วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 19:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2013, 07:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




พระสิงห์1.jpg
พระสิงห์1.jpg [ 51.56 KiB | เปิดดู 3398 ครั้ง ]
:b8:
ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาสาธุกับเรื่องอาหารของนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ที่คุณ eragon_joe ยกมาแสดงซึ่งสรุปได้ว่าเป็น

"อโยนิโสมนสิการ"

ความหมายของ อโยนิโสมนสิการ ถ้าแปลเป็นไทยๆง่ายๆก็คือ "ไม่ตั้งใจจริง"

ความไม่ตั้งใจจริงในการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นย่อมเปิดโอกาสให้ทุกนิวรณ์ธรรมโจมตีได้ง่ายและพ่ายแพ้ต่อมัน

เรื่องนี้ทำให้คิดถึงคำสอนของหลวงพ่อไททยใหญ่รูปหนึ่งท่่านบอกว่า

"ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติธรรม จะค้นหาธรรม ค้นหาอนัตตา เหมือนคนที่ทำลูกน้อย 3 ขวบเดินพลัดหลงในงานมหกรรมอะไรสักอย่างหนึ่งที่มีผู้คนมาชุมนุมกันเป็นพันเป็นหมื่น ความกระตือรือร้น ตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะค้นหาลูกน้อยให้พบทันเวลาอย่างนั้น ถ้าเอามาใช้ในการปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนาภาวนา มนุษย์ทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะทำพระนิพพานให้แจ้งได้ในปัจจุบันชาตินี้"
:b27:

อันดับต่อไปก็ขอวิตกวิจารณ์คุณวลัยพรกับคุณโฮฮับไว้สักนิด ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปตามประเะด็นของกระทู้นี้

"คุณวลัยพรและคุณโฮฮับทั้งคู่ก็เป็นผู้มีเจตนาดีต่อพระพุทธศาสนาอยากจะหาสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง มาแบ่งปันเพื่อนกัลยาณมิตร ก็ถือว่าเป็นกุศลกรรม

แต่แนวทาง วิธีการแสดงความเห็นของทั้ง 2 คน มันเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่าเป็นอย่างไร กัลยาณมิตรทั้งหลายคงพอสรุปได้

ดังนั้นขอให้ทั้งสองท่านจงไปสู่ที่ชอบๆ คือถนัดและชอบที่จะแสดงความเห็นอย่างไรก็เชิญตามใจของท่าน ผู้อ่านทั้งหลายท่านจะมีสติปัญญาวินิจฉัย ตัดสินใจเอาเองว่าอันใดใช่ธรรม อันใดไม่ใช่ธรรม ไม่เป็นหน้าที่ของทั้งวลัยพรและโฮฮับจะมาตัดสินว่าใครเป็นอย่างไร ดี ชั่ว หรือ ถูก ผิด อย่างไร ขอให้เป็นวินิจฉัยของผู้อ่านกระทู้เถิดนะครับ

สำหรับช่วงตอนนี้ก็อยากจะให้เกิดสติและสัมปชัญญะคืนมาว่า เรากำลังสนทนากันในหัวข้อที่ว่า

"ครึ่งชั่วโมง ทำใจให้สงบจากนิวรณ์ 5 ไม่ได้รู้มากมายก็ไร้ค่า" และมีคำถามว่า

"เพราะอะไรหนอ? จึงสงบ สยบ และขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ไม่ได้

:b38:
:b37:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2013, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


อันดับต่อไปก็ขอวิตกวิจารณ์คุณวลัยพรกับคุณโฮฮับไว้สักนิด ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปตามประเะด็นของกระทู้นี้

แต่แนวทาง วิธีการแสดงความเห็นของทั้ง 2 คน มันเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่าเป็นอย่างไร กัลยาณมิตรทั้งหลายคงพอสรุปได้

ดังนั้นขอให้ทั้งสองท่านจงไปสู่ที่ชอบๆ คือถนัดและชอบที่จะแสดงความเห็นอย่างไรก็เชิญตามใจของท่าน ผู้อ่านทั้งหลายท่านจะมีสติปัญญาวินิจฉัย ตัดสินใจเอาเองว่าอันใดใช่ธรรม อันใดไม่ใช่ธรรม ไม่เป็นหน้าที่ของทั้งวลัยพรและโฮฮับจะมาตัดสินว่าใครเป็นอย่างไร ดี ชั่ว หรือ ถูก ผิด อย่างไร ขอให้เป็นวินิจฉัยของผู้อ่านกระทู้เถิดนะครับ




ยังยืนยันคำเดิมนะ


walaiporn เขียน:
asoka เขียน:

คูณวลัยพรรีบร้อน และใจร้อนไปหน่อย อาจจะเพราะความหวังดี ด้วยคิดว่าอโศกะไม่รู้เรื่องวิปัสสนาภาวนา จึงเมตตาช่วยอธิบายมาเสียตั้งยาว ก็ขอขอบคุณและอนุโมทนา



เริ่มเคยชินกับ พฤติกรรมเดิมๆซ้ำๆของคุณมากขึ้น

ฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะกล่าวอะไรมา ไม่เป็นไรหรอก

เพราะรู้แล้วว่า เป็นการกระทำ ที่คุณแสดงออกมา กระทำด้วยความเคยชิน
ที่คุณได้กระทำเนืองๆ จนติดเป็นนิสัย




เหตุจากที่คุณชอบกล่าวเพ่งโทษผู้อื่นเนืองๆ พฤติกรรมที่คุณแสดงออกมา จึงเดิมๆซ้ำๆ

มีเหตุปัจจัย ให้วลัยพรกล่าวเช่นนี้นะ

ตั้งแต่สนทนากันมา เอาช่วงหลังๆนี้นะ ที่วลัยพรเข้ามาสนทนา หลังจากที่หายจากไปเว็บบอร์ดมา สักระยะหนึ่ง


เท่าที่จำได้ ไม่ว่าจะสนทนากับคุณ หรือกับใครๆ ก็ตาม
ไม่เคยพูดทำนองว่า ที่คุณแสดงข้อคิดเห็นมา คุณผิด แต่วลัยพรถูก

หรือถ้ามีหลุดออกไปบ้าง ก็น้อยมากๆ
เพราะอะไรน่ะหรือ เมื่อรู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้นว่า ทำไมทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดต่างๆนานา ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน


แล้วจะไปเอาอะไรกับสิ่งที่เรียกว่า ถูก ผิด ดี ชั่ว บาป บุญ คุณ โทษ กุศล อกุศล เหล่านั้นเล่า
ในเมื่อใครกระทำเยี่ยงใด เขาย่อมรับผลตามเหตุที่เขาได้กระทำลงไป

ส่วนที่ผู้อื่นกระทำกับเราเช่นนี้ ล้วนเกิดจาก เหตุปัจจัยที่เคยกระทำไว้ในอดีต
ซึ่งส่งมาให้ได้รับผลกับ ผู้ที่มีเหตุปัจจัยร่วมกัน(ผู้ที่กระทำกับเรา) เพียงแต่จะรู้ชัดตรงนี้ไหม

หากยังไม่รู้ ย่อมมีการกระทำเหมือนเป็นการจองเวรต่อกัน
มรึงว่ากรู กรูก็ว่ามรึง เหมือนที่คุณชอบทำเป็นประจำ จนติดเป็นนิสัย
พฤติกรรมการแสดงออกมา เลยเป็นแบบนี้


คุณคงสักแต่ว่าอ่าน เลยไม่เคยจำสิ่งที่วลัยพรมักชอบกล่าวเนืองๆว่า

ถูก ผิด ดี ชั่ว บาป บุญ คุณ โทษ กุศล อกุศล ล้วนเกิดจากการให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เกิดจากเหตุปัจจัยที่มีอยู่ต่อผัสสะที่เกิดขึ้น คือ ความยึดมั่นถือมั่น

มีมากเท่าไหร่ มักจะชอบกล่าวคำพวกนี้เนืองๆ

ทั้งๆที่ ผัสสะต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น หากไม่นำความมีตัวตนที่มีอยู่ เข้าไปข้องเกี่ยว
คือ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับผัสสะที่เกิดขึ้น ผัสสะนั้นๆ ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุปัจจัยเอง

เมื่อยังมีการนำความมีตัวตน(ตัวกู ของกู) เข้าไปเกี่ยวข้องกับผัสสะที่เกิดขึ้น ภพจึงเกิดขึ้น คือ มโนกรรม (การปรุงแต่งความคิดต่างๆ)

เมื่อทนอยู่ไม่ได้ ชาติจึงเกิด คือ ก้าวล่วงออกมาทาง วจีกรรม กายกรรม

ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปยาส จึงเกิดขึ้น

เพราะไม่รู้เท่าทันต่อโลกธรรม ๘ ที่เกิดขึ้น


การแสดงออก ที่เป็นการกระทำที่ตอบสนองตัณหา คือ มักชอบกล่าวคำประเภทนี้เนืองๆ "ถูก ผิด ดี ชั่ว บาป บุญ คุณ โทษ กุศล อกุศล"

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 11 ธ.ค. 2013, 08:53, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2013, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

สมถะเปรียบเหมือนการเอาเหตุ ไปขังไว้ บังไว้ไม่ให้กระทบปัจจัย

]ส่วนวิปัสสนา เปรียบเหมือนการถอนเหตุออกทิ้งเสียได้ ปัจจัยทั้งหลายไม่มีเหตุตั้งรับ ปัจจัยทั้งหลายก็จึงเป็นสักแต่ว่าปัจจัp

นี่จึงเป็นที่มาของประเด็นกระทู้ที่ว่า "เหตุแห่งการที่สงบ สยบ หรือขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ออกไม่ได้"คืออะไร? หรือเพราะอะไร?

และได้บอกเหตุตลอดจนวิธีสงบ สยบ และขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 มาดังที่กล่าวแล้วนี้



เพราะความไม่รู้ของโสกะ การดำเนินรอยตามคนที่ขาดปัญญา เอาคนที่เป็นโมฆะบุรุษมาเป็นอาจารย์
ที่ว่าเป็นโมฆะบุรุษก็เพราะ ตั้งตนเป็นเป็นครูสอนกรรมฐาน ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ
แก่นแท้ของปริยัติ มิหน่ำซ้ำเอาสิ่งที่เป็นเหมือนเดรัจฉานวิชามาสอดใส่ในสิ่งที่ตัวสอน

จงตั้งใจฟังให้ดีน่ะโสกะ.....................

สมถภาวนา เป็นการกดข่มนิวรณ์มิให้กำเริบหรือให้มันรำงับลง

วิปัสสนา เป็นการตั้งมั่นของจิตที่มุ่งตรงต่อสภาวะที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

การจะดับนิวรณ์ให้สนิทได้ ผู้ปฏิบัติจะต้องไปดับกิเลส
ที่เรียกว่า......สังโยชน์
นิวรณ์๕ก็เป็นส่วนหนึ่งของสังโยชน์๑๐.........


วิธีที่จะดับนิวรณ์๕หรือสังโยชน์นั้นจะต้องใช้.........


สติปัฏฐาน๔เท่านั้น
เข้าใจมั้ยโสกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2013, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาสาธุกับเรื่องอาหารของนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ที่คุณ eragon_joe ยกมาแสดงซึ่งสรุปได้ว่าเป็น

"อโยนิโสมนสิการ"

ความหมายของ อโยนิโสมนสิการ ถ้าแปลเป็นไทยๆง่ายๆก็คือ "ไม่ตั้งใจจริง"

[i]ความไม่ตั้งใจจริงในการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นย่อมเปิดโอกาสให้ทุกนิวรณ์ธรรมโจมตีได้ง่ายและพ่ายแพ้ต่อมัน


มั่วอีกแล่ะ! อยู่ๆจะมาแปลอโยนิโสฯไม่ได้ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า...
โยนิโสฯ หมายถึงอะไร ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะ ในสภาวธรรมมันเป็นแค่มีกับไม่มี
ดังนั้นเราต้องเอาคำว่า โยนิโสมนสิการมาเป็นหลัก

ตัวอย่างถ้า โยนิโสมนสิการมีความหมายว่า "ทำใจให้แยบคาย"
ดังนั้นความหมายของอโยนิโสมนสิการ จึงมีความหมายว่า..."ไม่ได้ทำใจให้แยบคาย"


เหตุที่โสกะมักจะเอาบัญญัติมามั่ว จนหลักธรรมไม่เป็นหลักธรรม
เป็นเพราะโสกะขาดความเข้าใจในปริยัติ ซึ่งหลักของปริยัตินับเป็น
สิ่งที่ชาวพุทธจะต้องรู้เป็นอันดับแรก....ตามหลักแห่ง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ


สรุปที่โสกะขาดความเข้าใจ ดูเหมือนเป็นคนที่ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมในชาตินี้
อาจเกิดมาจากผลกรรมที่โสกะชอบกระทำ จนมันเกิดเป็นอนันตริยกรรมโดยไม่รู้ตัว

สิ่งที่โสกะได้กระทำจนเป็นอนัตริยกรรมก็คือ......การทำสังฆเภท(รวมอาจารย์คุณโสกะด้วย)
โสกะและอาจารย์ กำลังเอาสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้สอน อีกทั้งยังเอาคำสอนของครูบาอาจารย์
มาทำให้มันผิดเพี้ยน อาจเป็นเหตุให้ชาวพุทธที่ยังขาดปัญญา เห็นดีเห็นงามตามไปด้วย
สิ่งนี้ย่อมทำให้ศาสนาพุทธเสื่่อมถอยและแบ่งเป็นก๊กเป็นลัทธิต่างๆ


โสกะและอาจารย์กำลังทำผิดขั้นอุกฤต นั้นคือการทำสังฆเภท
อันเป็นอนันตริกรรมขั้นสูงสุด หมดหนทางที่จะบรรลุธรรมในชาตินี้และอีกหลายๆชาติ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2013, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เรื่องนี้ทำให้คิดถึงคำสอนของหลวงพ่อไททยใหญ่รูปหนึ่งท่่านบอกว่า
"ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติธรรม จะค้นหาธรรม ค้นหาอนัตตา เหมือนคนที่ทำลูกน้อย 3 ขวบเดินพลัดหลงในงานมหกรรมอะไรสักอย่างหนึ่งที่มีผู้คนมาชุมนุมกันเป็นพันเป็นหมื่น ความกระตือรือร้น ตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะค้นหาลูกน้อยให้พบทันเวลาอย่างนั้น ถ้าเอามาใช้ในการปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนาภาวนา มนุษย์ทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะทำพระนิพพานให้แจ้งได้ในปัจจุบันชาตินี้"


ยกตัวอย่างได้แย่มากครับ โยงโน้นผสมนี้จนหาความหมายไม่ได้.....
แบบนี้และที่เขาเรียก คนขาดซึ่งโยนิโสมนสิการ

ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลยมีตัวอย่างให้เห็นๆ

เอาเรื่องเด็กหายมาเป็นตัวอย่างในเรื่องของอารมณ์สังขาร ....ไม่ได้ความเลยครับ
อารมณ์หรือสังขาร เราเป็นชาวพุทธย่อมต้องรู้ว่า สังขารมันอยู่ภายในกายใจเรา
ทุกอย่างมันเกิดที่กายใจเรา ดังนั้นมันไม่มีทางที่จะหายไปไหนได้

การยกเอาเรื่องเด็กหาย มาเปรียบกับสภาวะที่เกิดภายในกายใจของเรา
แสดงให้เห็นถึงความขาดซึ่งสติ ปัญญา ที่สำคัญไม่มีโยนิโสฯเลยแม้แต่น้อย

อารมณ์หรือสังขาร มันเป็นธรรมชาติของกายใจเรา
มันเกิดภายในกายใจเรา อารมณ์ของเราย่อมต้องเกิดที่กายใจเรา
มันไม่มีทางไปเกิดที่กายใจคนอื่น มันจึงไม่มีทางหายไปไหน
เป็นเพียงแต่ จิตของเราที่ลงลืมไปรู้สิ่งที่เกิดภายในกายใจเท่านั้น
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2013, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อันดับต่อไปก็ขอวิตกวิจารณ์คุณวลัยพรกับคุณโฮฮับไว้สักนิด ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปตามประเะด็นของกระทู้นี้

"คุณวลัยพรและคุณโฮฮับทั้งคู่ก็เป็นผู้มีเจตนาดีต่อพระพุทธศาสนาอยากจะหาสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง มาแบ่งปันเพื่อนกัลยาณมิตร ก็ถือว่าเป็นกุศลกรรม

แต่แนวทาง วิธีการแสดงความเห็นของทั้ง 2 คน มันเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่าเป็นอย่างไร กัลยาณมิตรทั้งหลายคงพอสรุปได้


หลักธรรมที่เป็นพุทธวจนหรือแม้แต่พุทธพจน์.......ต้องชัดเจนตามที่มีบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎก

หรือแม้แต่อรรถกถาและฏีกาต่าง ก็ต้องชัดเจน นั้นหมายความว่า ผู้ใดอ้างธรรมของผู้ใดมา
จะต้องกล่าวธรรมห้ตรงกับอาจารย์ผู้บัญญัติธรรมนั้น ห้ามเอาธรรมนั้นมาดัดแปลงแก้ไข
นอกเสียจากว่า เป็นความเห็นที่เกิดจากการพิจารณาธรรมนั้นๆ



โสกะพูดเหมือนว่า การปฏิบัติที่โสกะนำมากล่าวในที่นี้ เป็นการปฏิบัติอีกรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งไม่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก.......
ผิดแล้วโสกะเอ้ย

สิ่งที่โสกะเอามากล่าว มีบ่งบอกไว้ในพระไตรปิฎกว่ามันเป็นกิเลส
มันเป็นอวิชา แบบนี้แล้วยังตะบี้ตะบันเถียงแกมประชดเสียดสีอีก ไร้สติจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2013, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ดังนั้นขอให้ทั้งสองท่านจงไปสู่ที่ชอบๆ คือถนัดและชอบที่จะแสดงความเห็นอย่างไรก็เชิญตามใจของท่าน ผู้อ่านทั้งหลายท่านจะมีสติปัญญาวินิจฉัย ตัดสินใจเอาเองว่าอันใดใช่ธรรม อันใดไม่ใช่ธรรม ไม่เป็นหน้าที่ของทั้งวลัยพรและโฮฮับจะมาตัดสินว่าใครเป็นอย่างไร ดี ชั่ว หรือ ถูก ผิด อย่างไร ขอให้เป็นวินิจฉัยของผู้อ่านกระทู้เถิดนะครับ


ผมเป็นชาวพุทธและเป็นหนึ่งในสาวกของพระพุทธเจ้า ชาวพุทธทุกคนมีหน้าที่
ที่จะต้องสืบทอดและเผยแผร่ธรรมคำสอนอันถูกต้อง ธรรมที่ถูกต้องก็คือ...
พระธรรมวินนัย ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้

ถ้ามีโยคีหรือบุคคลที่แฝงตัวเข้ามาในพุทธศาสนา แล้วทำให้พระธรรมวินัยผิดเพี้ยน
เราจะต้องปกป้องด้วยการ แสดงธรรมที่เป็นธรรมแท้ๆของพุทธองค์ ให้ผู้ที่ยังขาดปัญญา
เพื่อไม่ให้หลงไปกับพวกเดียรถีร์นอกรีต หรือพวกไร้ศาสนาอาศัยผ้าเหลืองมาแอบอ้างหากิน


เมื่อเป็นเช่นนี้ที่โสกะบอก ให้เป็นวินิจฉัยของผู้อ่านถูกต้องแล้ว
ดังนั้นเมื่อได้อ่านความเห็นที่โต้แย้งของผม กรุณาอย่าตีโพยตีพาย
อย่าดึงบัญญัติที่เป็นคำศัพท์สูงๆ มาเป็นเครื่องมือด่าชาวบ้าน เข้าใจมั้ย
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2013, 07:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
ดังนั้นขอให้ทั้งสองท่านจงไปสู่ที่ชอบๆ คือถนัดและชอบที่จะแสดงความเห็นอย่างไรก็เชิญตามใจของท่าน ผู้อ่านทั้งหลายท่านจะมีสติปัญญาวินิจฉัย ตัดสินใจเอาเองว่าอันใดใช่ธรรม อันใดไม่ใช่ธรรม ไม่เป็นหน้าที่ของทั้งวลัยพรและโฮฮับจะมาตัดสินว่าใครเป็นอย่างไร ดี ชั่ว หรือ ถูก ผิด อย่างไร ขอให้เป็นวินิจฉัยของผู้อ่านกระทู้เถิดนะครับ


ผมเป็นชาวพุทธและเป็นหนึ่งในสาวกของพระพุทธเจ้า ชาวพุทธทุกคนมีหน้าที่
ที่จะต้องสืบทอดและเผยแผร่ธรรมคำสอนอันถูกต้อง ธรรมที่ถูกต้องก็คือ...
พระธรรมวินนัย ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้

ถ้ามีโยคีหรือบุคคลที่แฝงตัวเข้ามาในพุทธศาสนา แล้วทำให้พระธรรมวินัยผิดเพี้ยน
เราจะต้องปกป้องด้วยการ แสดงธรรมที่เป็นธรรมแท้ๆของพุทธองค์ ให้ผู้ที่ยังขาดปัญญา
เพื่อไม่ให้หลงไปกับพวกเดียรถีร์นอกรีต หรือพวกไร้ศาสนาอาศัยผ้าเหลืองมาแอบอ้างหากิน


เมื่อเป็นเช่นนี้ที่โสกะบอก ให้เป็นวินิจฉัยของผู้อ่านถูกต้องแล้ว
ดังนั้นเมื่อได้อ่านความเห็นที่โต้แย้งของผม กรุณาอย่าตีโพยตีพาย
อย่าดึงบัญญัติที่เป็นคำศัพท์สูงๆ มาเป็นเครื่องมือด่าชาวบ้าน เข้าใจมั้ย
:b13:
โยนิโสของโฮฮับด่าลูกน้องทิ้งเมีย :b4: :b32: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 06:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ครูบาบุญชุ่ม.jpg
ครูบาบุญชุ่ม.jpg [ 20.06 KiB | เปิดดู 3308 ครั้ง ]
onion
วันนี้ ขอยกตัวอย่างการสนทนาธรรมในลานธรรมอีกแห่งหนึ่งที่มีแต่กัลยาณมิตรที่สนทนาธรรมกันด้วยมิตรกะจิตมิตรกะใจ ไม่มาคอยจับผิด เกทับ บลัฟกัน มันผิด กูถูก ฯลฯ

มีแต่การมาเสริมธรรมกันให้เป็นที่น่ารื่่นรมย์สมเป็นลานแห่งธรรมอันร่มเย็น

:b8:
อ้างคำพูด:
สวัสดีครับ คุณลุงอะโศก
ตอบจริงๆนะครับว่า....
เมื่อเช้านั่งได้ ๕ นาทีครับ แล้วสยบความนึกคิดด้วยการนอนต่อครับ
:10:
เมื่อง่วงซึมก็ต้องยกจิตขึ้น
เมื่อฟุ้งซ่านก็ข่มจิต
เมื่อมีสติสัมปชัญญะก็ควรพิจารณาประคองไว้

สำคัญที่ใช้ปัญญาพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาครับ

ดังนั้น ลัดสั้นอย่างผมไม่ควรเป็นเยื่ยงอย่างนะครับ

:115:
อนุโมทนา กับความซื่อใส ของคุณ damrong121 ที่กล้าแสดงความจริงต่อสาธารณะ ตามคำพูดนี้

อ้างอิง
"เมื่อเช้านั่งได้ ๕ นาทีครับ แล้วสยบความนึกคิดด้วยการนอนต่อครับ"

คนเราถ้ากล้าแสดงความจริงถึงแม้จะเป็นความจริงที่คนส่วนใหญ่คิดว่าทำให้เสียหน้า คนอย่างนี้ย่อมถือว่าเป็นคนดี ไม่หลอกลวงใครได้ง่ายๆ เพราะมีสำนึกแห่ง หิริโอตัปปะ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป มากกว่าหน้าตา ชื่อเสียงของตนเอง

อ้างอิง
"เมื่อง่วงซึมก็ต้องยกจิตขึ้น
เมื่อฟุ้งซ่านก็ข่มจิต
เมื่อมีสติสัมปชัญญะก็ควรพิจารณาประคองไว้"


ยก่จิต

ข่มจิต

ประคองจิต

3 คำนี้เป็นภาษาของนักปฏิบัติธรรมที่มีประสบการณ์จริง

ยกจิต ทำอย่างไร?

ข่มจิต ทำอย่างไร?

ประคองจิต ทำอย่างไร?

นี่เป็นเรื่องที่ควรจะนำมาเล่าขาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันในลานธรรม

หากคุณ damrong121 จะนำมาเล่าสู่กันฝังบ้างก็น่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
:33:

อ้างอิง
"สำคัญที่ใช้ปัญญาพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาครับ"

:12:
ข้อความท่อนนี้สำคัญมากครับ และเกี่ยวเนื่องกับกระทู้นี้มาก

การจั่วหัวเรื่องว่า "ครึ่งชั่วโมง สยบนิวรณ์ไม่ได้ รู้มากมายก็ดูไร้ค่า" นั้น ก็มีวัตถุประสงค์ที่ว่าอยากจะมาสะกิดสะเกาท่านทั้งหลาย ที่แสดงธรรมะปริยัติกันเป็นไฟ อ้างอิงพระไตรปิฎกและคัมภีร์ได้อย่างเชี่ยวชาญ ได้ลองย้อนกลับไปวิเคราะห์ตนเองดูว่า ที่ได้รู้มามากมายทั้งหมดนั้น เมื่อเวลาลงมือปฏิบัติจริง ความรู้ทั้งหมดนั้น ได้มาช่วยให้เราเข้าถึงความสงบเย็นและตั้งมั่น ควรแก่การเจริญสติปัญญา ไปบนเส้นทางแห่งสติปัฏฐาน 4 และมรรค 8 ได้อย่างรวดเร็วทันท่วงทีหรือไม่

ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ก็สามารถยกจิต คือสติ ปัญญา ขึ้นมาสังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ธรรมได้ทันทีหรือเปล่า หรือยังต้องเสียเวลาสำรวมจิตสำรวมใจจนกว่านิวรณ์ธรรมทั้ง 5 จะสงบไป เป็นครึ่งชั่วโมง 1 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น เพราะเพียงแค่ความฟุ้งซ่านในความรู้ก็เอาเราอยู่กับมันเสียตั้งนานสองนาน ทั้งยังมีงานต้องชำระนิวรณ์อีก 4 อย่างเคียงข้างมากวนอีกด้วย

นักวิปัสสนาภาวนา ต้องสามารถสำรวมจิตสำรวมใจทำความตั้งมั่นของจิตได้ในชั่วพริบตาเดียวเพื่อให้สติปัญญาพร้อมทำงานเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ทันที อย่างนี้จึงจะเป็นผู้ที่สามารถเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ในชีวิตประจำวัน อันเป็นบทบาทหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนที่จะต้องกระทำให้ได้ ถ้าหวังจะปิดประตูอบายให้ทันในชาตินี้
:16:
"อะไรหนอ?ที่ทำให้เราสยบนิวรณ์ธรรมได้ช้า เจริญวิปัสสนาภาวนาในชีวิตประจำวันไม่ได้" ต้องรอคอยเวลาไปเข้าคอร์สอบรมธรรมตามที่ต่างๆ หรือบางท่านก็สำคัญว่า จะต้องสละโลกไปบวชเป็นพระเป็นชี เป็นฤาษีอยู่ป่า จึงจะสามารถเจริญวิปัสสนาภาวนาได้เต็มที่ เพราะเห็นอย่างนี้แหละที่ทำให้มากคนที่มีบุญบารมีถึงแล้วแต่พลาดโอกาสในการเจริญธรรม ทำคุณค่าแห่งชีวิตที่ได้โอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ได้มาอยู่ท่ามกลางกัลยาณมิตรอย่างลานธรรมเสวนาแห่งนี้ ต้องสูญเสียโอกาสอันดีไป

ดังนั้จึงเป็นสิ่งที่เราควรได้ศึกษาและนำมาวิพากษ์วิจารณ์สนทนาธรรมกันเรื่อง

"อะไรหนอ?ที่ทำให้เราสยบนิวรณ์ธรรมได้ช้า เจริญวิปัสสนาภาวนาในชีวิตประจำวันไม่ได้"

ในลานธรรมแห่งนี้
:68:
กรณีของคุณdamrong121

"สำคัญที่ใช้ปัญญาพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาครับ"

เรื่องนี้มีประสบการณ์จริงที่ทำให้รู้ว่า ถ้าเราเริ่มต้นด้วยการ ช้ปัญญาพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทันที โดยที่ความตั้งมั่น ความพร้อมของจิตและสติปัญญายังไม่ควรแก่งาน การพิจารณาทั้งหมดของเรานั้น จะกลายเป็น

"วิปัสสนึก".....ไม่ใช่ "วิปัสสนา"

ลองพิจารณากันดูนะครับ ว่าเป็นการนึกฟุ้งไปตามตำราและเรื่องที่ได้เรียนรู้มา หรือเป็นการไปพบสภาวธรรมความจริงในกายและจิต จนได้รู้เห็นความจริงว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา....สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจังและทุก
ขัง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
วันนี้ ขอยกตัวอย่างการสนทนาธรรมในลานธรรมอีกแห่งหนึ่งที่มีแต่กัลยาณมิตรที่สนทนาธรรมกันด้วยมิตรกะจิตมิตรกะใจ ไม่มาคอยจับผิด เกทับ บลัฟกัน มันผิด กูถูก ฯลฯ
มีแต่การมาเสริมธรรมกันให้เป็นที่น่ารื่่นรมย์สมเป็นลานแห่งธรรมอันร่มเย็น


ไอ้ที่คุณพูดถึง มันไม่ใช่การสนทนาธรรม แต่มันเป็นการมอมเมา
พากันลงหุบเหวแห่งอวิชา................โดยหลักธรรมวินัย สาวกของพุทธองค์
จะต้องมีธัมสากัจฉา มีการถกกันในเรื่องธรรมว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร


ยิ่งเป็นเว็บบอร์ดสาธารณะ ยิ่งต้องเปิดโอกาสให้มีการถกเถียงพูดจา
เพื่อให้เห็นธรรมหลายๆแง่มุม

มันไม่ใช่อย่างโสกะเอามามั่ว ธรรมะโลกไหน ที่มันต้องเชื่อตามๆกันห้ามแย้ง
เห็นมีแต่ ลัทธิวูดู พ่อมดหมอผี


อีกอย่างครับ จะบอกอะไรให้ อย่าเอารูปนักบวชมาข่มขู่ชาวบ้าน
มันไม่มีประโยชน์ ตรงข้ามมันจะทำให้เสื่อมเสีย
ต่อคนที่คุณมาอ้างซะมากกว่า
ถามจริงนักบวชนิกายไหนครับ ผมว่าไม่ใช่พุทธแน่
เพราะพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ
เขาไม่ห้อยลูกปะคำน่ะครับ มันเป็นเดรัจฉานวิชา
เข้าใจมั้ยโสกะ :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปแบบ การปฏิบัติ ในแต่ละสถานที่ แตกต่างกันไป ตามเหตุปัจจัยที่กระทำของบุคคลนั้น


การห้อยลูกปะคำที่คอ

เมื่อก่อน เคยเห็นภาพเหล่านี้ ก็คิดว่า คงเหมือนหลวงจีน ที่ใช้ประคำห้อยคอ

ช่วงที่ไปอยู่แพร่ เห็นพระบวชใหม่ มีประคำใส่อยู่ที่คอกันทุกคน จึงถามเจ้านายว่า ทำไมต้อใส่ประคำด้วย

เจ้านายเป็นคนจ.แพร่ อธิบายให้ฟังว่า เอาไว้นับ เรียกว่า นับหมาก เหมือนการบริกรรมภาวนา อิติปิโส ๑๐๘ เพียงแต่ที่นั่น ไม่ได้ใช้อิติปิโสในการนับ แต่เป็นภาษาเหนือ วลัยพรก็ไม่ได้ถามว่า แปลว่าอะไร

ที่ให้ใส่คอไว้ คือ ให้นับเนืองๆ แขวนไว้ที่คอ สามารถถอดออกมานับได้ตลอดเวลา
เหมือนรูปแบบการปฏิบัติอื่นๆ ที่ใช้คำบริกรรมภาวนาน่ะแหละ

เหมือนอาการหัวใจเต้น หรือ ใครจะเรียกว่า ตอดๆก็ไม่ผิด
เป็นรูปแบบของการทำกรรมฐานอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือ
รู้กาย เหมือนรู้ท้องพองยุบ ตามลมหายใจเข้าออก รู้ตามปกติของอาการที่เกิดขึ้นกับกาย

เพียงแต่ ไปรู้ที่อาการหัวใจเต้นตุ้บตั้บอยู่ เท่านั้นเอง
คือ รู้ชัดอาการที่เกิดขึ้นของกายตรงไหนได้ ก็รู้ไปตามนั้น

เพราะเหตุปัจจัย สร้างมาไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะปฏิบัติรูปแบบไหน
สุดท้ายก็รู้เหมือนๆกัน


การรู้จังหวะการเต้นของหัวใจ ไม่ใช่ความพิเศษอันใด
เหมือนพุทธโธ เหมือนพองหนอ ยุบหนอ เหมือนรูปแบบการปฏิบัติอื่นๆน่ะแหละ

ถ้าไม่ไปยึดติดในสภาวะที่เกิดขึ้น หรือคำเรียกต่างๆ

สักแต่ว่ารู้ว่า มีสภาวะนั้นๆเกิดขึ้น
สภาวะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น ย่อมเกิด ดับ เป็นเรื่องปกติ
มีสภาวะอื่นๆมาสอนต่อ มีหน้าที่คือ เรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น

เหตุของความไม่รู้ชัดในสภาวะที่เกิดขึ้น
ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น ในสภาวะที่เกิดขึ้น มีความยินดีกับสภาวะที่เกิดขึ้น

สภาวะที่เกิดขึ้น ที่เป็นความปกติ จึงเปลี่ยนสภาพเป็น อุปกิเลส
เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด อุปสรรค ในการปฏิบัติไปทันที

คือ แทนที่สภาวะจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ก็จมแช่อยู่กับสภาวะนั้นๆ จนกว่ามีเหตุปัจจัยใหม่ ที่ทำให้หลุดจากสภาวะอุปกิเลสที่เกิดขึ้น

หากยังชอบสอนผู้อื่น ทั้งๆที่ผู้สอนก็ไม่รู้ชัดในสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น
เหตุจาก การสร้างเหตุทำให้ผู้มีเหตุปัจจัยร่วม ทำให้ผู้นั้นหลงสภาวะ
คือ เชื่อตามคำบอกเล่า เกิดจาก มีเหตุปัจจัยต่อกัน ให้มาเชื่อกัน

ผลกระทบกลับมาหาผู้สอน คือ สภาวะการปฏิบัติไม่ก้าวหน้า หลงติดกับอุปกิเลส อยู่แค่นั้น
จนกว่าจะหยุดสร้างเหตุให้ผู้อื่นหลงสภาวะ

เมื่อนั้น จึงจะหลุดจากอุปกิเลส ที่ติดกับอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
รูปแบบ การปฏิบัติ ในแต่ละสถานที่ แตกต่างกันไป ตามเหตุปัจจัยที่กระทำของบุคคลนั้น
การห้อยลูกปะคำที่คอ
เมื่อก่อน เคยเห็นภาพเหล่านี้ ก็คิดว่า คงเหมือนหลวงจีน ที่ใช้ประคำห้อยคอ

ช่วงที่ไปอยู่แพร่ เห็นพระบวชใหม่ มีประคำใส่อยู่ที่คอกันทุกคน จึงถามเจ้านายว่า ทำไมต้อใส่ประคำด้วย


เป็นพระภิกษุในนิกาย...เถรวาท ก็ต้องปฏิบัติตามพระวินัยที่มีกำหนดไว้อย่างเที่ยงตรง
ไม่พยายามเลี่ยงพระวินัยให้เป็นอย่างอื่น

พระภิกษุในลัทธิเถรวาท สามารถครองผ้าได้เพียง๓ผืน
นั้นก็คือ ไตรจีวร

ในหลักของพระวินัยที่ว่าด้วย.....เสขิยวัตร
ห้ามภิกษุใส่หรือสวมสิ่งใด เกินจากผ้าครอง๓ผืน ถ้าเกินจากนั้น ถือว่า ตกแต่งเครื่องประดับ
พระวินัยห้ามพระภิกษุตกแต่งเครื่องประดับ

การจะถามสิ่งใดที่เกี่ยวกับพระวินัยหรือศีลของภิกษู
ไม่ใช่ไปถามฆราวาสหรือถามพระที่ไม่ใส่ใจในพระวินัย
เพราะคนเหล่านั้นก็จะตอบคำถามตามกิเลสของตน โดยไม่ยึดเอาพระวินัยมาเป็นหลัก


พระวินัยท่านให้ครองผ้าสามผืน ก็ต้องครองผ้าสามผืน
ไม่ใช่มาเลี่ยงบาลี บอกว่ามันเป็นเครื่องมือในการภาวนา


ยิ่งถ้าเป็นอาจารย์ของโสกะจะมาแถว่าเป็น เครื่องมือเจริญภาวนายิ่งเป็นการมุสา
เพราะพิจารณาจากการที่โสกะ เอาเรื่องวิธีการปฏิบัติมาโม้
มันก็ไม่ใช่การนับลูกปะคำ ดังนั้นอาจารย์ของโสกะสวมลูกปะคำเป็นเพียงเพื่อ
เพิ่มความขลังอยากให้คนหลงเชื่อว่า ตนมีบุญญาบารมี ในทำนองอิทธิปาฏิหารย์
แบบนี้แหล่ะมันเป็นเดรัจฉานฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

เหมือนอาการหัวใจเต้น หรือ ใครจะเรียกว่า ตอดๆก็ไม่ผิด
เป็นรูปแบบของการทำกรรมฐานอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือ
รู้กาย เหมือนรู้ท้องพองยุบ ตามลมหายใจเข้าออก รู้ตามปกติของอาการที่เกิดขึ้นกับกาย

เพียงแต่ ไปรู้ที่อาการหัวใจเต้นตุ้บตั้บอยู่ เท่านั้นเอง
คือ รู้ชัดอาการที่เกิดขึ้นของกายตรงไหนได้ ก็รู้ไปตามนั้น

เพราะเหตุปัจจัย สร้างมาไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะปฏิบัติรูปแบบไหน
สุดท้ายก็รู้เหมือนๆกัน


การรู้จังหวะการเต้นของหัวใจ ไม่ใช่ความพิเศษอันใด
เหมือนพุทธโธ เหมือนพองหนอ ยุบหนอ เหมือนรูปแบบการปฏิบัติอื่นๆน่ะแหละ


เราสามารถเอาการเต้นของหัวใจ มาเป็นการปฏิบัติได้ไม่ผิด
แต่โสกะเอามาพูดผิดในหลักการ การจะฟังการเต้นหรือรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ
มันต้องเป็นขั้นตอนเริ่มแรกของการปฏิบัติ มันยังไม่ได้เกิดผลอะไรเลย

ไม่ใช่มาบอกว่า เมื่อจิตสงบจะได้ยินการเต้นของหัวใจ
การพูดแบบนี้มันผิดเพี้ยน มันหาใช่วิธีการที่พระพุทธทรงกล่าว
ถ้าเรายังรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ นั้นหมายความว่า จิตยังไม่สงบ
เพราะจิตยังจิตอยู่ที่กายสังกาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัสสัทธิ กับ สมาธิ

ปัสสัทธิ เป็นคนละสภาวะกับสมาธิ

ปัสสัทธิ มีลักษณะอาการที่เกิดขึ้น คือ ความสงบ

ขณะที่เกิดสภาวะปัสสัทธิ จะแค่รู้สึกว่า สงบ คือ มีความสงบเกิดขึ้น
จะไม่มีอาการวูบ หรือ วาบ ก่อนอาการปัทสัทธิเกิด

สมาธิ มีลักษณะเด่นชัด ที่เกิดขึ้นก่อนที่จิตจะเป็นสมาธิคือ
มีอาการวูบ หรือ วาบ เกิดขึ้น อาจจะมีโอภาส หรือ ไม่มีโอภาส เกิดขึ้นร่วมด้วยก็ได้

ลักษณะที่เด่นชัดของจิตเป็นสมาธิอีกอย่างหนึ่งคือ
ขณะหลับตาอยู่ แต่ตาในไม่หลับ เหมือนคนลืมตาภายใต้เปลือกตา
จะมีอาการเหมือน มองกระจกอยู่

ส่วนปัสสทธิ จะมีแค่อาการสงบ แต่ไม่มีสภาวะอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเหมือนจิตเป็นสมาธิ คือ
ขณะที่ ก่อนจิตเป็นสมาธิ และกำลังเป็นสมาธิอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


การใช้ภาษา บางครั้ง อาจจะพูดถึงสิ่งเดียวกัน แต่ภาษาที่ใช้สื่อสารกัน ไม่ตรงกัน

ทำให้เหมือนกับ คุยกันคนละเรื่อง

เรื่อง ผัสสะต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกายและจิต ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่
หากเป็นสมาธิกับสติ ไม่เหลื่อมล้ำมากกว่ากัน สภาวะสัมปชัญญะ จะเกิดขึ้น

เป็นเหตุให้ ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกิดขึ้น
ทำให้รู้ชัดในสภาวะผัสสะต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นตามความเป็นจริง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ถ้าสภาวะความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ยังไม่มั่นคง
ก็อาจจะรับรู้ได้บ้าง ไม่รับรู้ได้บ้าง ต่อผัสสะที่เกิดขึ้นกับกายและจิต ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่


เรื่อง การรับรู้ อาการหัวใจเต้น หรือ การเต้นของชีพจร ตามจุดต่างๆของร่างกาย

ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่ ก็สามารถเกิดขึ้นได้
เหมือนกับการรู้ชัดในผัสสะต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกาย


ทุกๆผัสสะที่เกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ เป็นความปกติของสภาวะ ที่เกิดขึ้น
เหตุจาก ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะที่จิตเป็นสมาธิ



สภาวะต่างๆ จะรู้ชัดในคำเรียกของ สภาวะนั้นๆได้
ต้องมีสภาวะนั้นๆ เกิดขึ้นเนืองๆกับตัวเอง ไม่ใช่จากคำบอกเล่าของผู้อื่น

สภาวะเหล่านั้น เกิดขึ้นเนืองๆ ไม่ใช่เกิดแบบฟลุ๊คๆ หรือ นานๆเกิดที
ต้องเกิดขึ้นเนืองๆ จนรู้ชัดในลักษณะอาการ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป



เมื่อนำสภาวะที่เกิดขึ้น มาเทียบเคียง
ต้องตรงกับพระไตรปิฎก หรือ พุทธวจนะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร