วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 02:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 04:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอโศกได้เริ่มเห็นแสงแห่งธรรม (ความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม) แล้วหลังอุบัติเหตุเน็ตล่มเสียหายในวงกว้าง แล้วเข้าหลายๆบอร์ดไม่ได้ เข้าลานธรรมจักรไม่ได้ เข้าลานธรรมเสวนาก็เข้าไม่ได้ จึงรู้ว่า ธรรม (ชีวิตรวมทั้งตัวคือกายกับใจนี้) กับ การใช้ชีวิตอยู่ในโลกในสังคมนี้เนื่องกัน (เพื่อให้ซอฟหน่อยจึงเลี่ยงใช้คำพูดว่าการเมืองซึ่งนักธรรมะกลัวกันมากๆ :b32: ) :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 05:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
4.ไม่รู้จักการทำงานของสัมมาสังกัปปะ ปัญญามรรค
:b41:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ
หลักของสัมมาสังกัปปะ มันเป็นคนล่ะเรื่อง มันเกี่ยวกับการทำฌาน
ยิ่งถ้าเป็นการปฏิบัติอย่างที่โสกะกำลังทำยิ่งเป็นคนล่ะโลก

สัมมาสังกัปปะเป็นหลักของการปฏิบัติในการดับอวิชา ไม่ใช่การทำฌาน
การทำฌานเพียงอย่างเดียวไม่สามารถดับอวิชาได้

ความเป็นสัมมาสังกัปปะ นั้นก็คือ การใช้ปัญญาลงไปพิจารณาธรรมเพียงให้เห็นถึง
ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ถ้าไล่ลำดับของไตรสิกขา ในส่วนของอธิปัญญา จะต้องเกิดปัญญา(ไตรลักษณ์)เสียก่อน
เราจึงจะเอาปํญญาตัวนี้มาพิจารณาธรรมให้เกิดเป็นสัมมาสังกัปปะได้

:b10:
ตามคำพูดของโฮฮับที่ยกมาอ้างนี่ ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าโฮฮับยังรู้ไม่ครบไม่ถี่ถ้วนกับมรรคข้อที่ 2 ปัญญามรรคสัมมาสังกัปปะ

ไม่มีอะไรเกี่ยวอะไรกับเรื่องฌาณเลย ที่อโศกะพูดไว้


สัมมาสังกัปปะปัญญามรรคนั้น เวลาทำงานในการปฏิบัติจริงมีอยู่ 2 หน้าที่คือ

1.สังเกต.....(ไม่ใช้ความคิด)

2.พิจารณา....(ใช้ความคิด)


ที่คุณว่า พิจารณาธรรมให้เกิดเป็นสัมมาสังกัปปะ [b]นั้นเป็นการพูดกลับข้างของสภาวธรรม....สัมมาสังกัปปะเกิดขึ้นมาสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ จึงได้เห็นธรรมตามความเป็นจริงว่า ทุกสภาวธรรม มันเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ทุกเวลา นาที วินาที มีแต่เกิดขึ้น -ดับไป ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆเพียงเท่านี้ไม่มีอะไร........จนเกิดความเบื่อหน่ายคลายจางละวางความเห็นผิดยึดผิด นี่คือผลงานที่จะเกิดขึ้นจากปัญญาสัมมาสังกัปปะ


อริยมรรคทั้ง๘องค์ เกิดจากการปฏิบัติในเรื่องของไตรสิกขา
อริยมรรคแต่ล่ะองค์ ไม่ใช่การปฏิบัติ แต่อริยมรรคแต่ล่ะองค์เกิดจากการปฏิบัติ
พูดให้ตรงก็คือ สัมมาทิฐิเป็นผลของการปฏิบัติ สัมมาสังกัปปะก็เป็นผลของการปฏิบัติ
และองค์อริยมรรคที่เหลือก็เช่นกัน เราต้องปฏิบัติให้เกิดองค์อริมรรคให้ครบองค์๘
จนเกิดเป็นมรรคสมังคี ยกตัวอย่างให้ดู

อย่างเช่น เราเอารถหนึ่งคันเป็นมรรสมังคี ส่วนประกอบของรถเป็นมรรคแต่ล่ะองค์
ล้อรถก็เป็นอริยมรรคหนึ่ง ตัวถังก็เป็นอริยมรรคหนึ่ง เครื่องยนต์และส่วนประกอบอื่นๆ

ล้อรถก่อนจะมาเป็นล้อรถมันก็ต้องผ่านกรรมวิธีของมันมา
ตัวถังรถ เครื่องยนต์ มันก็ต้องผ่านกรรมวิธีมาเช่นกัน
นี่เป็นตัวอย่างให้ดูเอาไว้เป็นหลักคิด ในเรื่องของอริยมรรคมีองค์๘

ส่วนเรื่องการปฏิบัติเพื่อให้เกิดองค์อริยมรรค ต้องอาศัยหลักของโพธิปักขิยธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.....หลักของโพชฌงค์๗

โพชฌงค์๗เป็นมรรคขององค์อริยมรรคในแต่ล่ะองค์
นั้นก็คือ โพชฌงค์๗เป็นมรรค อริยมรรคมีองค์๘เป็นผล

โสกะพูดธรรมในลักษณะเอาบัญญัติมามั่วมาจินตนาการเอาเอง
ขาดหลักของธัมมวิจยะ ที่สำคัญขาดปัญญารู้สภาวะธรรม
ขอเตือนครับ อย่าเอาพระธรรมมาละเลงเล่นแบบนี้ มันเป็นโมฆะบุรุษน่ะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 05:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
สัมมาสังกัปปะปัญญามรรคนั้น เวลาทำงานในการปฏิบัติจริงมีอยู่ 2 หน้าที่คือ

1.สังเกต.....(ไม่ใช้ความคิด)

2.พิจารณา....(ใช้ความคิด)


ที่คุณว่า พิจารณาธรรมให้เกิดเป็นสัมมาสังกัปปะ นั้นเป็นการพูดกลับข้างของสภาวธรรม....สัมมาสังกัปปะเกิดขึ้นมาสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ จึงได้เห็นธรรมตามความเป็นจริงว่า ทุกสภาวธรรม มันเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ทุกเวลา นาที วินาที มีแต่เกิดขึ้น -ดับไป ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆเพียงเท่านี้ไม่มีอะไร........จนเกิดความเบื่อหน่ายคลายจางละวางความเห็นผิดยึดผิด นี่คือผลงานที่จะเกิดขึ้นจากปัญญาสัมมาสังกัปปะ

จึงได้กล่าวไว้แต่ต้นว่า ถ้าไม่มีความสังเกต+พิจารณา วิปัสสนาปัญญาจักไม่เกิดขึ้นมาได้
สังเกต พิจารณาเป็นคุณสมบัติและหน้าที่ของปัญญาสัมมาสังกัปปะนั่นเอง
พูดอีกอย่างก็ได้ว่า "ถ้าขาดมรรคตัวที่ 2 ปัญญาสัมมาสังกัปปะ วิปัสสนาปัญญาจักไม่เกิดขึ้น ไม่เจริญงอกงามได้"

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่นักปฏิบัติธรรมพึงรู้คือ ตอนที่มรรคญาณ ผลญาณจะเกิดนั้น ความพิจารณาซึ่งต้องใช้ความคิดจะหยุดไป คงเหลือแต่ความสังเกตรู้สภาวะธรรมไปตามธรรม....(ตถตา) เมื่อนั้นมรรคจึงจะสมังคีกันได้จนกลายเป็นโสดาปัตติมรรค...หรือสกิทาคามีมรรค หรืออนาคามีมรรค หรือที่สุด อรหัตมรรค....ตอนที่มรรคเกิดจะไม่มีความคิดปรุงแต่งไปเกี่ยวข้องเลย

:b38:


คำว่า...สังเกตุก็คือการทำวิปัสสนาในหลักของการปฏิบัติเพื่อให้เกิด ไตรลักษณ์
เมื่อเกิดไตรลักษณ์ ตัวไตรลักษณ์นี้โดยสภาวธรรมมันคือ.....ปัญญา

เมื่อมีปัญญาหรือไตรลักษณ์ ก็เอาปัญญานี้ไปใช้ร่วมกับความคิด เพื่อพิจารณาธรรม
ความคิดหรือการพิจารณาธรรมที่ใช้ปัญญาร่วมด้วย ท่านเรียกการพิจารณาธรรมนี้ว่า...ธัมมวิจยะ

ซึ่งโดยรวมแล้ว ทั้งหมดเป็นหลักอยู่ในโพชฌงค์๗ หลักของโพชฌงค์๗คือ
การเอาสติปัญญามาพิจารธรรมอันเกิดจาก กาย วาจา ใจ เพื่อวางอุเบกขา

ผลจากการวางอุเบกขา จะทำให้เกิดมรรคสมังคีหรืออริยมรรคมีองค์๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
อ้างคำพูด:
โสกะที่พร่ำพรรณามาทั้งหมดเนี่ย พูดตามหลักของการพิจารณา
ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม ท่านเรียกว่า...เพ้อเจ้อ
พูดจาเรื่อยเปื่อยขาดหลักการ เหมือนชนเผ่าที่ไม่มีหลักการใช้ภาษา

คุณโสกะ คุณกล่าวหาผมว่ารู้ธรรมผิดๆ แสดงธรรมผิดๆค้านตัวเอง
ผมขอหลักฐานจากคุณ คุณเข้าใจคำว่า..หลักฐานมั้ย

คำว่าหลักฐาน คุณต้องไปเอาหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวมาอ้างว่า
ผมกล่าวธรรมผิดอย่างไรตรงไหน,..........

มันไม่ใช่เอาธรรมที่ผมเคยแสดงความเห็น แล้วคุณก็จะมาพูดเองเออเองว่า
มันผิดธรรม ถามหน่อยคุณเป็นพระพุทธเจ้าหรือ
พุทโธ่! ทำไมหนอจะต้องให้สอนเรื่องแม้เด็กนักเรียนก็เข้าใจ

เรากำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่ มันต้องเอาสิ่งนั้นมาอ้างมาแสดงให้เห็น
ไม่ใช่มาพูดเพ้อเจ้อ จินตนาการเอาเอง

:b6:
โฮฮับถามหาหลักฐานทางคัมภีร์....ผมคงหามาให้โฮฮับดูไม่ค่อยได้เพราะไม่ชำนาญเรื่องค้นและอ้างคัมภีร์อย่างโฮฮับ


ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณจะมากล่าวหาผมได้อย่างไรว่ากล่าวธรรมผิด
เพียงแค่นี้คุณก็ไม่ต้องอ้างแล้วว่า คุณเอามาจากการปฏิบัติ
เพราะแค่การมีสติมีสมาธิพิจารณาธรรมง่ายๆคุณยังไม่
อย่าลืมว่า สติและสมาธิคือหัวใจสำคัญในการปฏิบัติ

[b]และที่ว่าคุณไม่มีสติและสมาธิ นั้นก็คือดูจาก คุณพูดจากแสดงความเห็น
ที่ไม่ได้อยู่นหลักแห่งความเป็นจริง

พูดมาได้ว่าผมกล่าวธรรมผิด ผมขอหลักฐาน
ดันเอาความคิดจินตนาการของตนมาอ้าง
แนะนำให้เอาพระธรรมของพุทธองค์มาอ้าง.....ดันบอกไม่ชำนาญไม่รู้เรื่องซะงั้น
asoka เขียน:
แต่หลักฐานที่ผมมีก็คือสภาวธรรมที่ปรากฏอยู่จริงในกายใจ ดังเช่นเรื่อง ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในกาย และสังขารุเปกขาญาณ :


ถ้าคุณจะยืนยันอย่างนั้น ผมก็สามารถกล่าวหาคุณได้ว่าเป็น..เดียรถี เป็นโมฆะบุรุษ
เพราะผมหรือเพื่อนๆ เขาก็มีหลักฐานเหมือนกันว่า ตอนเกิดกิเลสในใจ เขาก็สามารถได้ยิน
หรือมีอาการแบบที่คุณกล่าวมา

โมฆะบุรูษมองธรรมแค่ด้านเดียว เพ้อเจ้อเอากิเลสมาเป็นผลการปฏิบัติ
พูดมาได้ สังขารุเกขาญาน โดนกิเลสเล่นงานแล้วยังไม่รู้ตัว


asoka เขียน:
โฮฮับอยากจะเห็นหลักฐานก็ต้องลงมือปฏิบัติตรวจสอบทดสอบด้วยการปฏิบัติจริงพิสูจน์ธรรมก็จะได้พบหลักฐานทุกอย่างตามที่ผมบอกอย่างแน่นอน คำตอบอยู่ในตัว ในกาย ในใจของโฮฮับนั่นแหละ สำคัญว่ากล้าพิสูจน์หรือเปล่า

หรือจะตะแบงจะเอาหลักฐานจากตำราและคัมภีร์อยู่ร่ำไป[/b]
:b12: :b12: :b12:


ไอ้ที่ตะแบงมันเป็นโสกะ ตะแบงแบบขาดสติปัญญาเสียด้วย มองธรรมแทนที่จะมองให้ทั่ว
พูดอะไรไว้แล้วก็ลืมหมด ตัวเองสร้างเหตุเอง แล้วแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ ทำมึนอ้างผลการปฏิบัติของตัว

เป็นชาวพุทธจะเอาหลักฐานทางธรรม มันต้องเอาพุทธพจน์หรือพระไตรปิฎกมายืนยัน
ไม่ใช่เอาผลการปฏิบัติของตนมาเพ้อเจ้อ ทำยังกับว่าเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง
ไร้สติจริงครับคุณโสกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณอโศกได้เริ่มเห็นแสงแห่งธรรม (ความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม) แล้วหลังอุบัติเหตุเน็ตล่มเสียหายในวงกว้าง แล้วเข้าหลายๆบอร์ดไม่ได้ เข้าลานธรรมจักรไม่ได้ เข้าลานธรรมเสวนาก็เข้าไม่ได้ จึงรู้ว่า ธรรม (ชีวิตรวมทั้งตัวคือกายกับใจนี้) กับ การใช้ชีวิตอยู่ในโลกในสังคมนี้เนื่องกัน (เพื่อให้ซอฟหน่อยจึงเลี่ยงใช้คำพูดว่าการเมืองซึ่งนักธรรมะกลัวกันมากๆ :b32: ) :b1:


สงสัยเป็นลูกศิษย์หลวงพี่สุวิทย์ด้วยกันทั้งคู่
ยังมีอีกที่มีแนวคิดอย่างนี้
ก็คือท่านมหา๕ขันธ์กับศาสดาของท่าน...... :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 07:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
asoka เขียน:



อีกไม่นานก็จะรู้ชัดว่าใครถ่มน้ำลายรดฟ้า

"ทองแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ ธรรมแท้ ย่อมเป็นสัจจะ อมตะชั่วนิรันดร์ ทนต่อการพิสูจน์"

"ทองเทียม ถูกขัดถูไปไม่นานก็ลอก ปอกเอากิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฏฐิ วิจิกิจฉา โทสะ ปฏิฆะของตนออกมาประจานให้โลกรู้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ"



ติดเป็นนิสัย โพสอะไรลงมา ชอบกระทำยกตนข่มท่าน

นี่แหละ สิ่งที่อโสกะ เป็นอยู่ ชอบเปรียบเทียบ ชอบยกตนข่มท่าน :b6:



asoka เขียน:
สังขารุเปกขาญาณ เป็นอุปกิเลส เพิ่งเคยได้ยินจากคุณวลัยพรเป็นครั้งแรกในชีวิตครับ






walaiporn เขียน:
asoka เขียน:



ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย (Vibration)...หรือที่สุด การที่จิตไปหยุดการทำงานของความคิดนึกปรุงแต่ง ที่เรียกว่า "สังขารุเปกขาญาณ"




สภาวะนี้ เรียกว่า อุปกิเลส เหตุจาก ความยึดมั่นถือมั่น ในสภาวะที่เกิดขึ้น

เหตุจาก ความทะยานอยาก อยากมี อยากได้ อยากเป็นอะไรๆ ในสมมุติ



ต้องแปลไทยเป็นไทย ผู้ที่มีลักษณะอาการแบบคุณอโสกะ ชอบเปรียบเทียบ ชอบยกตนข่มท่าน
เหตุจาก ความยึดมั่นถือมั่น ในสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น

แล้วนำสิ่งที่คิดว่ารู้(ยึดมั่นถือมั่น) นำมาสร้างเหตุกับผู้อื่น ให้เกิดขึ้นเนืองๆ
มากกว่า กระทำเพื่่อดับเหตุของการเกิด



สภาวะทุกสภาวะที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสภาวะ ไม่ใช่เรื่องวิเศษอันใด

เพราะ ยังไม่สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุของการเกิดได้



การไม่รู้ชัดในสภาวะที่เกิดขึ้นว่า เป็นความปกติของสภาวะ ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ของสภาวะนั้นๆ

เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงเกิดความยึดมั่นถือมั่นต่อสภาวะที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาๆ ของสภาวะที่เกิดขึ้น

เมื่อเกิดความยึดมั่นถือมั่นในสภาวะที่เกิดขึ้น สภาวะนั้นๆ จากสภาวะปกติ กลับกลายเป็น อุปกิเลสไปทันที ทำให้ปิดกั้น ไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงของตัวสภาวะที่เกิดขึ้นได้ว่า มันเป็นเรื่องปกติ

พอเกิดการยึดติด จากเรื่อง ปกติของสภาวะ กลายเป็นของวิเศษ ไปทันที

แถมยังเสกให้ผู้ยึด นำมากระทำ เพื่อดับเหตุของการเกิด(หยุดสร้างเหตุนอกตัว) ยังไม่ได้

นี่น่ะรึ ของวิเศษ มีแต่ก่อภพ ก่อชาติใหม่ ของการเกิด ในเกิดขึ้นเนืองๆ




ภิกษุ ท. ! ทารกนั้น ครั้นเจริญวัยขึ้นแล้ว มีอินทรีย์อันเจริญเต็มที่แล้ว
เป็นผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้า ให้เขาบำเรออยู่ :

ทางตาด้วยรูป, ทางหูด้วยเสียง, ทางจมูกด้วยกลิ่น, ทางลิ้นด้วยรส, และทางกายด้วยโผฏฐัพพะ,

ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ ที่ยวนตา ยวนใจให้รัก
เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ และเป็นที่ตั้งแห่งความรัก.

ทารกนั้น ครั้นเห็นรูปด้วยจักษุ เป็นต้นแล้ว
ย่อมกำหนัดยินดี ในรูป เป็นต้น ที่ยั่วยวนให้เกิดความรัก,
ย่อมขัดใจในรูป เป็นต้น อันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรัก ;

ไม่เป็นผู้ตั้งไว้ซึ่งสติอันเป็นไปในกาย มีใจเป็นอกุศล
ไม่รู้ตามที่เป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันเป็นที่ดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย.

กุมารน้อยนั้น เมื่อประกอบด้วย ความยินดีและความยินร้ายอยู่เช่นนี้แล้ว,
เสวยเฉพาะซึ่งเวทนาใด ๆ เป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม,
เขาย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนานั้น ๆ.

เมื่อเป็นอยู่เช่นนั้น, ความเพลิน(นันทิ) ย่อมบังเกิดขึ้น.
ความเพลินใด ในเวทนาทั้งหลาย มีอยู่,

ความเพลินอันนั้น เป็นอุปาทาน.

เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;

เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;

เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.

ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
- มู. ม. ๑๒/๔๘๗-๔๘๘/๔๕๒-๔๕๓



ภิกษุ ท. ! ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด (นิสฺสารณิยธาตุ) ๕
อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่างอย่างไรเล่า ?

ห้าอย่างคือ :-

ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งกามทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในกามทั้งหลาย ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งเนกขัมมะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในเนกขัมมะ.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดีปราศจาก กามทั้งหลายด้วยดี ;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายอันทำ ความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะกามเป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งกามทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งพ๎ยาบาท,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในพ๎ยาบาท;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอัพ๎ยาบาท,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอัพ๎ยาบาท.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากพ๎ยาบาทด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะพ๎ยาบาทเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งพ๎ยาบาท.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งวิหิงสา,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในวิหิงสา ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอวิหิงสา,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอวิหิงสา,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจาก วิหิงสาด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งวิหิงสา.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งรูปทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในรูปทั้งหลาย ;

แต่เมื่อ ภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอรูป,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอรูป.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากรูปทั้งหลายด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะรูปทั้งหลายเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งรูปทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ
เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งสักกายะ (ความยึดถือว่าตัวตน),
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายะ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งความดับแห่งสักกายะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในความดับแห่งสักกายะ,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากสักกายะด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะสักกายะ เป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่ง สักกายะ.

นันทิ (ความเพลิน) ในกาม ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในพ๎ยาบาท ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในวิหิงสา ก็ไม่นอนตาม (ในจิต)ของเธอ ;
นันทิในรูป ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ ;
นันทิในสักกายะ ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ.

เธอนั้น เมื่อกามนันทิก็ไม่นอนตาม พ๎ยาปาท นันทิก็ไม่นอนตาม วิหิงสานันทิก็ไม่นอนตาม
รูปนันทิก็ไม่นอนตาม สักกายนันทิก็ไม่นอนตาม ดังนี้แล้ว ;

ภิกษุ ท. ! เรากล่าวภิกษุนี้ว่า ปราศจากอาลัยตัดตัณหาขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์ได้แล้ว
กระทำที่สุด แห่งกองทุกข์ได้แล้ว เพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อย่าง.
- ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๒๐๐.



ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม.

ธรรมนั้นคือข้อที่ภิกษุ เป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในเวทนา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสัญญา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสังขาร,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในวิญญาณ;

ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ ;

เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป เวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แล้ว,
ย่อมหลุดพ้นจากรูปจากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จาก ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๐/๘๓.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
คือข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในรูปอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในเวทนาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสัญญาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในวิญญาณอยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้นเมื่อตามเห็นความไม่เที่ยงในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.
เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,
ย่อมพ้นได้จากความเกิดความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๔.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ, เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ, เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;
ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์
ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุ เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในรูป อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในสัญญา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตาในสังขาร อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นอนัตตา ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,

ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนาจากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,
ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคต กล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๒/๘๖.





สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน มีแต่เรื่อง การกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

:b12: :b12: :b12:
แล้วคุณวลัยพร ทำได้ตามที่อ้างมายาวเฟื้อยนี้หรือยังครับ?

ถ้าทำได้แล้วก็ขออนุโมทนาสาธุ

ถ้ายังทำไม่ได้ ก็หมั่นเข้ามาคุยกันบ่อยๆนะครับ

:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
asoka เขียน:



อีกไม่นานก็จะรู้ชัดว่าใครถ่มน้ำลายรดฟ้า

"ทองแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ ธรรมแท้ ย่อมเป็นสัจจะ อมตะชั่วนิรันดร์ ทนต่อการพิสูจน์"

"ทองเทียม ถูกขัดถูไปไม่นานก็ลอก ปอกเอากิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฏฐิ วิจิกิจฉา โทสะ ปฏิฆะของตนออกมาประจานให้โลกรู้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ"



ติดเป็นนิสัย โพสอะไรลงมา ชอบกระทำยกตนข่มท่าน

นี่แหละ สิ่งที่อโสกะ เป็นอยู่ ชอบเปรียบเทียบ ชอบยกตนข่มท่าน :b6:



asoka เขียน:
สังขารุเปกขาญาณ เป็นอุปกิเลส เพิ่งเคยได้ยินจากคุณวลัยพรเป็นครั้งแรกในชีวิตครับ






walaiporn เขียน:
asoka เขียน:



ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย (Vibration)...หรือที่สุด การที่จิตไปหยุดการทำงานของความคิดนึกปรุงแต่ง ที่เรียกว่า "สังขารุเปกขาญาณ"




สภาวะนี้ เรียกว่า อุปกิเลส เหตุจาก ความยึดมั่นถือมั่น ในสภาวะที่เกิดขึ้น

เหตุจาก ความทะยานอยาก อยากมี อยากได้ อยากเป็นอะไรๆ ในสมมุติ



ต้องแปลไทยเป็นไทย ผู้ที่มีลักษณะอาการแบบคุณอโสกะ ชอบเปรียบเทียบ ชอบยกตนข่มท่าน
เหตุจาก ความยึดมั่นถือมั่น ในสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น

แล้วนำสิ่งที่คิดว่ารู้(ยึดมั่นถือมั่น) นำมาสร้างเหตุกับผู้อื่น ให้เกิดขึ้นเนืองๆ
มากกว่า กระทำเพื่่อดับเหตุของการเกิด



สภาวะทุกสภาวะที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสภาวะ ไม่ใช่เรื่องวิเศษอันใด

เพราะ ยังไม่สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุของการเกิดได้



การไม่รู้ชัดในสภาวะที่เกิดขึ้นว่า เป็นความปกติของสภาวะ ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ของสภาวะนั้นๆ

เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงเกิดความยึดมั่นถือมั่นต่อสภาวะที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาๆ ของสภาวะที่เกิดขึ้น

เมื่อเกิดความยึดมั่นถือมั่นในสภาวะที่เกิดขึ้น สภาวะนั้นๆ จากสภาวะปกติ กลับกลายเป็น อุปกิเลสไปทันที ทำให้ปิดกั้น ไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงของตัวสภาวะที่เกิดขึ้นได้ว่า มันเป็นเรื่องปกติ

พอเกิดการยึดติด จากเรื่อง ปกติของสภาวะ กลายเป็นของวิเศษ ไปทันที

แถมยังเสกให้ผู้ยึด นำมากระทำ เพื่อดับเหตุของการเกิด(หยุดสร้างเหตุนอกตัว) ยังไม่ได้

นี่น่ะรึ ของวิเศษ มีแต่ก่อภพ ก่อชาติใหม่ ของการเกิด ในเกิดขึ้นเนืองๆ




ภิกษุ ท. ! ทารกนั้น ครั้นเจริญวัยขึ้นแล้ว มีอินทรีย์อันเจริญเต็มที่แล้ว
เป็นผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้า ให้เขาบำเรออยู่ :

ทางตาด้วยรูป, ทางหูด้วยเสียง, ทางจมูกด้วยกลิ่น, ทางลิ้นด้วยรส, และทางกายด้วยโผฏฐัพพะ,

ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ ที่ยวนตา ยวนใจให้รัก
เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ และเป็นที่ตั้งแห่งความรัก.

ทารกนั้น ครั้นเห็นรูปด้วยจักษุ เป็นต้นแล้ว
ย่อมกำหนัดยินดี ในรูป เป็นต้น ที่ยั่วยวนให้เกิดความรัก,
ย่อมขัดใจในรูป เป็นต้น อันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรัก ;

ไม่เป็นผู้ตั้งไว้ซึ่งสติอันเป็นไปในกาย มีใจเป็นอกุศล
ไม่รู้ตามที่เป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันเป็นที่ดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย.

กุมารน้อยนั้น เมื่อประกอบด้วย ความยินดีและความยินร้ายอยู่เช่นนี้แล้ว,
เสวยเฉพาะซึ่งเวทนาใด ๆ เป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม,
เขาย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนานั้น ๆ.

เมื่อเป็นอยู่เช่นนั้น, ความเพลิน(นันทิ) ย่อมบังเกิดขึ้น.
ความเพลินใด ในเวทนาทั้งหลาย มีอยู่,

ความเพลินอันนั้น เป็นอุปาทาน.

เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;

เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;

เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.

ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
- มู. ม. ๑๒/๔๘๗-๔๘๘/๔๕๒-๔๕๓



ภิกษุ ท. ! ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด (นิสฺสารณิยธาตุ) ๕
อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่างอย่างไรเล่า ?

ห้าอย่างคือ :-

ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งกามทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในกามทั้งหลาย ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งเนกขัมมะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในเนกขัมมะ.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดีปราศจาก กามทั้งหลายด้วยดี ;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายอันทำ ความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะกามเป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งกามทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งพ๎ยาบาท,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในพ๎ยาบาท;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอัพ๎ยาบาท,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอัพ๎ยาบาท.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากพ๎ยาบาทด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะพ๎ยาบาทเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งพ๎ยาบาท.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งวิหิงสา,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในวิหิงสา ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอวิหิงสา,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอวิหิงสา,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจาก วิหิงสาด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งวิหิงสา.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งรูปทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในรูปทั้งหลาย ;

แต่เมื่อ ภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอรูป,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอรูป.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากรูปทั้งหลายด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะรูปทั้งหลายเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งรูปทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ
เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งสักกายะ (ความยึดถือว่าตัวตน),
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายะ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งความดับแห่งสักกายะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในความดับแห่งสักกายะ,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากสักกายะด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะสักกายะ เป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่ง สักกายะ.

นันทิ (ความเพลิน) ในกาม ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในพ๎ยาบาท ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในวิหิงสา ก็ไม่นอนตาม (ในจิต)ของเธอ ;
นันทิในรูป ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ ;
นันทิในสักกายะ ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ.

เธอนั้น เมื่อกามนันทิก็ไม่นอนตาม พ๎ยาปาท นันทิก็ไม่นอนตาม วิหิงสานันทิก็ไม่นอนตาม
รูปนันทิก็ไม่นอนตาม สักกายนันทิก็ไม่นอนตาม ดังนี้แล้ว ;

ภิกษุ ท. ! เรากล่าวภิกษุนี้ว่า ปราศจากอาลัยตัดตัณหาขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์ได้แล้ว
กระทำที่สุด แห่งกองทุกข์ได้แล้ว เพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อย่าง.
- ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๒๐๐.



ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม.

ธรรมนั้นคือข้อที่ภิกษุ เป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในเวทนา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสัญญา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสังขาร,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในวิญญาณ;

ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ ;

เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป เวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แล้ว,
ย่อมหลุดพ้นจากรูปจากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จาก ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๐/๘๓.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
คือข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในรูปอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในเวทนาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสัญญาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในวิญญาณอยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้นเมื่อตามเห็นความไม่เที่ยงในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.
เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,
ย่อมพ้นได้จากความเกิดความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๔.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ, เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ, เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;
ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์
ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุ เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในรูป อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในสัญญา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตาในสังขาร อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นอนัตตา ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,

ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนาจากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,
ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคต กล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๒/๘๖.





สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน มีแต่เรื่อง การกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

:b12: :b12: :b12:
แล้วคุณวลัยพร ทำได้ตามที่อ้างมายาวเฟื้อยนี้หรือยังครับ?

ถ้าทำได้แล้วก็ขออนุโมทนาสาธุ

ถ้ายังทำไม่ได้ ก็หมั่นเข้ามาคุยกันบ่อยๆนะครับ

:b38:





ความเคยชิน จะแสดงออกมาทางคำพูด แต่ผู้พูด มักจะไม่รู้ตัว

ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า สันดาน

คือ สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล



ถึงแม้จะมีคำติติงจากผู้อื่น ก็ไม่ยอมรับ

เหตุจาก อวิชชาที่มีอยู่ กิเลสที่เกิดขึ้นในใจ มีมากกว่ากำลังสติที่เกิดขึ้น
ทำให้กิเลสที่เกิดขึ้น บดบังสภาวะ ไม่ให้เห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นของสภาวะ





คำพูดบางคำพูด บอกตามตรง คำยกยอปอปั้น บางครั้ง กระทบแล้ว รู้สึกเลี่ยนจริงๆ

ซึ่งก็เป็นนิสัยหรือสันดานของบุคคลบางจำพวก ที่ติดนิสัย ชอบใช้คำพูดยกยอปอปั้น

อย่ามาเสียเวลาเที่ยวอนุโมทนากับผู้อื่น

ควรอนุโมทนากับตัวเองจะดีกว่า

ควรอนุโมทนา ที่ได้เกิดมาเป็นพระพุทธ และยังทันคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้


วิธีการปฏิบัติ มีหลากหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของแต่ละคน ที่ได้กระทำมา
และที่กำลังสร้างให้เกิดขึ้นใหม่ ในแต่ละขณะๆๆๆ

เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ เมื่อมีสภาวะใดเกิดขึ้นจึงเกิดความยึดมั่นถือมั่นในสภาวะที่เกิดขึ้น
แทนที่จะ สักแต่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น

พระพุทธเจ้า ทรงรู้ชัดในอุปสรรคของการดำเนินต่อเนื่องของสภาวะ
อะไรเป็นเหตุปัจจัย ให้สภาวะสะดุด ชะงักงัน

ทรงวางแนวทางวิธีการไว้ให้ คือ โยนิโสมนสิการ ได้แก่ ดูตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกนึกคิดอย่างไร ให้กระทำไว้ในใจ

ได้แก่ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น แล้วจะแจ้งในสภาวะตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เป็นการฝึกถ่ายถอนอุปทานที่มีอยู่ อนุสัยกิเลส ก็ไม่นอนตาม


ดังคำสอนนี้


ภิกษุ ท. ! ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด (นิสฺสารณิยธาตุ) ๕
อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่างอย่างไรเล่า ?

ห้าอย่างคือ :-

ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งกามทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในกามทั้งหลาย ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งเนกขัมมะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในเนกขัมมะ.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดีปราศจาก กามทั้งหลายด้วยดี ;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายอันทำ ความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะกามเป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งกามทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งพ๎ยาบาท,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในพ๎ยาบาท;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอัพ๎ยาบาท,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอัพ๎ยาบาท.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากพ๎ยาบาทด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะพ๎ยาบาทเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งพ๎ยาบาท.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งวิหิงสา,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในวิหิงสา ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอวิหิงสา,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอวิหิงสา,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจาก วิหิงสาด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งวิหิงสา.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งรูปทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในรูปทั้งหลาย ;

แต่เมื่อ ภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอรูป,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอรูป.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากรูปทั้งหลายด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะรูปทั้งหลายเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งรูปทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ
เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งสักกายะ (ความยึดถือว่าตัวตน),
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายะ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งความดับแห่งสักกายะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในความดับแห่งสักกายะ,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากสักกายะด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะสักกายะ เป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่ง สักกายะ.

นันทิ (ความเพลิน) ในกาม ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในพ๎ยาบาท ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในวิหิงสา ก็ไม่นอนตาม (ในจิต)ของเธอ ;
นันทิในรูป ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ ;
นันทิในสักกายะ ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ.

เธอนั้น เมื่อกามนันทิก็ไม่นอนตาม พ๎ยาปาท นันทิก็ไม่นอนตาม วิหิงสานันทิก็ไม่นอนตาม
รูปนันทิก็ไม่นอนตาม สักกายนันทิก็ไม่นอนตาม ดังนี้แล้ว ;

ภิกษุ ท. ! เรากล่าวภิกษุนี้ว่า ปราศจากอาลัยตัดตัณหาขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์ได้แล้ว
กระทำที่สุด แห่งกองทุกข์ได้แล้ว เพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อย่าง.
- ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๒๐๐.


เมื่อสร้างเหตุดังนี้เนืองๆ ความเบื่อหน่ายย่อมเกิดขึ้นเอง ตามเหตุปัจจัย คือ ความเบื่อหน่าย ที่เกิดจาก ไม่ได้ดั่งใจ

ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม.

ธรรมนั้นคือข้อที่ภิกษุ เป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในเวทนา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสัญญา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสังขาร,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในวิญญาณ;

ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ ;

เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป เวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แล้ว,
ย่อมหลุดพ้นจากรูปจากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จาก ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.



เมื่อเกิดความเบื่อหน่ายเนืองๆ เป็นเหตุให้ เมื่อผัสสะเกิด จะแค่ดู แค่รู้มากขึ้น

ย่อมเห็นแจ้ง ในสภาวะไตรลักษณ์ ที่เกิดขึ้นเอง ตามความเป็นจริง คือ



ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
คือข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในรูปอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในเวทนาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสัญญาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในวิญญาณอยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้นเมื่อตามเห็นความไม่เที่ยงในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.
เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,
ย่อมพ้นได้จากความเกิดความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๔.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ, เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ, เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;
ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์
ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุ เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในรูป อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในสัญญา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตาในสังขาร อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นอนัตตา ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,

ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนาจากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,
ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคต กล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๒/๘๖.


สุดท้าย เมื่อเห็นไตรลักษณ์เนืองๆ ย่อมเห็นสภาวะตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่มีตัวกรู ของกรู เข้าไปเกี่ยวข้องสภาวะ สภาวะที่เกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุปัจจัย ของสภาวะนั้นๆเอง


เรื่องไตรลักษณ์ ก็เหมือนกัน บางคนไม่สามารถรู้ชัดในสภาวะตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง

พระพุทธเจ้า จึงทรงนำเรื่อง ไตรลักษณ์ มาเป็นแนวทาง ในคำสอน เพื่อใช้การคิดพิจรณา ที่กระทำให้จิตเกิดการปล่อยวาง ในสภาวะที่เกิดขึ้น ทั้งภายนอกและภายใน

เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงว่า เมื่อไม่เอาความมีตัวตน คน สัตว์ เรา เขา เข้าไปเกี่ยวข้อง กับสภาวะที่เกิดขึ้น จะทำให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุปัจจัย ของสิ่งๆนั้นเอง


ภายนอก หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้น ในชีวิต เป็นการกระทำเพื่อ ดับเหตุของการเกิด ภพชาติปัจจุบัน ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่ คือ ทิฏฐิกิเลส ความยึดมั่นถือมั่น ในทิฏฐิของตน ที่เกิดจาก ตัณหา ความทะยานอยาก ที่เกิดจาก โลภะ โทสะ โมะ เป็นแรงหนุนนำ ให้เกิดการกระทำ


ภายใน ขณะจิต เป็นสมาธิอยู่ เพื่อไม่ให้ยึดติดกับสภาวะที่เกิดขึ้น เมื่อไม่ยึด ย่อมไม่หลงสภาวะ สภาวะย่อมดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

เมื่อมีการยึดติด ย่อมทำให้หลงสภาวะ ติดกับอยู่กับอุปกิเลส สภาวะย่อมหยุดชะงักงันอยู่แค่นั้น

การเทียบเคียงการปฏิบัติ ต้องเทียบเคียงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

คำสอนของพระพุทธเจ้า มีแต่สอนเรื่อง กระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ ดับเหตุของการเกิด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 02 ธ.ค. 2013, 08:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 08:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:
อ้างคำพูด:
ถามปัญหาง่ายๆกับโฮฮับ.......การรู้ทันสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในชีวิตประจำวันและแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดจะเข้ามาถึงได้เป็น วิญญาณหรือ สติ กันแน่ ผู้คนเขาเรียกการรู้ทันอันนี้ ว่า สติ หรือเรียกว่าวิญญาณ อย่างที่โฮฮับรู้และเข้าใจมาผิดๆ

:b34:
ตอบคำถามนี้มาก่อนนะโฮฮับ
:b40:

รู้ทันสิ่งต่างๆ ......เราต้องรู้ด้วยจิตตัวรู้ จิตตัวรู้คือ....วิญญาน

การรู้ทันหมายถึงรู้ถึงสิ่งที่มากระทบหรือเรียกว่าผัสสะ ผัสสะเกิดที่ทวารใด
ก็ให้รู้ทันทวารนั้น แบบนี้จึงเรียก รู้ทันปัจจุบันอารมณ์

สติไม่ใช่จิตผู้รู้ สติเป็นเพียงอาการของจิต เป็นเจตสิก
สติจะเกิดได้นั้น จะต้องมีจิตหรือวิญญานเกิดร่วมด้วยเสมอ

และต้องมีการกำหนดรู้ไว้ก่อน อย่างเช่น...
เราจะกำหนดรู้อยู่ที่จักษุทวาร นั้นคือตั้งใจมองแต่สิ่งที่มากระทบทางตา
เป็นแบบนี้แล้วถ้ามีอะไรมากระทบทางตาก็รู้ทันด้วยจิตตัวรู้หรือวิญญาน

แต่ด้วยธรรมชาติของจิตหรือวิญญาน มักจะถูกกิเลสเข้าครอบงำ
ทำให้จิตเกิดความหลงเรียกว่า.......โมหะ
ความหลงหรือโมหะ ก็คือ อาการที่จิตไม่ได้อยู่กับทวารที่จิตกำหนดรู้ไว้
นั้นก็คือตา อาจจะไปอยู่ที่ใจ(คิด)หรือทวารส่วนอีก

เป็นเพราะเหตุนี้ เราจึงต้องอาศัยสติ เพื่อเรียกอดีตกลับมา
นั้นก็คือทำให้จิตกลับไปอยู่ที่ทวารตัวเดิม ก็คือตานั้นเอง

สติและโมหะไม่ใช่จิต จิตคือวิญญาน สติและโมหะเป็นเพียงอาการของจิต
อาการของจิตหรือเรียกอีกอย่างว่า เจตสิก มันเป็นเพียงสิ่งที่จิตไปรู้
เมื่อจิตไปรู้อาการใดหรือรู้เจตสิกตัวใด เราเรียกการรู้นั้นว่า...ปัจจุบันอารมณ์
แต่เหตุที่ทำให้เกิดสติ ไม่ใช่ปัจจุบันมันเป็นอดีตหรือสัญญา


การจะเข้าใจเรื่องจิต เจตสิก รูป บุคคลนั้นจะต้องมีดวงตาเห็นธรรม
นั้นก็คือได้เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงเสียก่อน ที่สำคัญต้องเข้าใจว่า
สภาวธรรมเป็นสังขาร มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปตลอดเวลา
ตัวปัจจุบันอารมณ์ จะเกิดได้ต้องอาศัยการกำหนดรู้
ถ้าไม่กำหนดรู้ไว้ก่อน ความหมายของปัจจุบันอารมณ์ มันก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
เพราะอารมณ์เป็นเพียงสังขาร มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในทันทีทันใด
เรียกว่า เกิดแล้วก็ดับเลย

:b17:
ตอบมาเสียยาวยืดเลยนะครับ แต่ก็ยังแสดงว่าโฮฮับไม่รู้จักหน้าที่ของสติอย่างครบถ้วนอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ

ถามง่ายๆอีกสักข้อก่อน

คำว่า "ทัน" เนี้ยะ เข้าใจไหม ว่าสภาวธรรมจริงๆนั้นมันเป็นอย่างไร?

คุณเคยวิ่งแข่งกันกับเพื่อนๆไหม เวลาวิ่งตาม เป็นอย่างไร? .......เวลาวิ่งทัน เป็นอย่างไร?.....เวลาวิ่งแซงได้แล้วเป็นอย่างไร?

ความรู้ผัสสะนั้น วิญญาณรู้ก่อนนั่นถูกแล้ว.......แต่ผู้ที่ตามมารู้ทันนั้นคือสติและปัญญาเป็นเจตสิกหรือเงาที่ซ้อนตามหลังเข้ามาทันทียังไม่มีเจตสิกตัวอื่นแทรก อย่างนี้แหละที่เรียกว่า "รู้ทันปัจจุบันอารมณ์" เป็นงานและหน้าที่ของสติโดยแท้.....

ถามอีกหน่อยว่า...วิญญาณนั้นนะ ไปรู้นามขันธ์เช่นเดียวกับมันอีก 3 ขันธ์หรือเปล่า คือ เวทนา สัญญา สังขาร

วิญญาณรู้ หรือ สติ ปัญญาเป็นผู้รู้กันแน่คุณเคยภาวนาดูสภาวะจริงๆแล้วหรือยัง

ถ้ารู้ทันปัจจุบันไม่มี ที่คุณเดินไปมาขับรถเลี่ยวขวาซ้ายหรือตรงไปได้ไม่ชนใครนี่ เป็นวิญญาณหรือที่ควบคุมสั่งการให้ไม่ชนใคร

หรือเป็นสติกันแน่ ที่เห็นรถ หรือคนข้างหน้าสวนมา แล้วสติก็สั่งการให้กายหลบหลีก คุณเอาวิญญาณไปสั่งหรือ
ระวังจะเหลือแต่วิญญาณนะถ้าใช้สติไม่เป็น


เพราะใช้สติไม่เป็นไม่ถูกต้องอย่างนี้ คุณโฮฮับจะปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาไปให้ก้าวหน้าไม่ได้ เพราะไม่รู้จักการสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์.....รู้แต่พิจารณา อดีต อนาคต จึงคงยังต้องฟุ้งอยู่ในบัญญัติ ปริยัติอย่างเช่นทุกวันนี้

ไม่เห็นอาการป่วยของตนเองหรือ ที่จะวิตกวิจารณ์อะไร ก็ต้องอธิบายยาวๆ ยกตัวอย่างมามากมายล้วนแล้วแต่คัดลอกในคัมภีร์มาอ้างมาตอบ พิมพ์เสียจนเมื่อยมือเมื่อยตาทุกวัน

พูดสั้นๆแต่ได้ใจความเป็นไหม? บัณฑิตนั่นเขาทำให้ยาวเป็นสั้น มากเป็นน้อย ยากเป็นง่าย เอาสิ่งที่อยู่ในกายในใจ หรือใกล้ตัวใกล้มือมาแสดงเป็นธรรมะได้หมด อุปมาอุปมัยกับอะไรก็ได้ที่ใกล้ตัว ไม่ต้องคอยไปค้นพระสูตร พระธรรม พระวินัย ทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์มาตอบ

พระธรรมทั้งหมดนั้นเขาศึกษาแล้วก็จับประเด็น สรุปขั้นตอนวิธีการ จนได้หลักการและหัวใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามาไว้ใช้เป็นคู่มือ หลักยึด ประพฤติปฏิบัติแล้วลงมือทำ พิสูจน์ทำเลย ไม่มัวแต่ไปท่องอยู่ในคัมภีร์เอาแต่ความรู้ในคัมภีร์ มาแสดง สนทนา โต้ตอบอวดภูมิรู้ของตนเอง

คัมภีร์เล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบนี่ อ่านจบหรือยัง เอามาใช้ประโยชน์เป็นหรือเปล่า โฮฮับ

:b34: :b34: :b34:
:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 08:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b13: :b13: :b13:
อ้างคำพูด:
ความเคยชิน จะแสดงออกมาทางคำพูด แต่ผู้พูด มักจะไม่รู้ตัว

ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า สันดาน

คือ สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล



ถึงแม้จะมีคำติติงจากผู้อื่น ก็ไม่ยอมรับ

เหตุจาก อวิชชาที่มีอยู่ กิเลสที่เกิดขึ้นในใจ มีมากกว่ากำลังสติที่เกิดขึ้น
ทำให้กิเลสที่เกิดขึ้น บดบังสภาวะ ไม่ให้เห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นของสภาวะ






คำพูดบางคำพูด บอกตามตรง คำยกยอปอปั้น บางครั้ง กระทบแล้ว รู้สึกเลี่ยนจริงๆ

ซึ่งก็เป็นนิสัยหรือสันดานของบุคคลบางจำพวก ที่ติดนิสัย ชอบใช้คำพูดยกยอปอปั้น

อย่ามาเสียเวลาเที่ยวอนุโมทนากับผู้อื่น

ควรอนุโมทนากับตัวเองจะดีกว่า

ควรอนุโมทนา ที่ได้เกิดมาเป็นพระพุทธ และยังทันคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้

แฉลบไปได้แบบลนลานเลยนะคุณวลัยพร

ไม่ยอมตอบคำถามแต่เฉไฉไปในเรื่องอื่น ที่แกมไปด้วยปฏฺิฆะ อนิษฐารมณ์

ถามว่าทำได้อย่างที่ลอกเลียนข้อธรรมมายกอ้างสอนคนอื่นนั้นหรือยัง

แล้วไอ้ที่คาดแดงให้ดูตอนท้ายนั้นนะ แก้ไขไหม่ได้ไหม ลนลานตอบเกินไปหรือเปล่าจึงพิมพ์มาเช่นนั้น

ควรอนุโมทนา ที่ได้เกิดมาเป็นพระพุทธ

โมหะครอบงำใจตนเองอยู่หรือเปล่าจึงทำสิ่งที่ไม่ควรทำเหมือนโยนบาปให้ผู้อื่นเช่นนั้น

แก้ไขก่อนนะครับ แล้วก็ตอบคำถามสั้นๆที่ถามให้ได้เสียก่อนนะครับ จึงค่อยสนทนากันต่อไป

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:



แก้ไขก่อนนะครับ แล้วก็ตอบคำถามสั้นๆที่ถามให้ได้เสียก่อนนะครับ จึงค่อยสนทนากันต่อไป[/color]
:b8:





อ่านคราใด ฮ๊า ฮา หลงตัวเองชะมัด


ฉานจะตอบ หรือไม่ตอบ มานก็เรื่องของฉาน

ส่วนคุณจะสนทนากับฉานหรือไม่ ฉานไม่ใส่ใจหรอก


โอ๊ยยยยย ข้อยล่ะฮาจริงๆ :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


"ควรอนุโมทนา ที่ได้เกิดมาเป็นคน" :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 08:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในสมองมันอัดแน่นไปด้วยอกุศลจิต
คิดมาแต่ละทีมีแต่อกุศลทั้งนั้น
ในสมองไม่มีช่องว่างให้กุศลจิตเกิดขึ้นได้ แม้เพียงนิดหน่อยก็ไม่มีเลย

เศร้า !!!!!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


การสนทนา ไม่ว่าจะสนทนากันแบบใด เป็นเรื่องของ เหตุปัจจัยที่มีต่อกัน

เมื่อเข้ามาอ่าน ไม่ควรนำเก็บไปสร้างเหตุแห่งทุกข์ ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง

สิ่งใดที่คิดว่า นำไปสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับตน ก็เก็บเกี่ยวไป

หากเห็นแล้ว พาจิตใจลงต่ำ ก็อย่าไป เอามันมาเป็นอารมณ์

เพราะ ทุกคนล้วนไม่แตกต่างกัน ไม่มีใครดีกว่าใคร
ทุกคนมีค่าของความเป็นคนเท่าๆกัน


การสนทนาก็เช่นเดียว ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน
ถ้าทำถูกตามกฏกติกาของเว็บบอร์ดที่มีไว้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
ในสมองมันอัดแน่นไปด้วยอกุศลจิต
คิดมาแต่ละทีมีแต่อกุศลทั้งนั้น
ในสมองไม่มีช่องว่างให้กุศลจิตเกิดขึ้นได้ แม้เพียงนิดหน่อยก็ไม่มีเลย

เศร้า !!!!!




ธรรมะ เดี๋ยวกุศลบ้าง อกุศลบ้าง อพยากฤตบ้าง เกิด ดับ ตามเหตุตามปัจจัย


ถ้ากำหนดรู้อกุศลตามความเป็นจริงขณะนั้นก็เป็นกุศลได้นะครับ
อกุศลเป็นปัจจัยให้กุศลเกิดได้ ด้วยอารัมณปัจจัย

เช่น ความเศร้านี่เป็นโทมนัสเวทนาที่เกิดกับโทสะมูลจิต
เราก็กำหนดรู้ตามความเป็นจริงครับ เศร้าหนอ เศร้าหนอๆ

:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 08:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
อ้างคำพูด:
คำว่า...สังเกตุก็คือการทำวิปัสสนาในหลักของการปฏิบัติเพื่อให้เกิด ไตรลักษณ์
เมื่อเกิดไตรลักษณ์ ตัวไตรลักษณ์นี้โดยสภาวธรรมมันคือ.....ปัญญา

เมื่อมีปัญญาหรือไตรลักษณ์ ก็เอาปัญญานี้ไปใช้ร่วมกับความคิด เพื่อพิจารณาธรรม
ความคิดหรือการพิจารณาธรรมที่ใช้ปัญญาร่วมด้วย ท่านเรียกการพิจารณาธรรมนี้ว่า...ธัมมวิจยะ

ซึ่งโดยรวมแล้ว ทั้งหมดเป็นหลักอยู่ในโพชฌงค์๗ หลักของโพชฌงค์๗คือ
การเอาสติปัญญามาพิจารธรรมอันเกิดจาก กาย วาจา ใจ เพื่อวางอุเบกขา

ผลจากการวางอุเบกขา จะทำให้เกิดมรรคสมังคีหรืออริยมรรคมีองค์๘

:b16:
ที่โฮฮับพยายามจะอธิบายธรรมตามที่อ้างอิงมานี้ก็พอฟังได้บ้างเป็นบางส่วน

แต่มีที่มันทะแม่งๆ ผิดธรรมก็ดังเช่นข้อความที่คาดสีไว้

การปฏิบัติเพื่อให้เกิด ไตรลักษณ์

การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา นี่ทำให้เกิด ไตรลักษณ์ ใช่หรือ?

ไม่ใช่การทำให้สติปัญญาให้รู้เห็นไตรลักษณ์ หรือ รู้ธรรมตามความเป็นจริงหรือครับ

คุณใช้บัญญัติผิดธรรมไปหรือเปล่า โปรดแก้ไข
Onion_L
ผลจากการวางอุเบกขา จะทำให้เกิดมรรคสมังคีหรืออริยมรรคมีองค์๘

ผลจากการวางความยินดียินร้าย จึงเป็นเหตุให้เกิด อุเบกขา นี่พอฟังได้ เพราะเมื่ออุเบกขาได้ชำนาญจนเข้าถึง .."สังขารุเปกขาญาณ" ได้ จึงจะเป็นเหตุให้เกิด "มรรคสมังคี"

แต่จะส่งต่อให้เกิดอริยมรรคมีองค์ 8 นี้ เป็นเรื่องกลับข้างในทางธรรมเสียแล้ว อันนี้แหละที่บอกว่าคุณโฮฮับรู้และตีความหมายมาผิด

อริยมรรคมีองค์ 8 นั้น เป็นทางดำเนินของปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชน มีการเรียงลำดับไว้ดี ว่า ปัญญา(มรรค)....ศีล(มรรค)....สมาธิ(มรรค)....พระบรมศาสดาทรงเอาปัญญามรรคขึ้นหน้าก่อน และทรงเน้นที่มรรคตัวที่ 1 คือ "สัมมาทิฏฐิปัญญามรรค เพราะถ้ามรรคข้อที่ 1 เป็นสัมมาเสียแล้ว มรรคตัวที่เหลือก็จะเป็นสัมมาตามกันหมด แต่ถ้ามรรคตัวที่ 1 ผิดแต่เริ่มต้น มรรคที่เหลืออีก 7 ข้อ ก็จะผิดตามกันหมด (อย่างเช่นที่โฮฮับกำลังเป็นอยู่ขณะนี้)

การทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นนั้น ต้องอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องปัญญา 3

1.สุตตมยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการฟังการศึกษา จะมาแก้ความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นความเห็นถูกต้อง สัมมาทิฏฐิ ก่อนเป็นเบื้องต้น นี่เรียกว่าเห็นถูกต้องโดยทฤษฎีก่อน

2.จินตมยปัญญา จะมาคิดพิจารณา วิจารณ์ วิจัย ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เรื่องอริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา นั้น เรื่องสัมมาทิฏฐิที่พระพุทธองค์ทรงสอนจนเห็นจริงเห็นจังเห็นถูกต้องด้วยความคิด เป็น เห็นถูกต้องระดับที่ 2 อันจะส่งให้ศรัทธามีพละกำลังมากจนน้อมนำไปสู่การทำให้เกิดปัญญาที่ 3 คือ

3.ภาวนามยปัญญา....ปัญญาที่เกิดจากการลงมือทำจริง พิสูจน์ธรรม คือลงมือเดินทางไปตามมัชฌิมาปฏิปทาอริยมรรคมีองค์ 8 โดยเอาปัญญานำหน้า สติเป็นผู้นำทางและคอยตามสนับสนุน โดยมีสมาธิและศีลมรรคทั้ง 3 ข้อ เป็นกองหนุน เป็นรากฐานรองรับไว้ไม่ให้ตกไปสู่ที่ต่ำ ไม่ให้แฉลบตกข้างทาง เดินไปกลางๆ จนถึงที่หมายคือ พระนิพพานอันเป็นบรมสุข

โพธิปักขิยะธรรมทั้ง 37 ประการนั้นคือหลักธรรม ประมวลธรรมที่สำคัญ ที่รู้แล้ว จำได้ เข้าใจความหมายอย่างละเอียดลึกซึ้ง ทุกข้อ แล้วนำมาลงมือประพฤติปฏิบัติ ทั้่งหมดนั้นแหละรวมเรียกว่าการเจริญมรรค 8 ชื่อย่อเรียกว่า การเจริญวิปัสสนาภาวนา

ย่อลงไปให้สั้นกว่านั้นเป็นเทคนิคปฏิบัติก็คือ


"ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิธรามนุพรูหเย"

แปลว่าอะไรโฮฮับผู้เชี่่ยวชาญในคัมภีร์ไปหาความหมายที่ถูกต้องลึกซึ้งเอาเองนะครับ
:b8:
onion onion onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร