วันเวลาปัจจุบัน 25 มิ.ย. 2025, 13:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2013, 23:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b14:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ.......ท๊ากสิน......โฮ่งๆๆๆๆๆ ท๊ากสินแฮ่ๆๆๆๆๆๆ

:b10:
ปเสียแล้วหรือโฮฮับ มานั่งเห่าท่านทักษิณในกระทู้เสียแล้ว

นี่แหละที่บอกว่าโฮฮับฟั่นเฟือน ชอบบิดเบือนธรรมและเรื่องราวมาชักใบให้เรือเสีย
ทำกระทู้ดีๆที่กำลังจะเดินไปตามทางที่สงบเย็น มาเป็นกระทู้ร้อนแตกประเด็น แตกกระเซ้นกระซ่านไปหมด

:b7:


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 06 ธ.ค. 2013, 23:53, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2013, 23:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5016


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

ถ้าไม่ต้องคอยระแวดระวังก็ดีเน๊าะ นิวรณ์เนี๊ยะ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2013, 01:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s006
ท่านนักสนทนาธรรมทั้งหลาย เคยลองทดสอบพิสูจน์ตัเองดูบ้างไหมว่า ในขณะที่เรามีความรู้ภาคทฤษฎีธรรมะกันมากมาย ถกเถียงสนทนาธรรม อ้างสูตร อ้างคัมภีร์มาอธิบายกันได้อย่างคล่องแคล่ว พูดปริยัติ ปรมัตถธรรม อภิธรรมกันจนบรรลุถึงนิพพานด้วยความคิด ไม่ติดขัด

แต่พอลงมือนั่งทำภาวนากันจริงๆ ครึ่งชั่วโมงก็แล้ว....1 ชั่วโมงก็แล้ว กายสังขารก็ไม่สงบ สยบนิวรณื 5 ก็ไม่ลง ความคิดนึก ฟุ้งปรุงไม่อาจหยุด

ท่านนักสนทนาธรรมทั้งหลาย เป็นอย่างนี้กันบ้างไหมครับ..

ท่านใดทำความสงบรำงับได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ขออนุโมทนาสาธุ
:b27:
แต่หากว่ายังทำไม่ได้.................อะไรหนอเป็นเหตุ
s004


ความเพลิดเพลินในธรรมปรุงแต่ง ความไม่สลัดออก ความไม่มีจิตตั้งมั่น ความขาดความเพียรอันเป็นกุศล เป็นเหตุ

ที่พิจารณาอยู่ก็มีการทำอารมณ์ให้เกิดความสลดใจในสังขาร ทั้งเราทั้งเขา เกิดแก่เจ็บตาย หาทางสลัดความเพลิดเพลินออกไปครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2013, 06:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b14:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ.......ท๊ากสิน......โฮ่งๆๆๆๆๆ ท๊ากสินแฮ่ๆๆๆๆๆๆ

:b10:
ปเสียแล้วหรือโฮฮับ มานั่งเห่าท่านทักษิณในกระทู้เสียแล้ว

นี่แหละที่บอกว่าโฮฮับฟั่นเฟือน ชอบบิดเบือนธรรมและเรื่องราวมาชักใบให้เรือเสีย
ทำกระทู้ดีๆที่กำลังจะเดินไปตามทางที่สงบเย็น มาเป็นกระทู้ร้อนแตกประเด็น แตกกระเซ้นกระซ่านไปหมด

:b7:


นี่แหล่ะที่บอกว่า โสกะสติแตก สมาธิกระเจิง มิหน่ำซ้ำบิดเบื้อนความเห็นคนอื่น
เอะอะก็โวยวาย แทนที่จะดูสาเหตุว่ามันมาจากไหน

กลับไปดูซิว่าจุดเริ่มต้นมันมาจากใคร มันเป็นบิกหื่นหรือเปล่า
ที่เข้ามาเคล้าเคลียดักหน้าดักหลัง จนผมต้องตวาดสั่งสอน

ผมมีสติปัญญาพอครับ จะแสดงความเห็นครั้งใด
ผมต้องอ้างอิงในสิ่ง ที่จะแสดงความเห็นเสมอ
ผิดกับคุณครับโสกะ ชอบพูดจาเรื่อยเปลือย หาประเด็นความไม่ได้
นิสัยชอบอ้าง พอถูกขอหลักฐาน ก็ตะแบงเหมือนคนเสียสติ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2013, 06:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b14:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ.......ท๊ากสิน......โฮ่งๆๆๆๆๆ ท๊ากสินแฮ่ๆๆๆๆๆๆ

:b10:
ปเสียแล้วหรือโฮฮับ มานั่งเห่าท่านทักษิณในกระทู้เสียแล้ว

นี่แหละที่บอกว่าโฮฮับฟั่นเฟือน ชอบบิดเบือนธรรมและเรื่องราวมาชักใบให้เรือเสีย
ทำกระทู้ดีๆที่กำลังจะเดินไปตามทางที่สงบเย็น มาเป็นกระทู้ร้อนแตกประเด็น แตกกระเซ้นกระซ่านไปหมด

:b7:


นี่แหล่ะที่บอกว่า โสกะสติแตก สมาธิกระเจิง มิหน่ำซ้ำบิดเบื้อนความเห็นคนอื่น
เอะอะก็โวยวาย แทนที่จะดูสาเหตุว่ามันมาจากไหน

กลับไปดูซิว่าจุดเริ่มต้นมันมาจากใคร มันเป็นบิกหื่นหรือเปล่า
ที่เข้ามาเคล้าเคลียดักหน้าดักหลัง จนผมต้องตวาดสั่งสอน

ผมมีสติปัญญาพอครับ จะแสดงความเห็นครั้งใด
ผมต้องอ้างอิงในสิ่ง ที่จะแสดงความเห็นเสมอ
ผิดกับคุณครับโสกะ ชอบพูดจาเรื่อยเปลือย หาประเด็นความไม่ได้
นิสัยชอบอ้าง พอถูกขอหลักฐาน ก็ตะแบงเหมือนคนเสียสติ :b32:
โฮฮับ หายใจเข้าออกลึกๆนะ รับรู้ความรู้สึกทั่วร่างกายเมื่อไหร่แล้ว (เราจะเป็นผุ้รู้พร้อมกายทั้งปวง)แอดมานะจะบอกวิธีดับกายสังขารให้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2013, 14:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b14:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ.......ท๊ากสิน......โฮ่งๆๆๆๆๆ ท๊ากสินแฮ่ๆๆๆๆๆๆ

:b10:
ปเสียแล้วหรือโฮฮับ มานั่งเห่าท่านทักษิณในกระทู้เสียแล้ว

นี่แหละที่บอกว่าโฮฮับฟั่นเฟือน ชอบบิดเบือนธรรมและเรื่องราวมาชักใบให้เรือเสีย
ทำกระทู้ดีๆที่กำลังจะเดินไปตามทางที่สงบเย็น มาเป็นกระทู้ร้อนแตกประเด็น แตกกระสานซ่านเซ็นไปหมด

:b7:


นี่แหล่ะที่บอกว่า โสกะสติแตก สมาธิกระเจิง มิหน่ำซ้ำบิดเบื้อนความเห็นคนอื่น
เอะอะก็โวยวาย แทนที่จะดูสาเหตุว่ามันมาจากไหน

กลับไปดูซิว่าจุดเริ่มต้นมันมาจากใคร มันเป็นบิกหื่นหรือเปล่า
ที่เข้ามาเคล้าเคลียดักหน้าดักหลัง จนผมต้องตวาดสั่งสอน

ผมมีสติปัญญาพอครับ จะแสดงความเห็นครั้งใด
ผมต้องอ้างอิงในสิ่ง ที่จะแสดงความเห็นเสมอ
ผิดกับคุณครับโสกะ ชอบพูดจาเรื่อยเปลือย หาประเด็นความไม่ได้
นิสัยชอบอ้าง พอถูกขอหลักฐาน ก็ตะแบงเหมือนคนเสียสติ :b32:

:b12: :b12: :b12:

อ้างคำพูด:
โฮฮับ.......ท๊ากสิน......โฮ่งๆๆๆๆๆ ท๊ากสินแฮ่ๆๆๆๆๆๆ

:b32: :b32:
:b13: :b13: :b13:
ผมก็อ้างอิงอย่างทีโฮฮับอ้างอิงมาเหมือนกัน ทำตัวหนังสือตัวโต ๆ คาดสีแดงไว้ด้วยไม่เห็นหรือครับ
:b34: :b34: :b34:

อ้างคำพูด:
โฮฮับ.....ชอบพูดจาเรื่อยเปลือย


นี่ก็อีกเหมือนกัน แสดงความขาดสติเพราะโมหะ ปฏิฆะ ครอบงำใจ ใครเขาพูดจาเรื่อยเปื่อย อย่างโฮฮับกัน

แถมยังจะเอาเรื่อง
เปลือยๆ มาพูดในลานธรรมจักรแห่งนี้อีกด้วย มันไม่เหมาะสมนะครับโฮฮับ โปรดพิจารณา
:b34: :b34: :b34:
่คุณ Amazing เขาเข้ามาให้สติ ปลุกสัมปชัญญะ ตั้งหลายครั้ง ยังไม่รู้ตัวอีกหรือครับ มีดยาวจริงๆนะ คนโทสะ+โมหะจริตนี่
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2013, 07:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ครูบาบุญชุ่ม.jpg
ครูบาบุญชุ่ม.jpg [ 72.85 KiB | เปิดดู 4100 ครั้ง ]
student เขียน:
asoka เขียน:
s006
ท่านนักสนทนาธรรมทั้งหลาย เคยลองทดสอบพิสูจน์ตัเองดูบ้างไหมว่า ในขณะที่เรามีความรู้ภาคทฤษฎีธรรมะกันมากมาย ถกเถียงสนทนาธรรม อ้างสูตร อ้างคัมภีร์มาอธิบายกันได้อย่างคล่องแคล่ว พูดปริยัติ ปรมัตถธรรม อภิธรรมกันจนบรรลุถึงนิพพานด้วยความคิด ไม่ติดขัด

แต่พอลงมือนั่งทำภาวนากันจริงๆ ครึ่งชั่วโมงก็แล้ว....1 ชั่วโมงก็แล้ว กายสังขารก็ไม่สงบ สยบนิวรณื 5 ก็ไม่ลง ความคิดนึก ฟุ้งปรุงไม่อาจหยุด

ท่านนักสนทนาธรรมทั้งหลาย เป็นอย่างนี้กันบ้างไหมครับ..

ท่านใดทำความสงบรำงับได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ขออนุโมทนาสาธุ
:b27:
แต่หากว่ายังทำไม่ได้.................อะไรหนอเป็นเหตุ
s004


ความเพลิดเพลินในธรรมปรุงแต่ง ความไม่สลัดออก ความไม่มีจิตตั้งมั่น ความขาดความเพียรอันเป็นกุศล เป็นเหตุ

ที่พิจารณาอยู่ก็มีการทำอารมณ์ให้เกิดความสลดใจในสังขาร ทั้งเราทั้งเขา เกิดแก่เจ็บตาย หาทางสลัดความเพลิดเพลินออกไปครับ

:b8:
smiley
tongue
สาธุ....กับคำอธิบายเพิ่มเติมของคุณ Student ครับ
:b44:
อะไรหนอเป็นเหตุ?....
:b10:
เหตุแห่งการที่สงบ สยบ หรือขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ออกไม่ได้

1.ปัญญาไม่เพียงพอ.....จึงไม่รู้วิธีเอาชนะนิวรณ์ธรรม
แก้ไขได้โดยต้องพบและศึกษาจากกัลยาณมิตรผู้เคยประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ แล้วนำความรู้นั้นมาลงมือปฏิบัติ

2.สมาธิ ไม่ถึงที่....จึงกำหราบนิวรณ์ธรรมไม่ลง....
แก้ไขได้โดย เพิ่มวิริยะ ความเพียร ในการเจริญทั้งสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา
:b48:
3.มีขยะความรู้ความคิดอยู่เป็นจำนวนมากที่เป็นภาระ รอการชำระและต้องเสียเวลามากในการชำระ (1 - 3 ชั่วโมงของการนั่งเจริญวิปัสสนาภาวนา หรือบางครั้งก็ต้องนั่งภาวนาอยู่หลายบันลังก์)
:b43:
ทุกๆวันในชีวิตประจำวันเรามีการเก็บข้อมูลอันเป็นขยะเข้าสู่ใจเกือบตลอดเวลา เพราะการที่สติ ปัญญาไม่อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ จึงเกิดกรรมและวิบากตลอดเวลาเช่นกัน....ถ้าสติปัญญาทันปัจจุบัน ยินดียินร้ายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากมีผัสสะของทวารทั้ง 6 ทุกเรื่องก็จะเป็นอโหสิกรรมไม่เก็บลงไว้ในถังขยะใจ
:b39:
การชำระขยะใจขอให้ไปอ่านดูได้จากกระทู้ "ถังขยะใจ" ครับ
:b36:
:b38:
:b37:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2013, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
student เขียน:
asoka เขียน:
s006
ท่านนักสนทนาธรรมทั้งหลาย เคยลองทดสอบพิสูจน์ตัเองดูบ้างไหมว่า ในขณะที่เรามีความรู้ภาคทฤษฎีธรรมะกันมากมาย ถกเถียงสนทนาธรรม อ้างสูตร อ้างคัมภีร์มาอธิบายกันได้อย่างคล่องแคล่ว พูดปริยัติ ปรมัตถธรรม อภิธรรมกันจนบรรลุถึงนิพพานด้วยความคิด ไม่ติดขัด

แต่พอลงมือนั่งทำภาวนากันจริงๆ ครึ่งชั่วโมงก็แล้ว....1 ชั่วโมงก็แล้ว กายสังขารก็ไม่สงบ สยบนิวรณื 5 ก็ไม่ลง ความคิดนึก ฟุ้งปรุงไม่อาจหยุด

ท่านนักสนทนาธรรมทั้งหลาย เป็นอย่างนี้กันบ้างไหมครับ..

ท่านใดทำความสงบรำงับได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ขออนุโมทนาสาธุ
:b27:
แต่หากว่ายังทำไม่ได้.................อะไรหนอเป็นเหตุ


ความเพลิดเพลินในธรรมปรุงแต่ง ความไม่สลัดออก ความไม่มีจิตตั้งมั่น ความขาดความเพียรอันเป็นกุศล เป็นเหตุ

ที่พิจารณาอยู่ก็มีการทำอารมณ์ให้เกิดความสลดใจในสังขาร ทั้งเราทั้งเขา เกิดแก่เจ็บตาย หาทางสลัดความเพลิดเพลินออกไปครับ



สาธุ....กับคำอธิบายเพิ่มเติมของคุณ Student ครับ

อะไรหนอเป็นเหตุ?....
เหตุแห่งการที่สงบ สยบ หรือขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ออกไม่ได้

1.ปัญญาไม่เพียงพอ.....จึงไม่รู้วิธีเอาชนะนิวรณ์ธรรม
แก้ไขได้โดยต้องพบและศึกษาจากกัลยาณมิตรผู้เคยประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ แล้วนำความรู้นั้นมาลงมือปฏิบัติ

2.สมาธิ ไม่ถึงที่....จึงกำหราบนิวรณ์ธรรมไม่ลง....
แก้ไขได้โดย เพิ่มวิริยะ ความเพียร ในการเจริญทั้งสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา
:b48:
3.มีขยะความรู้ความคิดอยู่เป็นจำนวนมากที่เป็นภาระ รอการชำระและต้องเสียเวลามากในการชำระ (1 - 3 ชั่วโมงของการนั่งเจริญวิปัสสนาภาวนา หรือบางครั้งก็ต้องนั่งภาวนาอยู่หลายบันลังก์)
:b43:
ทุกๆวันในชีวิตประจำวันเรามีการเก็บข้อมูลอันเป็นขยะเข้าสู่ใจเกือบตลอดเวลา เพราะการที่สติ ปัญญาไม่อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ จึงเกิดกรรมและวิบากตลอดเวลาเช่นกัน....ถ้าสติปัญญาทันปัจจุบัน ยินดียินร้ายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากมีผัสสะของทวารทั้ง 6 ทุกเรื่องก็จะเป็นอโหสิกรรมไม่เก็บลงไว้ในถังขยะใจ

การชำระขยะใจขอให้ไปอ่านดูได้จากกระทู้ "ถังขยะใจ" ครับ


ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีตุ๊เจ้าทางภาคเหนือเนี่ย พรหมน้ำมนต์สลัดๆกำหญ้าคา มีพระธาตุร่วงกราว คนแย่งกันใหญ่ ระยะนี้เงียบๆไป คุณอโศกได้ยินข่าวไหมขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2013, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เหตุแห่งการที่สงบ สยบ หรือขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ออกไม่ได้

1.ปัญญาไม่เพียงพอ.....จึงไม่รู้วิธีเอาชนะนิวรณ์ธรรม
แก้ไขได้โดยต้องพบและศึกษาจากกัลยาณมิตรผู้เคยประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ แล้วนำความรู้นั้นมาลงมือปฏิบัติ

2.สมาธิ ไม่ถึงที่....จึงกำหราบนิวรณ์ธรรมไม่ลง....
แก้ไขได้โดย เพิ่มวิริยะ ความเพียร ในการเจริญทั้งสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา
:b48:
3.มีขยะความรู้ความคิดอยู่เป็นจำนวนมากที่เป็นภาระ รอการชำระและต้องเสียเวลามากในการชำระ (1 - 3 ชั่วโมงของการนั่งเจริญวิปัสสนาภาวนา หรือบางครั้งก็ต้องนั่งภาวนาอยู่หลายบันลังก์)




คุณasoka สับสนระหว่าง สมถะ กับ วิปัสสันา หรือเปล่า?

เพราะ ตามที่คุณแสดงข้อคิดเห็นมา ตามที่วลัยพร นำมาอ้างอิงนี้ เป็นเรื่องของ สมถะ

ยิ่งพูดเรื่อง การภาวนาหลายบัลลังก์ เท่ากับเน้นเรื่อง สมถะ


คุณควรศึกษาเพิ่มเติมนะว่า สภาวะวิปัสสนาแท้จริงแล้ว เป็นอย่างไร?

ที่คุณนำมาแสดงนั้น ไม่ใช่สภาวะของการทำวิปัสสนา
แต่เป็นเรื่องของ สมถะ หรือ จุดประสงค์ ของการทำเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ



วิปัสสนา

ไม่ใช่เรื่อง หาวิธีเอาชนะนิวรณ์ธรรม

ไม่ใช่เรื่อง กำหราบนิวรณ์ธรรมให้ลง

ไม่ใช่เรื่อง การทำเพื่อ ให้สงบจากนิวรณ์

ไม่ใช่เรื่อง เกี่ยวกับ ขยะความรู้ความคิดอยู่เป็นจำนวนมากที่เป็นภาระ
หรือ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เป็นการรอการชำระและต้องเสียเวลามากในการชำระ

คือ เป็นการกระทำ ที่เป็นการปฏิเสธ สภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง

ส่วนคำเรียกวิปัสสนาต่างๆ ที่มีปรากฏในปัจจุบัน ล้วนมาจาก ทิฏฐิของผู้นำมาสอน



วิปัสสนา หมายถึง การเห็นอันวิเศษ การเห้นแจ้ง การเห็นตามความเป็นจริงของสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น
คือ ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุปัจจัยของสิ่งๆนั้น


การที่จะเห็นแจ้ง ในสภาวะตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ต้องอาศัยแนวทาง ปฏิบัติตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า

นี่คือ สภาวะวิปัสสนา ตามคำสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้
ซึ่งในปัจจุบัน นำมาเรียกว่า ไตรลักษณ์


วิปัสสนา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
คือข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในรูปอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในเวทนาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสัญญาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในวิญญาณอยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้นเมื่อตามเห็นความไม่เที่ยงในรูป
ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิดความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๔.


ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป ในเวทนา
ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน
ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.



ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;


ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์
ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน
ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.



ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุ เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในรูป อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในสัญญา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตาในสังขาร อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นอนัตตา ในรูป
ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,


เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนาจากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,
ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคต กล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๒/๘๖.



การที่จะเห็นสภาวะตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่า เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จะต้องเกิด การปล่อยวางจากจิต ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

การที่จิตจะเกิดการปล่อยวางลงไปได้ ต้องเจอสภาวะนี้ก่อน คือ ความเบื่อหน่าย

เมื่อเกิดความเบื่อหน่าย ย่อมเป็นเหตุให้ หยุดสร้างเหตุนอกตัวมากขึ้น


ต้องเห็นแบบนี้ จิตจึงจะเกิดการปล่อยวาง จากสภาวะที่เกิดขึ้นเอง ตามเหตุปัจจัย คือ เบื่อหน่าย

ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม.

ธรรมนั้นคือข้อที่ภิกษุ เป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในเวทนา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสัญญา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสังขาร,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในวิญญาณ;

ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ ;

เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป เวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แล้ว,
ย่อมหลุดพ้นจากรูปจากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จาก ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๐/๘๓.



การที่จิตจะเกิดความเบื่อหน่าย ต้องหยุดสร้างเหตุนอกตัวก่อน คือ
ขณะที่มีผัสสะเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
แค่ดู แค่รู้ ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น(ความรู้สึกนึกคิด)
ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

ขณะที่กดข่มใจ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
สภาวะเหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นเอง ตามความเป็นจริง


ภิกษุ ท. ! ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด (นิสฺสารณิยธาตุ) ๕
อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่างอย่างไรเล่า ?

ห้าอย่างคือ :-

ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งกามทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในกามทั้งหลาย ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งเนกขัมมะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในเนกขัมมะ.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดีปราศจาก กามทั้งหลายด้วยดี ;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายอันทำ ความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะกามเป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งกามทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งพ๎ยาบาท,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในพ๎ยาบาท;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอัพ๎ยาบาท,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอัพ๎ยาบาท.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากพ๎ยาบาทด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะพ๎ยาบาทเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งพ๎ยาบาท.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งวิหิงสา,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในวิหิงสา ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอวิหิงสา,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอวิหิงสา,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจาก วิหิงสาด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งวิหิงสา.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งรูปทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในรูปทั้งหลาย ;

แต่เมื่อ ภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอรูป,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอรูป.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากรูปทั้งหลายด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะรูปทั้งหลายเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งรูปทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ
เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งสักกายะ (ความยึดถือว่าตัวตน),
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายะ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งความดับแห่งสักกายะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในความดับแห่งสักกายะ,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากสักกายะด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะสักกายะ เป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่ง สักกายะ.

นันทิ (ความเพลิน) ในกาม ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในพ๎ยาบาท ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในวิหิงสา ก็ไม่นอนตาม (ในจิต)ของเธอ ;
นันทิในรูป ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ ;
นันทิในสักกายะ ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ.

เธอนั้น เมื่อกามนันทิก็ไม่นอนตาม พ๎ยาปาท นันทิก็ไม่นอนตาม วิหิงสานันทิก็ไม่นอนตาม
รูปนันทิก็ไม่นอนตาม สักกายนันทิก็ไม่นอนตาม ดังนี้แล้ว ;

ภิกษุ ท. ! เรากล่าวภิกษุนี้ว่า ปราศจากอาลัยตัดตัณหาขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์ได้แล้ว
กระทำที่สุด แห่งกองทุกข์ได้แล้ว เพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อย่าง.
- ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๒๐๐.




ทั้งหมดนี้ เป็นวิธีการทำ วิปัสสนา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2013, 15:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
student เขียน:
asoka เขียน:
s006
ท่านนักสนทนาธรรมทั้งหลาย เคยลองทดสอบพิสูจน์ตัเองดูบ้างไหมว่า ในขณะที่เรามีความรู้ภาคทฤษฎีธรรมะกันมากมาย ถกเถียงสนทนาธรรม อ้างสูตร อ้างคัมภีร์มาอธิบายกันได้อย่างคล่องแคล่ว พูดปริยัติ ปรมัตถธรรม อภิธรรมกันจนบรรลุถึงนิพพานด้วยความคิด ไม่ติดขัด

แต่พอลงมือนั่งทำภาวนากันจริงๆ ครึ่งชั่วโมงก็แล้ว....1 ชั่วโมงก็แล้ว กายสังขารก็ไม่สงบ สยบนิวรณื 5 ก็ไม่ลง ความคิดนึก ฟุ้งปรุงไม่อาจหยุด

ท่านนักสนทนาธรรมทั้งหลาย เป็นอย่างนี้กันบ้างไหมครับ..

ท่านใดทำความสงบรำงับได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ขออนุโมทนาสาธุ
:b27:
แต่หากว่ายังทำไม่ได้.................อะไรหนอเป็นเหตุ


ความเพลิดเพลินในธรรมปรุงแต่ง ความไม่สลัดออก ความไม่มีจิตตั้งมั่น ความขาดความเพียรอันเป็นกุศล เป็นเหตุ

ที่พิจารณาอยู่ก็มีการทำอารมณ์ให้เกิดความสลดใจในสังขาร ทั้งเราทั้งเขา เกิดแก่เจ็บตาย หาทางสลัดความเพลิดเพลินออกไปครับ



สาธุ....กับคำอธิบายเพิ่มเติมของคุณ Student ครับ

อะไรหนอเป็นเหตุ?....
เหตุแห่งการที่สงบ สยบ หรือขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ออกไม่ได้

1.ปัญญาไม่เพียงพอ.....จึงไม่รู้วิธีเอาชนะนิวรณ์ธรรม
แก้ไขได้โดยต้องพบและศึกษาจากกัลยาณมิตรผู้เคยประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ แล้วนำความรู้นั้นมาลงมือปฏิบัติ

2.สมาธิ ไม่ถึงที่....จึงกำหราบนิวรณ์ธรรมไม่ลง....
แก้ไขได้โดย เพิ่มวิริยะ ความเพียร ในการเจริญทั้งสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา
:b48:
3.มีขยะความรู้ความคิดอยู่เป็นจำนวนมากที่เป็นภาระ รอการชำระและต้องเสียเวลามากในการชำระ (1 - 3 ชั่วโมงของการนั่งเจริญวิปัสสนาภาวนา หรือบางครั้งก็ต้องนั่งภาวนาอยู่หลายบันลังก์)
:b43:
ทุกๆวันในชีวิตประจำวันเรามีการเก็บข้อมูลอันเป็นขยะเข้าสู่ใจเกือบตลอดเวลา เพราะการที่สติ ปัญญาไม่อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ จึงเกิดกรรมและวิบากตลอดเวลาเช่นกัน....ถ้าสติปัญญาทันปัจจุบัน ยินดียินร้ายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากมีผัสสะของทวารทั้ง 6 ทุกเรื่องก็จะเป็นอโหสิกรรมไม่เก็บลงไว้ในถังขยะใจ

การชำระขยะใจขอให้ไปอ่านดูได้จากกระทู้ "ถังขยะใจ" ครับ


ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีตุ๊เจ้าทางภาคเหนือเนี่ย พรหมน้ำมนต์สลัดๆกำหญ้าคา มีพระธาตุร่วงกราว คนแย่งกันใหญ่ ระยะนี้เงียบๆไป คุณอโศกได้ยินข่าวไหมขอรับ


:b9:
ที่กรัชกายถามมา รู้สึกว่าจะไม่ตรงกับประเด็นของกระทู้นี้เลยขออนุญาตไม่ตอบนะครับ
:b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2013, 16:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
เหตุแห่งการที่สงบ สยบ หรือขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ออกไม่ได้

1.ปัญญาไม่เพียงพอ.....จึงไม่รู้วิธีเอาชนะนิวรณ์ธรรม
แก้ไขได้โดยต้องพบและศึกษาจากกัลยาณมิตรผู้เคยประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ แล้วนำความรู้นั้นมาลงมือปฏิบัติ

2.สมาธิ ไม่ถึงที่....จึงกำหราบนิวรณ์ธรรมไม่ลง....
แก้ไขได้โดย เพิ่มวิริยะ ความเพียร ในการเจริญทั้งสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา
:b48:
3.มีขยะความรู้ความคิดอยู่เป็นจำนวนมากที่เป็นภาระ รอการชำระและต้องเสียเวลามากในการชำระ (1 - 3 ชั่วโมงของการนั่งเจริญวิปัสสนาภาวนา หรือบางครั้งก็ต้องนั่งภาวนาอยู่หลายบันลังก์)




คุณasoka สับสนระหว่าง สมถะ กับ วิปัสสันา หรือเปล่า?

เพราะ ตามที่คุณแสดงข้อคิดเห็นมา ตามที่วลัยพร นำมาอ้างอิงนี้ เป็นเรื่องของ สมถะ

ยิ่งพูดเรื่อง การภาวนาหลายบัลลังก์ เท่ากับเน้นเรื่อง สมถะ


คุณควรศึกษาเพิ่มเติมนะว่า สภาวะวิปัสสนาแท้จริงแล้ว เป็นอย่างไร?

ที่คุณนำมาแสดงนั้น ไม่ใช่สภาวะของการทำวิปัสสนา
แต่เป็นเรื่องของ สมถะ หรือ จุดประสงค์ ของการทำเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ



วิปัสสนา

ไม่ใช่เรื่อง หาวิธีเอาชนะนิวรณ์ธรรม

ไม่ใช่เรื่อง กำหราบนิวรณ์ธรรมให้ลง

ไม่ใช่เรื่อง การทำเพื่อ ให้สงบจากนิวรณ์

ไม่ใช่เรื่อง เกี่ยวกับ ขยะความรู้ความคิดอยู่เป็นจำนวนมากที่เป็นภาระ
หรือ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เป็นการรอการชำระและต้องเสียเวลามากในการชำระ

คือ เป็นการกระทำ ที่เป็นการปฏิเสธ สภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง

ส่วนคำเรียกวิปัสสนาต่างๆ ที่มีปรากฏในปัจจุบัน ล้วนมาจาก ทิฏฐิของผู้นำมาสอน



วิปัสสนา หมายถึง การเห็นอันวิเศษ การเห้นแจ้ง การเห็นตามความเป็นจริงของสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น
คือ ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุปัจจัยของสิ่งๆนั้น


การที่จะเห็นแจ้ง ในสภาวะตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ต้องอาศัยแนวทาง ปฏิบัติตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า

นี่คือ สภาวะวิปัสสนา ตามคำสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้
ซึ่งในปัจจุบัน นำมาเรียกว่า ไตรลักษณ์


วิปัสสนา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
คือข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในรูปอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในเวทนาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสัญญาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในวิญญาณอยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้นเมื่อตามเห็นความไม่เที่ยงในรูป
ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิดความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๔.


ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป ในเวทนา
ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน
ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.



ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;


ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์
ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน
ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.



ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุ เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในรูป อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในสัญญา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตาในสังขาร อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นอนัตตา ในรูป
ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,


เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนาจากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,
ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคต กล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๒/๘๖.



การที่จะเห็นสภาวะตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่า เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จะต้องเกิด การปล่อยวางจากจิต ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

การที่จิตจะเกิดการปล่อยวางลงไปได้ ต้องเจอสภาวะนี้ก่อน คือ ความเบื่อหน่าย

เมื่อเกิดความเบื่อหน่าย ย่อมเป็นเหตุให้ หยุดสร้างเหตุนอกตัวมากขึ้น


ต้องเห็นแบบนี้ จิตจึงจะเกิดการปล่อยวาง จากสภาวะที่เกิดขึ้นเอง ตามเหตุปัจจัย คือ เบื่อหน่าย

ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม.

ธรรมนั้นคือข้อที่ภิกษุ เป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในเวทนา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสัญญา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสังขาร,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในวิญญาณ;

ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ ;

เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป เวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แล้ว,
ย่อมหลุดพ้นจากรูปจากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จาก ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๐/๘๓.



การที่จิตจะเกิดความเบื่อหน่าย ต้องหยุดสร้างเหตุนอกตัวก่อน คือ
ขณะที่มีผัสสะเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
แค่ดู แค่รู้ ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น(ความรู้สึกนึกคิด)
ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

ขณะที่กดข่มใจ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
สภาวะเหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นเอง ตามความเป็นจริง


ภิกษุ ท. ! ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด (นิสฺสารณิยธาตุ) ๕
อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่างอย่างไรเล่า ?

ห้าอย่างคือ :-

ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งกามทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในกามทั้งหลาย ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งเนกขัมมะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในเนกขัมมะ.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดีปราศจาก กามทั้งหลายด้วยดี ;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายอันทำ ความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะกามเป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งกามทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งพ๎ยาบาท,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในพ๎ยาบาท;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอัพ๎ยาบาท,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอัพ๎ยาบาท.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากพ๎ยาบาทด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะพ๎ยาบาทเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งพ๎ยาบาท.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งวิหิงสา,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในวิหิงสา ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอวิหิงสา,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอวิหิงสา,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจาก วิหิงสาด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งวิหิงสา.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งรูปทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในรูปทั้งหลาย ;

แต่เมื่อ ภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอรูป,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอรูป.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากรูปทั้งหลายด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะรูปทั้งหลายเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งรูปทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ
เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งสักกายะ (ความยึดถือว่าตัวตน),
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายะ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งความดับแห่งสักกายะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในความดับแห่งสักกายะ,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากสักกายะด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะสักกายะ เป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่ง สักกายะ.

นันทิ (ความเพลิน) ในกาม ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในพ๎ยาบาท ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในวิหิงสา ก็ไม่นอนตาม (ในจิต)ของเธอ ;
นันทิในรูป ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ ;
นันทิในสักกายะ ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ.

เธอนั้น เมื่อกามนันทิก็ไม่นอนตาม พ๎ยาปาท นันทิก็ไม่นอนตาม วิหิงสานันทิก็ไม่นอนตาม
รูปนันทิก็ไม่นอนตาม สักกายนันทิก็ไม่นอนตาม ดังนี้แล้ว ;

ภิกษุ ท. ! เรากล่าวภิกษุนี้ว่า ปราศจากอาลัยตัดตัณหาขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์ได้แล้ว
กระทำที่สุด แห่งกองทุกข์ได้แล้ว เพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อย่าง.
- ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๒๐๐.

ทั้งหมดนี้ เป็นวิธีการทำ วิปัสสนา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้


:b16: :b16: :b35: :b35:
คูณวลัยพรรีบร้อน และใจร้อนไปหน่อย อาจจะเพราะความหวังดี ด้วยคิดว่าอโศกะไม่รู้เรื่องวิปัสสนาภาวนา จึงเมตตาช่วยอธิบายมาเสียตั้งยาว ก็ขอขอบคุณและอนุโมทนา

แต่ประเด็นของกระทู้ตอนนี้มันยังอยู่ที่

เหตุแห่งการที่สงบ สยบ หรือขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ออกไม่ได้

ตัวคำว่า สงบ สยบนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 นั้น เกี่ยวข้องกับสมถะภาวนาแน่นอน เพราะสมถะภาวนานั้น เป็นการใช้กำลังสติที่ไปกำหนดรู้อยู่กับอารมณ์กรรมฐานเพียงอารมณ์เดียว จนนิวรณ์ 5 ไม่สามารถเกิดขึ้นมาแทรกได้
ผลที่ได้รับจากการเจริญสมถะภาวนา คือ รูปฌาณ 4 อรูปฌาณ 4 รวมเป็น 8

:b53:
แต่คำว่าขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 นั้น ต้องเกี่ยวข้องกับวิปัสสนาภาวนาล้วนๆเพราะเป็นการเอาสติ ปัญญา เข้าไปสังเกต พิจารณา วิเคราะห์ วิจัย นิวรณ์ธรรมแต่ละตัวที่เกิดขึ้นมาตามธรรม จนได้เห็นถึงความเป็นจริงของนิวรณ์แต่ละตัวว่า มันก็ไม่พ้นไปจากกฎธรรมชาติ คือ
ทุกขัง....ทนตั้งอยู่ไม่ได้.....
อนิจจัง...ต้องปรวนแปรเปลี่ยนแปลงไปดับไปเมื่อหมดกำลังแห่งเหตุและปัจจัย.....
อนัตตา....บังคับบัญชาไม่ได้ ไร้แก่นสารตัวตน

เมื่อได้รู้รอบเห็นรอบในปรากฏการณ์ของนิวรณ์ธรรมแต่ละตัวจนจบ หลังจากนั้นแล้ว นิวรณ์ธรรมแต่ละชนิดนั้นก็ไม่สามารถมารบกวนจิตได้อีกเลย เป็นการถูกขุดถอนออกไปจากจิตให้ลดน้อยไปตามลำดับ จนหมดสิ้นไปจากใจ
ผลที่ได้รับจากการขุดถอนนิวร์ธรรมนี้ คือ "สังขารุเปกขาญาณ" อันมีสภาวะคล้ายฌาณ 4 แต่จะเบาสบาย ไม่ต้องออกแรงรักษาสติ กำหนด กดข่ม บังคับธรรมชาติอะไร ตามแบบวิธีทางสมถะภาวนา


สมถะเปรียบเหมือนการเอาเหตุ ไปขังไว้ บังไว้ไม่ให้กระทบปัจจัย

ส่วนวิปัสสนา เปรียบเหมือนการถอนเหตุออกทิ้งเสียได้ ปัจจัยทั้งหลายไม่มีเหตุตั้งรับ ปัจจัยทั้งหลายก็จึงเป็นสักแต่ว่าปัจจัย

นี่จึงเป็นที่มาของประเด็นกระทู้ที่ว่า "เหตุแห่งการที่สงบ สยบ หรือขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ออกไม่ได้"คืออะไร? หรือเพราะอะไร?

และได้บอกเหตุตลอดจนวิธีสงบ สยบ และขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 มาดังที่กล่าวแล้วนี้

:b36:
:b38:
:b37:
onion onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2013, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

คูณวลัยพรรีบร้อน และใจร้อนไปหน่อย อาจจะเพราะความหวังดี ด้วยคิดว่าอโศกะไม่รู้เรื่องวิปัสสนาภาวนา จึงเมตตาช่วยอธิบายมาเสียตั้งยาว ก็ขอขอบคุณและอนุโมทนา



เริ่มเคยชินกับ พฤติกรรมเดิมๆซ้ำๆของคุณมากขึ้น

ฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะกล่าวอะไรมา ไม่เป็นไรหรอก

เพราะรู้แล้วว่า เป็นการกระทำ ที่คุณแสดงออกมา กระทำด้วยความเคยชิน
ที่คุณได้กระทำเนืองๆ จนติดเป็นนิสัย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2013, 00:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5016


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1:

ถ้าไม่ต้องคอยระแวดระวังก็ดีเน๊าะ นิวรณ์เนี๊ยะ

:b1:


อยากจะบอกว่า ...เรื่อง นิวรณ์
มันไม่ได้ต้องทำอะไรจนมันดูเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างหนักหนาสาหัสอะไรมากมาย
ถ้าเรารู้จักดูแลโภชนาการ ... มันก็ไม่ปรากฎ
เมื่อมันไม่ปรากฎ...ก็คือ...มันก็ไม่ปรากฎ
มันก็ไม่ได้มีอะไรที่จะต้องไปคอยวุ่นวาย เฝ้าระวัง หนักใจอะไรกับมันเลย

:b12:

:b1: ... พระสูตรนี้...งามนะ...

Quote Tipitaka:
กายสูตร
พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๑๙

อาหารของนิวรณ์ ๕

[๓๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้

แม้ฉันใด นิวรณ์ ๕ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหารไม่มีอาหารดำรง

อยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.


[๓๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหาร ให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศุภนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในศุภนิมิตนั้น

นี้เป็นอาหารให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

[๓๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิฆนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น

นี้เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

[๓๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นหรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร ความที่ใจหดหู่ มีอยู่

การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านั้น

นี้เป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

[๓๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นหรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบใจมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบใจนั้น

นี้เป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นหรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

[๓๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉามีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น

นี้เป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

[๓๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร

ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด นิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะ

อาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2013, 06:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

คูณวลัยพรรีบร้อน และใจร้อนไปหน่อย อาจจะเพราะความหวังดี ด้วยคิดว่าอโศกะไม่รู้เรื่องวิปัสสนาภาวนา จึงเมตตาช่วยอธิบายมาเสียตั้งยาว ก็ขอขอบคุณและอนุโมทนา

แต่ประเด็นของกระทู้ตอนนี้มันยังอยู่ที่

เหตุแห่งการที่สงบ สยบ หรือขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ออกไม่ได้


ไม่มีใครเข้ารีบร้อนอะไรหรอกครับ มันเป็นคุณนั้นแหล่ะที่ไม่รู้แล้วยังมารีบเร่งตั้งกระทู้
มันผิดตั้งแต่คุณเริ่มแสดงความเห็นแล้ว

ผิดทั้งความเป็นหลักธรรมแห่งพุทธพจน์ และที่สำคัญที่สุด ....หลักการใช้ภาษาไทยง่ายๆ
คุณก็ไม่รู้เรื่องใช้ผิดใช้ถูก
มันทำให้ผมสงสัยว่า คุณเป็นชาวเขาหรือคนเมืองกันแน่

แต่มันแปลกตรงที่ เดี๋ยวนี้คนไทยเป็นที่ชาวเขา ล้วนแล้วแต่จบปฏิญาตรี เป็นส่วนใหญ่
และเขาเลิกนับถือผี หันมานับถือพุทธศาสนาหรือไม่ก็คริสตศาสนากันหมดแล้ว
ทั้งหมดทั้งมวลก็คือ.......เขาเลิกงมงายในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์กันหมดแล้ว

สงสัยจริง ยังมีคนอย่างคุณโสกะหลงเหลืออยู่ หรืออาจเป็นได้ว่า.....
คุณโสกะเป็นชนเขาเผ่าทางแถบเทือกเขาอัลไตที่ยังหลงเหลืออยู่ อาจลักลอบเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมายก็เป็นได้
:b32:

asoka เขียน:

ตัวคำว่า สงบ สยบนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 นั้น เกี่ยวข้องกับสมถะภาวนาแน่นอน เพราะสมถะภาวนานั้น เป็นการใช้กำลังสติที่ไปกำหนดรู้อยู่กับอารมณ์กรรมฐานเพียงอารมณ์เดียว จนนิวรณ์ 5 ไม่สามารถเกิดขึ้นมาแทรกได้
ผลที่ได้รับจากการเจริญสมถะภาวนา คือ รูปฌาณ 4 อรูปฌาณ 4 รวมเป็น 8


มั่วเลอะเทอะ!.........สมถะภาวนา มันเป็นคนล่ะเรื่องกับฌาน๘

สมภะภาวนาต้องใช้ควบคู่กับวิปัสสนา การทำสมภะเพื่อกดข่มนิวรณ์ไว้ไม่ให้
นิวรณ์มารบกวนจิตใจ เพื่อจิตปราศจากนิวรณ์เมื่อนั้นจิตจะเกิดความตั้งมั่นควรค่าแก่การงาน
ความหมายของการงานก็คือ.....วิปัสสนาภาวนานั้นเอง

ด้วยเหตุที่กล่าวว่าเป็นคนล่ะเรื่อง เพราะสมถะต้องทำควบคู่กับวิปัสสนาเท่านั้น
และวิปัสสนากับการทำฌาน เป็นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2013, 07:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

แต่คำว่าขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 นั้น ต้องเกี่ยวข้องกับวิปัสสนาภาวนาล้วนๆเพราะเป็นการเอาสติ ปัญญา เข้าไปสังเกต พิจารณา วิเคราะห์ วิจัย นิวรณ์ธรรมแต่ละตัวที่เกิดขึ้นมาตามธรรม จนได้เห็นถึงความเป็นจริงของนิวรณ์แต่ละตัวว่า มันก็ไม่พ้นไปจากกฎธรรมชาติ คือ
ทุกขัง....ทนตั้งอยู่ไม่ได้.....
อนิจจัง...ต้องปรวนแปรเปลี่ยนแปลงไปดับไปเมื่อหมดกำลังแห่งเหตุและปัจจัย.....
อนัตตา....บังคับบัญชาไม่ได้ ไร้แก่นสารตัวตน


หยิบคำโน้นมาผสมคำนี่ให้มั่วไปหมด.....ไม่รู้เหมือนกันว่า ไปเอาหลักของลัทธิไหนมาพูด

จำไว้น่ะโสกะ......ในการทำวิปัสสนากรรมฐาน มักจะมีนิวรณ์๕มารบกวนจิตใจ
ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมีวิธีที่จะทำให้นิวรณ์ไม่สามารถมารบกวนจิตใจในขณะที่เรา
จะทำวิปัสสนา วิธีนี้เป็นการกดข่มนิวรณ์ไว้ชั่วคราว แต่ถึงแม้จะเป็นชั่วคราว
มันก็เป็นระดับขั้นของการปฏิบัติ.......

และวิธีที่เราเอามาทำให้นิวรณ์สงบลงชั่วคราวหรือรำงับลงคือ.....กรรมฐาน๔๐


สมถะวิปัสสนา เป็นหลักในการตามรู้เห็นสภาพความเป็นจริงของรูปนาม(อารมณ์)
เมื่อเราเห็นสภาพความเป็นจริง นั้นก็คือเราได้เห็นลักษณะของสังขาร
ปัญญาไตรลักษณ์ก็จะเกิดขึ้น


โสกะกำลังเอาไตรลักษณ์มามั่วซะจนเละ :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร