ขอบคุณนะครับ ที่ชัดขึ้นมาีอีกนิดหนึ่ง ข้อ 2-5 ไว้สนทนากันต่อไป โดยเฉพาะ ถ้อยคำที่ใช้ เช่น


ตอนนี้ เรามาสนทนากันเฉพาะข้อหนึ่งก่อนนะครับ



ที่ว่า -รูปขันธ์ การประชุมกันของมหาภูตรูป 4 = รูป (= รูปขันธ์) คุณ student ฟันธงชัดๆสิครับ ไหน รูป - รูปขันธ์ ?

ขึ้นอยู่กับว่ารูปปรากฎเพราะเหตุปัจจัยใดครับ รูปปรากฎเพราะขันธ์5 การตั้งคำถามว่าไหนรูป - รูปขันธ์ เป็นการตั้งคำถามที่ผิดครับ คำถามควรจะเป็น เพราะเหตุปัจจัยอะไรรูปจึงปรากฎหรือมี อย่างเช่น เพราะอาหารเป็นปัจจัย รูปจึงมี ครับ เพราะผัสสะมีรูปจึงปรากฎ

คุณเอา รูป (1)ไปนับรวมกับ นาม (4) แระ ก็คุณว่า นาม มี 4 รูปมี 1 จึงเป็น 5 นั่นน่่าขอรับ

แต่พอให้ฟันธงชัดๆ ไหนรูป ก็บอกว่า รูปปรากฏเพราะขันธ์ 5

แล้วที่ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูดนี่ ไม่เรียกว่า รูป ไม่ใช่รูปนะครับ โอเคนะ สรุปชัดๆเลยครับ จะได้ผ่านไปประเด็นอื่น

แล้ว ที่ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูดนี่ ความเห็นผมไม่ได้ปฎิเสธว่าไม่ใช่รูป แต่เป็นความเห็นที่ไม่แสดงเหตุปัจจัย จึงเป็นความเห็นเพียงด้านเดียว หรือ เป็นการตีความหมายของรูปเพียงด้านเดียว จึงเปรียบเหมือนเป็นผู้ยืนดูร่างกายและอวัยวะต่างๆครับ

ตา + รูปารมณ์ รูป ตัวนี้ได้แก่ รูป ชนิดไหนครับ รวม รูป ที่ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด เป็นต้นด้วยมั้ย

ผมว่า เห็นสมควรแก่เวลาแล้วครับในเรื่องของการสนทนา ก็สนุกดีครับ ตัวผมเองยังคงต้องศึกษาอีกเยอะ ไม่ค่อยเก่งอภิธรรม แต่ก็ขอบคุณนะครับที่ได้สนทนากัน

มาถึง ร่างกาย, กายบ้าง

กายที่ กายานุปัสนา

กายที่ กายกรรม

กายที่ (จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา) กาย (มโน)

คุณว่า เป็นกาย คือ ความหมายเดียวกันมั้ยครับ

ดีใจนะครับที่ได้สนทนาเบื้องต้นของการศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าไม่เข้าใจแล้วเนีย นำไปปฏิบัติ ไปคิด น่าจะพลาดหมดครับ
เราสนทนากัน ได้ประโยชน์หลายฝ่ายครับ บุคคลที่สามก็ได้ประโยชน์ เราสองคนก็ไ้ด้ประโยชน์ ควรสนทนากันให้จบ เรื่อง รูป, กายเถอะครับ

ก่อนหน้าอโศกบอกขันธ์ 5 ซ่อนอยู่ในกายใจ,รูปนามของเรา ได้ทราบถึงทัศนคดีกันและกัน ได้ประโยชน์ทั้งนั้นครับ

เป็นรูปที่เกิดเพราะผัสสะที่เกิดจากทวารคือปสาทรูปครับ ถ้าเป็นผู้ยืนมองย่อมเป็นปสาทรูปหมด ถ้าเป็นกิริยาของผู้ปฎิบัติ ก็ต้องขึ้นอยู่กับผัสสะที่เกิดขึ้นว่ารู้อะไรครับ

กรัชกายมั่งนะครับ ก็ไม่มีอะไร ธรรมดาๆสามัญ สังเกตทั้งบาลี และที่แปลเป็นไทย สังเกตศัพท์ที่ทั้งซ้ำกันและต่า่งกัน

อายตนะ + อารมณ์ (รูปารมณ์ เป็นต้น) + วิญญาณ = ผัสสะ (=การรับรู้)

1. จักขุ - ตา เป็นแดนรับรู้ รูป - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น

2. โสตะ - หู เป็นแดนรับรู้ -สัททะ - เสียง เกิดความรู้คือ โสตวิญญาณ - ได้ยิน

3. ฆานะ- จมูก เป็นแดนรับรู้ - คันธะ - กลิ่น เกิดความรู้คือ ฆานวิญญาณ - ได้กลิ่น

4. ชิวหา -ลิ้น เป็นแดนรับรู้ - รส - รส เกิดความรู้คือ ชิวหาวิญญาณ - รู้รส

5. กาย - กาย เป็นแดนรับรู้ -โผฏฐพพะ - สิ่งต้องกาย เกิดความรู้คือ กายวิญญาณ -รู้สิ่งต้องกาย

6. มโน -ใจ เป็นแดนรับรู้ ธรรมารมณ์ - เรื่องในใจ เกิดความรู้คือ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ


สังเกตทั้งแนวตั้งแนวนอนนะครับ

ขอทัศนะเกี่ยวกับ กาย หน่อยครับ

่พูดถึง ผัสสะ บ่อยๆ ดูความหมายสักเล็กน้อย




อายตนะ+อารมณ์+วิญญาณ = ผัสสะ

อายตนะ 6 + อารมณ์ 6 + วิญญาณ 6 = ผัสสะ หรือ สัมผัส 6


นำบาลีให้ดูเท่าที่พูดถึงนั่น



ดังนั้น เวทนาจึงมี 6 ตามทวารนั้นๆ

เวทนา ๖

๑ จักขุสัมผัสชา เวทนา - เวทนาเกิดจากสัมผัสทางตา

๒. โสตสัมผัสชา เวทนา - เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู

๓. ฆานสัมผัสชา เวทนา - เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก

๔. ชิวหาสัมผัสชา เวทนา - เวทนาเกิดจากสัมผัสทางลิ้น

๕. กายสัมผัสชา เวทนา - เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย

๖ มโนสัมผัสชา เวทนา - เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