วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 02:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 01:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เดิมทีก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้เพราะสุดท้ายผลเสียก็จะย้อนกลับมาหาเรา

เรามีความเห็นว่าในบรรดาเราท่านทั้งหลายเรากำลังละเลยอะไรไปรึเปล่า
ในเมื่อทั้งเราท่านต่างก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์
แต่เพราะเหตุอะไรเรากลับไม่ให้เกียรติกับคำสอนของบรมครู
พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่กับเราเสมออยู่ในคำสอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้
แล้วเหตุไฉนเราจึงไม่เอาคำสอนนั้นมาวัดใจตน
ดูที่การกระทำของตนว่าสมควรถูกต้องหรือไม่
เราบอกว่าเราเคารพพระองค์แต่การกระทำกลับตรงข้าม
เราไม่สามารถน้อมนำคำสอนเหล่านี้เข้ามาใส่ตัวได้แล้วหรือ
ถึงได้เอาคำสั่งสอนเหล่านั้นมาเล่นงานอีกฝ่ายไปมาไม่มีที่สิ้นสุด
เคยมีบางครั้งไหมที่เราหันกลับไปมองดูการกระทำที่ลุด้วยอารมณ์ในกาลก่อน
แล้วรู้สึกละอายใจกับการกระทำในอดีต
แล้ววันนี้เรายังจะทำแบบนั้นอีกเหรอ เพื่ออะไร หรือเพื่อความสะใจในวันนี้
แล้ววันหน้าจะต้องมาอายกับสิ่งที่ทำในวันนี้อย่างนั้นเหรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 01:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อธรรม เขียน:
เดิมทีก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้เพราะสุดท้ายผลเสียก็จะย้อนกลับมาหาเรา

เรามีความเห็นว่าในบรรดาเราท่านทั้งหลายเรากำลังละเลยอะไรไปรึเปล่า
ในเมื่อทั้งเราท่านต่างก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์
แต่เพราะเหตุอะไรเรากลับไม่ให้เกียรติกับคำสอนของบรมครู
พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่กับเราเสมออยู่ในคำสอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้
แล้วเหตุไฉนเราจึงไม่เอาคำสอนนั้นมาวัดใจตน
ดูที่การกระทำของตนว่าสมควรถูกต้องหรือไม่
เราบอกว่าเราเคารพพระองค์แต่การกระทำกลับตรงข้าม
เราไม่สามารถน้อมนำคำสอนเหล่านี้เข้ามาใส่ตัวได้แล้วหรือ
ถึงได้เอาคำสั่งสอนเหล่านั้นมาเล่นงานอีกฝ่ายไปมาไม่มีที่สิ้นสุด
เคยมีบางครั้งไหมที่เราหันกลับไปมองดูการกระทำที่ลุด้วยอารมณ์ในกาลก่อน
แล้วรู้สึกละอายใจกับการกระทำในอดีต
แล้ววันนี้เรายังจะทำแบบนั้นอีกเหรอ เพื่ออะไร หรือเพื่อความสะใจในวันนี้
แล้ววันหน้าจะต้องมาอายกับสิ่งที่ทำในวันนี้อย่างนั้นเหรอ


อนุโมทนาครับกับการเข้ามาเขียนเตือนสติกัน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 06:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนที่จะมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า
ผู้นั้นจะต้องมีสัทธาและเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้รับเป็นเบื้องต้นแล้ว
ถ้าจะแบ่งความสัทธาก็ได้ ๔ อย่าง

๑. กัมมสัทธา
๒. วิปากสัทธา
๓. กัมัสสกตาสัทธา
๔. ตถาคตโพธิสัทธา

๑. กัมมสัทธา คือ เชื่อกฏแห่งกรรม เชื่อสาระสำคัญของกฏแห่งกรรมที่ว่า " ทำดีต้องได้รับผลดีจริง ทำชั่วต้องได้รับผลชั่วจริง" ดังธรรมภาษิตที่ว่า.....บุคคลใดทำกรรมใดไว้ เขาย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน ผู้ที่ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ...

๒. วิปากสัทธา คือเชื่อว่าวิบากหรือผลของกรรมมีจริง เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้ว ต้องมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว ไม่มีใครหลบเลี่ยงวิบากแห่งกรรมชั่วของตนได้เลย ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าบุคลลที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ หนีไปท่ามกลางมหาสมุทรก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ( เพราะ ) เขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่.....

