วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 03:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:


จิตและเจตสิกเป็นสังขารธรรม ทั้งจิตและเจตสิกเป็นอนิจจลักษณะ นั้นก็คือ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี่เป็นหนึ่งในลักษณะของสังขาร

ส่วนลักษณะที่สองคือ ทุกขลักษณะ เพราะสังขารมันทนอยู่ไม่ได้เมื่อเกิดแล้วต้องดับ

ลักษณะที่สามคือ อนัตตา สังขารมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เราไม่สามารถไปบังคับบัญชามันได้




การ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ได้ยินพระเทศน์ ได้ยินคนพูดกันมานานแระนะ ทีนี้อยากจะถามพระถามคน ถามโฮฮับด้วย (นำมาพูดเหมือนกัน) ที่พูดๆกันนั่นน่ะ เคยเห็น การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของสังขารเหล่านั้นมั้ย เคยเห็นมั้ย เห็นลักษณะทั้งสามนั่นหรือยัง นีก็พูดให้พิจารณาเช่นกัน ที่พูดน่ะจำมาจากไหน นี่ข้อที่พึงจารณา จำมาจากไหนที่พูดนั่นน่ะ :b10: :b1:

รู้ไหม สังขาร หมายถึงอะไร มีกี่อย่าง อะไรบ้าง ?

ถ้าโฮฮัยตอบคำถามเหล่านี้ได้ กรัชกายจะไม่รบกวนอีก :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ไม่ทราบว่า คุณวไลพรและกรัชกาย
พอจะเข้าใจ กับประโยคที่ผมเอามาโพสนี่มั้ย.......
"พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ "

ถ้าเข้าใจ ก็จะเข้าใจว่า ปรินิพาน เป็นอย่างไร

สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ คืออะไร อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ คืออะไร :b13:





คุณเป็นคนนำมาโพส คุณย่อมคาดเดาเอาเองว่า น่าจะตรงกับที่คุณเข้าใจ

เหมือนที่วลัยพรนำมาโพส ก็เช่นเดียวกัน

ทั้งหมด เป็นเพียงการสมมุติฐานเท่านั้นเอง


ไม่ว่าใครจะแสดงข้อคิดเห็นอย่างไร ยินดีหมด
เพราะได้เห็นมุมองได้หลากหลาย

การสนทนา เป็นเพียงเราคิดว่ารู้ เขารู้คิดว่า
ต่างคน ต่างนำสิ่งที่คิดว่ารู้ มาแบ่งปันกัน

แต่เมื่อใด นำความมีตัวตน ของตน ลงไปในการอ่าน

เมื่อนั้น การแสดงข้อคิดเห็นตอบกลับมา
จะมีแต่คำกล่าวประเภท ฉันถูก แกผิด

เมื่อมีคำกล่าวประเภทนี้ขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา คือ การเพ่งโทษต่อผู้อื่น
เพราะทำอย่างนี้ จึงทำให้เป็นแบบนี้

เช่น เพราะการกระทำแบบนี้ จึงทำให้พระสัทธรรมเสื่อมหายไป
หรือ การกระทำแบบนี้ ทำให้กลายเป็น สัทธรรมปฏิรูป

นี่แหละเหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่
จึงมักชอบการแสดงออกแบบนี้เนืองๆ


แท้จริงแล้ว การกล่าวโทษนอกตัว ล้วนเกิดจากมิจฉาทิฏฐิ
คือ การนำความมีตัวตน เข้าไปตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้น

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน
เมื่อไม่เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นหรือการกระทำของผู้อื่น
ควรนำสิ่งที่ตนคิดว่ารู้ มาแสดงกับอีกฝ่าย

ไม่ใช่คอยเอาแต่คอยกล่าว ตำหนิติติงข้อแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น
แก้ให้ถูกจุด ต้องแก้ที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปกล่าวโทษนอกตัว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่สุดแห่งทุกข์

ฝ่ายเหตุ


[๓๓๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี

ก็สมัยนั้น เมื่อภิกษุผู้เถระหลายรูป กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต นั่งประชุมกันอยู่ที่โรงกลม
ได้เกิดการสนทนากันขึ้น ในระหว่างว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ในปัญหาของเมตเตยยมาณพ ใน
ปรายนสูตรว่า

ผู้ใดทราบส่วนสุดทั้งสองด้วยปัญญาแล้ว ไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง
เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นมหาบุรุษ ผู้นั้นก้าวล่วงเครื่องร้อยรัดในโลกนี้ได้แล้ว ดังนี้ ฯ

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ส่วนสุดที่ ๑ เป็นไฉนหนอ ส่วนสุดที่ ๒ เป็นไฉน
อะไรเป็นส่วนท่ามกลาง อะไรเป็นเครื่องร้อยรัด ฯ

เมื่อสนทนากันอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้กล่าวกะภิกษุผู้เถระทั้งหลายว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
ผัสสะเป็นส่วนสุดที่ ๑
เหตุเกิดขึ้นแห่งผัสสะเป็นส่วนสุดที่ ๒
ความดับแห่งผัสสะเป็นส่วนท่ามกลาง

ตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด เพราะว่า ตัณหาย่อมร้อยรัดผัสสะ

และเหตุเกิดขึ้นแห่งผัสสะนั้น เพราะเป็นที่เกิดขึ้นแห่งภพนั้นๆ

ด้วยเหตุเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าย่อมรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ย่อมกำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
ย่อมเป็นผู้ทำ ที่สุดแห่งทุกข์ได้ ในปัจจุบันเทียว ฯ

เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กล่าวกะภิกษุผู้เถระทั้งหลายว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
อดีตเป็นส่วนสุดที่ ๑
อนาคตเป็นส่วนสุดที่ ๒
ปัจจุบัน เป็นส่วนท่ามกลาง

ตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด เพราะว่าตัณหาย่อมร้อยรัดอดีต อนาคต และปัจจุบันนั้นไว้

เพราะเป็นที่เกิดขึ้นแห่งภพนั้นๆ ด้วยเหตุเท่านี้แล

ภิกษุชื่อว่าย่อมรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ย่อมกำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
ย่อมเป็นผู้ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ในปัจจุบันเทียว ฯ

เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กล่าวกะภิกษุผู้เถระทั้งหลายว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
สุขเวทนาเป็นส่วนสุดที่ ๑
ทุกขเวทนาเป็นส่วนสุดที่ ๒
อทุกขมสุขเวทนาเป็นส่วนท่ามกลาง

ตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด เพราะว่าตัณหาย่อมร้อยรัดสุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนานั้นไว้

เพราะเป็นที่เกิดขึ้นแห่งภพนั้นๆ

ด้วยเหตุเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าย่อมรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ย่อมกำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
ย่อมเป็นผู้ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในปัจจุบันเทียว ฯ

เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กล่าวกะภิกษุผู้เถระทั้งหลายว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
นามเป็นส่วนสุดที่ ๑
รูปเป็นส่วนสุดที่ ๒
วิญญาณเป็นส่วนท่ามกลาง

ตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด เพราะว่าตัณหาย่อมร้อยรัด นาม รูป และวิญญาณนั้นไว้
เพราะเป็นที่เกิดขึ้นแห่งภพนั้นๆ ด้วยเหตุเท่านี้แล

ภิกษุชื่อว่าย่อมรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
ย่อมเป็นผู้ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในปัจจุบันเทียว ฯ

เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กล่าวกะภิกษุผู้เถระทั้งหลายว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
อายตนะภายใน ๖
เป็นส่วนสุดที่ ๑
อายตนะภายนอก ๖ เป็นส่วนสุดที่ ๒
วิญญาณเป็นส่วนท่ามกลาง

ตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด เพราะว่าตัณหาย่อมร้อยรัด
อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ และวิญญาณนั้นไว้
เพราะเป็นที่เกิดขึ้นแห่งภพนั้นๆ

ด้วยเหตุเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าย่อมรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
ย่อมเป็นผู้ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในปัจจุบันเทียว ฯ

เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กล่าวกะภิกษุผู้เถระทั้งหลายว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
สักกายะเป็นส่วนสุดที่ ๑
เหตุเกิดสักกายะเป็นส่วนสุดที่ ๒
ความดับสักกายะเป็นส่วนท่ามกลาง

ตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด เพราะว่าตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัดสักกายะ
เหตุเกิดสักกายะ และความดับสักกายะนั้นไว้
เพราะเป็นที่เกิดขึ้นแห่งภพนั้นๆ

ด้วยเหตุเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าย่อมรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
ย่อมเป็นผู้ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในปัจจุบันเทียว ฯ

เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กล่าวกะภิกษุผู้เถระทั้งหลายว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย พวกเราทั้งปวงเทียวได้พยากรณ์ตามปฏิภาณของตนๆ
มาเถิด เราทั้งหลายจักพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

แล้วจักกราบทูล เนื้อความนั้นให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคจักทรงพยากรณ์แก่พวกเรา
โดยประการใด เราทั้งหลายจักทรงจำข้อที่ทรงพยากรณ์นั้นไว้ โดยประการนั้น

ภิกษุผู้เถระทั้งหลาย รับคำของภิกษุนั้นแล้ว ครั้งนั้น ภิกษุผู้เถระทั้งหลาย
ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้วได้กราบทูล การที่สนทนาปราศรัย ทั้งหมดนั้น แด่พระผู้มีพระภาค แล้วทูลถามว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำของใครหนอเป็นสุภาษิต พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำของเธอทั้งปวง เป็นสุภาษิตโดยปริยาย
อนึ่ง เราหมายเอาข้อความที่กล่าวไว้ใน ปัญหาของเมตเตยยมาณพ ในปรายนสูตรว่า

ผู้ใดทราบส่วนสุดทั้ง ๒ ด้วยปัญญา แล้วไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง
เรากล่าวผู้นั้นว่า เป็นมหาบุรุษ ผู้นั้นก้าวล่วงเครื่องร้อยรัดในโลกนี้ได้แล้ว ดังนี้ ฯ

เธอทั้งหลาย จงฟังข้อความนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ผัสสะเป็นส่วนสุดที่ ๑
เหตุเกิดผัสสะเป็นส่วนสุดที่ ๒
ความดับผัสสะเป็นส่วนท่ามกลาง
ตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด เพราะว่าตัณหาย่อมร้อยรัดผัสสะ

เหตุเกิดผัสสะ และความดับผัสสะนั้นไว้
เพราะเป็นที่เกิดขึ้นแห่งภพนั้นๆ

ด้วยเหตุเท่านี้แล ภิกษุจึงชื่อว่าย่อมรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
ย่อมเป็นผู้ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในปัจจุบันเทียว ฯ


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 368&Z=9442

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่สุดแห่งทุกข์

ผล

พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงชักชวนภิกษุทั้งหลาย
ด้วยธัมมิกถาอันเนื่องเฉพาะด้วยนิพพาน,

ได้ทรงเห็นว่าภิกษุทั้งหลายสนใจฟังอย่างยิ่ง
จึงได้ตรัส พระพุทธอุทานนี้ขึ้น ในเวลานั้น ว่า :-

นิสสิตัสสะ จะลิตัง
ความหวั่นไหว ย่อมมีแก่บุคคล ผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยแล้ว
(การสร้างเหตุ/มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม)

อะนิสสิตัสสะ จะลิตัง นัตถิ
ความหวั่นไหว ย่อมไม่มีแก่บุคคล ผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว
(การไม่สร้างเหตุ)

จะลิเต อะสะติ ปัสสัทธิ
เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ปัสสัทธิ ย่อมมี
(มีเหตุ ย่อมมีผล/นิวรณ์ ๕ เหตุจาก มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม
ที่เป็นเหตุปัจจัยอยู่ เป็นเครื่องกั้น ไม่ให้จิตตั้งมั่น เมื่อไม่มีนิวรณ์ จิตย่อมตั้งมั่น)

ปัสสัทธิยา สะติ นะติ นะ โหติ
เมื่อปัสสัทธิมี ความน้อมไป ย่อมไม่มี
(เมื่อรู้ชัดอยู่ภายในกายและจิต การสร้างเหตุออกไป ย่อมไม่มี)

นะติยา อะสะติ อาคะติคะติ นะ โหติ
เมื่อความน้อมไปไม่มี การมาและการไปย่อมไม่มี
(ไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีผล)

อาคะติคะติยา อะสะติ จุตูปะปาโต นะ โหติ
เมื่อการมาและการไปไม่มี การเคลื่อน และการเกิดขึ้น ย่อมไม่มี
(เมื่อไม่มีเหตุ ไม่มีผล /การเกิดของภพชาติใหม่ ณ ปัจจุบัน ขณะ ย่อมไม่มี)

จุตูปะปาเต อะสะติ เนวิธะ นะ หุรัง นะ อุภะยะมันตะเร
เมื่อการเคลื่อนและการเกิดขึ้นไม่มี อะไรๆ ก็ไม่มีในโลกนี้
ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง
(ความดับภพ ได้แก่ นิพพาน)

เอเสวันโต ทุกขัสสะ
นั่น แหละ คือ ที่สุดแห่งทุกข์ละ
ขุ. อุ. ๒๕/๒๐๘/๑๖๑

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ไม่ทราบว่า คุณวไลพรและกรัชกาย
พอจะเข้าใจ กับประโยคที่ผมเอามาโพสนี่มั้ย.......
"พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ "

ถ้าเข้าใจ ก็จะเข้าใจว่า ปรินิพาน เป็นอย่างไร

สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ คืออะไร อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ คืออะไร :b13:





คุณเป็นคนนำมาโพส คุณย่อมคาดเดาเอาเองว่า น่าจะตรงกับที่คุณเข้าใจ

เหมือนที่วลัยพรนำมาโพส ก็เช่นเดียวกัน

ทั้งหมด เป็นเพียงการสมมุติฐานเท่านั้นเอง


ไม่ว่าใครจะแสดงข้อคิดเห็นอย่างไร ยินดีหมด
เพราะได้เห็นมุมองได้หลากหลาย

การสนทนา เป็นเพียงเราคิดว่ารู้ เขารู้คิดว่า
ต่างคน ต่างนำสิ่งที่คิดว่ารู้ มาแบ่งปันกัน

แต่เมื่อใด นำความมีตัวตน ของตน ลงไปในการอ่าน

เมื่อนั้น การแสดงข้อคิดเห็นตอบกลับมา
จะมีแต่คำกล่าวประเภท ฉันถูก แกผิด

เมื่อมีคำกล่าวประเภทนี้ขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา คือ การเพ่งโทษต่อผู้อื่น
เพราะทำอย่างนี้ จึงทำให้เป็นแบบนี้

เช่น เพราะการกระทำแบบนี้ จึงทำให้พระสัทธรรมเสื่อมหายไป
หรือ การกระทำแบบนี้ ทำให้กลายเป็น สัทธรรมปฏิรูป

นี่แหละเหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่
จึงมักชอบการแสดงออกแบบนี้เนืองๆ


แท้จริงแล้ว การกล่าวโทษนอกตัว ล้วนเกิดจากมิจฉาทิฏฐิ
คือ การนำความมีตัวตน เข้าไปตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้น

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน
เมื่อไม่เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นหรือการกระทำของผู้อื่น
ควรนำสิ่งที่ตนคิดว่ารู้ มาแสดงกับอีกฝ่าย

ไม่ใช่คอยเอาแต่คอยกล่าว ตำหนิติติงข้อแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น
แก้ให้ถูกจุด ต้องแก้ที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปกล่าวโทษนอกตัว

ว่าแล้วไง แสดงความเห็นกันอยู่ดีๆ
ไง๋!แปลสภาพ เป็นอาการไม่พอใจไปได้
ผมถามเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็น
ถ้าไม่พอใจก็ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าไม่ต้องตอบก็ได้ครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ไม่ทราบว่า คุณวไลพรและกรัชกาย
พอจะเข้าใจ กับประโยคที่ผมเอามาโพสนี่มั้ย.......
"พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ "

ถ้าเข้าใจ ก็จะเข้าใจว่า ปรินิพาน เป็นอย่างไร

สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ คืออะไร อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ คืออะไร





คำตอบที่ถามมา มีแค่นี้

คุณเป็นคนนำมาโพส คุณย่อมคาดเดาเอาเองว่า น่าจะตรงกับที่คุณเข้าใจ

เหมือนที่วลัยพรนำมาโพส ก็เช่นเดียวกัน

ทั้งหมด เป็นเพียงการสมมุติฐานเท่านั้นเอง





ส่วนที่เขียนต่อจากนั้น เพียงบอกถึงเหตุปัจจัยที่มีอยู่


ไม่ว่าใครจะแสดงข้อคิดเห็นอย่างไร ยินดีหมด
เพราะได้เห็นมุมองได้หลากหลาย

การสนทนา เป็นเพียงเราคิดว่ารู้ เขารู้คิดว่า
ต่างคน ต่างนำสิ่งที่คิดว่ารู้ มาแบ่งปันกัน

แต่เมื่อใด นำความมีตัวตน ของตน ลงไปในการอ่าน

เมื่อนั้น การแสดงข้อคิดเห็นตอบกลับมา
จะมีแต่คำกล่าวประเภท ฉันถูก แกผิด

เมื่อมีคำกล่าวประเภทนี้ขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา คือ การเพ่งโทษต่อผู้อื่น
เพราะทำอย่างนี้ จึงทำให้เป็นแบบนี้

เช่น เพราะการกระทำแบบนี้ จึงทำให้พระสัทธรรมเสื่อมหายไป
หรือ การกระทำแบบนี้ ทำให้กลายเป็น สัทธรรมปฏิรูป

นี่แหละเหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่
จึงมักชอบการแสดงออกแบบนี้เนืองๆ


แท้จริงแล้ว การกล่าวโทษนอกตัว ล้วนเกิดจากมิจฉาทิฏฐิ
คือ การนำความมีตัวตน เข้าไปตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้น

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน
เมื่อไม่เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นหรือการกระทำของผู้อื่น
ควรนำสิ่งที่ตนคิดว่ารู้ มาแสดงกับอีกฝ่าย

ไม่ใช่คอยเอาแต่คอยกล่าว ตำหนิติติงข้อแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น
แก้ให้ถูกจุด ต้องแก้ที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปกล่าวโทษนอกตัว





ส่วนอันนี้ คุณคิดเอง เออเองคนเดียว


โฮฮับ เขียน:
ว่าแล้วไง แสดงความเห็นกันอยู่ดีๆ
ไง๋!แปลสภาพ เป็นอาการไม่พอใจไปได้
ผมถามเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็น
ถ้าไม่พอใจก็ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าไม่ต้องตอบก็ได้ครับ :b13:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 02 ต.ค. 2013, 10:51, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 10:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
walaiporn เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ไม่ทราบว่า คุณวไลพรและกรัชกาย
พอจะเข้าใจ กับประโยคที่ผมเอามาโพสนี่มั้ย.......
"พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ "

ถ้าเข้าใจ ก็จะเข้าใจว่า ปรินิพาน เป็นอย่างไร

สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ คืออะไร อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ คืออะไร :b13:





คุณเป็นคนนำมาโพส คุณย่อมคาดเดาเอาเองว่า น่าจะตรงกับที่คุณเข้าใจ

เหมือนที่วลัยพรนำมาโพส ก็เช่นเดียวกัน

ทั้งหมด เป็นเพียงการสมมุติฐานเท่านั้นเอง


ไม่ว่าใครจะแสดงข้อคิดเห็นอย่างไร ยินดีหมด
เพราะได้เห็นมุมองได้หลากหลาย

การสนทนา เป็นเพียงเราคิดว่ารู้ เขารู้คิดว่า
ต่างคน ต่างนำสิ่งที่คิดว่ารู้ มาแบ่งปันกัน

แต่เมื่อใด นำความมีตัวตน ของตน ลงไปในการอ่าน

เมื่อนั้น การแสดงข้อคิดเห็นตอบกลับมา
จะมีแต่คำกล่าวประเภท ฉันถูก แกผิด

เมื่อมีคำกล่าวประเภทนี้ขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา คือ การเพ่งโทษต่อผู้อื่น
เพราะทำอย่างนี้ จึงทำให้เป็นแบบนี้

เช่น เพราะการกระทำแบบนี้ จึงทำให้พระสัทธรรมเสื่อมหายไป
หรือ การกระทำแบบนี้ ทำให้กลายเป็น สัทธรรมปฏิรูป

นี่แหละเหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่
จึงมักชอบการแสดงออกแบบนี้เนืองๆ


แท้จริงแล้ว การกล่าวโทษนอกตัว ล้วนเกิดจากมิจฉาทิฏฐิ
คือ การนำความมีตัวตน เข้าไปตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้น

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน
เมื่อไม่เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นหรือการกระทำของผู้อื่น
ควรนำสิ่งที่ตนคิดว่ารู้ มาแสดงกับอีกฝ่าย

ไม่ใช่คอยเอาแต่คอยกล่าว ตำหนิติติงข้อแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น
แก้ให้ถูกจุด ต้องแก้ที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปกล่าวโทษนอกตัว

ว่าแล้วไง แสดงความเห็นกันอยู่ดีๆ
ไง๋!แปลสภาพ เป็นอาการไม่พอใจไปได้
ผมถามเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็น
ถ้าไม่พอใจก็ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าไม่ต้องตอบก็ได้ครับ :b13:

ป้าวลัยพรแกเป็นแบบนี้แหล่ะคิดว่าคนอื่นเขาตำหนิตนเอง แล้วแกก็แสดงธรรมสอนเราสะเลยเราดูเป็นคนผิดแกเองผิดแก่ก็บอกว่าเป็นธรรมชาติเหมือนตอนที่แก่กินเจมีคนไปว่ากินเจแก่ก็เถียง ตอนนี้เป็นไงเงียบเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแสดงอดีตชาติของพระกุณฑธานะ จบลงแล้ว
จึงตรัสกับพระกุณฑธานะนั้นว่า

“ภิกษุ เธออาศัยกรรมลามกนี้ จึงมีเรื่องอันแปลกเช่นนี้แล้ว
บัดนี้ การที่เธอถือทิฏฐิอันลามกเช่นนั้นอีก ไม่สมควร เธออย่ากล่าวอะไรๆ กับภิกษุทั้งหลายอีก

จงเป็นผู้ไม่มีเสียง เช่นกังสดาลอันเขาตัดขอบปากแล้ว
เมื่อทำอย่างนั้น จักเป็นผู้ชื่อว่าบรรลุพระนิพพาน” ดังนี้แล

เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า…
“เธออย่าได้กล่าวคำหยาบกะใครๆ ชนเหล่าอื่นถูกเธอว่าแล้ว จะพึงตอบเธอ
เพราะการกล่าวแข่งขันกันย่อมทำให้เกิดทุกข์ อาชญาตอบพึงถูกต้องเธอ

ผิเธออาจยังตนไม่ให้หวั่นไหวได้ ดังกังสดาลที่ถูกจำกัดแล้วไซร้
เธอนั่นย่อมบรรลุพระนิพพาน การกล่าวแข่งขันโต้ตอบกัน ย่อมไม่มีแก่เธอ.”

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ว่าแล้วไง แสดงความเห็นกันอยู่ดีๆ
ไง๋!แปลสภาพ เป็นอาการไม่พอใจไปได้
ผมถามเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็น
ถ้าไม่พอใจก็ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าไม่ต้องตอบก็ได้ครับ :b13:




อ่อ .... ขออภัยด้วยนะ กับตัวหนังสือที่เขียนลงไป

ที่ทำให้คุณเข้าใจว่า วลัยพรจะต้องมีความรู้สึกดังที่คุณกล่าวมา :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
การ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ได้ยินพระเทศน์ ได้ยินคนพูดกันมานานแระนะ ทีนี้อยากจะถามพระถามคน ถามโฮฮับด้วย (นำมาพูดเหมือนกัน) ที่พูดๆกันนั่นน่ะ เคยเห็น การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของสังขารเหล่านั้นมั้ย เคยเห็นมั้ย เห็นลักษณะทั้งสามนั่นหรือยัง นีก็พูดให้พิจารณาเช่นกัน ที่พูดน่ะจำมาจากไหน นี่ข้อที่พึงจารณา จำมาจากไหนที่พูดนั่นน่ะ :b10: :b1: :


ถ้าไม่เคยเห็นแล้ว พี่โฮจะกล้าแสดงความเห็นแย้งคำสอนของพระเปรียญหรือ

ถ้าไม่เคยเห็นพี่โฮจะกล้าแย้งความเห็นของสมาชิกในนี้แทบจะทุกกระทู้หรือ

ถ้าไม่เคยเห็นพี่โฮจะรู้หรือว่า สุตตมยปัญญา ไม่ใช่การฟังให้เกิดปัญญา
แต่มันเป็นการเอาปัญญาการเป็นหลักในการฟัง
จะบอกให้ว่าถึงพี่โฮจำพระไตรปิฎกได้ไม่หมด แต่พี่โฮอ่านพระไตรปิฎกได้และเข้าใจดี


กรัชกาย เขียน:
รู้ไหม สังขาร หมายถึงอะไร มีกี่อย่าง อะไรบ้าง ?

ถ้าโฮฮัยตอบคำถามเหล่านี้ได้ กรัชกายจะไม่รบกวนอีก :b13:

พี่โฮตอบได้ แต่จะทำให้กรัชกายเข้าใจนั้น เป็นหน้าที่ๆกรัชกายจะต้องทำความเข้าใจเอง
ดังนั้นตอบไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะได้ตอบไปเป็นร้อยๆครั้งแล้ว ที่พูดไม่ใช่ไม่พอใจน่ะ
พี่โฮเข้าใจดีถึงเหตุผลที่ทำไม พูดสารพัดที่จะอธิบายธรรมไป มันก็ยังไม่มีคนเข้าใจ
มิหน่ำซ้ำยังเสียดสีประชดประชันพี่โฮกลับมาอีก

ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพราะ ยังไม่เห็นสภาวะธรรมที่เป็นสภาวะธรรมจริงๆ
การได้เห็นสภาวะธรรมจริงๆ มันถึงจะเข้าใจและอธิบายเหตุของสภาพธรรมได้
และก็อีกนั้นแหล่ะ บอกวิธีการเข้าถึงสภาวะไปแล้ว มันก็ยังเถียงยังรั้น


แนะนำอีกที่ อย่าโลภอย่าเรียนลัด
การเข้าถึงธรรมที่เป็นจริง ต้องเจริญสติ ตามรู้อารมณ์
เพียงแค่โกรธก็รู้ว่าโกรธ หลงก็รู้ว่าหลง เกิดราคะก็รู้ว่าเกิดราคะ
รู้เฉยๆแค่นี่ แล้วสิ่งที่พี่โฮพูดมันก็จะเกิดให้เห็น


ปล.การเจริญสติ ไม่ใช่การใช้สติน่ะ แต่เป็นการทำให้เกิดสติ ที่เป็นสภาวะธรรมแท้ๆ
ส่วนการปฏิบัติคือการตามรู้อารมณ์เฉยๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 11:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


[๒๙๑] พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า

ดูกรภิกษุ คำว่า จอมปลวกนั่นเป็นชื่อของกายนี้ อันประกอบด้วยมหาภูตรูปทั้ง ๔
ซึ่งมีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เจริญด้วยข้าวสุกและขนมกุมมาส
ไม่เที่ยง ต้องอบรม ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา.

ปัญหาข้อว่า อย่างไรชื่อว่าพ่นควันในกลางคืนนั้น
ดูกรภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลปรารภการงานในกลางวัน
แล้วตรึกถึง ตรองถึงในกลางคืน นี้ชื่อว่าพ่นควันในกลางคืน.

ปัญหาข้อว่า อย่างไรชื่อว่าลุกโพลงในกลางวันนั้น
ดูกรภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลตรึกถึงตรองถึง (การงาน) ในกลางคืน
แล้วย่อมประกอบการงานในกลางวัน ด้วยกาย ด้วยวาจา นี้ชื่อว่าลุกโพลงในกลางวัน.


ดูกรภิกษุ คำว่า พราหมณ์นั้น เป็นชื่อของพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.

คำว่า สุเมธะนั้น เป็นชื่อของเสขภิกษุ.

คำว่า ศาตรานั้นเป็นชื่อของปัญญาอันประเสริฐ.

คำว่า จงขุดนั้นเป็นชื่อของการปรารภความเพียร.

คำว่า ลิ่มสลักนั้น เป็นชื่อของอวิชชา.

คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่าพ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดั่งศาตรา
ยกลิ่มสลักขึ้น คือจงละอวิชชาเสีย จงขุดมันขึ้นเสีย.

คำว่า อึ่งนั้น เป็นชื่อแห่งความคับแค้นด้วยสามารถความโกรธ.
คำนั้นมีอธิบาย ดังนี้ว่าพ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดั่งศาตรา
ยกอึ่งขึ้นเสีย คือจงละความคับแค้นด้วยสามารถความโกรธเสีย จงขุดมันเสีย.


คำว่า ทาง ๒ แพร่งนั้น เป็นชื่อแห่งวิจิกิจฉา.
คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตราก่นทาง ๒ แพร่งเสีย
คือจงละวิจิกิจฉาเสีย จงขุดมันเสีย

คำว่าหม้อกรองน้ำด่างนั้น เป็นชื่อของนิวรณ์ ๕ คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์
ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์.

คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นเสีย
คือจงละนิวรณ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย.

คำว่าเต่านั้น เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์
สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์.

คำนั้นมีอธิบายดังนี้ พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรา
ยกเต่าขึ้นเสียคือ จงละอุปาทานขันธ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หน้าที่ ๒๐๐.

คำว่าเขียงหั่นเนื้อนั้น เป็นชื่อของกามคุณ ๕ คือ รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ
น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นรูปที่น่ารัก

ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยโสต
กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ... รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ... โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย
น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นรูปที่น่ารัก

ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกเขียงหั่นเนื้อเสีย
คือ จงละกามคุณ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย.

คำว่าชิ้นเนื้อนั้น เป็นชื่อของนันทิราคะ.
คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรา
ยกชิ้นเนื้อขึ้นเสีย คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ้นเสีย

คำว่านาคนั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้ขีณาสพ
คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า นาคจงหยุดอยู่เถิด
เจ้าอย่าเบียดเบียนนาค จงทำความนอบน้อมต่อนาคดังนี้.

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ท่านพระกุมารกัสสปะมีใจชื่นชม เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.


http://www.84000.org/tipitaka/read/byit ... agebreak=1

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
การ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ได้ยินพระเทศน์ ได้ยินคนพูดกันมานานแระนะ ทีนี้อยากจะถามพระถามคน ถามโฮฮับด้วย (นำมาพูดเหมือนกัน) ที่พูดๆกันนั่นน่ะ เคยเห็น การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของสังขารเหล่านั้นมั้ย เคยเห็นมั้ย เห็นลักษณะทั้งสามนั่นหรือยัง นีก็พูดให้พิจารณาเช่นกัน ที่พูดน่ะจำมาจากไหน นี่ข้อที่พึงจารณา จำมาจากไหนที่พูดนั่นน่ะ :b10: :b1: :


ถ้าไม่เคยเห็นแล้ว พี่โฮจะกล้าแสดงความเห็นแย้งคำสอนของพระเปรียญหรือ

ถ้าไม่เคยเห็นพี่โฮจะกล้าแย้งความเห็นของสมาชิกในนี้แทบจะทุกกระทู้หรือ

ถ้าไม่เคยเห็นพี่โฮจะรู้หรือว่า สุตตมยปัญญา ไม่ใช่การฟังให้เกิดปัญญา
แต่มันเป็นการเอาปัญญาการเป็นหลักในการฟัง
จะบอกให้ว่าถึงพี่โฮจำพระไตรปิฎกได้ไม่หมด แต่พี่โฮอ่านพระไตรปิฎกได้และเข้าใจดี


กรัชกาย เขียน:
รู้ไหม สังขาร หมายถึงอะไร มีกี่อย่าง อะไรบ้าง ?

ถ้าโฮฮัยตอบคำถามเหล่านี้ได้ กรัชกายจะไม่รบกวนอีก :b13:

พี่โฮตอบได้ แต่จะทำให้กรัชกายเข้าใจนั้น เป็นหน้าที่ๆกรัชกายจะต้องทำความเข้าใจเอง
ดังนั้นตอบไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะได้ตอบไปเป็นร้อยๆครั้งแล้ว ที่พูดไม่ใช่ไม่พอใจน่ะ
พี่โฮเข้าใจดีถึงเหตุผลที่ทำไม พูดสารพัดที่จะอธิบายธรรมไป มันก็ยังไม่มีคนเข้าใจ
มิหน่ำซ้ำยังเสียดสีประชดประชันพี่โฮกลับมาอีก

ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพราะ ยังไม่เห็นสภาวะธรรมที่เป็นสภาวะธรรมจริงๆ
การได้เห็นสภาวะธรรมจริงๆ มันถึงจะเข้าใจและอธิบายเหตุของสภาพธรรมได้
และก็อีกนั้นแหล่ะ บอกวิธีการเข้าถึงสภาวะไปแล้ว มันก็ยังเถียงยังรั้น


แนะนำอีกที่ อย่าโลภอย่าเรียนลัด
การเข้าถึงธรรมที่เป็นจริง ต้องเจริญสติ ตามรู้อารมณ์
เพียงแค่โกรธก็รู้ว่าโกรธ หลงก็รู้ว่าหลง เกิดราคะก็รู้ว่าเกิดราคะ
รู้เฉยๆแค่นี่ แล้วสิ่งที่พี่โฮพูดมันก็จะเกิดให้เห็น

ปล.การเจริญสติ ไม่ใช่การใช้สติน่ะ แต่เป็นการทำให้เกิดสติ ที่เป็นสภาวะธรรมแท้ๆ
ส่วนการปฏิบัติคือการตามรู้อารมณ์เฉยๆ



บอกวิธีทำหน่อยดิ ทำยังไง จึงเห็น :b10:


อ้อนี่หรอ

อ้างคำพูด:
แนะนำอีกที่ อย่าโลภอย่าเรียนลัด
การเข้าถึงธรรมที่เป็นจริง ต้องเจริญสติ ตามรู้อารมณ์
เพียงแค่โกรธก็รู้ว่าโกรธ หลงก็รู้ว่าหลง เกิดราคะก็รู้ว่าเกิดราคะ
รู้เฉยๆแค่นี่ แล้วสิ่งที่พี่โฮพูดมันก็จะเกิดให้เห็น


คิกๆ ไปจำใครเขามาพูด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




พี่โฮ เขาเป็นอะไร :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พี่โฮเขาเป็นอะไร ? :b14: แล้วจะ้ต้องทำยังไง


อ้างคำพูด:
ช่วงนั้นเริ่มฝีกมโนมยิทธิเอาเองโดยใช้เวลาตอนนอนครับ มีคราวหนึ่งนอนภาวนาไปเรื่อยๆผมไม่ทราบว่านานเท่าไร ความรู้สึกอื่นไม่ทราบเพราะว่าขณะนั้นได้ยินแต่เสียงหัวใจเ็ต้นเร็วขั้นๆ ได้ยินชัดมากครับ ตึกๆ แต่ไม่ได้มีอารมณ์กลัวหรืออะไรนะครับ แล้วช่วงนั้นเหมือนเห็นหนังขาวดำครับในความเข้าใจเหมือนอยู่ในอุโมงค์ขอบอุโมงค์เป็นสีดำ แล้วมีพระสงฆ์ 2 รูปครับ แต่เห็นท่านเป็นสีดำนะครับเ หมือนเงานครับคือช่วงระหว่างองค์ท่านกับอุโมงค์นะเป็นสีขาวจ้าๆ ท่านพาเดินออกจากอุโมงค์ครับ แต่ไม่เห็นตัวเองครับ แต่รู้สึกเหมือนท่านพาเดินออกไป สักพักได้ยินเสียงหัวใจเต้นถี่ขึ้นเร็วมากครับทั้งๆที่ก็เดินตามท่านไป

สุดท้ายกลัวครับไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมรบกวนท่านผู้รู้ทั้งหลายสงเคราะห์ด้วยครับ ขอบพระคุณครับ


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2013, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอีก เขาเป็นอะไรพี่โฮ :b1:



.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร