ย่อมเป็นองค์ประกอบ ที่ช่วยให้เกิดความจำดี

กรัชกายพี่โฮจะบอกให้ว่า สัญญาขันธ์กับสัญญาที่เป็นบัญญัติ มันเป็นคนล่ะความหมาย
ที่สำคัญเหตุปัจจัยมันก็เป็นคนล่ะอย่าง

สัญญาขันธ์มันไม่ใช่การบันทึกอะไรอย่างที่กรัชกายว่า
สัญญาขันธ์มันเกิดตามเหตุปัจจัย มีเหตุให้เกิดมันก็เกิด
เหตุที่ว่าก็คือผัสสะ เมื่อมีผัสสะย่อมมีขันธ์ห้าเกิดตามมา

ส่วนสัญญาที่กรัชกายเข้าใจว่า คือการบันทึกเก็บไว้
พูดง่ายๆว่าความจำ สัญญาของกรัชกายตัวนี้ไม่ใช จิต ไม่ใช่อารมณ์
และไม่ใช่ขันธ์ห้า แต่มันมีส่วนทำให้เกิดสิ่งที่กล่าวมา

สัญญาตัวนี้มันเกิดจาก กายหรือรูปที่เรียกว่าสมอง
มันก็คือความคิด เป็นอายตนะภายนอก หาใช่สัญญาขันธ์ไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นามธรรมแลไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ดูอุปมาเปรียบเทียบ
นายแดง กับ นายดำ เคยรู้จักกันดี แล้วแยกจากกันไป ต่อมาอีกสิบปี นายแดงพบนายดำอีก จำได้ว่า ผู้ที่ตนพบนั้นคือนายดำ แล้วระลึกนึกได้ต่อไปอีกว่าตน กับ นายดำ เคยไปเที่ยวด้วยกันที่นั่นๆ ได้ทำสิ่งนั้นๆ ฯลฯ การจำได้เมื่อพบนั้นเป็นสัญญา การนึกได้ต่อไปถึงเรื่องราวที่ล่วงแล้ว เป็นสติ

วันหนึ่ง นาย ก. ได้พบปะสนทนา กับ นาย ข. ต่อมาอีกหนึ่งเดือน นาย ก. ถูกเพื่อนถามว่า เมื่อเดือนที่แล้ววันที่เท่านั้นๆ นาย ก. ได้พบปะสนทนากับใคร นาย ก. นึกทบทวนดู ก็จำได้ว่าพบปะสนทนากับ นาย ข. การจำได้ในกรณีนี้ เป็นสติ

ตามที่ได้บอกมาแล้วว่า ต้องแยกแยะให้ออกมาอะไรเป็นสัญญาขันธ์ อะไรเป็นความจำที่เกิดจาก
ความคิดของสมอง


จะยกตัวอย่างเรื่องนี้ให้ดูว่าอย่างไรจึงเรียกสติ แบบที่กรัชกายพูดมามันไม่ใช่สติ
ลักษณะของสติในปุถุชน จะระลึกรู้สภาพธรรมที่เป็นกุศล
ส่วนอริยชนจะระลึกรู้สภาวะไตรลักษณ์ของขันธ์ห้า

ตัวอย่างนาย.กกับนาย.ข เป็นปุถุชน ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกัน
ต่อมาทั้งคู่ได้แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพ นาย.กเกิดไปหลงรักผู้หญิง
แต่ผู้หญิงไม่สนใจ นาย.กคิดที่จะฆ่าตัวตาย ในขณะที่กำลังจะฆ่าตัวตัว
กลับหวนไปคิดถึงนาย.ข ที่เป็นเพื่อนรัก จึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตาย

นี่แบบนี้เขาถึงเรียก....สติ
ความรักเพื่อนเป็นสภาพธรรมที่เป็นกุศล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 11:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:


สติมีหน้าที่ด้วยหรือกรัชกายสับสนแล้วมั้ง ฟังให้ดีน่ะ......
สตินั้นน่ะ มันก็คือจิต มันเป็นอาการของจิต มันเกิดมาพร้อมกับจิตและดับไปพร้อมกับจิต
ถ้าไม่มีจิต มันก็ไม่มีสติ

สติไม่ได้มีหน้าที่ แต่ในความเป็นจริง จิตในขณะนั้นกำลังทำหน้าที่
หน้าที่ที่จิตกำลังทำก็คือระลึกรู้เรียกอีกอย่างว่าสติ


อ้าวมีสิโฮฮับ ไม่ใช่วางงานวันๆไม่ทำอะไรนะ :b1:

นามธรรมที่พวกเรายกมาพูดๆกันนั่นน่า มันมีหน้าทุกตัว ไปดูคำแปลของมันดิ นั่นแหละหน้าที่ของมัน

สตินั้นน่ะ มันก็คือจิต

เอาอีกแล้ว สติก็คือจิตอีกแล้ว จิตมันก็จิต เจตสิกก็เจตสิก สติเป็นเจตสิก มันจะคือจิตเป็นจิตไปได้อย่างไรกัน คิกๆๆ


สติ เป้นต้น เป็นเจตสิก ที่เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน มีอารมณ์เป็นอย่างเดียวกันกับจิต สังขารเป็นเครื่องปรุงจิตให้ดีให้ชั่ว (เจตสิก 50 อย่าง) นี่แหละ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 05 ก.ย. 2013, 11:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เครื่องโทรศัพท์ตั้งอยู่มุมห้องข้างหนึ่ง สมุดหมายเลขโทรศัพท์อยู่อีกมุมห้องด้านหนึ่ง นายเขียวเปิดสมุดหา เลขหมายโทรศัพท์ที่ต้นต้องการ ระหว่างเดินไปก็นึกหมายเลขนั้นไว้ตลอด การอ่านและกำหนดหมายเลขที่สมุดโทรศัพท์ เป็นสัญญา การนึกหมายเลขนั้นตั้งแต่ละจากสมุดโทรศัพท์ เป็นสติ

การนึกถึงหมายเลขก็คือการคิดการจินตนาการ มันเป็นธัมมารมณ์
การนึกถึงหมายเลขในขณะเดิน ก็คือการคิดซ้ำๆ เกิดธัมมารมณ์ซ้ำ
ตัวอย่างนี้ สติจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ ในขณะที่เดินคิดหมายเลขโทรศัพท์
แต่เกิดคิดได้ว่า......"ระวังเดินชนสิ่งของ" แบบนี้จึงเรียกว่าสติ

กรัชกาย เขียน:

เมื่ออารมณ์ปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว ก็กำหนดหมายได้ทันที แต่เมื่ออารมณ์ไม่ปรากฏอยู่ และถ้าอารมณ์นั้นเป็นธรรมารมณ์ (เรื่องในใจ) ก็ใช้สติดึงอารมณ์นั้นมาแล้วกำหนดหมาย อนึ่ง สติสามารถระลึกถึงสัญญา คือดึงเอาสัญญาที่มีอยู่เก่ามาเป็นอารมณ์ของจิต แล้วสัญญาจะกำหนดหมายอารมณ์นั้น สำทับเ้ข้าอีกให้ชัดเจนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หรือกำหนดหมายแนวใหม่เพิ่มเข้าไปตามวัตถุประสงค์อีกอย่างหนึ่งก็ได้


กรัชกายอย่าเอาอารมณ์ที่เป็นสภาวะธรรม มาปนกับสภาพธรรม มันคนล่ะเรื่อง
สภาพธรรมที่เกิดกับปุถุชนเป็นสมมติสัจจะ มันเป็นบัญญัติที่เกี่ยวกับกุศลธรรม

แต่อารมณ์เป็นเรื่องของสังขารเป็นปรมัตถ์ ที่กรัชกายกำลังสับสนในเรื่อง"สัญญา"
เป็นเพราะกรัชกายเอาสมมติบัญญัติมาปนมั่วกับปรมัตถ์บัญญัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 11:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เครื่องโทรศัพท์ตั้งอยู่มุมห้องข้างหนึ่ง สมุดหมายเลขโทรศัพท์อยู่อีกมุมห้องด้านหนึ่ง นายเขียวเปิดสมุดหา เลขหมายโทรศัพท์ที่ต้นต้องการ ระหว่างเดินไปก็นึกหมายเลขนั้นไว้ตลอด การอ่านและกำหนดหมายเลขที่สมุดโทรศัพท์ เป็นสัญญา การนึกหมายเลขนั้นตั้งแต่ละจากสมุดโทรศัพท์ เป็นสติ

การนึกถึงหมายเลขก็คือการคิดการจินตนาการ มันเป็นธัมมารมณ์
การนึกถึงหมายเลขในขณะเดิน ก็คือการคิดซ้ำๆ เกิดธัมมารมณ์ซ้ำ
ตัวอย่างนี้ สติจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ ในขณะที่เดินคิดหมายเลขโทรศัพท์
แต่เกิดคิดได้ว่า......"ระวังเดินชนสิ่งของ" แบบนี้จึงเรียกว่าสติ

กรัชกาย เขียน:

เมื่ออารมณ์ปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว ก็กำหนดหมายได้ทันที แต่เมื่ออารมณ์ไม่ปรากฏอยู่ และถ้าอารมณ์นั้นเป็นธรรมารมณ์ (เรื่องในใจ) ก็ใช้สติดึงอารมณ์นั้นมาแล้วกำหนดหมาย อนึ่ง สติสามารถระลึกถึงสัญญา คือดึงเอาสัญญาที่มีอยู่เก่ามาเป็นอารมณ์ของจิต แล้วสัญญาจะกำหนดหมายอารมณ์นั้น สำทับเ้ข้าอีกให้ชัดเจนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หรือกำหนดหมายแนวใหม่เพิ่มเข้าไปตามวัตถุประสงค์อีกอย่างหนึ่งก็ได้


กรัชกายอย่าเอาอารมณ์ที่เป็นสภาวะธรรม มาปนกับสภาพธรรม มันคนล่ะเรื่อง
สภาพธรรมที่เกิดกับปุถุชนเป็นสมมติสัจจะ มันเป็นบัญญัติที่เกี่ยวกับกุศลธรรม

แต่อารมณ์เป็นเรื่องของสังขารเป็นปรมัตถ์ ที่กรัชกายกำลังสับสนในเรื่อง"สัญญา"
เป็นเพราะกรัชกายเอาสมมติบัญญัติมาปนมั่วกับปรมัตถ์บัญญัติ




ยิ่งพูดยิ่งห่างไกลชีวิตห่าง่ไกลตัว ห่างไกลพุทธธรรม ไร้ประโยชน์แล้วท่าน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 12:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำธรรมชาติที่เรียกว่า สังขารที่ปรุงแต่งจิต (เครื่องปรุง) ให้ดีให้ชั่วให้เป็นไปต่างๆ มาให้ดู



4. สังขาร ตามหลักอภิธรรม แบ่งเจตสิกเป็น 52 อย่าง ถ้าเทียบกับการแบ่งแบบขันธ์ 5 เจตสิกก็ได้แก่ เวทนา สัญญา และสังขารทั้งหมด คือ ในจำนวนเจตสิก 52 นั้น เป็นเวทนา 1 เป็นสัญญา 1 ที่เหลืออีก 50 อย่าง เป็นสังขารทั้งสิ้น สังขารขันธ์ จึงเท่ากับเจตสิก 50 อย่าง ซึ่งแยกย่อยได้ดังนี้

1) อัญญสมานเจตสิก (เจตสิก ที่เข้าได้ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว) 11 (นับครบมี 13 เพราะเวทนาและสัญญาเป็นเจตสิกหมวดนี้ แต่ไม่เป็นสังขาร จึงตัดออกไป) คือ

(1) สัพพจิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิด กับ จิตทุกดวง) 5 คือ ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา (สมาธิ) ชีวิตินทรีย์ มนสิการ (จำนวนเดิมมี 7 ทั้งเวทนา กับสัญญา)

(2) ปกิณณกเจตสิก (เกิดกับจิตได้ทั่วๆไป ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว แต่ไม่ตายตัว) 6 คือ วิตก วิจาร อธิโมกข์ (ความปักใจ) วิริยะ ปีติ ฉันทะ


2) อกุศลเจตสิก (เจตสิกที่เป็็นอกุศล) 14 คือ

(1) อกุศลสาธารณเจตสิก (เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลทุกดวง) 4 คือ โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ และอุทธัจจะ

(1) ปกิณณกอกุศลเจตสิก (เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลแต่ไม่ตายตัวทุกครั้ง) 10 คือ โลภะ ทิฏฐิ มานะ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ ถีนะ มิทธะ และวิจิกิจฉา


3) โสภณเจตสิก (เจตสิกดีงาม คือ เกิดกับจิตที่เป็นกุศลและอัพยากฤต) มี 25 คือ

(1) โสภณสาธารณเจตสิก (เกิดกับจิตดีงามทุกดวง) 19 คือ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ (= เ้มตตา) ตัตรมัชฌัตตตา (บางทีเรียกอุเบกขา) กายปัสสัทธิ (ความสงบแห่งนามกายคือกองเจตสิก) จิตตปัสสัทธิ กายลหุตา จิตตลหุตา กายมุทุตา จิตตมุทุตา กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา กายปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งนามกายคือกองเจตสิก) จิตตปาคุญญตา กายุชุกตา (ความซื่อตรงแห่งนามกายคือกองเจตสิก) จิตตุชุกตา

(2) ปกิณณกโสภณเจตสิก (เกิดกับจิตฝ่ายดีงาม แต่ไม่ตายตัวทุกครั้ง) 6 คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ (รวมเรียก วิรตีเจตสิก 3) กรุณา มุทิตา (เรียกรวมกันว่า อัปปมัญญาเจตสิก 2) และปัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 20:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:
อ้างคำพูด:
สติไม่ได้มีหน้าที่ แต่ในความเป็นจริง จิตในขณะนั้นกำลังทำหน้าที่
หน้าที่ที่จิตกำลังทำก็คือระลึกรู้เรียกอีกอย่างว่าสติ

:b16:
คุณโฮฮับกำลังสะดุดขาตัวเองแล้วนะครับ

สติ กับจิต เป็นคนละอันกันนะครับ

จิต มีหน้าที่ รู้อารมณ์ เปรียบเหมือน ต้นเงา

สติ มีหน้าที่ รู้ทันอารมณ์ เปรียบเหมือนเงา เป็นเจตสิก หรืออาจเรียกว่า เงาของจิต ก็ได้

จิตรู้เกิด สตินทรีย์เจตสิกก็ตามรู้ เหมือนต้นเงากับเงา เกิดคู่กัน พร้อมกัน

:b12: :b12: :b12: :b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร