โอ้ยอะเมซิ่ง เค้าก็นิรโทษกรรมให้ทุกคนนั่นแหละที่ก่อความไม่สงบ โดยเฉพาะสร้างความวุ่นวายยึดท่าอากาศดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เค้าเลยออกกฏนิรโทษกรรม อภัยทานให้กันเวรระงับด้วยการไม่จองเวร แต่คนที่ไม่เห็นด้วยนี่เพราะกลัวอะไรคุนน้องก็ไม่แน่ใจ แต่คุนน้องเห็นคนที่เล่นบทพระเทวทัตคืออะเมซิ่งนะ เพราะเจาะจงไปที่ตัวบุคคลเพียงคนเดียว555+

ผิดแล้วครับ ผมเพียงอยากเห้นคนคิดเป้นมองเป้นในทุกมุท. ผมนะไม่สนใจใครจะดีเลวไม่ใช่เรื่องของผม แค่สะสางเรื่องตัวเองก้อแย่แล้ว สงสารคนที่ไม่รุ้ว่าจะดุคนก้อให้ดุที่การกระทำว่านิสัยใจคอเขาเป้นอย่างไร นั้นแหล่ะธาตุแท้ของเขา ก่อนที่เราจะตัดสินใจทำอะไรลไปงผลเดือดร้อนมาให้ตนเองได้

อเมชิ่งไม่ใช่ผู้ร้าย แต่อเมชิ่งคือ....นางอิจฉา

อิจฉาซะจนลืมความเป็นคน ไปหยิบครอบครัวคนอื่นมาประชดประชัน




อเมชิ่ง ก่อนที่จะพูดเรื่องศีลธรรม อเมชิ่งทำตัวให้มันถูกศีลธรรมก่อนไม่ดีหรือ
แม้กระทั้งล็อกอินยังใช้สองสามชื่อ......ใช่มั้ยบิกทู๋

พูดจาซะดิบดี เพียงแต่ไม่คิดว่า ตัวเองพูดอะไรไว้ก่อนหน้า

บิกทู้นิสัยไม่เปลี่ยน

พี่โฮเด่วแกยอมรับความจริงในการกระทำของตนไม่ได้ เด่วแกก็เปลี่ยนลอคอินใหม่อีกหรอก 555+

พี่โฮเปลี่ยนให้เลยก็ได้..........อเมชิ่ง ชิ่งจาก บิกทู่มาเป็นตุ๊ดตู่
ตุ๊ดตู่ ผลุบๆโผล่ๆ เป็นอิแอบสองชื่อ

โฮฮับ บุคคลที่เป็นบุคคลสาธารณะนั้นย่อมควรยอมรับการวิจารได้ น่าจะขอบใจผมนะที่ทำให้เข้าใจถูกได้จะได้เลิกเชื่อจะได้ไม่ไปตากแดดตากลมทำให้รถติดโฮฮับไม่ชอบไม่ใช่เหรอขนาดคนช่วยแมวยังไปว่าเขาเลย ส่วนเรื่องชื่อนั้นสำคัญอย่างไรผมไม่ให้สาระคนในนี้จะใช้ชื่ออะไะสักร้อยชื่อผมไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้ สนใจสาระธรรมะดีกว่า

เคยมีอาจารย์ทางด้านกฎหมายซึ่งเป็นถึงระดับ ดร. ท่านถามพุทธคุณว่า
กฎหมายคืออะไร พุทธคุณก็ตอบเหมือนทุกๆท่านในที่นี้แหล่ะ ตอบท่านไป
ว่ากฎหมายคือ ข้อบังคับ ข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขในสังคม

รู้มั้ยท่านตอบว่าอะไร ท่านตอบพุทธคุณว่า กฎหมายก็คือ กฎธรรมชาติ

แค่นี้แหละครับ สั้นๆแต่ครอบคลุมนะ

อย่าเอาคำพูดที่เขาใช้อ้างหรือแก้ตัวมาใช้กับเรา รุ่นนี่แล้ว
คำพูดที่บิกทู่ใช้นั้นน่ะ เอาไว้ใช้กับเด็กประถม

แล้วไอ้บุคคลสาธารณะที่บิกทู้ว่า มันรวมครอบครัวเขาด้วยหรือ
ไอ้คนประเภทบิกทู่นี่น่ะ มันพวกอันธพาลไม่รู้จักแยกแยะ

เรื่องแมวบิกทู่คิดว่าทำให้รถติด มันเป็นความคิดแค่หางอึ่งของบิกทู่
เนื้อสมองมีแค่นี้ก็คิดได้แค่นี้ แต่สำหรับเราคิดไกลกว่านั้น

ส่วนชื่อบิกทู่ไม่สนใจมันก็เป็นเรื่องของบิกทู่ แต่สำหรับเราเห็นว่า
เรื่องนี้มันเกี่ยวกับศีลธรรม บิกทู่ไม่ซื่อต่อเพื่อนสมาชิก จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่
มันสรุปได้อย่างเดียวว่า บิกทู่เป็นคนที่ไม่มีศีลธรรม ตรงกับสำนวนที่ว่า....

มือถือสาก ปากถือศีล

ไม่มีตรงไหนที่ผมว่า...รอให้ธรรมชาติลงโทษไม่ต้องไปทำอะไร....เลยนะครับ



อะไรคือกฎหมายของธรรมชาติ..ครับ..ไม่เข้าใจ...กฎหมายของสิงค์โปรเป็นงัยหรือครับ

โฮฮับก็ไม่เข้าใจว่ากรรมมันเป็นเผ่าพันธุ์ ในเมื่อบิดาเป็นอะไรมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะ สมาชิกก็ใช้สิทธิของบิดาไปใช้ในทางมิชอบ หรือฮฮับสนับสนุน เอาเถอะผมไม่ติดใจหรอกแคบอกทางสว่งให้ผู้ที่หลงไหลได้ปลื้มจะได้ตาสว่างกัน เอาเวลามาทำมาหากินเถอะ. โฮจะว่าอะไรก็ว่าไปเถอะผมไม่เห็นเป้นสาระ เ

เห็นด้วยเลยครับ....กฎหมายคือ..กฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง...เป็นธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้น...ตราขึ้น

กฎหมายบางข้อ...ตราขึ้นบนพื้นฐานของคุณธรรมตามธรรมชาติ..เช่น..ลักทรัพย์..ผิดเมียชาวบ้าน...
ผู้ทำผิด...ก็ผิดทั้งกฎหมายและผิดศีลผิดธรรมพร้อมกันไปด้วย...หากถูกจับ...ก็โดนลงโทษ...ตายไปก็รับโทษอีก

กฎหมายบางข้อ...ก็ตราขึ้นตามความคิดความเห็นของคน...เช่น..อัตราการเสียภาษี...หากไม่กำหนดว่าให้เสีย...เราไม่เสียก็ไม่ผิดทั้งทางโลกและทางธรรม......ครั้นมากำหนดให้เสีย...ถ้าไม่เสีย...คุณก็ผิด.....แม้หลบเลี่ยงไม่โดนจับทำโทษในทางโลกได้....แต่ตายไปก็โดนลงโทษทางธรรมอยู่ดี

คุณธรรมบางอย่างไม่ได้ถูกตราเป็นกฎหมาย...เช่น...ความกตัญญู.การรู้คุณของผู้มีคุณกับเรา...ความมีสัจจะ....เป็นต้น...แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด.....แต่ก็โดนทางธรรมลงโทษอยู่ดี

เผลอแปล๊บเดียย กระทู้ว่าไปไกลเลย ตามเกือบไม่ทัน

ต่อไปมาดูกฎธรรมชาติหรือนิยามตามหลักพุทธศาสนากัน


กฎธรรมชาติหรือนิยามไว้ ๕ อย่าง คือ

๑. อุตุนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับปรากฎการณ์ฝ่ายวัตถุ โดยเฉพาะความเ็ป็นไปของธรรมชาติแวดล้อมและความเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ เช่น เรื่องลมฟ้าอากาศ ฤดูกาล ฝนตกฟ้าร้อง การที่ดอกบัวบานกลางวันหุบกลางคืน การที่ดินน้ำปุ๋ยช่วยให้ต้นไม้งาม การที่คนไอหรือจาม การที่สิ่งทั้งหลายผุพังเน่าเปื่อย เป็นต้น แนวความคิดของท่านมุ่งเอาความผันแปรที่เนื่องด้วยความร้อนหรืออุณหภูมิ

๒. พืชนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสืบพันธ์ หรือที่เรียกกันว่าพันธุกรรม เช่น หลักความจริงที่ว่า พืชเช่นใด ก็ให้ผลเช่นนั้น พืชมะม่วงก็ออกผลเป็นมะม่วง เป็นต้น

๓. จิตตนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต เช่น เมื่ออารมณ์ (สิ่งเร้า) กระทบประสาท จะมีการรับรู้เกิดขึ้น จิตจะทำงานอย่างไร คือ มีการไหวแห่งภวังคจิต ภวังคจิตขาดตอน แล้วก็อาวัชขนะ แล้วมีการเห็น การได้ยิน ฯลฯ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ฯลฯ หรือเมื่อจิตมีคุณสมบัติอย่างนี้เกิดขึ้น จะมีเจตสิกอะไรบ้างประกอบได้ หรือประกอบไม่ได้ เป็นต้น

๔. กรรมนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือกระบวนการก่อการกระทำและการให้ผลของการกระทำ หรือพูดให้จำเพาะลงไปอีกว่า กระบวนการแห่งเจตจำนง หรือความคิดปรุงแต่งสร้างสรรค์ต่างๆ พร้อมทั้งผลที่สืบเนื่องออกไปอันสอดคล้องสมกัน เช่น ทำกรรมดี มีผลดี ทำกรรมชั่ว มีผลชั่ว เป็นต้น

๕. ธรรมนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ และอาการที่เป็นเหตุเป็นผลแก่กันของสิ่งทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างที่เรียกกันว่า ความเ็ป็นไปตามธรรมดา เช่นว่า สิ่งทั้งหลายมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา คนย่อมมีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ธรรมดาของมนุษย์ยุคนี้มีอายุขัยประมาณร้อยปี ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ย่อมเป็นธรรมดาของสิ่งทั้งหลายที่่เป็นสภาพไม่เที่ยง ถูกปัจจัยบีบคั้น และไม่เป็นอัตตา ดังนี้เป็นต้น

กรรม ก็เป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง

กรรม ในฐานะหลักธรรมที่เนื่องอยู่ปฏิจจสมุปาทบาท

กรรมเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเห็นไ้ด้ชัดเมื่อยกส่วนในกระบวนการนั้นออกเป็น ๓ วัฏฏะ (วน, วังวน) คือ กิเลส กรรม และวิบาก

หลักปฏิจจสมุปบาทแสดงถึงกระบวนการทำกรรม และการให้ผลของกรรมทั้งหมด ตั้งต้นแต่กิเลสเป็นเหตุใ้หทำกรรม จนถึงวิบากอันเป็นผลที่จะได้รับ เมื่อเข้าใจปฏิจจสมุปบาทแล้ว ก็เป็นอันเข้าใจหลักกรรมชัดเจนไปด้วย


ถ้าทำอย่างนี้ ปฏิจจสุมปบาท ก็จะปรากฏในรูปร่างที่นิยมเรียกกันว่า "กฏแห่งกรรม"