๓. กัมมัสสกตาสัทธา คือเชื่อว่าแต่ละชีวิตมีกรรมเป็นของตน ใครจะดีหรือชั่ว ก็เพราะการกระทำของตนเอง ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาบันดาลให้เป็นไป ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ใน จูฬกัมมวิภังคสูตร ว่า...สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้หยาบและประณีตได้.....

๔. ตถาคตโพธิสัทธา คือเชื่อมั่นในองค์พระตถาคตว่า ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยปราศจากความสงสัยใดๆทั้งสิ้น ปักใจเชื่อว่าพระพุทธองค์ทรงพระคุณสมบูรณ์ตรัสรู้เห็นจริงและมีจริง สามารถนำผู้ปฏิบัติตามให้พ้นจากทุกข์ ให้เข้าถึงความสุขแบบธรรมดาในโลกนี้ จนถึงสุขอันยอดเยี่ยมคือพระนิพพาน

และเห็นประโยชน์ที่ปฏิบัติตามก็จะเกิดผลขึ้นกับตนได้จริง
ประโยชน์แบ่งได้ ๓ อย่าง

๑. ทิฏฐธัมมิกะประโยชน์
๒. สัมปรายิกะประโยชน์
๓. ปรมัตถะประโยชน์

๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะโยชน์
ประโยชน์ในภพนี้ ได้แก่ ประโยชน์ที่บุคคล จะพึงได้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ต้องการของบุคคลทั้งหลาย คือ ความสุข เช่น ความสุขจากการมีทรัพย์ ความสุขจากการจ่ายทรัพย์ ความสุขที่ไม่ต้องเป็นหนี้ ความสุขจากการทำงานไม่มีโทษ ความสุขเช่นนี้ จะมีได้ต้องประกอบความขยัน มีการเก็บรักษาทรัพย์ที่ได้มา คบเพื่อนที่ดี เลี้ยงชีวิตตามฐานะจัดเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน

๒. . สัมปรายิกัตถะ
ประโยชน์ในภพหน้า ได้แก่ ประโยชน์ขั้นสูงขึ้นไปคือ มีจิตใจเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมความดี ทำชีวิตให้มีค่า และเป็นหลักประกันชีวิตในภพหน้า จะสำเร็จได้ด้วยธรรม 4 ประการ
คือ ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยการบริจาค และถึงพร้อมด้วยปัญญา

๓. ปรมัตถะโยชน์
ประโยชน์อย่างยิ่ง ได้แก่ พระนิพพาน ซึ่งหมายถึงการดับกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น อันเป็นเหตุให้เกิดความร้อนใจทั้งปวง ปรมัตถะนี้เป็นประโยชน์อันสูงสุด ที่ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะพึงได้พึงเข้าถึง

สรุปความว่าจะต้องมีสัทธาคือความเชื่อว่าคำสอนของพระองค์เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วอะไรคือธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่านั้น :b8: ถามนี่ไม่ได้กวนหรืออะไรนะครับ แต่ถามความเข้าใจธรรมะที่ จขกท. คิดถึงกล่าวถึงนั้นก่อน :b1: อะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มานี่เถอะครับ จขกท. ทำใจดีๆครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 13:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อธรรม เขียน:
เดิมทีก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้เพราะสุดท้ายผลเสียก็จะย้อนกลับมาหาเรา

เรามีความเห็นว่าในบรรดาเราท่านทั้งหลายเรากำลังละเลยอะไรไปรึเปล่า
ในเมื่อทั้งเราท่านต่างก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์
แต่เพราะเหตุอะไรเรากลับไม่ให้เกียรติกับคำสอนของบรมครู
พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่กับเราเสมออยู่ในคำสอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้
แล้วเหตุไฉนเราจึงไม่เอาคำสอนนั้นมาวัดใจตน
ดูที่การกระทำของตนว่าสมควรถูกต้องหรือไม่
เราบอกว่าเราเคารพพระองค์แต่การกระทำกลับตรงข้าม
เราไม่สามารถน้อมนำคำสอนเหล่านี้เข้ามาใส่ตัวได้แล้วหรือ
ถึงได้เอาคำสั่งสอนเหล่านั้นมาเล่นงานอีกฝ่ายไปมาไม่มีที่สิ้นสุด
เคยมีบางครั้งไหมที่เราหันกลับไปมองดูการกระทำที่ลุด้วยอารมณ์ในกาลก่อน
แล้วรู้สึกละอายใจกับการกระทำในอดีต
แล้ววันนี้เรายังจะทำแบบนั้นอีกเหรอ เพื่ออะไร หรือเพื่อความสะใจในวันนี้
แล้ววันหน้าจะต้องมาอายกับสิ่งที่ทำในวันนี้อย่างนั้นเหรอ



แล้วอะไรคือธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่านั้น :b8: ถามนี่ไม่ได้กวนหรืออะไรนะครับ แต่ถามความเข้าใจธรรมะที่ จขกท. คิดถึงกล่าวถึงนั้นก่อน :b1: อะไร


เราเป็นผู้น้อยด้อยความรู้ ทางปฏิบัติก็ยังไม่เข้มแข็ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้มาและต้องปฏิบัติให้ถึงจุดนั้นให้ได้ สติสัมปชัญญะที่ครบถ้วนบริบูรณ์ อะไรคือธรรม อะไรคือไม่ใช่ธรรม มีแต่ตัวเราที่ยึดเอาไว้
เราได้เรียนรู้คือใบไม้หนึ่งใบที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนแค่นั้น..ที่เรารู้

เราดูตัวเองในปัจจุบันที่ไม่มีอารมณ์ในอดีตมาเกี่ยวข้องแล้วก็ดูอดีตในเรื่องที่เราจำได้แล้วก็ดูคำสอนนั้น แล้วก็วัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตกับคำสอนนั้น ถีงได้ยอมรับในคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ บางครั้งดูการกระทำคนอื่นแล้วมาวัดกับอคิติในใจตัวเองก็มี เราถึงได้บอกว่าผลเสียจะย้อนกลับมาหาตัวเอง ว่าแต่เขาแต่ตัวเองดันไม่พิจรณาดูตัวเองให้ท่องแท้ซะก่อน

มีครั้งหนึ่งที่พิจรณาตนเองกับคนบ้า เราแตกต่างจากคนบ้าตรงไหน คนบ้าใช้ชีวิตไปตามอารมณ์
นึกอยากทำอะไรก็ทำ แล้วเราละเราใช้ชีวิตแตกต่างกับคนบ้าที่ตรงไหนถ้าเรายังใช้ชีวิตให้ไหลไปตามอารมณ์ นั้นคือคำถามที่เกิดขึ้นในใจเรา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อธรรม เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อธรรม เขียน:
เดิมทีก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้เพราะสุดท้ายผลเสียก็จะย้อนกลับมาหาเรา

เรามีความเห็นว่าในบรรดาเราท่านทั้งหลายเรากำลังละเลยอะไรไปรึเปล่า
ในเมื่อทั้งเราท่านต่างก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์
แต่เพราะเหตุอะไรเรากลับไม่ให้เกียรติกับคำสอนของบรมครู
พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่กับเราเสมออยู่ในคำสอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้
แล้วเหตุไฉนเราจึงไม่เอาคำสอนนั้นมาวัดใจตน
ดูที่การกระทำของตนว่าสมควรถูกต้องหรือไม่
เราบอกว่าเราเคารพพระองค์แต่การกระทำกลับตรงข้าม
เราไม่สามารถน้อมนำคำสอนเหล่านี้เข้ามาใส่ตัวได้แล้วหรือ
ถึงได้เอาคำสั่งสอนเหล่านั้นมาเล่นงานอีกฝ่ายไปมาไม่มีที่สิ้นสุด
เคยมีบางครั้งไหมที่เราหันกลับไปมองดูการกระทำที่ลุด้วยอารมณ์ในกาลก่อน
แล้วรู้สึกละอายใจกับการกระทำในอดีต
แล้ววันนี้เรายังจะทำแบบนั้นอีกเหรอ เพื่ออะไร หรือเพื่อความสะใจในวันนี้
แล้ววันหน้าจะต้องมาอายกับสิ่งที่ทำในวันนี้อย่างนั้นเหรอ



แล้วอะไรคือธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่านั้น :b8: ถามนี่ไม่ได้กวนหรืออะไรนะครับ แต่ถามความเข้าใจธรรมะที่ จขกท. คิดถึงกล่าวถึงนั้นก่อน :b1: อะไร


เราเป็นผู้น้อยด้อยความรู้ ทางปฏิบัติก็ยังไม่เข้มแข็ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้มาและต้องปฏิบัติให้ถึงจุดนั้นให้ได้ สติสัมปชัญญะที่ครบถ้วนบริบูรณ์ อะไรคือธรรม อะไรคือไม่ใช่ธรรม มีแต่ตัวเราที่ยึดเอาไว้
เราได้เรียนรู้คือใบไม้หนึ่งใบที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนแค่นั้น..ที่เรารู้

เราดูตัวเองในปัจจุบันที่ไม่มีอารมณ์ในอดีตมาเกี่ยวข้องแล้วก็ดูอดีตในเรื่องที่เราจำได้แล้วก็ดูคำสอนนั้น แล้วก็วัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตกับคำสอนนั้น ถีงได้ยอมรับในคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ บางครั้งดูการกระทำคนอื่นแล้วมาวัดกับอคิติในใจตัวเองก็มี เราถึงได้บอกว่าผลเสียจะย้อนกลับมาหาตัวเอง ว่าแต่เขาแต่ตัวเองดันไม่พิจรณาดูตัวเองให้ท่องแท้ซะก่อน

มีครั้งหนึ่งที่พิจรณาตนเองกับคนบ้า เราแตกต่างจากคนบ้าตรงไหน คนบ้าใช้ชีวิตไปตามอารมณ์
นึกอยากทำอะไรก็ทำ แล้วเราละเราใช้ชีวิตแตกต่างกับคนบ้าที่ตรงไหนถ้าเรายังใช้ชีวิตให้ไหลไปตามอารมณ์ นั้นคือคำถามที่เกิดขึ้นในใจเรา


อ้อ... :b1: ธรรมของพระพุทธเจ้า ครับผม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 13:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อธรรม เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อธรรม เขียน:
เดิมทีก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้เพราะสุดท้ายผลเสียก็จะย้อนกลับมาหาเรา

เรามีความเห็นว่าในบรรดาเราท่านทั้งหลายเรากำลังละเลยอะไรไปรึเปล่า
ในเมื่อทั้งเราท่านต่างก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์
แต่เพราะเหตุอะไรเรากลับไม่ให้เกียรติกับคำสอนของบรมครู
พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่กับเราเสมออยู่ในคำสอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้
แล้วเหตุไฉนเราจึงไม่เอาคำสอนนั้นมาวัดใจตน
ดูที่การกระทำของตนว่าสมควรถูกต้องหรือไม่
เราบอกว่าเราเคารพพระองค์แต่การกระทำกลับตรงข้าม
เราไม่สามารถน้อมนำคำสอนเหล่านี้เข้ามาใส่ตัวได้แล้วหรือ
ถึงได้เอาคำสั่งสอนเหล่านั้นมาเล่นงานอีกฝ่ายไปมาไม่มีที่สิ้นสุด
เคยมีบางครั้งไหมที่เราหันกลับไปมองดูการกระทำที่ลุด้วยอารมณ์ในกาลก่อน
แล้วรู้สึกละอายใจกับการกระทำในอดีต
แล้ววันนี้เรายังจะทำแบบนั้นอีกเหรอ เพื่ออะไร หรือเพื่อความสะใจในวันนี้
แล้ววันหน้าจะต้องมาอายกับสิ่งที่ทำในวันนี้อย่างนั้นเหรอ



แล้วอะไรคือธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่านั้น :b8: ถามนี่ไม่ได้กวนหรืออะไรนะครับ แต่ถามความเข้าใจธรรมะที่ จขกท. คิดถึงกล่าวถึงนั้นก่อน :b1: อะไร


เราเป็นผู้น้อยด้อยความรู้ ทางปฏิบัติก็ยังไม่เข้มแข็ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้มาและต้องปฏิบัติให้ถึงจุดนั้นให้ได้ สติสัมปชัญญะที่ครบถ้วนบริบูรณ์ อะไรคือธรรม อะไรคือไม่ใช่ธรรม มีแต่ตัวเราที่ยึดเอาไว้
เราได้เรียนรู้คือใบไม้หนึ่งใบที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนแค่นั้น..ที่เรารู้

เราดูตัวเองในปัจจุบันที่ไม่มีอารมณ์ในอดีตมาเกี่ยวข้องแล้วก็ดูอดีตในเรื่องที่เราจำได้แล้วก็ดูคำสอนนั้น แล้วก็วัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตกับคำสอนนั้น ถีงได้ยอมรับในคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ บางครั้งดูการกระทำคนอื่นแล้วมาวัดกับอคิติในใจตัวเองก็มี เราถึงได้บอกว่าผลเสียจะย้อนกลับมาหาตัวเอง ว่าแต่เขาแต่ตัวเองดันไม่พิจรณาดูตัวเองให้ท่องแท้ซะก่อน

มีครั้งหนึ่งที่พิจรณาตนเองกับคนบ้า เราแตกต่างจากคนบ้าตรงไหน คนบ้าใช้ชีวิตไปตามอารมณ์
นึกอยากทำอะไรก็ทำ แล้วเราละเราใช้ชีวิตแตกต่างกับคนบ้าที่ตรงไหนถ้าเรายังใช้ชีวิตให้ไหลไปตามอารมณ์ นั้นคือคำถามที่เกิดขึ้นในใจเรา


อ่านข้อความคุณมาทั้งหมด.....เห็นด้วยอยู่ประโยคเดียว ที่คุณบอกว่า
คุณไม่แตกต่างจากคนบ้าเลย.....
เห็นด้วยจริงๆ :b32:

พุทโธ่! พูดธรรมอย่าเอาแต่ความเท่ซิครับ
อยากจี้ใจดำใคร มันต้องเอาแก่นธรมมาพูด ไปใช่สักแต่พูดเอาหล่อครับ
แบบนี้ เดียวโดนคนอื่นเขาย้อน แล้วจะมาตีโพยตีพายซ่ะเปล่าๆ

อย่าพึ่งออกลวดลายเลยครับ ดูๆเขาไปก่อน เลือกดูด้วย
ไม่ใช่จ้องดูแต่คำที่เขาประชดประชัน ธรรมมีให้ดูมีให้เลือกจำตั้งเยอะไม่เอา
ชอบจำแต่เรื่องที่เอามาสร้างเหตุให้รกใจตัวเอง :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 17:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่ให้คำแนะนำตักเตือน...ต่อไปคงต้องดูตนเอง....ให้มากขึ้น คนไหนทำคนนั้นย่อมได้ผลของการกระทำเสมอ เมื่อตัวเราคิดเราย่อมต้องได้รับผลของความคิดเช่นกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 17:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่ออะไร?
:b10:
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ....ไม่ใช่ธรรม ของพระพุทธเจ้า....แต่เป็นธรรม ที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วนำมาสอน

ซึ่งพระองค์ตรัสบอกพระอานนท์ว่า เป็นเพียงแค่ใบไม้ในกำมือ

เราศึกษาธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่ออะไร?

ตอบ

เพื่อให้รู้จัก ธรรม รู้วิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรม เพื่อให้พ้นจากทุกข์ ถึงสุขอันเป็นอมตะ คือพระนิพพาน

:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่ออะไร?

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ....ไม่ใช่ธรรม ของพระพุทธเจ้า....แต่เป็นธรรม
ที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วนำมาสอน:


พูดแปลก ธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ มันก็ต้องเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า
มันจะเป็นอย่างอื่นได้ยังไง.....

เขาถึงเรียกธรรมนั้นว่า...พุทธวจน :b32:


asoka เขียน:
ซึ่งพระองค์ตรัสบอกพระอานนท์ว่า เป็นเพียงแค่ใบไม้ในกำมือ

เราศึกษาธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่ออะไร?

ตอบ
เพื่อให้รู้จัก ธรรม รู้วิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรม เพื่อให้พ้นจากทุกข์ ถึงสุขอันเป็นอมตะ คือพระนิพพาน[/b]
:b27:


ขำกลิ้ง :b9: เรื่องใบไม้ในกำมือ พระพุทธองค์ตรัสกับใคร
มาดูก่อน อย่ามั่วซิโสกะ.......

สีสปาสูตร
เปรียบสิ่งที่ตรัสรู้มีมากเหมือนใบไม้บนต้น
[๑๗๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สีสปาวัน ใกล้เมืองโกสัมพี
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลายมา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบ
ประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน? ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่พระผู้มีพระภาคทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มี
ประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า.
พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก
ก็เพราะเหตุไรเราจึงไม่บอก เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น
ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้
นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก.
[๑๗๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์ ...
นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็น
พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์
ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 74&Z=10392

เบิ้งตามองพระพุทธองค์ตรัสเรื่องนี้กับใคร :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 18:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่ออะไร?

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ....ไม่ใช่ธรรม ของพระพุทธเจ้า....แต่เป็นธรรม
ที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วนำมาสอน:


พูดแปลก ธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ มันก็ต้องเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า
มันจะเป็นอย่างอื่นได้ยังไง.....

เขาถึงเรียกธรรมนั้นว่า...พุทธวจน :b32:


asoka เขียน:
ซึ่งพระองค์ตรัสบอกพระอานนท์ว่า เป็นเพียงแค่ใบไม้ในกำมือ

เราศึกษาธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่ออะไร?

ตอบ
เพื่อให้รู้จัก ธรรม รู้วิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรม เพื่อให้พ้นจากทุกข์ ถึงสุขอันเป็นอมตะ คือพระนิพพาน[/b]
:b27:


ขำกลิ้ง :b9: เรื่องใบไม้ในกำมือ พระพุทธองค์ตรัสกับใคร
มาดูก่อน อย่ามั่วซิโสกะ.......

สีสปาสูตร
เปรียบสิ่งที่ตรัสรู้มีมากเหมือนใบไม้บนต้น
[๑๗๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สีสปาวัน ใกล้เมืองโกสัมพี
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลายมา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบ
ประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน? ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่พระผู้มีพระภาคทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มี
ประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า.
พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก
ก็เพราะเหตุไรเราจึงไม่บอก เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น
ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้
นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก.
[๑๗๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์ ...
นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็น
พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์
ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 74&Z=10392

เบิ้งตามองพระพุทธองค์ตรัสเรื่องนี้กับใคร :b32:

:b12: :b12: :b12:

อ้างคำพูด:
พูดแปลก ธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ มันก็ต้องเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า
มันจะเป็นอย่างอื่นได้ยังไง.....


Onion_L

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสละหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพระปัญญาบารมี แล้วมันจะมี ธรรมะของพระองค์ มาจากที่ไหน? จะมีอะไรที่ถือว่าเป็นของงพระพุทธองค์ ถ้าโฮฮับอ้างว่าเป็นของพระพุทธเจ้า นั่นกำลังกล่าว ด้วยความไม่รู้ซึ้งถึงสัจจธรรม

ธรรมะนั้นเขามีอยู่คู่กับโลกและจักรวาลนี้มามาก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เสียอีก

พระสมณะโคดมพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน พึงเข้าใจให้ถูกต้องด้วย

:b17: :b17: :b17:

ส่วนเรื่องใบไม้ในกำมือที่พระบรมศาสดาตรัสถามภิกษุทั้งหลายนั้น ก็ถูกต้องอย่างโฮฮับค้นตำรามาอ้าง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ที่อโศกะอ้างผิด (ได้ทีขี่แพะไล่เลยเชียวนะ สะใจแล้วซิ)

แต่สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญมันอยู่ที่สาระของใบไม้ในกำมือ ว่าคืออะไร? เป็นของพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือว่ามีอยู่แล้วเองโดยธรรม ซึ่งไม่สงวนลิขสิทธิ์ไว้สำหรับใครผู้ใดโดยเฉพาะ

ใครมีสติ ปัญญา บารมี ที่ถูกต้องถูกทางแห่งมรรคมีองค์ 8 โดยธรรม ก็สามารถจะรู้และเข้าถึงได้เสมอเหมือนกันหมด ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวก และปกติสาวกทั้งหลาย


:b12: :b12: :b12:
:b4: :b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2013, 04:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อธรรม เขียน:
ขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่ให้คำแนะนำตักเตือน...ต่อไปคงต้องดูตนเอง....ให้มากขึ้น คนไหนทำคนนั้นย่อมได้ผลของการกระทำเสมอ เมื่อตัวเราคิดเราย่อมต้องได้รับผลของความคิดเช่นกัน


แนะนำบอร์ดที่เหมาะกับอุปนิสัยใจคอความคิดของ จขกท. ที่นี่ครับ http://larndham.org/index.php?/forum/24 ... %E0%B8%B0/

:b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2013, 05:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสละหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพระปัญญาบารมี แล้วมันจะมี ธรรมะของพระองค์ มาจากที่ไหน? จะมีอะไรที่ถือว่าเป็นของงพระพุทธองค์ ถ้าโฮฮับอ้างว่าเป็นของพระพุทธเจ้า นั่นกำลังกล่าว ด้วยความไม่รู้ซึ้งถึงสัจจธรรม

ธรรมะนั้นเขามีอยู่คู่กับโลกและจักรวาลนี้มามาก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เสียอีก

พระสมณะโคดมพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน พึงเข้าใจให้ถูกต้องด้วย


เลอะเทอะน่าโสกะ! อย่าสักแต่เอาบัญญัติที่ชาวบ้านเขาใช้
เอาไปฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อตามใจตัว ดูแล้วเหมือนคนปัญญาอ่อน

ธรรมของใครก็ของคนนั้น แนวทางการปฏิบัติ อีกทั้งความเชื่อในธรรม มันไม่เหมือนกัน
ในโลกนี้มีศาสนาและลัทธิต่างๆตั้งมากมาย
ถ้าเราไม่กำหนดไว้ว่า ธรรมใดเป็นของใคร การปฏิบัติมันก็ผิดแนวทางของผู้เป็นศาสดา

เป็นเพราะโสกะคิดแบบนี้ไงถึงได้ เอาเรื่องโยคี เอาแนวทางไสยศาสตร์พ่อมดหมอผี
มามั่วกับพระธรรมของพระโคดม


ปล. ที่ว่าเป็นแนวทางพ่อมดหมอผี เพราะชอบสาปแช่งคนอื่น :b32:

asoka เขียน:
ส่วนเรื่องใบไม้ในกำมือที่พระบรมศาสดาตรัสถามภิกษุทั้งหลายนั้น ก็ถูกต้องอย่างโฮฮับค้นตำรามาอ้าง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ที่อโศกะอ้างผิด (ได้ทีขี่แพะไล่เลยเชียวนะ สะใจแล้วซิ)

แต่สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญมันอยู่ที่สาระของใบไม้ในกำมือ ว่าคืออะไร?
เป็นของพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือว่ามีอยู่แล้วเองโดยธรรม
ซึ่งไม่สงวนลิขสิทธิ์ไว้สำหรับใครผู้ใดโดยเฉพาะ

ใครมีสติ ปัญญา บารมี ที่ถูกต้องถูกทางแห่งมรรคมีองค์ 8 โดยธรรม ก็สามารถจะรู้และเข้าถึงได้เสมอเหมือนกันหมด ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวก และปกติสาวกทั้งหลาย


นี่ก็มั่วอีก ที่พระพุทธองค์ทรงหยิบยก เรื่องใบไม้ในกำมือขึ้นมา
ก็เพื่อ......จะบอกให้เหล่าสาวกรู้ว่า...พระธรรมของพระองค์เป็นอย่างไร
การที่พระองค์อ้างใบไม้ในกำมือ มันเป็นการสื่อให้รู้ว่า
ธรรมที่พระองค์สอน เป็นการสอนเฉพาะ ธรรมที่เป็นของพระองค์เท่านั้น


ใจความสำคัญเกี่ยวกับใบไม้ในกำมือ....อธิบายได้ คือพระพุทธองค์จะบอกว่า
ในโลกนี้มีธรรมะและความรู้อยู่มากมาย แต่แนวทางพ้นทุกข์มีแค่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน

โสกะเป็นผู้มีอวิชาอยู่เต็มหัว การพูดและการอธิบายความ
จึงเป็นไปในทางย้อนแย้งกับความเป็นเหตุเป็นผล
พูดให้ตรงก็คือ.......ชอบพูดนอกลู่นอกทางพระธรรม
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2013, 11:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสละหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพระปัญญาบารมี แล้วมันจะมี ธรรมะของพระองค์ มาจากที่ไหน? จะมีอะไรที่ถือว่าเป็นของงพระพุทธองค์ ถ้าโฮฮับอ้างว่าเป็นของพระพุทธเจ้า นั่นกำลังกล่าว ด้วยความไม่รู้ซึ้งถึงสัจจธรรม

ธรรมะนั้นเขามีอยู่คู่กับโลกและจักรวาลนี้มามาก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เสียอีก

พระสมณะโคดมพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน พึงเข้าใจให้ถูกต้องด้วย


เลอะเทอะน่าโสกะ! อย่าสักแต่เอาบัญญัติที่ชาวบ้านเขาใช้
เอาไปฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อตามใจตัว ดูแล้วเหมือนคนปัญญาอ่อน

ธรรมของใครก็ของคนนั้น แนวทางการปฏิบัติ อีกทั้งความเชื่อในธรรม มันไม่เหมือนกัน
ในโลกนี้มีศาสนาและลัทธิต่างๆตั้งมากมาย
ถ้าเราไม่กำหนดไว้ว่า ธรรมใดเป็นของใคร การปฏิบัติมันก็ผิดแนวทางของผู้เป็นศาสดา

เป็นเพราะโสกะคิดแบบนี้ไงถึงได้ เอาเรื่องโยคี เอาแนวทางไสยศาสตร์พ่อมดหมอผี
มามั่วกับพระธรรมของพระโคดม


ปล. ที่ว่าเป็นแนวทางพ่อมดหมอผี เพราะชอบสาปแช่งคนอื่น :b32:

asoka เขียน:
ส่วนเรื่องใบไม้ในกำมือที่พระบรมศาสดาตรัสถามภิกษุทั้งหลายนั้น ก็ถูกต้องอย่างโฮฮับค้นตำรามาอ้าง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ที่อโศกะอ้างผิด (ได้ทีขี่แพะไล่เลยเชียวนะ สะใจแล้วซิ)

แต่สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญมันอยู่ที่สาระของใบไม้ในกำมือ ว่าคืออะไร?
เป็นของพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือว่ามีอยู่แล้วเองโดยธรรม
ซึ่งไม่สงวนลิขสิทธิ์ไว้สำหรับใครผู้ใดโดยเฉพาะ

ใครมีสติ ปัญญา บารมี ที่ถูกต้องถูกทางแห่งมรรคมีองค์ 8 โดยธรรม ก็สามารถจะรู้และเข้าถึงได้เสมอเหมือนกันหมด ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวก และปกติสาวกทั้งหลาย


นี่ก็มั่วอีก ที่พระพุทธองค์ทรงหยิบยก เรื่องใบไม้ในกำมือขึ้นมา
ก็เพื่อ......จะบอกให้เหล่าสาวกรู้ว่า...พระธรรมของพระองค์เป็นอย่างไร
การที่พระองค์อ้างใบไม้ในกำมือ มันเป็นการสื่อให้รู้ว่า
ธรรมที่พระองค์สอน เป็นการสอนเฉพาะ [b]ธรรมที่เป็นของพระองค์เท่านั้น[/
b]

ใจความสำคัญเกี่ยวกับใบไม้ในกำมือ....อธิบายได้ คือพระพุทธองค์จะบอกว่า
ในโลกนี้มีธรรมะและความรู้อยู่มากมาย แต่แนวทางพ้นทุกข์มีแค่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน


โสกะเป็นผู้มีอวิชาอยู่เต็มหัว การพูดและการอธิบายความ
จึงเป็นไปในทางย้อนแย้งกับความเป็นเหตุเป็นผล
พูดให้ตรงก็คือ.......ชอบพูดนอกลู่นอกทางพระธรรม
:b13:

:b16: :b16:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ ธรรมที่เป็นของพระองค์เท่านั้น

:b34: :b34: :b34:

พูดแบบนี้แหละที่เรียกว่าเป็นคำพูดของคนที่ยังเป็นทาสของอัตตา

มีพระพุทธเจ้าพระองค์ไหนที่ทรงยังยึดถือ ว่า นี่ คือธรรมของฉัน ในเมื่อพระองค์ ได้ชำระสิ้นหมดแล้ว ซึ่งกิเลส อนุสัย ทรัพย์ ศฤงคาร ทั้งภายนอกภายในทั้งปวงจนหมดสิ้น เป็นสุญญตา ไปหมดแล้ว

โฮฮับเอาอัตโนมัยแบบปุถุชนของตนมาชี้วัดพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ถือว่าเป็นการกล่าวตู่พุทธวัจจนะได้ เพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่มีความยึดถืออะไรไว้เป็นของพระองค์เอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมะ อันเป็นสากล คือ อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อันเป็นธรรมคู่จักรวาลและสากลจักรวาลนี้ ใครมีปัญญาก็สามารถค้นพบนำมาใช้ประโยชน์ได้ ไม่มีสงวนลิขสิทธิ์
:b34: :b34: :b34:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ ใจความสำคัญเกี่ยวกับใบไม้ในกำมือ....อธิบายได้ คือพระพุทธองค์จะบอกว่า
ในโลกนี้มีธรรมะและความรู้อยู่มากมาย แต่แนวทางพ้นทุกข์มีแค่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน

:b35:
ความท่อนนี้ใช้ได้ ยังพอนับว่ามีความรู้ถูกต้องอยู่บ้างเพราะใช้คำพูดอันไม่ประกอบด้วยอัตตา ดูคำต่อไปนี้

"สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน"

ไม่ใช่ "ธรรมะของพระพุทธองค์"
:b27:
การพูด การเขียนต้องคำนึงถึงเรื่อง อัตตา อนัตตา ด้วยนะโฮฮับ จึงจะได้ อมตะวาจา และวาจาที่เป็น สุภาษิต

:b31: :b31: :b31:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร