วันเวลาปัจจุบัน 31 ก.ค. 2025, 04:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 05:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณโฮฮับเขียน
อ้างคำพูด:
เรื่องการปฏิบัติเพื่อไปสวรรค์ ไม่อยากอธิบายมาก แค่อยากบอกว่า
พระพุทธองค์ไม่ได้สอนการปฏิบัติเพื่อไปสวรรค์ มันเป็นเรื่องของศาสนาหรือลัทธิอื่น
ใครต้องการผมก็ไม่ได้ว่า เพียงแค่อย่ามาบอกว่า เป็นแนวทางของพุทธศาสนาครับ


เราขอความรู้ตรงประโยคนี้ก่อนค่ะ เราอ่านประโยคนี้ของคุณโฮฮับ เรามึนเลย
ใครช่วยเป็นแสงเทียน ให้เราได้เห็นทางหน่อยสิ

พระพุทธองค์สอนการปฏิบัติเพื่อปล่อยวางทุกสิ่ง
การปล่อยวางทุกสิ่งทั้งกุศลและอกุศล เป็นการดับเหตุแห่งทุกข์
เมื่อเหตุทุกข์ดับ ทุกข์ก็ไม่เกิด

ทุกข์นั้นก็คือ....วัฏฏะสงสารการเวียนว่ายตายเกิด
การปฏิบัติเพื่อไปสวรรค์มันก็ยังเป็นเหตุแห่งทุกข์
การเป็นเทวดาหรือนางฟ้า มันไม่ใช่การพ้นทุกข์ มันยังอยู่ในวัฏฏะจักรแห่งการเวียนว่าย


สวรรค์หรือนรกก็เปรียบเหมือน สังขารที่มีอวิชา มันรอวันที่จะจุติ
เพื่อมาปฏิสนธิ์เป็นสัตว์โลกเพื่อที่จะ เกิด แก่ เจ็บ ตายอีก

bbby เขียน:
แต่เราถามคุณโฮฮับก่อน คุณโฮฮับปฎิบัติธรรมเพื่ออะไรค่ะ
แล้วจุดประสงค์สุดท้ายในขณะที่จิตจะดับ คุณโฮฮับต้องการจะไปที่ไหนค่ะ
ข้อสุดท้ายค่ะ ที่สอนให้คนปฎิบัติธรรม ทรงอารมณ์ให้เป็นญาณนั้น เพื่ออะไรค่ะ
เพราะตอนนี้ เราสนใจเรื่องการปฎิบัติ เรื่องนี้อยู่น่ะค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


คุณเต้ครับคุณอย่าพึ่งไปพูดถึงการปฏิบัติเลยครับ
ก่อนอื่นคุณต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ....

คุณมีเหตุผลอะไรที่มานับถือศาสนาพุทธ คำสอนสอนของพระพุทธเจ้า
สามารถช่วยในสิ่งที่คุณต้องการได้หรือไม่

ถ้าคุณบอกว่า หวังเพียงว่า จะได้ไปสวรรค์ แบบนี้คุณกำลังเข้าใจผิด
พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เราไปสวรรค์

อยากบอกให้สั้นๆว่า ยามใดที่คุณเต้เริ่มรู้สึกว่า
การที่ต้องเกิดเป็นคนมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย และคิดไว้อีกอย่างว่า
เทวดานางฟ้าไม่ได้เป็นอมตะ ยังต้องมาเกิดเป็นสัตว์โลกอีก

ถ้าคุณเต้เห็นตามที่ผมบอก แล้วจึงค่อยลงมือปฏิบัติ
ถ้าคุณเต้ยังเป็นแบบนี้อยู่มันเสียเวลาเปล่าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 05:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเต้ครับ เลี่ยงได้เลี่ยง หลบได้หลบ คืออย่าไปสนทนาปราศรัยกับคนที่ใช้ชื่อโฮฮับเลยครับ เราว่างี้เขาไปงั้น เราว่างั้น เขาไปโน่น ฯลฯ ศรีธนญชัยดีๆนี่แหละครับ :b32: :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณเต้ครับ เลี่ยงได้เลี่ยง หลบได้หลบ คืออย่าไปสนทนาปราศรัยกับคนที่ใช้ชื่อโฮฮับเลยครับ เราว่างี้เขาไปงั้น เราว่างั้น เขาไปโน่น ฯลฯ ศรีธนญชัยดีๆนี่แหละครับ :b32: :b13:


ชมรม......
Dislike โฮฮับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ชมรม......
Dislike โฮฮับ :b32:


ไร้เหตุผล :b9: เข้าใจอะไรผิดเปล่าเนี่ย คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ชมรม......
Dislike โฮฮับ :b32:

คุณน้องไม่Dislikeพี่โฮฮับหรอก :b12: เพราะว่าเราเป็นเหมือนบัณทิตที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันมา ทำให้เหตุปัจจัยที่มีต่อกันเป็นไปในทางกลางๆ
เหมือนพี่น้องเหมือนกัลยามิตร คุณน้องว่าเราสองคนจะต้องเคยเป็นลุกศิษของพระพุทธเจ้าและเคยปฏิบัติธรรมมาแล้วในอดีตชาติร่วมกันในกาลก่อนแน่เลย :b4: และเราก็มาต่อยอดในชาติปัจจุบัน ส่วนคนที่ไม่ชอบพี่โฮฮับคงเป็นเพราะในอดีตชาติเค้าอิจฉาริษยาพี่โฮอับอาจจะเคยปฏิบัติธรรมด้วยกันแต่พี่โฮอับมีปัญญามากกว่าทำให้อาการคล้ายๆพระเทวทัตที่มีต่อพระพุทธเจ้า คนที่อคติกับพี่โฮฮับนั่นแหละรู้ตัวไว้ซะ คริกๆ :b32: :b32:
ปล.ใครอ่านความเห็นคุณน้องแล้วเกิดรู้สึกไม่พอใจก็แสดงว่าคุณน้องพูดถูก 5555+ :b29: :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโฮฮับเขียน

อ้างคำพูด:
พระพุทธองค์สอนการปฏิบัติเพื่อปล่อยวางทุกสิ่ง
การปล่อยวางทุกสิ่งทั้งกุศลและอกุศล เป็นการดับเหตุแห่งทุกข์
เมื่อเหตุทุกข์ดับ ทุกข์ก็ไม่เกิด



สิ่งคุณโฮฮับเขียนมา ผู้ที่จะปล่อยวางได้ทั้งหมดที่คุณเขียนมา
ผู้นั้น ท่านอยู่ในระดับพระโสดาบัน :b8: แล้วไม่ใช่เหรอค่ะ
ท่านสร้างสมบุญ-บารมีมา จนไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
ท่านปล่อยวางทั้งหมด ท่านถือว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก

แต่ทีนี้ ทำไมเราถึงนึกถึงแต่สวรรค์ คือเราคิดว่าบุญ-บารมีของเรา จะมีพอหรือไม่
ที่จะเข้าสู่นิพพานได้ เพราะเราคิดว่า การที่จะเข้าสู่นิพพานนั้น
คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เราก็เลยคิดว่า ถ้าจิตจะออกจากร่างกายนี้
เราขอแค่ให้จิตของเรา ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีๆก่อน ถ้าจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ก็ขอให้ได้มาศึกษาธรรม ได้สร้างบุญ-บารมี เพื่อสะสมไปเรื่อยๆ
แล้วอย่างนี้เรียกว่าฟุ้งซ่านเหรอ :b12:


เราขอถามคำถามเชยๆ ตรงนี้หน่อยน่ะ เท่าที่เราศึกษาพระที่อยู่ในขั้นพระโสดาบันนั้น
ท่านจะปล่อยวางทั้งหมด ไม่ช่วยผู้ใด แม้ว่าท่านจะรู้จะเห็น
ท่านปล่อยให้เป็นกรรมของผู้นั้น
แสดงว่า ท่านไม่ยึดที่พรหมวิหาร4 แล้วใช่หรือไม่ค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 13:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โสดาบัน..ไม่ได้ปล่อยวางอะไรมากหรอกครับ.....แค่มีศีลสมบูรณ์....ไร้ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย...ไม่ประมาทในชีวิตเพราะคิดว่าคนเราตายได้ทุกเวลา...แค่นี้เองครับ....ของสวยๆงามยังชอบอยู่..ยังละไม่ขาด.....โกรธก็ยังโกรธอยู่...แต่ไม่ลามเป็นพยาบาต....โสดาบันก็ประชาชนชั้นดีแค่นั้นครับ....ยังทุกข์อยู่มาก.....
คุณเต้...หวังโสดาบันก่อนเลยครับ....บุญทุกคนที่เกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา.พอสำหรับไปนิพพานได้ครับ...อย่าคิดน้อยใจ...กิเลสมันแทรกเอานะครับ..

เกิดใหม่..แม้เป็นเทวดานางฟ้า....ก็อย่างคิดว่า...เรายังจะคิดรู้สึกเหมือนตอนนี้นะครับ...

กว่าจะจำความปรารถณาเดิมได้.....ก็อาจทำกรรมใหม่...เป็นปัจจัยใหม่...ไปเกิดไหนอีกก็ไม่รู้นะครับ...
คิดถึงย่ากวนอิมเข้าใว้นะครับ..สาธุ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณเต้ครับ เลี่ยงได้เลี่ยง หลบได้หลบ คืออย่าไปสนทนาปราศรัยกับคนที่ใช้ชื่อโฮฮับเลยครับ เราว่างี้เขาไปงั้น เราว่างั้น เขาไปโน่น ฯลฯ ศรีธนญชัยดีๆนี่แหละครับ :b32: :b13:


ชมรม......
Dislike โฮฮับ :b32:

คุณน้องไม่Dislikeพี่โฮฮับหรอก :b12: เพราะว่าเราเป็นเหมือนบัณทิตที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันมา ทำให้เหตุปัจจัยที่มีต่อกันเป็นไปในทางกลางๆ
เหมือนพี่น้องเหมือนกัลยามิตร คุณน้องว่าเราสองคนจะต้องเคยเป็นลุกศิษของพระพุทธเจ้าและเคยปฏิบัติธรรมมาแล้วในอดีตชาติร่วมกันในกาลก่อนแน่เลย :b4: และเราก็มาต่อยอดในชาติปัจจุบัน ส่วนคนที่ไม่ชอบพี่โฮฮับคงเป็นเพราะในอดีตชาติเค้าอิจฉาริษยาพี่โฮอับอาจจะเคยปฏิบัติธรรมด้วยกันแต่พี่โฮอับมีปัญญามากกว่าทำให้อาการคล้ายๆพระเทวทัตที่มีต่อพระพุทธเจ้า คนที่อคติกับพี่โฮฮับนั่นแหละรู้ตัวไว้ซะ คริกๆ :b32: :b32:
ปล.ใครอ่านความเห็นคุณน้องแล้วเกิดรู้สึกไม่พอใจก็แสดงว่าคุณน้องพูดถูก 5555+ :b29: :b29:



คห.นี้พูดได้ดี ยกให้ :b1: จะเอาไปทำอะไรตามอัธยาศัยนะครับนะ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณเต้ครับ เลี่ยงได้เลี่ยง หลบได้หลบ คืออย่าไปสนทนาปราศรัยกับคนที่ใช้ชื่อโฮฮับเลยครับ เราว่างี้เขาไปงั้น เราว่างั้น เขาไปโน่น ฯลฯ ศรีธนญชัยดีๆนี่แหละครับ :b32: :b13:


ชมรม......
Dislike โฮฮับ :b32:

คุณน้องไม่Dislikeพี่โฮฮับหรอก :b12: เพราะว่าเราเป็นเหมือนบัณทิตที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันมา ทำให้เหตุปัจจัยที่มีต่อกันเป็นไปในทางกลางๆ
เหมือนพี่น้องเหมือนกัลยามิตร คุณน้องว่าเราสองคนจะต้องเคยเป็นลุกศิษของพระพุทธเจ้าและเคยปฏิบัติธรรมมาแล้วในอดีตชาติร่วมกันในกาลก่อนแน่เลย :b4: และเราก็มาต่อยอดในชาติปัจจุบัน ส่วนคนที่ไม่ชอบพี่โฮฮับคงเป็นเพราะในอดีตชาติเค้าอิจฉาริษยาพี่โฮอับอาจจะเคยปฏิบัติธรรมด้วยกันแต่พี่โฮอับมีปัญญามากกว่าทำให้อาการคล้ายๆพระเทวทัตที่มีต่อพระพุทธเจ้า คนที่อคติกับพี่โฮฮับนั่นแหละรู้ตัวไว้ซะ คริกๆ :b32: :b32:
ปล.ใครอ่านความเห็นคุณน้องแล้วเกิดรู้สึกไม่พอใจก็แสดงว่าคุณน้องพูดถูก 5555+ :b29: :b29:



คห.นี้พูดได้ดี ยกให้ :b1: จะเอาไปทำอะไรตามอัธยาศัยนะครับนะ :b13:

คุณน้องแค่อยากจะเตือนสติคนที่ชอบจ้องคนอื่นในที่มืดทำตัวเป็นอีแอบ อย่าคิดว่าคนอื่นจะไม่รุ้ :b13:
พี่กรัชกายอย่าน้อยใจไปสิ อย่างน้อยตอนแรกที่เรารู้จักกัน พี่ก้อด่าคุณน้องว่าอีบ้าและก็หัวเราะก๊ากๆๆ :b32: :b32:
แต่ทำไมคุณน้องถึงไม่เห็นรู้สึกว่าไม่ถูกชะตา คริกๆ คุณน้องชอบพี่จะตาย :b32: :b32: (ชอบกวนประสาท :b13: )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
สิ่งคุณโฮฮับเขียนมา ผู้ที่จะปล่อยวางได้ทั้งหมดที่คุณเขียนมา
ผู้นั้น ท่านอยู่ในระดับพระโสดาบัน :b8: แล้วไม่ใช่เหรอค่ะ
ท่านสร้างสมบุญ-บารมีมา จนไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
ท่านปล่อยวางทั้งหมด ท่านถือว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก

ผู้ที่ปล่อยวางทั้งหมดได้แล้วนั้น ท่านเป็นพระอรหันต์
ส่วนพระโสดาบันเป็นเพียงผ้เข้ากระแสนิพพาน
หมายความว่าจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันข้างหน้า

การจะเป็นพระโสดาบันไม่เกี่ยวกับการสร้างสมบุญบารมี มันขึ้นอยู่กับการได้พบสัตตบุรุษ
หรือมีกัลยาณมิตรที่ดีคอยแนะนำครับ

ในพุทธศาสนาที่ไม่ใช่พุทธศาสนาของพระโคดม
มีกล่าวไว้ว่า การสร้างสมบุญบารมีก็เพื่อการที่จะเป็น พระโพธิสัตว์และเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า
แต่ถ้าปฏิบัติเพื่อเป็นพระอรหันต์ จะต้องปฏิบัติตามที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงสอน
นั้นก็คือปล่อยวางกุศลและอกุศล ทั้งบุญและบาป

bbby เขียน:

แต่ทีนี้ ทำไมเราถึงนึกถึงแต่สวรรค์ คือเราคิดว่าบุญ-บารมีของเรา จะมีพอหรือไม่
ที่จะเข้าสู่นิพพานได้ เพราะเราคิดว่า การที่จะเข้าสู่นิพพานนั้น
คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เราก็เลยคิดว่า ถ้าจิตจะออกจากร่างกายนี้
เราขอแค่ให้จิตของเรา ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีๆก่อน ถ้าจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ก็ขอให้ได้มาศึกษาธรรม ได้สร้างบุญ-บารมี เพื่อสะสมไปเรื่อยๆ
แล้วอย่างนี้เรียกว่าฟุ้งซ่านเหรอ :b12:
:

ในสมัยพุทธกาล ก่อนที่พระพุทธองค์จะประกาศเป็นศาสดาแห่งศาสนาพุทธ
คนในสมัยนั้นก็นับถืออะไรที่พาไปสวรรค์แบบคุณเต้นี่แหล่ะ

จนพระพุทธองค์ทรงประกาศศาสนา และทรงสั่งสอนพระธรรม
ในสมัยนั้นไม่เหมือนสมัยนี้นะครับ ผู้ที่จะได้ชื่อว่า....เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ
หรือเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า.....
บุคคลผู้นั้นจะต้องเห็นธรรมเข้าใจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอน
เรียกว่า ผู้มีดวงตาเห็นธรรม ไม่ใช่แค่นับถือพุทธตามบัตรประชาชน


การทำบุญทำทานในทางพุทธศาสนาของพระโคดมก็มีครับ
แต่พระพุทธองค์ไม่ได้ให้ทำบุญเพื่อให้ได้ไปสวรรค์ แต่การทำบุญนั้นเป็นไปเพื่อ
โน้มน้าวจิตใจให้เกิดกุศล ซึ่งจิตที่เป็นกุศลก็คือธรรมเบื้องต้นที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปฏิบัติครับ


bbby เขียน:
เราขอถามคำถามเชยๆ ตรงนี้หน่อยน่ะ เท่าที่เราศึกษาพระที่อยู่ในขั้นพระโสดาบันนั้น
ท่านจะปล่อยวางทั้งหมด ไม่ช่วยผู้ใด แม้ว่าท่านจะรู้จะเห็น
ท่านปล่อยให้เป็นกรรมของผู้นั้น
แสดงว่า ท่านไม่ยึดที่พรหมวิหาร4 แล้วใช่หรือไม่ค่ะ


ผิดแล้วครับ พระโสดาบันเป็นเพียงผู้บรรลุธรรมขั้นแรก ตัดกิเลสได้บางตัว
ยังต้องปฏิบัติอีกครับ ผู้ที่ปล่อยวางทั้งหมดคือพระอรหันต์

การปล่อยวาง ไม่ใช่ปล่อยวางทั้งหมดแล้ว จะไม่ช่วยใครเลย
พระอรหันต์ช่วยใครได้ท่านก็ช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ท่านก็ปล่อยวาง
ท่านไม่รู้สึกดีใจหรือเสียใจ ต่อการที่ได้ช่วยหรือไม่ได้ช่วยแล้วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2013, 13:25
โพสต์: 41

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ bbby ลองเอาไปศึกษาดูนะคะ ดิฉันโง่เขลาคงแนะนำอะไรได้ไม่มากนะคะ แต่อยากให้คุณ bbby ลองพยายามลดตัวลงมาดูในสิ่งที่ดิฉันหามาให้สักเล็กน้อยจะเป็นพระคุณยิ่งนะคะ ลองดูนะคะ

หลักฐานเรื่องนรกสวรรค์จากพระไตรปิฎก
http://www.dhammajak.net/book/kam/kam10.php


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 15:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
เราขอถามคำถามเชยๆ ตรงนี้หน่อยน่ะ เท่าที่เราศึกษาพระที่อยู่ในขั้นพระโสดาบันนั้น
ท่านจะปล่อยวางทั้งหมด ไม่ช่วยผู้ใด แม้ว่าท่านจะรู้จะเห็น
ท่านปล่อยให้เป็นกรรมของผู้นั้น
แสดงว่า ท่านไม่ยึดที่พรหมวิหาร4 แล้วใช่หรือไม่ค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:


ไม่มีใครมีพรหมวิหาร4สมบูรณ์อย่างพระอริยะแล้วครับ....ยิ่งมีกิเลสน้อยลงเท่าไร...พรหมวิหารก็ละเอียดขึ้นเท่านั้น

ปุถุชน.....มีพรหมวิหาร4ไม่ครบหรอกครับ...

อริยะ..จึงช่วยคนได้ดี...ได้มาก..กว่าแน่นอนครับ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bbby เขียน:
สิ่งคุณโฮฮับเขียนมา ผู้ที่จะปล่อยวางได้ทั้งหมดที่คุณเขียนมา
ผู้นั้น ท่านอยู่ในระดับพระโสดาบัน :b8: แล้วไม่ใช่เหรอค่ะ
ท่านสร้างสมบุญ-บารมีมา จนไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
ท่านปล่อยวางทั้งหมด ท่านถือว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก

ผู้ที่ปล่อยวางทั้งหมดได้แล้วนั้น ท่านเป็นพระอรหันต์
ส่วนพระโสดาบันเป็นเพียงผ้เข้ากระแสนิพพาน
หมายความว่าจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันข้างหน้า

การจะเป็นพระโสดาบันไม่เกี่ยวกับการสร้างสมบุญบารมี มันขึ้นอยู่กับการได้พบสัตตบุรุษ
หรือมีกัลยาณมิตรที่ดีคอยแนะนำครับ

ในพุทธศาสนาที่ไม่ใช่พุทธศาสนาของพระโคดม
มีกล่าวไว้ว่า การสร้างสมบุญบารมีก็เพื่อการที่จะเป็น พระโพธิสัตว์และเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า
แต่ถ้าปฏิบัติเพื่อเป็นพระอรหันต์ จะต้องปฏิบัติตามที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงสอน
นั้นก็คือปล่อยวางกุศลและอกุศล ทั้งบุญและบาป

bbby เขียน:

แต่ทีนี้ ทำไมเราถึงนึกถึงแต่สวรรค์ คือเราคิดว่าบุญ-บารมีของเรา จะมีพอหรือไม่
ที่จะเข้าสู่นิพพานได้ เพราะเราคิดว่า การที่จะเข้าสู่นิพพานนั้น
คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เราก็เลยคิดว่า ถ้าจิตจะออกจากร่างกายนี้
เราขอแค่ให้จิตของเรา ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีๆก่อน ถ้าจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ก็ขอให้ได้มาศึกษาธรรม ได้สร้างบุญ-บารมี เพื่อสะสมไปเรื่อยๆ
แล้วอย่างนี้เรียกว่าฟุ้งซ่านเหรอ :b12:
:

ในสมัยพุทธกาล ก่อนที่พระพุทธองค์จะประกาศเป็นศาสดาแห่งศาสนาพุทธ
คนในสมัยนั้นก็นับถืออะไรที่พาไปสวรรค์แบบคุณเต้นี่แหล่ะ

จนพระพุทธองค์ทรงประกาศศาสนา และทรงสั่งสอนพระธรรม
ในสมัยนั้นไม่เหมือนสมัยนี้นะครับ ผู้ที่จะได้ชื่อว่า....เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ
หรือเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า.....
บุคคลผู้นั้นจะต้องเห็นธรรมเข้าใจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอน
เรียกว่า ผู้มีดวงตาเห็นธรรม ไม่ใช่แค่นับถือพุทธตามบัตรประชาชน


การทำบุญทำทานในทางพุทธศาสนาของพระโคดมก็มีครับ
แต่พระพุทธองค์ไม่ได้ให้ทำบุญเพื่อให้ได้ไปสวรรค์ แต่การทำบุญนั้นเป็นไปเพื่อ
โน้มน้าวจิตใจให้เกิดกุศล ซึ่งจิตที่เป็นกุศลก็คือธรรมเบื้องต้นที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปฏิบัติครับ


bbby เขียน:
เราขอถามคำถามเชยๆ ตรงนี้หน่อยน่ะ เท่าที่เราศึกษาพระที่อยู่ในขั้นพระโสดาบันนั้น
ท่านจะปล่อยวางทั้งหมด ไม่ช่วยผู้ใด แม้ว่าท่านจะรู้จะเห็น
ท่านปล่อยให้เป็นกรรมของผู้นั้น
แสดงว่า ท่านไม่ยึดที่พรหมวิหาร4 แล้วใช่หรือไม่ค่ะ


ผิดแล้วครับ พระโสดาบันเป็นเพียงผู้บรรลุธรรมขั้นแรก ตัดกิเลสได้บางตัว
ยังต้องปฏิบัติอีกครับ ผู้ที่ปล่อยวางทั้งหมดคือพระอรหันต์

การปล่อยวาง ไม่ใช่ปล่อยวางทั้งหมดแล้ว จะไม่ช่วยใครเลย
พระอรหันต์ช่วยใครได้ท่านก็ช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ท่านก็ปล่อยวาง
ท่านไม่รู้สึกดีใจหรือเสียใจ ต่อการที่ได้ช่วยหรือไม่ได้ช่วยแล้วครับ



:b1: ไม่เอาน่า สติปัญหาคนไม่เท่ากัน ตนเป็นพระอหันต์แล้วจะบอกให้คนอื่นตามมั่ง เกินกำลังเขาน่า แล้วก็อย่าคาดเดาน้ำใจพระอรหันต์ เดี๋ยวตกนรกหรอกน่า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 06:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณโฮฮับเขียน

อ้างคำพูด:
พระพุทธองค์สอนการปฏิบัติเพื่อปล่อยวางทุกสิ่ง
การปล่อยวางทุกสิ่งทั้งกุศลและอกุศล เป็นการดับเหตุแห่งทุกข์
เมื่อเหตุทุกข์ดับ ทุกข์ก็ไม่เกิด



สิ่งคุณโฮฮับเขียนมา ผู้ที่จะปล่อยวางได้ทั้งหมดที่คุณเขียนมา
ผู้นั้น ท่านอยู่ในระดับพระโสดาบัน :b8: แล้วไม่ใช่เหรอค่ะ
ท่านสร้างสมบุญ-บารมีมา จนไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
ท่านปล่อยวางทั้งหมด ท่านถือว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก

แต่ทีนี้ ทำไมเราถึงนึกถึงแต่สวรรค์ คือเราคิดว่าบุญ-บารมีของเรา จะมีพอหรือไม่
ที่จะเข้าสู่นิพพานได้ เพราะเราคิดว่า การที่จะเข้าสู่นิพพานนั้น
คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เราก็เลยคิดว่า ถ้าจิตจะออกจากร่างกายนี้
เราขอแค่ให้จิตของเรา ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีๆก่อน ถ้าจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ก็ขอให้ได้มาศึกษาธรรม ได้สร้างบุญ-บารมี เพื่อสะสมไปเรื่อยๆ
แล้วอย่างนี้เรียกว่าฟุ้งซ่านเหรอ :b12:


เราขอถามคำถามเชยๆ ตรงนี้หน่อยน่ะ เท่าที่เราศึกษาพระที่อยู่ในขั้นพระโสดาบันนั้น
ท่านจะปล่อยวางทั้งหมด ไม่ช่วยผู้ใด แม้ว่าท่านจะรู้จะเห็น
ท่านปล่อยให้เป็นกรรมของผู้นั้น
แสดงว่า ท่านไม่ยึดที่พรหมวิหาร4 แล้วใช่หรือไม่ค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:


คุณ bbby

1. คนที่จะปล่อยวางได้ถึงขนาดนั้น ภูมิธรรมเกินระดับพระโสดาบันไปไกลแล้วครับ

2. คนเราเป้าหมายไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าเป้าหมายของคุณยังไม่ใช่พระนิพพาน แต่เป็นการพัฒนาตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น สิ่งที่เป็นกุศล คุณยอมต่อสู้กับตัวเองเพื่อเป้าหมายนี้อย่างกล้าหาญ นี่ก็คือการสร้างบารมี ก็นับว่าน่ายกย่องมากแล้ว คุณอย่าเดือดร้อนใจไปเลย และขอเป็นกำลังใจให้คุณพยายามต่อไป แต่ก็อย่าเพิ่งปิดโอกาสตัวเองเมื่อรู้ว่ายังมีเป้าหมายอื่นที่ดีกว่ารออยู่ข้างหน้านะครับ

3. เคยสังเกตไหมครับว่าทำไมในพรหมวิหาร 4 จึงขึ้นต้นด้วยเมตตา และจบลงด้วยอุเบกขา

อุเบกขาที่สมบูรณ์ในความคิดของผม ต้องประกอบด้วยทั้งเมตตาและปัญญา คือมีใจอยากจะช่วย มีปัญญาประเมินสถานการณ์ว่าจะช่วยได้หรือไม่ มากน้อยแค่ไหน หากช่วยได้ก็พยายามช่วย พอช่วยเท่าที่ทำได้แล้ว หรือประเมินแล้วว่าเกินกำลังเรา จึงปล่อย ด้วยอุเบกขา แบบนี้จึงเป็นการปล่อยวางที่สวยงาม

ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดจะช่วยใครเลยแบบนั้น เริ่มมาไม่มีความคิดอยากจะช่วยเลย หรือคิดว่าเดือดร้อนตัวเอง แล้วตัดตอน ข้ามขั้นไปอุเบกขาเลย แบบนี้คงจะไม่ใช่อุเบกขาที่เป็นธรรม

ผมเห็นด้วยกับที่ท่านอื่นพูด ยิ่งคุณธรรมละเอียดอ่อนเข้า เมตตา ปัญญา ยิ่งเข้มแข็ง อุเบกขาก็จะยิ่งละเอียดอ่อนและเป็นธรรมมากขึ้นๆเท่านั้นครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 10:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไม...พระอริยเจ้า..จึงช่วยคนได้มากกว่า?

เพราะ...
อริยะเห้นจรืงว่า..อะไรเป้นเรา....ส่วนปุถุชนเห้นว่าตัวตนนี้คือเรา
อริยะจึงรู้ว่าจะช่วยอะไรจึงจะเป้นการช่วยที่แท้จริง....ส่วนปุถุชนจึงเห็นเพียงการช่วยตัวตนเท่านั่นจึงจะเรียกว่าช่วย
อริยะรู้ว่าอย่างไรจึงพบสุขแท้จริวได้ไม่เปลี่ยนแปลง...พ้นจากเวณกรรมทั้งปวง...ส่วนปุถุชนช่วยได้สูงสุดเพียงได้สุขชั่วคราว...ยังไม่พ้นแรงกรรม

อริยะ...เห็นว่าอะไรตาย..อะไรไม่ตาย....ปุถุชน...เห็นว่าเราตาย...เห็นเป็นเราที่ผลัดพราก
อริยะ...จึงอุเบกขาได้เมื่อยามที่ยังไม่อาจช่วยได้....ส่วนปุถุชนจะทุกข์...จะกังวลใจ..ในยามที่ยังไม่อาจช่วยได้

อริยะ....เห็นทุกสรรพสิ่งล้วนมาจากอวิชชาเหมือนกัน...เห็นความเท่าเทียมกันด้วยจิต.....ส่วนปุถุชน...มีพวกเรา...พวกเขา....
มีดี...มีไม่ดี...มีพอใจ...ไม่พอใจ.....ปุถุชนจึงเป้นเมตตาเพื่อตน..เมตตาเนื่องจากตน...หากไม่ใช่พวกตน....ไม่เป้นอย่างที่ตนต้องการ...ก็รังเกียจ...เสียแล้ว

เป็นต้น...

ส่วนมหาโพธิสัตว์....เป็นผู้เห้นจริงแล้วว่า...อะไรเป็นเรา...อะไรไม่ใช่เรา....เห้นจริงแล้วว่าทุกสิ่งมาจากอวิชชาเหมือนกัน...
วียนว่ายตายเกิด..มีทุกข์หาที่สิ้นสุดไม่ได้เลยหากไม่เห็นธรรม....จึงปราถณาช่วยสัตว์โลกคือจิตวิญญาณเห็นธรรมให้ออกจากกองทุกข์นี้ได้...และ..ทำอย่างไรจึงจะช่วยได้มาก....

ท่านจึงวนเวียนลงมาบำเพ็ญบารมี...สะสมความรู้...ความดี...สั่งสมบุญคุณความดีกับสัตว์...สละชีพเพื่อสัตว์(ไม่งั้นเวลามาสอนมันจะไม่เชื่ออย่างสนิทใจ)

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์..ต่างก็ผ่านการสร้างบารมีอย่างนี้...เหมือนกัน...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร