วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 14:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร ? :b14: :b1:


กรัชกายบอกก่อนก็ได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนวิธีฝึกคน (ฝึกตน)


มาถามพี่โฮแบบนี้..........................แล้วดันมาตอบเอง
แบบนี้เขาเรียก ชงเองกินเอง ...ทามไปด้ายน่ะกรัชกาย :b32:

ถ้ากรัชกายมาถามพี่โฮว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร
พี่โฮก็ต้องยกเอาเรื่องของ พระอัสสชิกับอุปติสสะ มาสาธยายให้ฟัง

พระอัสสชิบอกแก่อุปติสสะว่า.................

"ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคต

ทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความ

ดับของธรรมเหล่านี้ พระมหาสมณะทรง

สั่งสอนอย่างนี้."


หวังว่าคงเข้าใจน่ะ การจะถามจะตอบ ไม่ใช่ส่งๆต้องดูตัวบุคคล
ต้องดูเหตุการณ์

เอาคลิปคนอื่นพูดธรรม แล้วดันมาถามพระพุทธเจ้าสอนอะไร
ถามจะถามว่า"พระพุทธเจ้าสอนอะไร มันต้องถามกับพี่โฮตรงๆ ไม่ใช่โชว์คลิปคนอื่น
แบบนั้นต้องถามว่า บุคคลในคลิปเขาสอนอะไร

และการจะตอบคนที่มาถามเราตรงๆว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร
เราต้องอ้างคำพูดของ อรหันตสาวกที่กล่าวถึงพระพุทธองค์
ไม่ใช่มาบอกว่าตรงว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร แบบนี้แสดงถึงการแอบอ้าง
และแสดงขี้โม้เหมือนจะบอกว่าตัวเองบรรลุแล้ว :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร ? :b14: :b1:


กรัชกายบอกก่อนก็ได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนวิธีฝึกคน (ฝึกตน)


มาถามพี่โฮแบบนี้..........................แล้วดันมาตอบเอง
แบบนี้เขาเรียก ชงเองกินเอง ...ทามไปด้ายน่ะกรัชกาย :b32:

ถ้ากรัชกายมาถามพี่โฮว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร
พี่โฮก็ต้องยกเอาเรื่องของ พระอัสสชิกับอุปติสสะ มาสาธยายให้ฟัง

พระอัสสชิบอกแก่อุปติสสะว่า.................

"ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคต

ทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความ

ดับของธรรมเหล่านี้ พระมหาสมณะทรง

สั่งสอนอย่างนี้."


หวังว่าคงเข้าใจน่ะ การจะถามจะตอบ ไม่ใช่ส่งๆต้องดูตัวบุคคล
ต้องดูเหตุการณ์

เอาคลิปคนอื่นพูดธรรม แล้วดันมาถามพระพุทธเจ้าสอนอะไร
ถามจะถามว่า"พระพุทธเจ้าสอนอะไร มันต้องถามกับพี่โฮตรงๆ ไม่ใช่โชว์คลิปคนอื่น
แบบนั้นต้องถามว่า บุคคลในคลิปเขาสอนอะไร

และการจะตอบคนที่มาถามเราตรงๆว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร
เราต้องอ้างคำพูดของ อรหันตสาวกที่กล่าวถึงพระพุทธองค์
ไม่ใช่มาบอกว่าตรงว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร แบบนี้แสดงถึงการแอบอ้าง
และแสดงขี้โม้เหมือนจะบอกว่าตัวเองบรรลุแล้ว :b32:



โฮฮับ ก็ยังมองธรรมไกลตัว แล้วค่อนข้างคิดเตลิด

เอาง่ายๆเรื่องศีล นี่ก็ต้องฝึก ศีล นี่ก็กว้าง ไม่ใช่แคบๆอย่างที่เข้าใจกัน ตัวอย่าง ตื่นนอนเก็บที่หลับ พับผ้าห่มให้เรียบร้อย นี่ก็ศีล บ้านรกรุงรัง เก็บปัดกวาดถู นี่ก็ศีล ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทางนี่ก็ศีล พูดจาไพเราะอ่อนหวานนี่ก็ศีล มีสัมมาคารวะนี่ก็ศีล ฯลฯ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ ก็ยังมองธรรมไกลตัว แล้วค่อนข้างคิดเตลิด

แน่ะ! ไม่มีปัญญามองธรรมแล้วมาว่าคนอื่นมองธรรมไกลตัว
ธรรมมันไกลอย่างที่กรัชกายพูดซ่ะที่ไหน ธรรมมันก็อยู่ในกายใจเราเองนั้นแหล่ะ

มันก็แค่มองธรรมไปตามความเป็นจริง ง่ายๆสั้นแค่นี้แหล่ะ :b13:

กรัชกาย เขียน:
เอาง่ายๆเรื่องศีล นี่ก็ต้องฝึก ศีล นี่ก็กว้าง ไม่ใช่แคบๆอย่างที่เข้าใจกัน ตัวอย่าง ตื่นนอนเก็บที่หลับ พับผ้าห่มให้เรียบร้อย นี่ก็ศีล บ้านรกรุงรัง เก็บปัดกวาดถู นี่ก็ศีล ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทางนี่ก็ศีล พูดจาไพเราะอ่อนหวานนี่ก็ศีล มีสัมมาคารวะนี่ก็ศีล ฯลฯ :b1:

ใครบอกกรัชกายว่า ศีลต้องฝึก ศีลเป็นเรื่องของความเป็นปกติ

จะเป็นศีลหรือไม่มันไม่ใช่การฝึก มันต้องเอาปัญญาไปพิจารณาในสิ่งที่จะกระทำนั้น

ถามหน่อย ถ้าตื่นมาแล้วได้ยินว่า ลูกกำลังจะจมน้ำตาย กรัชกายจะยังนั่งพับผ้าห่มมั้ย

ความเป็นศีลหรือไม่ ต้องเอาเรื่องความประพฤติ ความเป็นอยู่และวาจาให้มันสัมพันธ์กัน
และความสัมพันธที่ว่าต้องเป็นเหตุเป็นผลแก่กัน และที่สำคัญต้องเป็นกุศล

จะพูดจาอ่อนหวานมันก็ต้องพูด ในสถานที่ๆเขามีมรรยาทในการพูด ไม่ใช่อยู่ในสลัม
หรืออยู่ในกลุ่มคนที่ด้อยการศึกษา ขืนไปพูดอ่่อนหวานคนเขาหมั่นไส้
หรือจะอยู่ในสถานที่สาธารณะจะพูดจาหยาบคายมันก็ไม่ได้

บ้านรกรุงรัง ใช้มันต้องกวาดถู แต่มันต้องมีเวลาที่เหมาะสม
ไม่ใช่กำลังจะไปทำงาน เห็นบ้านรกก็เลยกวาดถูบ้าน จนไปทำงานสาย

กรัชกายเข้าใจที่พี่โฮพูดมั้ยเนี่ย การทำอะไรต้องมีเหตุมีผลในสามสิ่งที่กล่าวมา
ความเป็นอยู่ ความประพฤติและวาจา แบบนี้จึงจะเรียกว่าคนมีศีลหรือมีปัญญานั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:

โฮฮับ ก็ยังมองธรรมไกลตัว แล้วค่อนข้างคิดเตลิด


แน่ะ! ไม่มีปัญญามองธรรมแล้วมาว่าคนอื่นมองธรรมไกลตัว
ธรรมมันไกลอย่างที่กรัชกายพูดซ่ะที่ไหน ธรรมมันก็อยู่ในกายใจเราเองนั้นแหล่ะ

มันก็แค่มองธรรมไปตามความเป็นจริง ง่ายๆสั้นแค่นี้แหล่ะ :b13:



มีสองคำถามนะ ตอบสั้นๆดังๆชัดๆ :b1:

พระพุทธเจ้าสอนอะไร ?

ธรรมที่โฮฮับว่า หมายถึงอะไร ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:

โฮฮับ ก็ยังมองธรรมไกลตัว แล้วค่อนข้างคิดเตลิด


แน่ะ! ไม่มีปัญญามองธรรมแล้วมาว่าคนอื่นมองธรรมไกลตัว
ธรรมมันไกลอย่างที่กรัชกายพูดซ่ะที่ไหน ธรรมมันก็อยู่ในกายใจเราเองนั้นแหล่ะ

มันก็แค่มองธรรมไปตามความเป็นจริง ง่ายๆสั้นแค่นี้แหล่ะ :b13:



มีสองคำถามนะ ตอบสั้นๆดังๆชัดๆ :b1:

พระพุทธเจ้าสอนอะไร ?

ธรรมที่โฮฮับว่า หมายถึงอะไร ?

ถามคุณน้องบ้างสิ คุณน้องอยากตอบ ขอตอบเลยละกัน พระพุทธเจ้าสอนว่า.
" ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราจะเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปสิ้นไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เถิด”
พระพุทธองค์ตรัสเช่นนี้เป็นวาจาครั้งสุดท้ายก่อนจะเสด็จดับขันปรินิพพาน มนุษย์คนไหนไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 18:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

อ้างคำพูด:
กรัชกายบอกก่อนก็ได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนวิธีฝึกคน (ฝึกตน)


น่าจะไม่ใช่ประเด็นคำสอนตรงๆของพระพุทธเจ้านะครับ ท่านกรัชกาย

ผมเคยอ่านผ่านตาในสูตรไหนจำไม่ได้ แต่เมื่อแปลออกมาแล้วได้ความว่า

เราสอนเรื่อง ทุกข์
เหตุ เกิดทุกข์
ความดับทุกข์
และวิธีทำให้ถึงความดับทุกข์

นี่คือคำสอนของเราตถาคต"



แล้วท่านสอนให้เราทำ (ฝึกตน) ยังไงละ จึงจะรู้เห็นเช่นคุณอโศกยกมานั่น :b10: :b14:

:b12: :b12: :b12:

ท่านกรัชกาย กำลังจะเอาพลความมาเป็นประเด็น เอาประเด็น ไปเป็นพลความหรือเปล่าครับ
:b41:
เรื่องการฝึกตนนั้น มีสอนอยู่ในทุกวิชา หลายรูปแบบ ไม่มีเอกลักษณ์พิเศษให้เห็นความแตกต่างชัดเจน

แต่ประเด็นคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน เป็นหนึ่งเดียวด้วย

มีพระสูตรอีกสูตรหนึ่ง ที่พระบรมศาสดา ทรงสอนเครื่องพิจารณาว่าธรรมใดเป็นคำสอนของพระองค์ แต่ผมจำไม่ได้ ค้นไม่เป็น ต้องกราบท่านพุทธฏีกาค้นมาแสดงด้วยครับ

ที่ผมยกมาข้างต้นนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นหลักพิจารณาว่าคำสอนใดเป็นคำสอนของพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า

:b48:
เราสอนเรื่อง ทุกข์
เหตุ เกิดทุกข์
ความดับทุกข์
และวิธีทำให้ถึงความดับทุกข์

นี่คือคำสอนของเราตถาคต"

:b27:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พื้่้นฐานของพระพุทธศาสนาที่ว่า สัจธรรมเป็นกฎธรรมชาติ หรือหลักความจริงที่มีอยู่โดยธรรมดา พระพุทธเจ้าหรือศาสดา มีฐานะเป็นผู้ค้นพบหลักความจริงนั้น แล้วนำมาเปิดเผยแก่ผู้อื่น การได้รับผลจากการปฏิบัติ เป็นเรื่องของความเป็นไปอันเที่ยงธรรม ตามเหตุปัจจัยในธรรมชาติ ศาสดามิใช่ผู้บันดาล เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนจึงจำเป็นต้องเพียรพยายามสร้างผลสำเร็จด้ยเรี่ยวแรงของตน ไม่ควรคิดหวัง และอ้อนวอนขอผลที่ต้องการ โดยไม่กระทำ หลักพุทธศาสนาในเรื่องนี้ จึงมีว่า

"ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา"

ความเพียร ท่านทั้งหลายต้องทำเอง ตถาคตทั้งหลาย เป็นแต่ผู้่บอก (ทาง) ให้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


เราสอนเรื่อง ทุกข์
เหตุ เกิดทุกข์
ความดับทุกข์
และวิธีทำให้ถึงความดับทุกข์

นี่คือคำสอนของเราตถาคต"



วิธีทำให้ถึงความดับทุกข์


วิธีให้ถึง...นี่แหละครับ ข้อปฏิบัติฝึกหัดตน มิใช่นั่งๆนอนๆแล้วถึงความดับทุกข์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:

โฮฮับ ก็ยังมองธรรมไกลตัว แล้วค่อนข้างคิดเตลิด


แน่ะ! ไม่มีปัญญามองธรรมแล้วมาว่าคนอื่นมองธรรมไกลตัว
ธรรมมันไกลอย่างที่กรัชกายพูดซ่ะที่ไหน ธรรมมันก็อยู่ในกายใจเราเองนั้นแหล่ะ

มันก็แค่มองธรรมไปตามความเป็นจริง ง่ายๆสั้นแค่นี้แหล่ะ :b13:



มีสองคำถามนะ ตอบสั้นๆดังๆชัดๆ :b1:

พระพุทธเจ้าสอนอะไร ?

ธรรมที่โฮฮับว่า หมายถึงอะไร ?



พี่โฮฮับขอรับ ที่ว่าธรรมอะไรขอรับ
อ้างคำพูด:
มันก็แค่มองธรรมไปตามความเป็นจริง ง่ายๆสั้นแค่นี้แหล่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:

โฮฮับ ก็ยังมองธรรมไกลตัว แล้วค่อนข้างคิดเตลิด


แน่ะ! ไม่มีปัญญามองธรรมแล้วมาว่าคนอื่นมองธรรมไกลตัว
ธรรมมันไกลอย่างที่กรัชกายพูดซ่ะที่ไหน ธรรมมันก็อยู่ในกายใจเราเองนั้นแหล่ะ

มันก็แค่มองธรรมไปตามความเป็นจริง ง่ายๆสั้นแค่นี้แหล่ะ :b13:



มีสองคำถามนะ ตอบสั้นๆดังๆชัดๆ :b1:

พระพุทธเจ้าสอนอะไร ?

ธรรมที่โฮฮับว่า หมายถึงอะไร ?

ถามคุณน้องบ้างสิ คุณน้องอยากตอบ ขอตอบเลยละกัน พระพุทธเจ้าสอนว่า.
" ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราจะเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปสิ้นไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เถิด”
พระพุทธองค์ตรัสเช่นนี้เป็นวาจาครั้งสุดท้ายก่อนจะเสด็จดับขันปรินิพพาน มนุษย์คนไหนไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว :b13:




อ้างคำพูด:
พวกเธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตน และประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม




แม้ปัจฉิมโอวาทที่คุณน้องนำ "...ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น..." ก็บ่งถึงการกระทำ-การปฏิบัติ-การฝึกหัดตน มิใช่นั่งๆนอนๆแล้วประโยชน์จะเกิดขึ้น โดยไม่ลงมือทำ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2013, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:

โฮฮับ ก็ยังมองธรรมไกลตัว แล้วค่อนข้างคิดเตลิด


แน่ะ! ไม่มีปัญญามองธรรมแล้วมาว่าคนอื่นมองธรรมไกลตัว
ธรรมมันไกลอย่างที่กรัชกายพูดซ่ะที่ไหน ธรรมมันก็อยู่ในกายใจเราเองนั้นแหล่ะ

มันก็แค่มองธรรมไปตามความเป็นจริง ง่ายๆสั้นแค่นี้แหล่ะ :b13:



มีสองคำถามนะ ตอบสั้นๆดังๆชัดๆ :b1:

พระพุทธเจ้าสอนอะไร ?

ธรรมที่โฮฮับว่า หมายถึงอะไร ?



พี่โฮฮับขอรับ ที่ว่าธรรมอะไรขอรับ
อ้างคำพูด:
มันก็แค่มองธรรมไปตามความเป็นจริง ง่ายๆสั้นแค่นี้แหล่ะ

ที่ถามว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร.......ก็ยกเอาคำของพระอัสสชิมาให้ดูแล้วไง
พระพุทธองค์สอนในสิ่งที่พระอัสสชิบอกแก่ ท่านอุปติสสะนั้นแหล่ะ


แล้วที่ถามว่า....มองธรรมไปตามความเป็นจริงก็คือ.......
กรัชกายกำลังมองธรรมผิดจากความเป็นจริง

สิ่งแรก กรัชกายไปเอาคลิปที่เป็นคำสอนของคนอื่นมา แล้วมาถามว่า
พระพุทธเจ้าสอนอะไร ถ้าจะมองธรรมไปตามจริง จะต้องถามว่า คนในคลิปสอนอะไร

และการมองธรรมไปตามจริงอีกอย่าง คือ กรัชกายมาถามพี่โฮว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร
ถ้าพี่โฮจะตอบกรัชกายไปเลยว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร แบบนี้มันไม่ใช่การมองธรรมไปตามจริง
เพราะในความเป็นจริงนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนพี่โฮโดยตรง
พี่โฮศึกษาธรรมจากครูบาอาจารย์รุ่นหลังไม่ใช่พระพุทธเจ้า
ด้วยเหตุนี้ พี่โฮถึงได้ยกคำพระอัสสชิมากล่าว
เพื่อเตือนสติกรัชกายในเรื่องการมองธรรมไปตามความจริง

มันก็เหมือนกับพระอัสสชิกำลังบอกท่านอุปติสสะว่า
สิ่งที่ท่านพูดไม่ใช่คำสอนของท่าน แต่เป็นคำสอนของพุทธองค์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2013, 04:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:



แล้วที่ถามว่า....มองธรรมไปตามความเป็นจริงก็คือ.......
กรัชกายกำลังมองธรรมผิดจากความเป็นจริง






นั่นสิ "ธรรม" ที่ว่าเนี่ยมันคืออะไร ธรรมๆคืออะไร หรือให้จินตนาการให้ตรงธรรม คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2013, 05:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดักคอไว้เลยว่า "ธรรม" ที่โฮฮับพูดอ้างอิงบ่อยครั้งนั้น ภาพเลือนลางเบลอๆ ตัวผู้พูดเองก็ไม่รู้ว่า มันอะไร ตัวอย่างก็ที่ยกเอาชื่อที่เขาบัญญัติเรียกสภาวะว่า สติ บ้าง เจตนาบ้าง จิตบ้าง สังโยชน์บ้าง มาอ้างอิง แล้วก็พูดโยงเข้ากับศัพท์นั้นศัพท์นี้ไป ไม่อยู่กับร่องกับรอยวาดภาพไปเรื่อยๆ ถึงได้ว่าธรรมะในจินตนาการ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2013, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การศึกษาที่แท้จริงนั้น เป็นกระบวนการพัฒนาชีวิต ซึ่งเป็นระบบของธรรมชาติ ที่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ จึงต้องจัดให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนการของเหตุปัจจัยในธรรมชาติ

ดูที่หลักการศึกษาหรือหลักธรรมที่จะสอน ทำไมจึงต้องมี ๓ ข้อเท่านั้น เป็นชุด ๓ (ไตรสิกขา) ก็ตอบสั้นๆว่า เพราะเป็นเรื่องของชีวิตคน ซึ่งมีแค่ ๓ ด้าน หรือ ๓ แดน เป็นองค์ประกอบหรือองค์ร่วม ๓ อย่าง ที่รวมกันเป็นชีวิต ซึ่งพากันดำเนินเดินหน้าพัฒนาไปด้วยกัน


ชีวิต 3 ด้าน ของคนเรานี้ ที่พัฒนาไปด้วยกัน มีอะไรบ้าง? ก็แยกเป็น

1. ด้านสื่อกับโลก ได้แก่ การรับรู้ติดต่อสื่อสารสัมพันธ์ พฤติกรรม ความประพฤติ และการแสดงออกต่อหรือกับเพื่อนมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆผ่านทวาร (ช่องทาง ประตู) 2 ชุด คือ

ก. ผัสสทวาร (ทางรับรู้) คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย (รวมทั้งชุมทาง คือ ใจ เป็น 6)

ข. กรรมทวาร (ทางทำกรรม) คือ กาย วาจา (รวมชุมทาง คือ ใจ ด้วย เป็น 3)

ด้านนี้ พูดง่ายๆว่า แดนหรือด้านที่สื่อกับโลก เรียกสั้นๆคำเดียวว่า ศีล

2. ด้านจิตใจ ได้แก่ การทำงานของจิตใจ ซึ่งมีองค์ประกอบและคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องมากมาย เริ่มแต่ต้องมีเจตนา หรือ เจตจำนง ความจงใจ ตั้งใจ มีแรงจูงใจอย่างใดอย่างหนึ่ง มีความดี-ความชั่ว ความสามารถหรือความอ่อนด้อย พร้อมทั้งความรู้สึกสุข-ทุกข์ สบาย-ไม่สบาย หรือเฉยๆ เพลินๆและปฏิกิริยาต่อจากสุข-ทุกข์นั้น เช่น ชอบใจ หรือไม่ชอบใจ อยากจะได้ อยากจะเอา หรืออยากจะหนี หรืออยากจะทำลาย ที่ควบคุมชักนำการรับรู้และพฤติกรรมทั้งหลาย เช่น ว่า จะให้ดูอะไร หรือไม่ดูอะไร จะพูดอะไร จะพูดกับใครว่าอย่างไรด้านนี้ เรียกสั้นๆว่า จิต หรือแดนของ สมาธิ

3. ด้านปัญญา ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ ตั้งแต่สุตะ คือ ความรู้ที่ได้เรียนสดับ หรือ ข่าวสารข้อมูล จนถึงการพัฒนาทุกอยาง ในจินตาวิสัย และญาณวิสัย เช่น แนวคิด ทิฏฐิ ความเชื่อถือ ทัศนคติ ค่านิยม ความยึดถือตามความรู้ ความคิด ความเข้าใจ แง่มุมในการมอง ในการพิจารณา อย่างใดอย่างหนึ่งด้านนี้เรียกสั้นๆตรงๆว่า ปัญญา

องค์ประกอบของชีวิต 3 ด้านนี้ ทำงานไปด้วยกัน ประสานกันไป และเป็นเหตุปัจจัยแก่กัน ไม่แยกต่างหากจากกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2013, 03:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
การศึกษาที่แท้จริงนั้น เป็นกระบวนการพัฒนาชีวิต ซึ่งเป็นระบบของธรรมชาติ ที่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ จึงต้องจัดให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนการของเหตุปัจจัยในธรรมชาติ

ดูที่หลักการศึกษาหรือหลักธรรมที่จะสอน ทำไมจึงต้องมี ๓ ข้อเท่านั้น เป็นชุด ๓ (ไตรสิกขา) ก็ตอบสั้นๆว่า เพราะเป็นเรื่องของชีวิตคน ซึ่งมีแค่ ๓ ด้าน หรือ ๓ แดน เป็นองค์ประกอบหรือองค์ร่วม ๓ อย่าง ที่รวมกันเป็นชีวิต ซึ่งพากันดำเนินเดินหน้าพัฒนาไปด้วยกัน


ชีวิต 3 ด้าน ของคนเรานี้ ที่พัฒนาไปด้วยกัน มีอะไรบ้าง? ก็แยกเป็น

1. ด้านสื่อกับโลก ได้แก่ การรับรู้ติดต่อสื่อสารสัมพันธ์ พฤติกรรม ความประพฤติ และการแสดงออกต่อหรือกับเพื่อนมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆผ่านทวาร (ช่องทาง ประตู) 2 ชุด คือ

ก. ผัสสทวาร (ทางรับรู้) คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย (รวมทั้งชุมทาง คือ ใจ เป็น 6)

ข. กรรมทวาร (ทางทำกรรม) คือ กาย วาจา (รวมชุมทาง คือ ใจ ด้วย เป็น 3)

ด้านนี้ พูดง่ายๆว่า แดนหรือด้านที่สื่อกับโลก เรียกสั้นๆคำเดียวว่า ศีล

2. ด้านจิตใจ ได้แก่ การทำงานของจิตใจ ซึ่งมีองค์ประกอบและคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องมากมาย เริ่มแต่ต้องมีเจตนา หรือ เจตจำนง ความจงใจ ตั้งใจ มีแรงจูงใจอย่างใดอย่างหนึ่ง มีความดี-ความชั่ว ความสามารถหรือความอ่อนด้อย พร้อมทั้งความรู้สึกสุข-ทุกข์ สบาย-ไม่สบาย หรือเฉยๆ เพลินๆและปฏิกิริยาต่อจากสุข-ทุกข์นั้น เช่น ชอบใจ หรือไม่ชอบใจ อยากจะได้ อยากจะเอา หรืออยากจะหนี หรืออยากจะทำลาย ที่ควบคุมชักนำการรับรู้และพฤติกรรมทั้งหลาย เช่น ว่า จะให้ดูอะไร หรือไม่ดูอะไร จะพูดอะไร จะพูดกับใครว่าอย่างไรด้านนี้ เรียกสั้นๆว่า จิต หรือแดนของ สมาธิ

3. ด้านปัญญา ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ ตั้งแต่สุตะ คือ ความรู้ที่ได้เรียนสดับ หรือ ข่าวสารข้อมูล จนถึงการพัฒนาทุกอยาง ในจินตาวิสัย และญาณวิสัย เช่น แนวคิด ทิฏฐิ ความเชื่อถือ ทัศนคติ ค่านิยม ความยึดถือตามความรู้ ความคิด ความเข้าใจ แง่มุมในการมอง ในการพิจารณา อย่างใดอย่างหนึ่งด้านนี้เรียกสั้นๆตรงๆว่า ปัญญา

องค์ประกอบของชีวิต 3 ด้านนี้ ทำงานไปด้วยกัน ประสานกันไป และเป็นเหตุปัจจัยแก่กัน ไม่แยกต่างหากจากกัน


ที่เอามาอวดนี่น่ะ มันเป็นแค่การก็อบปี้บทความ เขาไม่เรียกความเห็นในการสนทนาธรรม
มันเป็นเหมือนการทำรายงานของเด็กนักเรียน เพื่อไม่ต้องเรียนซ้ำชั้น

เคยบอกหลายครั้งแล้วว่า กรัชกายไม่มีสมาธิในเรื่องการแสดงความเห็น
ขาดสติยามเมื่อความคิดเห็นนอกลู่นอกทาง

กรัชกายมั่วตั้งแต่หัวข้อกระทู้แล้ว เอาคลิปของคนอื่นมาโพส
แต่ดันถามว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร
และอีกนั้นก็คือ ให้คนอื่นแสดงความเห็น พอเขาแสดงความเห็น
ก็ไปว่าเขา หาว่าเป็นธรรมะในจินตนาการ การพูดแบบนี้แสดงให้รู้เลยว่า
กรัชกายไม่เข้าใจคำว่า...."แสดงความเห็น"

การแสดงความเห็น คือการคิดการจินตนาการต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ในความ"น่าจะเป็น"หรือ"ความไม่น่าจะเป็น" สรุปโดยรวมมันต้องมาจากความคิดของตนเอง
ไม่ใช่ไปก็อปปี้เขามา แล้วบอกว่าเป็นการแสดงความเห็นของตนเอง

และอยากจะบอกกรัชกาย สิ่งที่กรัชกายเอามาโพสมันไม่ใช่ความเห็นของกรัชกายเองแล้ว
ดูลงไปในจุดประสงค์ของบทความนั้น ผู้แต่งก็ไม่ใช่เป็นการแสดงความเห็น
แต่มันเป็นการบังคับให้ผู้อื่นเห็นตาม
เพราะว่า บทความนั้นมันเป็นแบบเรียนของผู้ที่ศึกษาเรื่องของศาสนา ถ้าใครไม่เห็นตามนี้......
สอบตก :b32:


เพื่อไม่ให้กรัชกายเสียกำลังใจ พี่โฮจะหยวนๆให้บทความที่ก็อปปี้มาโพส
เป็นเรื่องธรรมะก็ได้ แต่มันเป็นธรรมะจำพวก...."ใบไม้นอกกำมือ"
อย่าเสียใจน่ะกรัชกาย :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร